1

ตอนที่ 1


สองเท้าก้าวเดินอย่างสม่ำเสมอตามเส้นทางเดินเล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวสลับน้ำตาลเข้ม ซึ่งถูกเหยียบย่ำครั้งแล้วครั้งเล่าจนใบบี้แบนไร้รูปทรง แต่กระนั้นก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ ขอเพียงแค่มีผืนดินและน้ำค้างเพียงเล็กน้อยช่วยหล่อเลี้ยง ริมทางเดินเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าแข่งกันชูช่อสะเปะสะปะ แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นดอกจำปีสีขาวนวลที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ละมุนละไม

                หอมนวลอยากแวะชมให้ชื่นใจ แต่ด้วยภารกิจสำคัญที่แม่เลี้ยงมณีแดงมอบหมาย ทำให้หญิงสาวไม่สามารถเถลไถลกับอะไรได้

                เมื่อถึงที่หมายหญิงสาวหยุดเดิน หายใจหอบถี่ การเดินฝ่าแดดจ้าตอนกลางวันทำให้สูญเสียพลังงานไปมาก ดวงตากลมโตภายใต้แว่นทรงกลมขนาดใหญ่เหลือบมองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านไม้ทรงประยุกต์ที่สร้างแยกออกมาจากเรือนหลังใหญ่สไตล์ล้านนาโบราณ เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวหลังบานหน้าต่าง หญิงสาวก็ตะโกนเรียกบุคคลข้างในสุดเสียง

                “พี่ลูกจันทร์ๆ พ่อเลี้ยงสุดหล่อมารอพบพี่ชาติกว่าแล้ว เมื่อไหร่จะแต่งตัวเสร็จจ๊ะ ป้ามณีให้หอมมาตาม”

                สิ้นสุดเสียงเรียก ใบหน้าหวานละมุนก็โผล่ออกมาจากช่องหน้าต่าง “เสร็จแล้ว คุณเขมเขารอได้น่า ผู้หญิงก็แต่งตัวช้าเป็นธรรมดา”

                พูดจบก็ผลุบกลับเข้าไป จากนั้นไม่เกินหนึ่งนาที ร่างระหงสวมเดรสสั้นสีม่วงอ่อนก็เยื้องย่างลงบันไดอย่างใจเย็น

                “โอ้โห! สวยจังเลยพี่ลูกจันทร์” หอมนวลมองพี่สาวต่างสายเลือดอย่างชื่นชม จันทร์นรีสวยเฉียบ ตาโต จมูกโด่งจัด ริมฝีปากบาง ผิวพรรณผุดผ่อง ดูงามหมดจดทุกกระเบียดนิ้ว

                ผิดกับหอมนวล ที่แม้จะมีต้นตระกูลเดียวกันแต่ไม่คล้ายกันเลยสักนิด หอมนวลเป็นหญิงสาวอายุสิบแปดปีที่สวมแว่นตาอันใหญ่เทอะทะ ใบหน้าเรียบเนียนทว่าไม่สะอาดเกลี้ยงเกลา หน้าผาก คาง แก้มมักเปรอะเปื้อนด้วยคราบดินโคลนอยู่เสมอ ผิวพรรณในวัยเด็กที่เคยขาวอมชมพูบัดนี้กระดำกระด่างจากการถูกแดดเผาอยู่เป็นนิตย์ รูปร่างผอมเก้งก้างแบนราบอย่างกับไม้กระดาน ไร้เสน่ห์ดึงดูดอย่างสิ้นเชิง รวมๆ แล้วแทบจะดูไม่ได้

                เธอกับจันทร์นรีจึงเปรียบเสมือนสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันเสมอ บางครั้งหอมนวลอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่า เทือกเถาเหล่ากอของเธอกับจันทร์นรีอาจไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน หรือไม่...เธอก็อาจเกิดจากโครโมโซมที่ผิดพลาดก็เป็นได้

                “พี่ก็แต่งธรรมดา ชมมากเกินไปหรือเปล่า”

                “ก็ไม่ได้บอกนี่จ๊ะว่าชุดสวย แต่จะบอกว่าพี่ลูกจันทร์ของหอมใส่อะไรก็สวย หอมโตขึ้นหอมจะแต่งตัวแบบพี่ลูกจันทร์ ขอสวยแค่ครึ่งเดียวก็พอ” หอมนวลยิ้มหน้าบาน นึกภาพตัวเองสวมชุดเดรสสีหวานคงดูตลกพิลึก  

                “อย่าคิดที่จะแต่งตัวแบบพี่นะหอม”

                น้ำเสียงเด็ดขาดและสีหน้าจริงจังเช่นนี้หอมนวลไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรก จันทร์นรีไม่ชอบให้ใครเป็นเหมือนเธอ โดยเฉพาะหอมนวล

                ‘ถ้าหอมอยากเป็นน้องสาวพี่ หอมห้ามเป็นเหมือนพี่’ จันทร์นรีในวัยสิบสี่ปีประกาศกร้าว

                ‘ทำไมล่ะ’ เด็กน้อยที่อายุอ่อนกว่าสี่ปีถามอย่างไม่เข้าใจ

                ‘ก็จะเหมือนกันไปทำไมล่ะหอม พี่อยากมีน้องสาวใส่แว่นโตๆ แต่งตัวเหมือนตุ๊กตาแบบนี้นี่’

                จันทร์นรีหยิกแก้มน้องสาวเบามือ แม้หอมนวลไม่เคยเข้าใจว่าการสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขายาวเรียบๆ จะเหมือนตุ๊กตาตรงไหน แต่ความที่ยังเป็นเด็กอ่อนต่อโลกจึงยอมเชื่อฟังพี่สาวโดยไม่เคยคิดหาเหตุผล

                แม้ดูเหมือนหอมนวลกับจันทร์นรีจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับการอุปการะโดยแม่เลี้ยงมณีแดง เจ้าของไร่ดอกไม้ ‘จอมนรี’ ในฐานะป้าแท้ๆ

                บิดาของจันทร์นรีเป็นน้องชายคนรองของแม่เลี้ยงมณีแดง เสียชีวิตเมื่อสิบห้าปีก่อนด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง ส่วนบิดาของหอมนวลเป็นน้องชายคนสุดท้อง เสียชีวิตในเวลาใกล้เคียงกันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเหมือนชะตาจะเล่นตลก จันทร์นรีเสียแม่ในเวลาต่อมาด้วยโรคไข้เลือดออก ในขณะที่หอมนวลอายุห้าขวบก็เสียมารดาไปด้วยโรคมะเร็ง

                นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ทั้งคู่เหมือนกัน

                “หอมไม่แต่งตัวแบบพี่ลูกจันทร์หรอก แต่งไปก็เสียดายของ” หอมนวลไม่อยากขัดใจพี่สาว จะสวมชุดแบบไหนก็ไม่สำคัญสำหรับเธอ ดังนั้นหากทำให้จันทร์นรีสบายใจได้...เธอก็ยินดี

                “งั้นไปกันเถอะ”

                เมื่อได้ยินในสิ่งที่พอใจ จันทร์นรีก็เดินตัวปลิวไปยังทิศทางที่หอมนวลเพิ่งจากมา ภาพของเด็กหอมนวลที่เดินตามจันทร์นรีเป็นภาพที่คนในไร่ชินตา หญิงสาวอีกคนเหมือนหงส์ สวยหยาดฟ้า ส่วนอีกคนเปรียบได้กับนกกระจิบนกกระจาบ ธรรมดาจนโลกลืม

 

                เขมราชนั่งทอดกายบนเก้าอี้หวายตัวยาวกลางชานเรือน แสงแดดอ่อนๆ ยามสายไม่ได้ทำให้เขารู้สึกร้อนเพราะเป็นฤดูหนาวกลางเดือนธันวาคม ดังนั้นชายหนุ่มจึงยินดีมากกว่าหากได้นั่งผึ่งแดดต่อไปอีกสักพัก บ้านทรงล้านนาของไร่จอมนรียังงดงามเสมอในความคิดของเขา แต่สิ่งที่ดึงดูดชายวัยยี่สิบเจ็ดปีให้มาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ใช่สิ่งนี้ แต่เป็นคนที่อยู่ที่นี่ต่างหาก

                “ลูกจันทร์”

                ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน สีหน้าที่ปกติเงียบขรึมคลี่ยิ้มอย่างยินดี เมื่อเห็นร่างระหงของคนรักกำลังเดินมายังทิศทางที่เขายืนอยู่

                “คุณเขมรอนานหรือเปล่าคะ”

                “รอแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกครับ สำหรับคนที่คุ้มค่าแก่การรอ” เขมราชขยันป้อนคำหวานเพื่อเอาใจคนรัก

                จันทร์นรีฟังด้วยความรู้สึกเรียบเฉย เธอเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบสองปีที่มีหนุ่มน้อยใหญ่มารุมจีบชนิดที่หัวกระไดไม่แห้ง ดังนั้นถ้อยคำเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนอาหารตามสั่งที่กินทุกวันจนเบื่อ   

                ผิดกับใครอีกคน ทั้งที่เขาไม่ได้พูดกับเธอ แต่พวงแก้มกลับร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ หญิงสาวแรกรุ่นนิ่งมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ เจ้าของใบหน้าคล้ามคมมีเสน่ห์ราวกับต้องมนตร์สะกด จมูกโด่งรับกับเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาสีสนิม และผิวคล้ามแดด สะกดให้เธอมองได้ไม่รู้เบื่อ

                แต่สำหรับเขมราช...หอมนวลเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่คอยวิ่งตามจันทร์นรีเป็นเงาตามตัว เขาไม่เคยรับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอด้วยซ้ำไป

                “ปากหวานจังนะคะ” เจ้าของดวงหน้าหวานกระตุกยิ้ม

                “เปล่านะครับ ผมพูดจริง รอนานแค่ไหนก็รอได้ ยกเว้นอย่างเดียวที่ไม่อยากรอ”

                “อะไรคะ”

                “รอวันแต่งงาน”

                จันทร์นรีกลอกตาไปมา เธอไม่ได้ตื่นเต้นดีใจอะไรนัก เพราะแน่แก่ใจว่าวันนี้จะต้องมาถึง ทว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้ามต่างหาก

                “เรื่องนี้ก็คงต้องรอเหมือนกันค่ะ พ่อเลี้ยง” จันทร์นรีบอกทีเล่นทีจริง แน่นอนว่าเขมราชไม่คิดว่าเธอพูดจริง

                “ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรที่จะต้องรอนี่ครับ” ชายหนุ่มส่งสายตาหวานฉ่ำให้คนรัก เขาคบหาดูใจกับจันทร์นรีมาสามปี อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่และไม่เคยทำตัวเหลวไหลให้เธอต้องเสื่อมเสียเลยสักครั้ง

                 มารดาของเขาก็รักและเอ็นดูหญิงสาวเหมือนลูกแท้ๆ การแต่งงานกับจันทร์นรีจึงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้

                เสียงหายใจถี่อย่างคนตื่นเต้นดังขึ้นไม่ไกล ไม่ใช่คนถูกขอแต่งงาน แต่เป็นใครอีกคนที่ยืนก้มหน้าก้มตานิ่ง วูบหนึ่งสายตาดุจพญาเหยี่ยวมองมาที่เด็กหญิงผู้มีใบหน้ากระมอมกระแมม บังเกิดความเย็นยะเยือกแก่ผู้ถูกมองฉับพลัน ทว่าเพียงครู่เดียวเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นก็กลับไปหยุดอยู่ที่ร่างระหงของจันทร์นรีตามเดิม

                หอมนวลถอนหายใจเฮือกใหญ่ แค่เขามองผ่านๆ ก็เป็นได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ

                จันทร์นรีไม่สนใจบทสนทนาที่ยังค้างคาอยู่ เธอเดินมาหยุดตรงรถกระบะคันเดิมของพ่อเลี้ยงหนุ่ม ถอนหายใจอย่างเบื่อๆ

                เขมราชเป็นเจ้าของฟาร์มแสงอรุณ ฟาร์มเลี้ยงโคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและอาจจะใหญ่ที่สุดในอาเซียน เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านการบริหาร สองข้อนี้จันทร์นรีไม่ได้สนใจ เธอรู้แค่ว่าเขารวยมาก แต่คบกันมาสามปี เธอกลับพบว่าเขมราชมีชีวิตที่ติดดินจนเธอไม่รู้สึกว่ากำลังคบหากับมหาเศรษฐีพันล้าน แค่รถที่เขาขับเธอก็อายทุกครั้งเวลาไปไหนมาไหนด้วย  

                เขมราชเปิดประตูรถให้เช่นที่ปฏิบัติทุกครั้ง จันทร์นรีไม่ยอมพูดอะไรอีกนับตั้งแต่ก้าวขึ้นรถเพราะสมองกำลังคิดว้าวุ่น ก่อนหน้านี้เธอคบหาอยู่กับเพื่อนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเดียวกัน เป็นชายหนุ่มที่มีตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยการันตีความหล่อ ความรักทำท่าว่าจะไปได้สวย จนกระทั่งในงานเลี้ยงต้อนรับทายาทคนเดียวของฟาร์มแสงอรุณ หัวใจของจันทร์นรีก็หันเหอย่างง่ายดาย เพียงแค่เธอสบตา หนุ่มนักเรียนนอกเจ้าของฟาร์มที่มีพื้นที่ติดกับไร่ดอกไม้ของผู้เป็นป้าก็เทความรักให้เธอหมดหัวใจ

                ตอนนั้นเธอจึงได้รู้ว่า ความรักนั้นเกิดขึ้นได้อีกนับครั้งไม่ถ้วน

                แต่เวลานี้จันทร์นรีโตขึ้นและได้เรียนรู้ว่าโลกกว้างใหญ่ โลกที่ผู้ชายดีๆ ไม่ได้มีแค่ในป่าในดง ลึกๆ แล้วเธอเกลียดการเป็นชาวสวนชาวไร่ ทำงานกับดินโคลนและแสงแดดจ้า เธอใฝ่ฝันถึงชีวิตในเมืองหลวง การไปดูหนัง ฟังเพลง แต่งตัวโก้หรูเดินห้าง ซึ่งการแต่งงานกับเขมราชก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเธอหลุดพ้นจากชนชั้นเกษตรกรรมไปได้ บางครั้งอาจจะถึงเวลาที่ต้องทบทวนบางสิ่งบางอย่าง

 

                ร่างบางในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขายาวทรงกระบอกท่าทางทะมัดทะแมง ก้มๆ เงยๆ มองต้นดอกแก้วที่กำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมอบอวล มือหนึ่งถือกรรไกรอันเล็กคอยเล็มกิ่งไม้ให้ได้รูปทรง ดวงตากลมจับจ้องใบเขียวขจีผ่านเลนส์แว่นอันโตอย่างตั้งอกตั้งใจ

                “นี่เธอ”

                เสียงเรียกทุ้มต่ำไม่คุ้นหูทำให้ร่างบางสะดุ้งจนเผลอไปตัดเอากิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจตัด หญิงสาวหันมามองขุ่นๆ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครเธอก็ถึงกับต้องกลืนคำด่าลงกระเพาะไปทันที

                “ฉันมาพบคุณลูกจันทร์”

                เขมราชแจ้งความประสงค์กับหญิงสาวที่เขาคิดว่าเป็นคนงานคนหนึ่งในไร่จอมนรี แต่แทนที่เธอจะรีบไปตามจันทร์นรีมาพบเขาหรือกล่าวอะไรสักคำ กลับกลายเป็นยืนแข็งทื่อเป็นหิน

                “นี่!”

                หอมนวลสะดุ้งเป็นครั้งที่สอง หญิงสาวยกมือขยับแว่นเช่นทุกครั้งที่เกิดความประหม่า ก่อนละล่ำละลักตอบ

                “เอ่อ...ค่ะ สักครู่นะคะ”

                ร่างสูงกำยำแม้จะสวมเสื้อยีนแขนยาวถึงข้อมือ แต่ก็ดูออกว่าภายใต้เสื้อตัวนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งอย่างผู้ชายที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้ใกล้ๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์มาเช็กข้อมูลเกี่ยวกับรายการสั่งซื้อวัสดุสำหรับสิ่งปลูกสร้างใหม่ที่เขาแพลนมานานร่วมปี เมื่อเห็นข้อมูลที่น่าสนใจ เขมราชก็ใช้เวลาต่อจากนั้นคร่ำเคร่งอยู่กับงานโดยไม่สนใจอะไรอีก

 

                หอมนวลเดินไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งเรือนหลังเล็กของพี่สาว แต่สองตากลับคอยหันมามองชายผู้มาเยือนอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งร่างใหญ่โตของเขาดูเล็กไปถนัดตา เพราะเธอเริ่มเดินห่างออกมาเรื่อยๆ

                ‘หล่อ’ หอมนวลคิดอย่างก๋ากั่น พลันดวงหน้าก็แดงระเรื่อเมื่อนึกถึงผิวเนื้อชายภายใต้เสื้อยีนของเขา

                เพราะมัวแต่นึกถึงคนตัวโต มารู้ตัวอีกที สองเท้าก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังเล็กของจันทร์นรีแล้ว หญิงสาวงุนงงอยู่พักหนึ่งกระทั่งนึกขึ้นได้ว่าตนมาที่นี่เพราะอะไร

            ‘สมองไปกันใหญ่แล้วยายหอม’

                “พี่ลูกจันทร์จ๊ะ แฟนสุดหล่อมาหาจ้า”

                ครู่เดียวเจ้าของใบหน้าสวยก็โผล่มาทางบานหน้าต่าง พร้อมกับคำตอบที่ทำให้หอมนวลงงหนัก

                “บอกเขาให้หน่อย ว่าพี่ไม่ว่าง”

                “อะไรนะ”

                “เธอได้ยินถูกแล้ว พี่ไม่ว่าง ให้เขามาวันหลังเถอะ”

                “ไม่ว่าง...ทำอะไรงั้นหรือจ๊ะ ถึงไม่ว่าง” หอมนวลถามย้ำ เธอมั่นใจว่าจันทร์นรีว่างแน่นอน เพราะนอกจากเรียนหนังสือแล้ว พี่สาวเธอก็ไม่ได้มีหน้าที่ทำอะไรในไร่เลย แล้วจะไม่ว่างได้อย่างไร

                “อย่าถามมากได้ไหมหอม ไปบอกเขาแค่นั้นพอ”

                “ไปพบเขาเดี๋ยวเดียวไม่ได้เหรอพี่ลูกจันทร์ หรือไม่ก็ช่วยบอกเหตุผลที่มากกว่าไม่ว่างได้ไหม” หอมนวลไม่อยากเห็นใบหน้าหล่อๆ ตอนเศร้านี่นา

                “บอกไปแค่นี้ พี่จะพักผ่อน”

                โดยไม่รอให้หอมนวลได้ถามอะไรอีก เจ้าของใบหน้าหวานก็ผลุบหายเข้าไปหลังบานหน้าต่าง หอมนวลก้มหน้านิ่ง จะให้เธอไปบอกเขมราชด้วยเหตุผลที่พี่สาวบอก เธอทำไม่ได้จริงๆ สมองคิดหาทางอื่นที่ละมุนละม่อมกว่าการเดินไปบอกเขมราชตรงๆ

 

                มืออวบอ้วนของหญิงสูงวัยกำลังวุ่นกับเครื่องคิดเลขและเอกสารในแฟ้มสีดำอันใหญ่ ภายในห้องทำงานที่ผนังด้านหนึ่งเป็นไม้อย่างดี ส่วนอีกสามด้านเป็นกระจกใสปลอดโปร่ง แม่เลี้ยงมณีแดงในวัยหกสิบปียังดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว ผมสีดอกเลาถูกตัดสั้นแค่ต้นคอยิ่งทำให้ดูอ่อนกว่าวัย สายตาและประสาทการรับรู้ทุกอย่างยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                แม้จะมีสมาธิกับงานตรงหน้ามาก แต่ร่างที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ด้านนอกก็ทำให้ต้องละความสนใจจากงานตรงหน้า

                “ยายหอม จะยืนลับๆ ล่อๆ อยู่อีกนานไหม นี่ถ้าฉันสายตาแย่กว่านี้หน่อย คงนึกว่าเป็นพวกโจรย่องเบา”

                ร่างบางของคนที่ทำตัวเหมือนโจรย่องเบาค่อยๆ โผล่จากที่กำบังพร้อมกับส่งยิ้มแป้นให้ผู้เป็นป้า พอก้าวเท้าเข้ามาในห้อง หอมนวลก็ทรุดตัวนั่งที่พื้นพร้อมกับคลานเข่าเข้าไปนั่งชิดร่างอวบทันที

                “ป้ามณีไปคุยกับคุณแฟนพี่ลูกจันทร์หน่อยสิจ๊ะ”

                “อ้าว! คุณเขมราชมารึ แล้วไปตามพี่เขาหรือยัง”

                “ไปแล้ว แต่พี่ลูกจันทร์ให้บอกว่าไม่ว่าง”

                ครู่หนึ่งที่แม่เลี้ยงมณีแดงนิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่หลังจากนั้นสีหน้าก็กลับไปเป็นปกติราวกับว่าไม่ได้แปลกใจอะไร

                “เดี๋ยวฉันจะออกไปคุยกับคุณเขมเสียหน่อยก็แล้วกัน”

                ไม่ใช่แค่หอมนวลที่รู้สึกว่าการปฏิเสธผู้มาพบเป็นการเสียมารยาท แต่แม่เลี้ยงมณีแดงก็รู้สึกไม่ต่างกัน เธอเลี้ยงจันทร์นรีมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก ในขณะที่หอมนวลเพิ่งก้าวเข้ามาอยู่ในการอุปการะในวัยเกือบหกขวบแล้ว

                หญิงสูงวัยปฏิเสธไม่ได้ว่าตนรักจันทร์นรีมากกว่าหอมนวลด้วยเหตุผลหลายประการ จันทร์นรีเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของเธอ ในขณะที่หอมนวลเธอมองเป็นเพียงหลานสาวเท่านั้น

                และวิธีการเลี้ยงดูก็ทำพิษจริงๆ ตรงที่จันทร์นรีเป็นเด็กค่อนข้างเอาแต่ใจ เธอทำตามความต้องการของตนเองโดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ที่เห็นได้ชัดเจนก็เรื่องบ้านที่จันทร์นรีขอให้เธอสร้างให้ด้วยเหตุผลง่ายๆ ข้อเดียวคือ...

                จันทร์นรีไม่ชอบเรือนจอมนรีที่เก่าใกล้ผุพัง

                เหตุผลที่ไม่ควรเป็นเหตุผล แต่แม่เลี้ยงมณีแดงทนฟังข้อเรียกร้องต่อไปอีกไม่ไหวจึงจำต้องทุบกระปุกสร้างบ้านราคาเหยียบล้านให้โดยไม่มีข้อแม้

                จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเธอเลี้ยงของเธอมาแบบนี้แล้ว

 

                หอมนวลได้แต่มองภาพการสนทนาของผู้เป็นป้ากับชายผู้มาเยือนอยู่ในมุมที่ไม่มีใครสังเกตเห็น อันที่จริงถึงเธอไม่ซ่อนตัวก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว เพราะใครกันที่จะสนใจคนไม่น่าสนใจอย่างเธอ

                ใบหน้าคมคายดูตึงเครียดในประโยคแรกที่สนทนากับแม่เลี้ยงมณีแดง แต่แล้วก็ค่อยๆ คลายคิ้วที่ขมวดแน่นลงในเวลาต่อมา ร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ผายมือให้หญิงชรานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิมก่อนที่ตัวเองจะอ้อมไปนั่งเก้าอี้ตรงข้าม เขาสูดลมหายใจลึกเหมือนต้องการใช้พลังมหาศาลที่จะพูดอะไรบางอย่าง

                ยิ่งเห็นอาการดังกล่าวหอมนวลยิ่งใคร่รู้ หญิงสาวก้าวเท้าเบาๆ ไปยืนอยู่ในจุดที่ใกล้กว่าเดิม กระทั่งได้ยินประโยคสนทนาต่อมาอย่างชัดเจน

                “ผมจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอจันทร์นรี ที่ผมเรียนคุณป้าก่อนก็เพื่อให้คุณป้าได้เตรียมคิดเรื่อง...เอ่อ...เรื่องสินสอดทองหมั้น ผมไปอยู่ต่างประเทศมานานไม่คุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้ ถ้าหากเป็นการเสียมารยาท ผมก็หวังว่าคุณป้าจะให้อภัย แต่จุดประสงค์ของผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมอยากให้จันทร์นรีได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”

                แม่เลี้ยงมณีแดงรับฟังคำพูดที่หนักแน่นของชายหนุ่มรุ่นลูกอย่างสุขุม แทนที่เธอจะดีใจกลับมีแต่ความวิตกกังวล ในสายตาของเธอนั้น ไม่มีผู้ชายคนไหนจะเหมาะสมกับหลานสาวของเธอมากเท่าชายตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าจันทร์นรีไม่ได้คิดแบบเดียวกัน หญิงสูงวัยพยักหน้าเบาๆ ก่อนตอบออกไปกลางๆ

                “ป้าไม่ได้คิดเรื่องสินสอดเลยนะคุณเขม เพียงแต่เรื่องแบบนี้คุณเขมต้องคุยกับยายลูกจันทร์ก่อน ถ้าตกลงปลงใจกันแล้ว ป้าก็ไม่ขัดขวาง จะยินดีมากด้วยซ้ำไป”

                “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงนะครับ ผมกับลูกจันทร์คุยกันเรื่องนี้มานานแล้ว เหลือก็แต่ให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ ซึ่งคงไม่เกินสัปดาห์หน้า”

                การสนทนายังดำเนินต่อไป ทว่าบุคคลที่สามกลับไม่อยากฟังอีก หอมนวลออกมาจากที่ตรงนั้น ชายหนุ่มที่เธอแอบปลื้มมาตั้งแต่เด็กกำลังจะกลายเป็นสามีของพี่สาว เธอควรจะรู้สึกอย่างไรดี หัวใจที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องความรักสับสนว่าจะวางความรู้สึกไว้ตรงไหน ทว่าครู่ต่อมาใบหน้าเศร้าก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เป็นจันทร์นรีก็ถูกแล้ว หนุ่มหล่อกับสาวสวยเหมาะสมที่จะเดินเคียงข้างกัน สิ่งที่เธอต้องทำคือการบอกให้จันทร์นรีเตรียมตัวต้อนรับญาติผู้ใหญ่ของเขมราชที่จะมาสู่ขอในไม่ช้า

 

                “จะไปทำงานที่กรุงเทพฯ”

                เหมือนฟ้าผ่ากลางเรือนจอมนรี เขมราชมึนงงกับสิ่งที่คนรักประกาศต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่กำลังทำพิธีสู่ขอ

                แม่เลี้ยงมณีแดงส่งสายตาขอโทษขอโพยให้กรองแก้ว มารดาของเขมราชด้วยความรู้สึกผิดเปี่ยมล้น ที่หลานสาวพูดจาหักหน้าทุกคนโดยไม่เห็นแก่หัวหงอกหัวดำ แม้แต่สาธิต นายทหารระดับนายพล ญาติผู้ใหญ่ฝั่งเขมราชก็นั่งนิ่งไม่ไหวติง สีหน้าเรียบเฉย

                คงจะมีแต่หอมนวลคนเดียวที่ไม่ประหลาดใจ เธอนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนเรือนไม้อายุร่วมห้าสิบปี มองคนนั้นทีคนนี้ที ด้วยรู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นใดๆ

                ‘พี่ยังไม่อยากแต่ง ถึงพาใครมาขอพี่ก็ไม่แต่ง’

                ‘อ้าว! แล้วทำไมไม่คุยกันให้รู้เรื่องก่อนจ๊ะ’ หอมนวลโวยวาย หลังจากเธอได้ฟังบทสนทนาระหว่างผู้เป็นป้ากับพ่อเลี้ยงหนุ่มก็รีบนำข่าวดีไปบอกพี่สาว

                เธอรู้เรื่องทุกอย่างมาก่อนหน้านี้แล้ว ใช่ว่าไม่ห้าม แต่มีหรือคนที่เป็นลูกไล่มาตลอดอย่างเธอจะเปลี่ยนความคิดของจันทร์นรีได้ เพียงแต่เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่สาวจึงทิ้งการแต่งงานเขมราชไปเพียงเพราะต้องการความซิวิไลซ์ในเมืองกรุง ในความรู้สึกของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมองว่าความรักของหนุ่มรูปงามอย่างเขมราชมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด เป็นความรักที่เธอฝันหามาตลอดชีวิต แต่ไม่เคยได้สัมผัสแม้แต่เศษเสี้ยว ถ้าเป็นเธอ เธอจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ

                “ใช่ค่ะ ลูกจันทร์อุตส่าห์เรียนมาถึงสี่ปี หวังจะได้ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์บ้าง ถ้าหากต้องทำงานอยู่ในไร่ในดอยก็เหมือนว่าทิ้งความรู้ไปโดยเปล่าประโยชน์” จันทร์นรีเรียนจบด้านภาษา ในหัวจึงมีแต่ภาพตัวเองที่สวมเสื้อผ้าแฟชั่น ถือแฟ้มเอกสาร ทำงานในห้องแอร์ ตอนนี้แม้แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขมราชเธอยังไม่อยากมอง

                หอมนวลมองใบหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มอยู่เป็นนิตย์อย่างสลดหดหู่ เขาทำหน้าราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงตรงหน้า เธอไม่เคยมีคนรักจึงไม่รู้ว่าการถูกปฏิเสธการแต่งงานเป็นอย่างไร จะเสียใจเช่นเดียวกับการรักคนที่เขาไม่ได้รักเราเหมือนที่เธอเป็นอยู่หรือไม่

                “ลูกจันทร์แค่ขอเลื่อนการแต่งงานออกไปก่อน ไม่ได้ยกเลิกนี่คะ จากนั้นอีกสองปีเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่ก็ได้ นะคะคุณเขม”

                “แต่ผมรอมาตั้งสามปีแล้วนะครับลูกจันทร์ รอทั้งที่เห็นหน้ากันทุกวันผมยังแทบทนไม่ได้ แล้วจะให้รออีกสองปีโดยไม่ได้พบกัน ผม...” เขมราชส่ายหน้าไม่ยอมรับการตัดสินใจของคนรัก

                “ไม่รู้ละค่ะ ลูกจันทร์ขอพูดแค่นี้ ถ้าคุณเขมไม่ตกลง เราก็เลิกกัน”

                จันทร์นรีประกาศกร้าว เธอลุกขึ้นแล้วเดินลงบันไดบ้านไป ทิ้งให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่กลายเป็นหัวหลักหัวตอ        

                กรองแก้วตระหนกตกใจ อับอายจนหน้าชากับการกระทำของว่าที่ลูกสะใภ้ ทว่าร่างบอบบางของหญิงสูงวัยกลับนิ่งไม่ไหวติง ไม่มีแม้แต่คำพูดหลุดออกมาจากปากสักคำ

                หลังจากคนที่เป็นต้นเหตุหายลับไปแล้ว คนที่เหลือก็นั่งมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร กระทั่งสาธิตขอตัวกลับพร้อมกล่าวกับกรองแก้วเมื่ออยู่ตามลำพังด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

                “ผมคิดว่าคุณกรองแก้วต้องเตรียมใจไว้หน่อย ลูกชายคุณอาจต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า”

 

                แสงจากพระจันทร์เต็มดวงสาดส่องพื้นดินอันมืดมิดของไร่จอมนรีให้สว่างไสว หอมนวลแหงนมองท้องฟ้าด้วยจิตใจหดหู่ ดวงจันทร์จะปรากฏก็ต่อเมื่อฟ้ามืดลง แต่จันทร์ในใจอย่างเขมราชนั้นไม่มีวันหายไปแม้ยามหลับหรือยามตื่น  

                เขมราช คือผู้ชายคนเดียวที่หอมนวลคิดถึง เธอไม่รู้ว่ามันคือความรักหรือไม่ เพราะความเป็นเด็กไม่ยอมโตทำให้เธอไม่เคยได้ใกล้ชิดชายคนไหนเลยแม้จะอายุสิบแปดปีแล้ว เขมราชเป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอใกล้ชิดที่สุด แต่กระนั้นก็ไม่เคยได้พูดคุยด้วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่เขามาหาจันทร์นรี เขาก็สนใจแต่พี่สาวเธอ มองเธอเป็นแค่ต้นไม้ใบหญ้า

                แต่ใครจะสน เธอแค่ชอบมองเขา ชอบความเป็นสุภาพบุรุษ ชอบคำพูดหวานๆ ของเขาที่คอยป้อยอจันทร์นรี มันหวานซึ้งจนเผลอเก็บเอาไปฝัน หากเธอจะมีคนรักสักคน ขอให้คล้ายเขาแค่ครึ่งหนึ่งก็ยังดี

                วันนี้หอมนวลได้เห็นแววตาร้าวรานของชายหนุ่มเป็นครั้งแรก มันบาดหัวใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ ได้แต่ภาวนาให้จันทร์นรีเห็นคุณค่าในความรักของเขา เธอไม่อยากเห็นเขาเสียใจ และไม่อยากให้พี่สาวคนเดียวของเธอต้องสูญเสียผู้ชายที่ดีที่สุดไป

                “ยังไม่นอนอีกเหรอคุณหอม”

                เป็นเสียงของสาวใช้วัยสิบหกปีที่มีชื่อแสนไพเราะว่าแสงระวี ใบหน้ากลมแป้นถูกทาด้วยแป้งพม่าสีเหลืองนวล แสงระวีไม่ใช่สาวพม่า แต่หากจะมีเชื้อสายอยู่บ้างในพื้นที่สูงสุดของภาคเหนือก็คงจะไม่แปลกนัก

                “ยังไม่ง่วงเลยแสง นั่งมองพระจันทร์จนเพลิน”

                “ทำตัวเป็นนางเอกยุคโบราณไปได้นะคะ เวลาแบบนี้ อายุเท่านี้ ไปนั่งดูละครหลังข่าวหรือไม่ก็รายการเพลงวัยรุ่นไม่เหมาะกว่าหรือคะ” แสงระวีถกผ้าถุงตัวยาวขึ้นแล้วนั่งลงบนลานไม้ใกล้ๆ กับเจ้านายสาว

                “เธอก็พอกัน คำพูดคำจาเหมือนไม่ใช่เด็กอายุสิบหก เหมือนคนอายุหกสิบมากกว่า”

                “โธ่! คุณหอม ว่าแสงอีกแล้ว” แสงระวีกระเง้ากระงอด แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าเทียบกันแล้ว แสงระวีรู้จักโลกภายนอกมากกว่าหอมนวลหลายเท่านัก

                “ล้อเล่นน่า” หอมนวลมักเย้าหยอกสาวใช้ “นี่แสง เธอคิดว่าพี่ลูกจันทร์คิดอะไรอยู่ ฉันไม่เข้าใจเลย”

                “ไม่เข้าใจเรื่องอะไรคะ”

                “ถ้าเธอเป็นพี่ลูกจันทร์ เธอจะทำยังไงกับเหตุการณ์วันนี้ล่ะ”

                “ก็ไม่ทำอะไร นอกจากรีบกำหนดวันแต่งให้เร็วที่สุด” แสงระวีพูดไปดวงตาก็เป็นประกาย แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่หอมนวลที่คลั่งไคล้เขมราช  

                “นั่นสิ แต่พี่ลูกจันทร์กลับปฏิเสธ เล่นเอาคุณพ่อเลี้ยงร่างยักษ์หน้าหงอยเป็นหมาเหงา” หอมนวลเกยคางมนกับลำแขนของตัวเองซึ่งพาดอยู่บนพนักเก้าอี้ที่เธอนั่ง ทำหน้าหงอยเหมือนหน้าของเขมราชเมื่อตอนกลางวันไม่มีผิด

                “อืม...โดยปกติแล้วคนที่ทั้งหล่อ ทั้งรวย แถมโรแมนติกอย่างพ่อเลี้ยงเขมเนี่ย ยากที่จะมีใครกล้าปฏิเสธ แต่แสงเคยดูในทีวีนะคะ นางเอกตัวจริงจะไม่ยอมรับรักพระเอกง่ายๆ ต่อให้พระเอกรวยล้นฟ้าเป็นมหาเศรษฐี เพราะว่าจะได้ไม่ดูไร้ค่าในสายตาของผู้ชาย อะไรที่ได้มายากๆ มักมีคุณค่า บางทีคุณลูกจันทร์อาจจะเข้าข่ายนั้น” คนแก่แดดแก่ลมพูดด้วยความเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง

                “งั้นเหรอ ถึงแม้ว่าเราจะรักเขามากก็ต้องทำเหรอแสง”

                “คุณหอมจะไปรู้อะไร คนไม่สวยไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้หรอกค่ะ”

                หอมนวลคล้อยตามแสงระวีไปกว่าครึ่ง แต่มาสะดุดประโยคสุดท้ายที่ทำให้เธอถึงกับต้องหรี่ตา แสงระวีเริ่มขยับตัวเพราะคิดว่าตนไปแหย่รังแตนเข้าให้แล้ว คราวนี้คงได้ช็อกตายเป็นแน่

                “อย่านะคะคุณหอม แสงพูดเล่นน่ะค่ะ”

                หอมนวลนับหนึ่งไม่ถึงสิบ คว้าไปที่เอวของแสงระวีแล้วจี้จนสาวร่างป้อมดิ้นเร่าๆ พยายามหลบหนี แต่คนเป็นเจ้านายตัวสูงกว่าย่อมได้เปรียบ มาว่าเธอไม่สวยหรือ แบบนี้ต้องจี้ให้ตาย

                คืนนั้นความเศร้าของหอมนวลจางหายไปได้เล็กน้อยจากการปะทะคารมกับแสงระวี ได้แต่หวังว่าวันรุ่งขึ้น เธอจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขมราชเปื้อนรอยยิ้มเช่นที่เคยเป็น    

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น