บทที่ 10

10

                “เรื่องมันเริ่มมาจากปัญหาสามัญประจำบ้านวรปัทม์” น้ำเสียงเขาเรียบเฉยชินชาขณะเล่า “ป๊าผมเล็งที่ดินผืนหนึ่งเอาไว้ ซึ่งเจ้าของที่ยังสาวและสวยอยู่มาก แล้วก็บังเอิญว่าผมรู้จักกับสินีเจ้าของที่ดินผืนนั้น เราเป็นเพื่อนกัน”

                “คุณรู้จักกัน ฉันคิดว่าไม่น่ามีปัญหา”

                “อ๋อ...ผมกับสินีน่ะไม่มีปัญหากันอยู่แล้ว เพียงแต่เดาใจป๊าไม่ถูกว่าคิดยังไง ทางแม่ใหญ่ก็ฟันธงฉับเลยว่างานนี้ป๊าอยากได้สินีเป็นเมียเพิ่มอีกคน อืม...”

          วสุวีลูบไล้อกกว้างสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ชายหนุ่ม เล็บเธอสะกิดเบาๆ กับยอดอกเขา คนที่กำลังเล่าเริ่มไม่อยากเล่าต่อแล้ว อชิระครางเบาๆ พลางจับมือเธอเอาไว้ เตือนไม่ให้เธอเล่นอะไรแผลงๆ

                “เดี๋ยวเสียงคุยจะกลายเป็นเสียงครางนะครับ”

                หญิงสาวหัวเราะชอบใจที่ก่อกวนเขาได้ มือซุกซนหยุดกับที่ไม่เคลื่อนไปไหน “ไม่แกล้งแล้วค่ะ ฉันก็หลงนึกว่าคุณชอบซะอีก”

                “ชอบสิ ใครว่าไม่ชอบ ผมก็ขี้เกียจเล่าแล้ว สู้นั่งเฉยๆ ให้คุณลูบเล่นดีกว่า”

                “ไม่เอาค่ะ ยังไม่รู้เรื่องเลย เล่าต่อสิคะ” วสุวียิ้มออเซาะ ขยับร่างเข้าหาเขาอย่างออดอ้อน อชิระจะทำอะไรได้นอกจากตามใจเธอ

                “อย่างที่รู้ๆ แม่ใหญ่ของผมหวาดระแวงกับเรื่องผู้หญิงของป๊ามาทั้งชีวิต พอมีอะไรมาสะกิดใจนิดเดียวก็เป็นเรื่อง คราวนี้คุณน่าจะนึกภาพออกว่ามันบันเทิงแค่ไหน จิตใจของท่านฝักใฝ่อยู่แต่กับเรื่องของป๊า”

                “ฉันก็ยังสงสัยว่าท่านโยงเข้ามาหาคุณได้ยังไง”

                “ง่ายจะตาย แม่ใหญ่ก็แค่งัดมุกเดิมออกมาใช้เรียกร้องความสนใจจากสามี เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมโตแล้ว ไม่มีอะไรเป็นตัวประกันแล้ว ท่านก็เลยต้องหาอาวุธใหม่ อย่างเช่น...ลูกสาวหรือลูกชายของผม”

                “เพราะแบบนี้คุณถึงไม่อยากมีลูก”

                “เราไม่ควรเอาชีวิตเด็กคนหนึ่งมาแก้ปัญหา และที่คุณเข้าใจน่ะถูกแล้ว ผมไม่อยากมีลูก ไม่เคยแม้แต่จะคิด”

                หญิงสาวนั่งอึ้งกับคำตอบชัดถ้อยชัดคำนั้น วสุวีต้องการความชัดเจนเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะการกระทำของอชิระเมื่อคืนรวมถึงเมื่อครู่ ก่อนที่พี่สาวเขาจะมาเคาะห้องมันสุ่มเสี่ยงไม่น้อย เธอรู้ว่าเขาป้องกันและระวังตัวเป็นอย่างดี แต่วิธีการนั้นมันอาจเกิดความผิดพลาดได้ เขาไม่พร้อม ตัวเธอยิ่งไม่พร้อมเข้าไปใหญ่ งานโรงแรมยังมีเรื่องต้องสะสางมากมาย ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาก็มีสถานะแค่คู่นอนที่ตกลงทำธุรกิจร่วมกัน ไม่มีที่ว่างสำหรับคำว่าลูก

                “ผมไม่อยากให้ลูกเป็นเหมือนตัวเอง รู้จักหน้าแม่แค่รูปภาพ นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเวลาแม่กอดจะรู้สึกยังไง”

                “ขอฉันกอดคุณแทนท่านนะคะ อาจจะไม่เหมือน แต่ฉันอยากทำมันให้คุณ”

                วสุวีชดเชยสิ่งที่ชายหนุ่มถวิลหาด้วยอ้อมกอดอบอุ่นจริงใจ รู้สึกโชคดีที่ตัวเองเคยมีอ้อมกอดของคนที่รัก พ่อแม่รักกันและพวกท่านถ่ายทอดความรักนั้นมาสู่เธอ การได้นั่งหัวเราะกับพวกท่านในเรื่องไร้สาระบ้าบอมันช่างแสนสุข 

                แม้เธอจะสูญเสียพ่อแม่ไปหมดแล้ว แต่อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ความหมายของคำว่าครอบครัวและฝันที่จะเป็นอย่างนั้นในสักวันหนึ่ง มีคนที่รัก มีครอบครัวที่อบอุ่น ทว่าอชิระไม่มีแม้แต่โอกาส ความเจ็บปวดทางใจของเขาส่งผลร้ายแรงไม่ต่างจากการถูกทุบตีทำร้ายร่างกาย

                “ไม่ควรมีเด็กคนไหนต้องเจอแบบผม” เขากอดตอบ ซึมซับความห่วงใยอยู่ในอ้อมแขนของเธอ

                “คุณเคยคิดอยากมีลูกบ้างไหมคะ เอ่อ...ฉันหมายถึงในอนาคต”

                “ก็อาจจะมีสักวัน คนเราเปลี่ยนแปลงความคิดได้ตลอดเวลา แต่ว่าตอนนี้ผมยังไม่คิด”

                “ฉันเชื่อว่าลูกจะช่วยเติมเต็มชีวิตคุณ ทำให้คุณอ่อนโยนเป็นคนละคน”

                “นั่นเป็นแค่การคาดเดาสาวน้อย ผมชื่นชอบความท้าทายก็จริง แต่ไม่คิดล้อเล่นกับโชคชะตา ชีวิตลูกไม่ใช่ของเดิมพัน ไม่ใช่เพื่อสนองความอบอุ่นที่ขาดหายไปในวัยเด็กของผม”

                “โธ่...คุณเสือ มันจะไม่เป็นแบบนั้นหรอกค่ะ” หญิงสาวกอดเขาแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

                เธอหวังแค่อยากช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น ไม่ว่าตอนเด็กอชิระจะเคยประสบพบเจอกับอะไร มันคงเจ็บปวดอ้างว้างเกินกว่าเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะรับไหว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นคนที่ยืดหยุ่นให้ชีวิตตัวเองพอสมควร เขาไม่ปิดกั้นโอกาส แค่อาจจะมีสักวันก็ถือว่าดีแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง

                วสุวีไม่ได้คิดหวังเพื่อตัวเอง เธอคงไม่ได้รับเกียรติขนาดนั้น ความสัมพันธ์ทางกายที่ดำเนินไปด้วยความลุ่มหลงจะจีรังยั่งยืนสักแค่ไหนกัน หญิงสาวเข้าใจที่อชิระยังปิดกั้นต่อการมีครอบครัวก็เพราะใจเขายังไม่พร้อม เธอเชื่อว่าสักวันเขาจะมีลูกที่น่ารัก มีภรรยาคู่ชีวิตที่ทำให้เขาลืมความปวดร้าวในอดีตและช่วยกันสร้างครอบครัวที่อบอุ่น

                แน่นอนผู้หญิงคนนั้นคงไม่ใช่เธอ วสุวีก็แค่ตัวหลอก แต่ไม่เป็นไร ขอแค่ให้เขาได้ค้นพบความสุขจากครอบครัวที่ตัวเขาเองเป็นคนสร้างขึ้นก็พอ

          หนุ่มสาวต่างตกอยู่ในภวังค์ ปล่อยความคิดให้จมดิ่ง สองร่างอิงแอบลูบไล้ปลอบโยนหัวใจที่อ่อนล้า การยอมรับอย่างตรงไปตรงมาของอชิระ ช่วยให้การตัดสินใจของวสุวีชัดเจนขึ้น เธออาจจะพิเศษกว่าคู่นอนคนอื่นของเขาก็จริง แต่คู่นอนก็คือคู่นอน 

                วสุวีไม่มีวันได้ครอบครัวอบอุ่นจากชายที่เธอกำลังกอดอยู่ตอนนี้ อชิระกระหายอยากมีเซ็กซ์กับเธอ ทว่าเขาไม่คิดผูกพันลึกซึ้ง เขาระมัดระวังตัวและใช้ถุงยางเสมอ ถึงจะมีหลายครั้งที่ไม่ได้ใช้ แต่กระนั้นเขาก็ยังป้องกันด้วยวิธีสุดคลาสสิกดั้งเดิม เขาทำมันได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เคยหลุดกรอบการควบคุมจนกระทั่งนาทีสุดท้ายที่แทบทะลักทลาย เขาก็ไม่เคยพลาด

                แต่การคุมกำเนิดแบบนั้นไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ วสุวีจึงต้องช่วยเขาอีกแรง เพราะหากพลาดพลั้งขึ้นมา ปัญหาจะไม่หยุดแค่เธอกับเขา ลูกจะรับเคราะห์จากความไม่พร้อมของพ่อกับแม่ไปเต็มๆ เธอยอมให้เกิดความผิดพลาดถึงขั้นนั้นไม่ได้

                วสุวีคงตัดใจทิ้งลูกไม่ลง ต่อให้คุณเดือนฉายเต็มใจเลี้ยงดูให้ แต่เธอไม่ยอมหรอก อย่าว่าแต่อชิระไม่อยากให้ลูกเป็นเหมือนตัวเองเลย เธอแค่ฟังเขาเล่าก็นึกไม่ชอบใจเหมือนกัน ลูกของเธอถึงแม้จะเกิดจากความผิดพลาด แต่เธอจะไม่ยอมให้ใครมาใช้ลูกเป็นเครื่องมือต่อรองอำนาจเด็ดขาด!

                “ฉันอยากฝังยาคุมกำเนิดค่ะ” วสุวีทำลายความเงียบ เมื่อตัดสินใจเด็ดขาด

          “เราน่าจะไปปรึกษาหมอก่อน มันจะอันตรายต่อคุณไหม คุณไม่จำเป็นต้องกังวล ผมไม่เคยพลาด”

                “ป้องกันให้ชัวร์ดีกว่าค่ะ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะพลาดไม่ได้ เราไม่พร้อมทั้งคู่”

          คนไม่อยากมีลูกดันไหล่หญิงสาวออกห่างพร้อมจ้องหน้าเธอ สายตาเขาคาดคั้นเอาเรื่อง ความจริงอชิระน่าจะดีใจที่เธอมีความคิดไปในแนวทางเดียวกัน แต่เขาไม่พอใจ ใช่! ไม่พอใจอย่างไร้เหตุผลเสียด้วย

                “คุณไม่ไว้ใจผมเหรอ”

                “ฉันไว้ใจคุณ แต่ไม่ไว้ใจโชคชะตา ตอนนี้เรายังควบคุมทุกอย่างได้”

                “ดูคุณเครียดเกินไปแล้วนะ ผมไม่ทำให้คุณท้องตอนนี้หรอก ถึงแม่ใหญ่อยากได้ลูกเสือจะแย่แล้วก็เถอะ เรื่องถุงยางหมดกับสดเมื่อสักพักนั่น มันเป็นอะไรที่เรียกว่ายั้งใจไม่อยู่ คุณคงไม่แฮปปีถ้าผมหยุดกลางคัน”

                “ช่วงหลังมานี้คุณก็ไม่ค่อยยั้งใจเลยนี่คะ และถ้าคุณหยุดเพื่อแกล้งให้ฉันคลั่ง ฉันเอาคุณตายแน่” หญิงสาวลดเสียงกระซิบขู่เขาอย่างขัดเขิน

                “ผมอยากโดนคุณเอาจนตาย” เสียงหัวเราะของเขาแหบพร่า สายตาที่มองเธอสื่อถึงความต้องการร้อนแรง อชิระก้มลงจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากช่างขู่คู่นั้น “เราไปจดทะเบียนสมรสกันนะ คุณจะได้เป็นเมียผมเต็มตัว เราสองคนจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้”

                “ดูเหมือนเราจะมีผลประโยชน์ร่วมกันตลอดเลยนะคะ”

                “แปลว่าตกลงใช่ไหม” เขาถามยิ้มๆ

                “มาถึงขั้นนี้ฉันคงใจดำปฏิเสธคุณไม่ได้ ยังไงซะเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”

                “คนสวยใจดี”

                “ไม่เหมือนใครบางคนหรอกค่ะ กว่าจะยอมช่วย ฉันต้องออกแรงขุนจนอิ่ม น่าแช่งให้ท้องแตกตาย” วสุวีอดจะแขวะเขาไม่ได้ ตอนหาเรื่องเขมือบเธอ อชิระก็พูดกล่อมแบบนี้แหละ “ฉันจะให้ทนายแยกบัญชีทรัพย์สินให้เรียบร้อย และจะไม่ก้าวก่ายเงินทองของคุณ”

                “แต่ตัวผมก่ายได้เต็มที่เลยนะ ผมชอบเวลาคุณซุกๆ เบียดๆ เหมือนลูกแมวขี้อ้อน เนื้อตัวคุณอุ่นนุ่มให้ผมนั่งลูบเล่นตลอดทั้งวันยังได้”

                “แค่ลูบเหรอคะ”

                “ลูบเฉยๆ ก็ไม่ใช่นายอชิระสิครับ” มือที่ลูบแผ่วๆ ออกแรงบีบหน้าอกหญิงสาว

                “คนบ้านี่” วสุวีตีอกเขาอย่างหมั่นไส้

                “ผมชอบตอนคุณบอกว่าออกแรงขุน กับคุณน่ะผมกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มหรอก เตรียมแรงไว้เยอะๆ เลย” อชิระหัวเราะ ก้มลงเคล้าจมูกกับพวงแก้มนุ่มจนทำเธอหัวเราะไปด้วย

                “บัญชีทรัพย์สินน่ะทำไว้ก็ดี ไม่ใช่ว่าผมหวงของหรอกนะ ตัวผมเองก็ไม่ค่อยมีสมบัติอะไรมากนัก เมื่อเทียบกับพี่น้องคนอื่น ต่อไปถ้าโดนแม่ใหญ่ตัดออกจากกองมรดกผมก็ยังเกาะเมียกินได้”

          “เกาะเมียคนไหนคะ ฉันจำได้ คุณเคยบอกว่าเยอะจนนิ้วไม่พอนับ” 

                “ตอนนี้มีเมียคนเดียว กำลังจะผลักดันให้เป็นเมียถูกกฎหมาย”

                “ฉันไม่ใช่ต้นกัญชงกัญชานะคะ” วสุวีค้อนขวับ หมั่นไส้จนอยากฟาดสักตุ้บ “เห็นทีฉันต้องประเมินสถานการณ์ของคุณกับบ้านใหญ่อย่างใกล้ชิดซะแล้ว เห็นท่าไม่ดีคงต้องรีบร่อนใบหย่า นอกจากโรงแรมใกล้เจ๊งฉันก็ไม่เหลือสมบัติมากพอให้คุณเกาะกินหรอกค่ะ”

                “เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ถึงฐานะผมจะง่อนแง่น แต่พลังเอวยังเร็วแรงไม่ตกนะครับ”

                “ฉันไม่ได้ตะกละเหมือนคุณ อย่าเอาเรื่องอย่างว่ามาล่อซะให้ยาก” เธอจิ้มอกเขาแรงๆ อย่างมันเขี้ยว

                “ว้า...อุตส่าห์ทุ่มแรงกายไปตั้งหลายกระบวนท่ายังไม่ได้ใจคุณมาอีก แล้วที่ครางหวานๆ นั่นคืออะไร”

                “อ๋อ ฉันเห็นคุณตั้งหน้าตั้งตาทำขนาดนั้น ให้นอนผิวปากเล่นก็กลัวคุณจะหมดอารมณ์” หญิงสาวแกล้งว่า ใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้มของอชิระเจื่อนลงจนกลายเป็นบูดสนิท

                “ทั้งหมดนั่นการแสดงเหรอ”

                วสุวีลอยหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นจึงจับไหล่เธอกดจนหงายหลังลงบนโซฟา ตรึงมือทั้งสองข้างเหนือศีรษะ ใช้ร่างแกร่งทาบทับจนกระดิกตัวไม่ได้

                “คุณเสือไม่เล่นนะคะ” เธอส่งเสียงดุ แต่มีหรืออีกฝ่ายจะกลัว ตอนนี้อชิระท่าทางหัวเสียซะเหลือเกิน

                “บอกมาวสุวี คุณมีความสุขหรือเปล่า ไม่งั้นผมจะกินคุณตรงนี้”

                “ไม่กลัวพี่น้องคุณโผล่มาเห็นเหรอคะ”

          “อ้อ...ผมจะถือว่านี่เป็นคำท้านะสาวน้อย”

                “มันน่าอายนะคะคุณเสือ”

                “น่าอายตรงไหน คุณกำลังจะเป็นเมียที่ถูกต้องของผม เรากินกันได้ทุกที่นั่นแหละ”

                “เรากำลังคุยเรื่องซีเรียสกันอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”

                “ผมซีเรียสเรื่องนี้ที่สุด” อชิระตอบกลับมาหน้าตาย

                “คุณเสือ!”

                “ตอบมามีความสุขหรือเปล่า”

                “จะคาดคั้นกันให้ได้ใช่ไหมคะ” หญิงสาวนึกอ่อนใจ เธอจะคุยอะไรที่มันเป็นการเป็นงานบ้าง เขาก็ชวนวนอยู่แต่บนเตียงนั่นละ คนบ้าอะไรอย่างนี้ นี่ใจคอจะไม่ให้เธอพักบ้างรึไง ไปขนเรี่ยวแรงมาจากไหนกัน

                “ว่าไงล่ะ มีความสุขไหม” เขาโน้มหน้าลงมาใกล้ หัวใจของวสุวีเต้นแรงขึ้นจนคิดว่าเขาที่นอนทับอยู่ข้างบนก็คงรู้สึก

                “มีค่ะ” เธอยอมรับพลางเอานิ้วชี้แตะปากเขาอย่างเฉียดฉิวก่อนที่จะถูกจูบ ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะผิวหน้าพาให้หวั่นไหว แก้มสาวแดงปลั่ง ขณะยิ้มออดอ้อน “ฉันแค่แกล้งล้อคุณเล่น ทำโมโหไปได้ ลุกขึ้นนั่งดีๆ ค่ะ”

                “หัวใจคุณเต้นแรงจัง คิดอะไรอยู่สารภาพมา”

                “คุณทับฉันแบบนี้จะคิดเรื่องอื่นได้ไงล่ะ” เธอหลบตาขวยเขิน ถูกใจชายหนุ่มจนไม่อาจเก็บซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เอาไว้ได้

                “แย่หน่อยนะ ผมไม่เชื่อคำพูดคุณจนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยการกระทำ”

                “คุณเสือ!”

                “ครับผม” อชิระขานรับ นัยน์ตาใสซื่อ กดสะโพกขึงขังส่ายวนกับเนินสาว ริมฝีปากเหยียดออกไปเป็นรอยยิ้ม คิ้วเข้มยกขึ้นท้าทายเต็มไปด้วยแผนการร้ายกาจ ถึงขั้นนี้เรื่องอะไรเขาจะยอมถอยง่ายๆ เนื้อเข้าปากเสือให้คายก็โง่ตายชัก

                วสุวีคงจะซึมซับความเจ้าเล่ห์จากเขาไปไม่น้อย เธอเอาตัวรอดด้วยการยื่นหน้าขึ้นจุ๊บแก้มสาก อาศัยจังหวะที่เขาเผลอพลิกกายขึ้นด้านบนแล้วอ้อนเสียงอ่อนหวาน

                “คุยกันให้รู้เรื่องก่อนค่ะ เสร็จแล้วฉัน...เอ่อ ยินดีให้คุณพิสูจน์จนกว่าจะพอใจ”

                “แน่ใจนะ” อชิระตาวาว หัวใจเต้นแรงโลดแทบกระเด็นออกมานอกอก พอหญิงสาวพยักหน้าเขินๆ ถอยร่างลงจากกาย ชายหนุ่มก็ยอมลุกขึ้นนั่ง รั้งร่างเธอมากอด 

                “เรื่องทะเบียนสมรสฉันอยากให้เราชัดเจนค่ะ หมายถึงขอบเขตเวลาและความสัมพันธ์”

                “คุณยังต้องการความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกว่านี้อีกเหรอเนี่ย” อชิระถามเสียงกลั้วหัวเราะ ยกร่างเธอขึ้นมานั่งบนตักขยับบางส่วนของร่างกายที่กำลังเรียกร้องอยากจะมีความสัมพันธ์ชัดเจนกับเธออีกครั้งให้แนบชิด “ผมละชอบความคิดนี้ของคุณจริงๆ”

                “คุณเสืออย่าชวนออกนอกเรื่องสิคะ” เธอตีอกเขา ใบหน้าแดงก่ำ “เราต้องการเวลาที่แน่ชัด สักวันคุณจะเจอใครที่ถูกใจจริงๆ”

                “ตอนนี้ผมก็ถูกใจคุณ ถูกใจมากขึ้นเรื่อยๆ อืม...”

                เสียงเขาเริ่มแตกพร่า จากจูบเล่นๆ ก็ชักจะหนักหน่วงจริงจังมากขึ้น ปากเขาบดเคล้าหนักหน่วง เกี่ยวลิ้นพัวพันยั่วเย้า พอหญิงสาวจะเคลิ้มๆ เขาก็ถอนจูบรวดเร็วไม่บอกกล่าว

                “ถึงเวลาพิสูจน์ความสัมพันธ์กันแล้วละ”

                “เราคุยกันจบแล้วเหรอคะ” นัยน์ตาวสุวีขุ่นมัวด้วยความปรารถนา มองเขาอย่างมึนงง เพราะตอนนี้ในหัวเธอโล่งจนลืมไปหมดว่าคุยค้างถึงตรงไหน แต่อชิระก็รู้ใจรีบพูดตัดบทให้

                “จบแล้วคนสวย คุณขอผมแต่งงานและผมก็ตอบตกลง ถึงจะยอมคุณง่ายไปหน่อยทั้งที่ต้องเล่นตัวโก่งราคาสักนิด แต่เอาเถอะ เห็นแก่ความตั้งใจที่จะเลี้ยงดูผมเป็นอย่างดี ผมยอมรับเงื่อนไขนี้โดยไม่มีเกี่ยงงอน” 

                อชิระพูดจบก็รวบร่างในวงแขนอุ้มกลับเข้าห้อง

                “คุณเสือ!” วสุวีตกใจ รีบสอดแขนโอบรอบลำคอเขาเพื่อยึดเอาไว้เป็นหลัก ใจร่ำร่ำอยากจะแย้งว่าเขาต่างหากที่ชวนเธอจดทะเบียนก่อนแล้วมาโมเมว่าเธอเป็นฝ่ายขอ

          “แล้วตอนหย่าล่ะคะ”

                “ถ้าคุณตัดใจจากพลังเอวไวของผมได้เมื่อไหร่ก็หย่ากับผมได้เลยทูนหัว” อชิระโยนเธอลงบนเตียงแล้วถอดเสื้อคลุมออกจากตัว เขายืนเปลือยเปล่าอวดกล้ามเนื้องดงามดั่งรูปสลัก หญิงสาวคอแห้งผากเมื่อสายตาเลื่อนต่ำปะทะความเป็นชายที่กำลังเรียกร้อง

                อึดใจต่อมาเสื้อคลุมของวสุวีก็ถูกชายหนุ่มถอดออก มันร่วงตกลงใกล้ๆ กับเสื้อของอชิระที่ข้างเตียง เขาเริ่มลงมือฟ้อนเฟ้นเรือนร่างอรชรเหมือนทนรอต่อไปไม่ไหว

          “คุณเสือเบาๆ ค่ะ” เธอประท้วงเมื่อเขาแกล้งใช้ฟันกัดยอดอก วสุวีสะดุ้งเฮือกเมื่อความหฤหรรษ์แผ่ซ่านพุ่งจี๊ดไปทั่วร่าง

                ถ้าจะมีสักเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกว่าอาจจะเบื่ออชิระก็คงเป็นเรื่องความต้องการที่ไม่มีวันจบสิ้นของเขา แต่ในความเป็นจริง ยิ่งเขาลุ่มหลง เธอก็ยิ่งปลาบปลื้มยินดี การเป็นที่โปรดปรานทำให้เธอมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองมากขึ้น 

                สรุปแล้ววสุวีคงยังไม่เบื่อเขาง่ายๆ ร่างกายของเธอเป็นพยานยืนยันเรื่องนี้ได้ดี แค่ถูกเขาลูบไล้ เธอก็ละลายเหมือนเทียนที่โดนไฟลน มันรุ่มร้อนตอบสนอง อยากให้เขาตอกย้ำตีตราแสดงความเป็นเจ้าของ

                “คุณเสือ” วสุวีสูดปากเสียวซ่าน สมองขาวโพลนคิดอะไรต่อไม่ได้ ความเป็นชายเบียดแทรกล่วงล้ำเข้ามา ทำเธอสั่นพร่าแยกต้นขาเปิดออกเพื่อรับเขาไว้ กลีบเนื้ออ่อนไหวคลี่ขยายโอบรัด หยัดสะโพกขึ้นตามจังหวะที่ถูกชักนำ

                “ผมเป็นของคุณ”

                เขากระซิบตอกย้ำ อึดใจต่อมาอชิระก็พลิกตัวจับร่างเธอขึ้นด้านบน วสุวีหัวใจเต้นรัว เข่าทั้งสองเปิดกว้างเมื่อต้องนั่งคร่อมอยู่ตรงกลางร่างเขา อชิระยกสะโพกงามขึ้นเหนือท่อนเนื้อแข็งขึง ก่อนดึงเธอให้ทิ้งตัวจมดิ่งกลืนกินเขา เสียงหวานครางหวิว ขณะที่กายสาวบีบรัดเขาอย่างวาบหวามใจ

                “ขึ้นหลังเสือแล้วมันลงยาก” เขาอัดสะโพกขึ้นหาเธออย่างร้อนแรง “แต่ขี่เสือแบบนี้คุณจะร่วงลงมาอย่างมีความสุข”

                “คุณเสือ ฉัน...”

                วสุวีสั่นระริกเหนือกายแกร่ง มือทั้งสองยันอกกว้าง โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย เมื่อจัดสมดุลร่างกายเรียบร้อยก็เริ่มควบขับเขาอย่างเร้าใจ เรือนร่างงดงามโยกขย่มขึ้นลงเป็นจังหวะเชื่องช้าลังเลในตอนแรกและเร่งเร้าในเวลาต่อมา

                หญิงสาวเรียนรู้ที่จะสร้างความสุขให้ตัวเองและชายหนุ่ม สองเสียงครวญครางสั่นพร่า แววตาอชิระเร่าร้อนดั่งไฟแผดเผา ขณะที่หญิงสาวยังกดสะโพกลงมาอย่างหนักหน่วงเร็วแรง ความเสียวซ่านพลุ่งพล่านเหมือนเกลียวคลื่น รุนแรงคลุ้มคลั่งจนกระทั่งวสุวีกระแทกสะโพกลงมาครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยให้คลื่นความสุขถาโถมซัดสาด ต้นขาอวบบีบรัดลำตัวเขาแน่น ใบหน้างามแหงนเชิด หวีดร้องออกมา

                อชิระรั้งเอวหญิงสาวเข้ามาชิด พาเธอพุ่งทะยานสู่จุดสุดยอด ไม่อาจตัดใจถอดถอน ธารรักอุ่นซ่านฉีดพล่านในกายเธอ มือใหญ่เกร็งบีบบั้นท้ายนุ่มระบายความเสียว ร่างเปลือยชื้นเหงื่อสั่นกระตุกรุนแรง

                วสุวีเอนกายซบอกกว้างอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง มีเพียงเสียงหอบจากสองร่างที่ก่ายเกยกันเป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ อชิระจูบศีรษะหญิงสาวบอกพึมพำทั้งที่ยังหลับตา

                “สงสัยเราคงต้องรีบไปจดทะเบียนกันแล้วละ”

                หลังจากหักโหมโรมรันกันจนหมดแรง หนุ่มสาวลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าคงต้องพักยกหาอาหารประทังชีวิต ขืนขลุกอยู่แต่ในห้องก็คงไม่มีแก่ใจจะทำอะไรนอกจากเรื่องนั้น อชิระมุ่งมั่นแรงกล้าในขณะที่วสุวีก็พร้อมคล้อยตามตลอดเวลา ไม่มีใครห้ามใคร สุดท้ายก็จบด้วยความสุขสันต์และเหงื่อโซมกาย แต่ร่างกายคนเรานั้นมีขีดจำกัด เมื่อความหิวโหยเรียกร้องก็ต้องลงจากเตียงเพื่อหาเสบียงใส่ท้องบ้าง

                อชิระกับวสุวีควงแขนกันเดินย่อยอาหารดูของตามร้านต่างๆ ทั้งคู่เพิ่งออกมาจากร้านขนมหวานที่หญิงสาวอ้อนให้เขาพาไปกิน อชิระไม่ค่อยชอบของหวาน แต่การนั่งมองวสุวีมีความสุขกับบิงซูของเธอก็ทำให้เขาเพลิดเพลินไม่น้อย พอได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็เหมือนต่างฝ่ายต่างเริ่มสังเกตสิ่งที่ชอบและไม่ชอบของกันและกัน

                เวลาในแต่ละวันของอชิระถูกใช้ไปกับงานและวสุวี น่าแปลกที่เขายังไม่มีความรู้สึกเบื่อหน่าย ก็ไม่รู้ว่านี่ถือเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แต่ตราบใดที่ยังมีความสุข เขาก็จะเหมาว่าเป็นเรื่องดีแล้วกัน

                วันเวลาทำให้อชิระตาสว่างขึ้น แม่สาวขี้เมาเย้ายวนจนอารมณ์หนุ่มตื่นเตลิดเมื่อคืนแรกคือของปลอม เขาโดนวสุวีย้อมแมวขายซะแล้ว ตอนแรกก็ย่ามใจหวานปากนึกว่าเจอนางแมวยั่วสวาท ที่ไหนได้ล่ะเธอช่างไร้เดียงสาจนน่าขบขัน แต่เดี๋ยวนี้จะสบประมาทวสุวีไม่ได้แล้วนะ เธอเก่งกล้าจนทำเขาหัวหมุนหลุดกรอบการควบคุมตนเองหลายครั้งหลายครา นับเป็นความสัมพันธ์ที่จวนเจียนเข้าใกล้จุดอันตรายขึ้นทุกขณะ ข้อเตือนใจอย่างแรกก็คือ เขาต้องซื้อถุงยางสำรองไว้เยอะๆ 

                อชิระสรุปกับตัวเองขำๆ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยแผนการสัปดนผุดพรายในหน้า

                “ยิ้มแบบนี้หมายความว่าไงคะ” วสุวีหันมาเห็นพอดีจึงเอ่ยถาม

                “แค่คิดเรื่องตลกนิดหน่อยน่ะ” ชายหนุ่มรีบกลบเกลื่อนด้วยการเปลี่ยนเรื่อง “อืม...จริงสิ ใกล้วันเกิดแม่ใหญ่แล้ว เราไปหาของขวัญให้ท่านดีไหม”

                “ปีที่ผ่านมาคุณให้อะไรคะ ท่านชอบของอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม”

                “ที่เคยให้ก็หลายอย่าง เครื่องเพชร ภาพวาด กระเป๋า น้ำหอมอะไรพวกนี้ แต่ละปีไม่ซ้ำกัน ปีนี้ว่าจะเล่นใหญ่หน่อย”

          “ใหญ่เท่าไหนคะ”

                “เท่าลูกสะใภ้หนึ่งคนนี้” อชิระยิ้มเอ็นดู ขณะว่าที่สะใภ้ของคุณเดือนฉายหัวเราะขบขัน

                “แหม เล่นใหญ่จริงด้วย”

                “คุณมีไอเดียของขวัญวันเกิดให้แม่สามีบ้างไหม” เขาถามความเห็น

                “ฉันไม่รู้จักแม่ใหญ่ของคุณ แต่ฉันรู้จักแม่ฉันดี คนวัยนี้น่าจะต้องให้อะไรที่มีคุณค่าไม่ตกเทรนด์ อย่างเช่น...เครื่องเพชร คุณคิดว่าเป็นไงคะ” เธอชี้ไปที่ร้านเพชรชื่อดัง

                ชายหนุ่มมองตามแล้วยิ้มกว้าง “เข้าท่าดีเหมือนกัน งั้นเราไปกันเถอะ ผมรู้จักกับเจ้าของร้านดี งานนี้ต้องมีต่อราคากันยาวเลย”

                “ระดับคุณเสือยังต้องต่อราคาอีกเหรอคะ”

                “ก็เพราะเป็นคุณเสือนี่แหละค่ะ ต้องต่อราคาให้หนักเลย” ชายหนุ่มแกล้งล้อเลียนเสียงเธอ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในร้าน

                แล้วชายหนุ่มก็รู้ซึ้งกับคำกล่าวที่ว่า ผู้หญิงกับเครื่องประดับเป็นของคู่กัน ไม่เกินจริงเลย เขาค้นพบความสนใจอีกอย่างหนึ่งของวสุวี นอกจากต้นไม้กับของหวาน ก็เห็นจะเป็นเครื่องเพชรนี่ละ นัยน์ตาเธอเป็นประกายแวววาว ไม่ใช่เกิดจากความอยากได้ แต่เป็นเพราะตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอสิ่งที่ชอบ

                “ฉันเคยมาร้านนี้กับแม่ด้วยนะคะ”

                เธอเล่าอย่างร่าเริง เขาไม่แปลกใจเลยที่คุณวิจะหวงลูกสาว ก็เธอน่ารักขนาดนี้จะไม่หวงยังไงไหว “แล้วคุณรู้จักเจ้าของร้านไหม เผื่อจะได้ช่วยกันต่อราคา”

                “ไม่ค่ะ แต่แม่ฉันน่าจะรู้จัก”

                อชิระพยักหน้า ก่อนผายมือเชื้อเชิญ “คุณเลือกได้เต็มที่เลยนะ เดี๋ยวผมนั่งรอแถวนี้”

                ชายหนุ่มบอกแล้วก็แยกตัวเดินโฉบไปอีกทาง ดวงตาคมกวาดมองเครื่องประดับที่ส่องประกายล้อเล่นกับแสง ก่อนจะไปสะดุดตากับถาดแหวนเรียงราย ดีไซน์สวยงามทันสมัย ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาจนทำให้ต้องหันไปมองหาคนที่มาด้วย แต่วสุวีไม่ว่างแล้ว เธอกำลังสอบถามพนักงานของร้านอย่างจริงจัง ไม่สนใจเขาเลย 

                เห็นเพชรละลืมผัวเลย ให้มันได้อย่างนี้สินะ 

                รอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าหล่อเหลา ดูเหมือนเขาจะถูกเพชรเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ในร้านนี้ขโมยตัววสุวีไปเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มส่ายหน้า ถอนสายตากลับมาแล้วชี้นิ้วไปที่แหวนวงหนึ่ง

                “ขอดูหน่อยครับ”

          วสุวีเพิ่งนึกขึ้นได้หลังจากใช้เวลาชื่นชมความงามของเครื่องเพชรไปเกือบยี่สิบนาทีเต็ม หญิงสาวรีบมองหาอชิระ เขากำลังนั่งเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์เล่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นเปิดยิ้มกว้างเหมือนรู้ว่าเธอกำลังมองอยู่ ไม่มีท่าทีหงุดหงิดรำคาญใจหลุดออกมาให้เห็น เธอจึงรีบยิ้มหวานตอบกลับไป

                ผู้ชายบางคนไม่ชอบรออะไรนานๆ แค่สิบนาทีก็ชักสีหน้าแล้ว โชคดีที่อชิระไม่ใช่คนประเภทนั้น ท่าทางเขาสบายๆ เหมือนนั่งรอเธอได้ทั้งวัน บางครั้งก็ผงกศีรษะตอบรับพนักงานที่ผ่านไปทักทาย ดูเขาจะสนิทกับร้านนี้มากทีเดียว ก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจเคยแวะมาอุดหนุนบ่อยๆ จนคุ้นหน้า หรือไม่ก็หลอกล่อพาเหยื่อสาวมาซื้อเพชรจนกลายเป็นลูกค้าประจำ 

                ยิ่งคิดมากเท่าไรวสุวีก็สัมผัสได้ถึงกระแสความไม่พอใจที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ เอ้า! แล้วเธอจะเคืองเขาทำไมเนี่ย

                หญิงสาวดึงความคิดกลับมา หน้าที่เธอคือเลือกของขวัญให้ถูกใจคุณเดือนฉาย ส่วนอชิระจะเคยสรรหาเพชรเม็ดงามประดับกายสาวคนไหน มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ!

                “ขอดูชุดนั้นด้วยค่ะ” 

                จะด้วยความหมั่นไส้หรืออะไรก็แล้วแต่ วสุวีบรรจงชี้นิ้วไปที่เครื่องเพชรชุดใหญ่ส่องประกายระยิบระยับล่อตา ราคาของมันอย่างน้อยก็ต้องระดับแปดหลัก เลอค่าคู่ควรกับคุณเดือนฉาย เอาเถอะแค่นี้ขนหน้าแข้งคุณเสือไม่ร่วงหรอก

                พนักงานหยิบเครื่องเพชรชุดนั้นไปวางรวมกับอีกสี่ชุดที่เธอเลือกไว้ก่อนหน้า วสุวีเรียกอชิระ เขาลุกขึ้นเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินเข้ามาโอบเอวถามอย่างสนิทสนม

                “ได้ที่ถูกใจแล้วเหรอ”

                “ฉันยกหน้าที่ตัดสินใจให้คุณค่ะ ลองเลือกดูว่าชอบชุดไหนมากที่สุด” หญิงสาวบุ้ยใบ้ไปยังเครื่องเพชรแต่ละชุดที่วางเรียงกัน 

อชิระกวาดตามองผ่านๆ แล้วใช้เวลาประมาณสามวินาทีในการตัดสินใจ

                “เอาไปทั้งห้าชุดนี่แหละ อ้อ แล้วก็มีของที่ผมเลือกไว้ด้วยนะครับ อย่าลืม” ชายหนุ่มกำชับกับผู้จัดการร้านที่ยิ้มหน้าบานอยู่ไม่ห่าง

                “คุณเสืออุดหนุนจัดหนักขนาดนี้ คุณนกต้องปลื้มแน่”

                คุณนก ชื่อผู้หญิงนี่ ใบหูของวสุวีเหมือนกางออกกว้างกว่าปกติ

                “คุณผู้หญิงสนใจจะเลือกเพิ่มอีกไหมครับ” ผู้จัดการร้านเอ่ยถามเธอด้วยรอยยิ้ม

                “พอแล้วละค่ะ ขืนฉันเลือกต่อ คุณเสือต้องหมดตัวแน่”

          “แหม ไม่หมดหรอกครับ อุดหนุนคุณนกยังไงเงินทองก็ไม่รั่วไหล”

            คุณนกอีกแล้ว

                อชิระหัวเราะ แววตาเขาดูอ่อนโยนลงเหมือนหนุ่มขี้เล่นตอนที่บอกว่า “ช่วยคุณนกทำยอดเผื่อไว้ เวลาโดนลอยแพจะได้มาขออาศัยกู้เงินเขาใช้บ้าง”

                “โธ่...ใครจะกล้าลอยแพคุณเสือครับ”

                “ผมก็ไม่ได้น่ารักน่าเลี้ยงสักเท่าไหร่หรอกนะ คุณผู้หญิง ของคุณคนนี้ก็หนึ่งแล้ว กว่าจะให้ผมได้กินแต่ละมื้อต้องกล่อมกันนานเลย” คำพูดกินนัยของชายหนุ่มทำให้คุณผู้หญิงขึงตาดุใส่ทั้งที่สองแก้มแดงระเรื่อ

                “ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะย่ะ” 

                มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังแทรกเข้ามา

                วสุวีเห็นหญิงสาวสวยเฉี่ยวพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม ทั้งหน้าตาและท่าทางก้าวเดินสวยสง่ายากจะหาใครข่ม ผู้หญิงคนนั้นมาหยุดยืนตรงหน้าอชิระ แล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างรู้ทัน

                “หน้าตาแกไม่เหมือนคนอดอยากเลยนะเสือ”

                “แหม...ก็อดบ้างอิ่มบ้างตามประสาครับ”

                เจ้าหล่อนแค่นเสียงหมั่นไส้ เหลือบมองไปทางวสุวีราวกับจะถามว่าใคร อชิระขยับตัวยืนตรง กระแอมเสียงอย่างเป็นพิธีการ ก่อนจะผายมือไปทางหญิงสาวคนนั้น

                “ผมขอแนะนำให้รู้จักกับคุณอนงค์รตี วรปัทม์ เจ้าของร้านเพชรแห่งนี้ แล้วอีกตำแหน่งที่สำคัญมากๆ นั่นก็คือพี่สาวคนรองของผม” 

                “สวัสดีค่ะ” คนอ่อนวัยกว่ารีบยกมือไหว้ทักทาย 

                แล้วอชิระก็แนะนำเธอกับพี่สาวเขาว่า “คนนี้น้องวีแฟนผมครับ”

          ตกลงจะจดทะเบียนสมรสกันแล้วก็ต้องนับเป็นแฟนละนะ พอจดทะเบียนเรียบร้อยเมื่อไรเขาถึงใช้คำว่าเมียได้เต็มปากเต็มคำ

                “แฟนเหรอ” อนงค์รตีถาม หลังจากเพิ่งรับไหว้แฟนน้องชายไปหมาดๆ ขยับเข้าไปจ้องหน้าหญิงสาวใกล้ๆ 

                วสุวีบังคับตัวเองให้ยืนนิ่งๆ ปล่อยให้พี่สาวของเขาสำรวจจนพอใจ แล้วอนงค์รตีก็เบนเป้ากลับไปเล่นงานน้องชายต่อ 

                “นี่แกไปหลอกเด็กที่ไหนมาน่ะเสือ แล้วที่ฉันได้ข่าวว่าไปซื้อโรงแรมคุณวินั่นยังไงกัน เจ้าของโรงแรมเขาไม่เล่นกับแกเหรอถึงมาลงเอยกับน้องคนนี้”

          อชิระยักไหล่ บอกพี่ยิ้มๆ “ไม่เล่นละพี่ เอาจริงเลย อ้อ...อีกอย่างนะ วีเขาก็ไม่เด็กแล้ว”

                “เนี่ยนะไม่เด็ก หน้ายังอ่อนอยู่เลย เดินมากับแกถ้าบอกว่าเป็นหลานฉันก็เชื่อนะ” อนงค์รตีพยักหน้าถามแฟนน้องชาย “อายุเท่าไรแล้วคะ”

                “ยี่สิบสองค่ะ”

                “ว่าแล้วไหมล่ะ แกแก่กว่าน้องเขาเป็นรอบ ไม่เรียกว่าหลอกเด็กแล้วจะเรียกว่าอะไร”

                “ทำไมพี่นกไม่คิดบ้างว่าผมจะโดนเด็กหลอก”

                “หือ...” คำตอบนั้นทำเอาอนงค์รตีครางในลำคอ สายตาพุ่งตรงไปที่เด็กของอชิระ แล้วส่ายหน้าพูดกับน้อง “ฉันรู้จักแกมาทั้งชีวิตนะเสือ หน้าแบบนี้ถ้าหลอกแกได้ก็หมายความว่าแกเต็มใจยอมให้เขาหลอก ดีไม่ดีแกวางแผนตลบหลังเขาเอาไว้ในใจแล้วด้วย”

          วสุวีก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม ถ้าฉลาดน้อยกว่านี้คงเป็นพี่สาวอชิระไม่ได้ เขาตลบหลังเธอจริงๆ นั่นละ วสุวีชักจะชอบพี่สาวคนนี้ของเขาซะแล้วสิ เป็นคนที่มีสายตาเฉียบคมมาก แค่มองปราดเดียวก็คาดเดาได้หมด

                “แหม...ถ้าจะไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้ เลิกคุยดีกว่า” อชิระคว้ามือวสุวีลากหนีพี่สาวดื้อๆ ปากยังไม่ลืมร้องสั่งคุณผู้จัดการร้าน “ช่วยส่งของทั้งหมดไปให้ด้วยนะครับ”

                “เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อนสิเสือ แกจะรีบหนีไปไหน ฉันเพิ่งถามได้แค่หน่อยเดียวเอง”

                “ขืนอยู่ต่อก็โดนซักตายสิครับ ไปละนะ” ชายหนุ่มเดินลิ่ว ไม่ยอมเหลียวหลัง 

                “ฉันยังไม่รู้เรื่องเลย เสือ ไอ้เสือ!” อนงค์รตีเท้าสะเอวยืนเรียกน้องชายเสียงดังลั่น อชิระโบกมือให้ทั้งที่ยังหันหลัง เสียงหัวเราะชอบใจดังข้ามไหล่มา คนเป็นพี่จุ๊ปากทั้งขัดใจและหมั่นไส้ 

                “แกคิดว่าจะหนีพ้นเหรอ”

                “ไม่พ้น แต่อยากหนี ไว้จะแวะมาหาใหม่นะพี่” 

                อนงค์รตีส่ายหน้า จับตามองน้องชายกับแฟนสาวอย่างสนใจ...น่าสนใจจริงๆ

                ขณะที่หนุ่มสาวเผ่นแน่บออกห่างมาได้ระยะหนึ่ง อชิระก็ลดความเร็วลงเปลี่ยนมาเดินทอดน่อง วสุวีจึงพอได้พัก หลังจากที่ต้องสับขาเดินตามเขา

          “พี่สาวคุณพูดถูกนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น

                “พี่นกต้องถูกเสมอแหละ” 

                “คุณตลบหลังฉัน”

                “อ้าว ไหงงั้นล่ะคุณ ผมไปตลบหลังคุณตอนไหน ถ้าตลบผ้าก็ว่าไปอย่าง” ชายหนุ่มเอียงตัวมาบอกยิ้มๆ ดวงตาพราวระยับ

                “ที่เห็นๆ เรื่องสัญญาเลี้ยงเสือนี่ละหนึ่ง” คนต้องเลี้ยงเสือต่อว่า เดือดร้อนอชิระต้องรีบหาข้อหักล้างมาโต้กลับ

                “แลกกับการแย่งโรงแรมคืนมาให้คุณไง ตลบหลังตรงไหนไม่ทราบ”

                “คุณปฏิเสธฉัน แล้วก็มาหลอกล่อให้เลี้ยงเสือทีหลัง ฉันจำแม่นนะคะ เรื่องจดทะเบียนก็เหมือนกัน ตอนแรกคุณเล่นแง่จะไม่ยอมจด สุดท้ายก็ต้องพึ่งฉันให้ช่วยรับมือกับแม่ใหญ่” วสุวียิ้มกริ่ม รู้สึกถึงชัยชนะเล็กๆ ในกำมือ แต่อชิระไม่ยอมถอดใจ เขาย้อนกลับมาด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม

                “อันนี้ถือเป็นโพรโมชันเสริมให้ผมแล้วกัน รู้ไหมว่าผมน่ะเตรียมเก็บกวาดเศษซากที่ไม่จำเป็นต่อโรงแรมคุณออกไปให้หมด แลกกับลายเซ็นคุณในทะเบียนสมรส”

          การหยอกล้อโต้ตอบหยุดชะงักทันที วสุวีมองชายหนุ่มอย่างสงสัย เก็บกวาดเศษซาก ทำไมฟังแล้วรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ ก็ไม่รู้

                “คุณคิดจะทำอะไรคะ แล้วเศษซากที่ว่านี่หมายถึงใครกัน”

                “ก็พวกพนักงานหรือผู้บริหารบางคนที่เข็นไม่ขึ้น โรงแรมคุณน่ะต้องปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ถ่ายเลือดใหม่ไปแทนของเสีย ไหนๆ ผมก็มีอำนาจแล้วในมือ ถือโอกาสนี้จัดวางรากฐานใหม่ไว้ให้คุณทำงานต่อได้เลยไม่ดีเหรอ คนไหนที่ยังพอใช้ได้ก็เก็บไว้ใช้ คนไหนเกินเยียวยาก็แค่กำจัดทิ้งไปซะแล้วหาคนใหม่มาทำแทน”

          “ความจริงจังของคุณทำให้ฉันแปลกใจนะคะ”

                เป็นเรื่องใหญ่ที่วสุวีไม่คิดว่าเธอเองจะทำได้ อย่าว่าแต่โยกย้ายใครเลย ขนาดเธอเป็นเจ้าของโรงแรมแท้ๆ ยังถูกพวกนั้นรุมบีบจนเกือบไม่มีที่ยืน เธอไม่คิดว่าอชิระจะใส่ใจมากถึงเพียงนี้ แค่เขายอมช่วยก็นับว่าดีมากแล้ว

          “ทั้งที่คุณไม่จำเป็นต้องเหนื่อยถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังอุตส่าห์คิดถึงฉัน ขอบคุณนะคะ” ความซาบซึ้งของเธอถูกชายหนุ่มเบรกด้วยคำว่า

                “เห็นไหมล่ะ ผมทุ่มเทหยาดเหงื่อเพื่อคุณขนาดไหน กลับถึงห้องต้องเสิร์ฟมื้อใหญ่เป็นโบนัสให้ผมแล้วนะ จะได้มีกำลังใจทำงาน”

                “เฮ้อ...” เธอถอนใจอย่างไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ

          “อย่าทำเสียงไม่สู้อย่างนั้นสิ ผมใจคอไม่ดีรู้ไหม ไม่ต้องมื้อใหญ่ก็ได้ แต่ยังไงอย่าให้เสืออดนะครับ”

                “ฉันจะจับคุณไปบำบัดที่วัดไหนดีนะ” 

                อชิระหัวเราะร่วน ท่อนแขนล่ำสันยกขึ้นโอบไหล่หญิงสาว น้ำเสียงเขามั่นคงหนักแน่นขึ้น

                “ผมรู้ว่าคุณซาบซึ้งใจ ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ คุณกำลังจะกลายเป็นเมียผมเต็มตัวแล้ว ไม่ช่วยเมียจะให้ช่วยแมวที่ไหน ผมอยากให้คุณสบายใจไม่ต้องห่วง เรื่องโรงแรมคุณอาจทำตามใจไม่ได้เนื่องจากติดขัดเหตุผลหลายอย่าง แต่ผมไม่ติดอะไร แค่คุณเชื่อใจแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย แม่คุณบนสวรรค์คงยิ้มหน้าบานเลยเชียวละ”

                วสุวีเอียงศีรษะพิงไหล่เขาอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ ถึงอชิระจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเลิศประเสริฐแสน แต่แม่เธอคิดถูกเรื่องเขา

                “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ปัญหาภายในของฉันแท้ๆ แต่ต้องยืมมือคนอื่นมาช่วย ฉันนี่มันไร้ประสิทธิภาพจริงๆ”

                “เดี๋ยวนะ! ผมยังเป็นคนอื่นอยู่เหรอ แบบนี้ต้องกลับห้องไปพิสูจน์ความสัมพันธ์กันอีกแล้วมั้งเนี่ย”

                “โธ่คุณเสือเบาๆ เสียงหน่อยสิคะ ไม่รู้จักอายคนอื่นซะบ้าง” วสุวีถลึงตาใส่ แตะนิ้วปิดปากเขาไม่ให้พูด 

                “อุ๊ย! โทษที นึกว่าอยู่ที่ห้อง”

                “คุณนี่ขยันกวนประสาทฉันจริงๆ คนกำลังจะซึ้งสักหน่อย”

                เขาหัวเราะ โอบเธอแน่นขึ้น “จะคิดมากไปทำไมก็ไม่รู้ เราก็นับว่าเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ถือว่าผมทำหน้าที่ลูกเขยให้แม่คุณแล้วกัน”

          “คุณใจดีกับฉันจัง”

                “ความจริงแล้วผมเป็นคนที่ชอบทำดีหวังผลน่ะ คืนนี้ลองขี่เสืออีกสักรอบได้ไหมครับ” อชิระกระซิบขอรางวัลข้างหูแดงจัดของหญิงสาว

                “คุณเสือ!” 

                วันหยุดผ่านไป เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ด้วยบรรยากาศคึกคักของการทำงาน อณิษฐ์ วรปัทม์ กำลังง่วนอยู่กับขนมที่เพิ่งทำเสร็จ เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านที่เกิดจากเจ้าสัวอรุณกับคุณเดือนฉาย ในบรรดาพี่น้องทั้งสี่เธอเป็นคนที่ห่างไกลจากธุรกิจครอบครัวมากที่สุด หลังจากเรียนจบหญิงสาวเลือกทำร้านกาแฟเล็กๆ ด้วยเงินทุนของตัวเอง นั่นจึงทำให้เธอไม่ต้องปวดหัวเหมือนกับพี่ๆ

                เสียงเพลงรักหวานดังกังวานเป็นเพื่อนแก้เหงา วันธรรมดาแบบนี้ไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก จะคึกคักหน่อยก็ตอนเช้ากับพักเที่ยง แล้วเสียงเปิดประตูร้านก็ดังขึ้น

                “เชิญค่า” รอยยิ้มหญิงสาวติดค้างบนใบหน้า ไม่คิดว่าจะเจอกับบุคคลสำคัญ “อ้าว! พี่นก”

                ในหมู่พี่ๆ ทั้งสาม อณิษฐ์สนิทกับพี่คนรองน้อยที่สุด อาจเป็นเพราะเธอใกล้ชิดกับอชิรญาณ์ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ มากกว่าพี่สาวต่างแม่อย่างอนงค์รตี และพี่รองของเธอก็ใช่ว่าจะชอบให้ใครไปวอแวด้วย อย่าว่าแต่กับเธอเลย ขนาดเป็นอชิรญาณ์พี่คนโตที่ทุกคนเกรงใจก็ใช่ว่าอนงค์รตีจะยอมลงให้ง่ายๆ

                การที่พี่รองมาเยือนร้านเธอโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าแสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรด่วนพิเศษมากกว่าการแวะมาซื้อกาแฟ เพราะก่อนหน้านี้พี่ชายของเธอก็เพิ่งโทร. หา

                “ลมอะไรหอบพี่นกมาถึงนี่คะ” 

                หน้าตาพี่รองแจ่มใส อารมณ์ดีถึงขั้นเล่นมุกตอบ “แว่วๆ ว่าจะเป็นลมรัก”

                “โห...เปิดมาแบบนี้ มดอยากใส่ใจนะคะ” หญิงสาวเอื้อมไปหยิบแก้ว “ดื่มอะไรดีคะ”

                “ขอน้ำเปล่าสักแก้วแล้วกัน” อนงค์รตีกวาดตามองทั่วร้าน “ยังไม่มีใครมาอีกเหรอ”

                “พี่นกนัดกับใครไว้คะ มดยังไม่เห็นใครเลยค่ะ เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ” อณิษฐ์ทำท่านึกขึ้นได้ “พี่เสือโทร. มาสั่งให้จัดโต๊ะ งานเดียวกันหรือเปล่าคะ”

                “น่าจะใช่ มันโทร. ไปนัดฉัน เสียงระริกระรี้เชียว”

                “พี่เสือมีลับลมคมในเรื่องอะไรคะเนี่ย มดยังแปลกใจไม่หายตอนที่สั่งให้จัดโต๊ะ พยายามจะหลอกถาม แต่รูดซิปปากเงียบกริบ พี่นกเข้าไปนั่งรอในห้องก่อนไหมคะ อีกเดี๋ยวคงมากัน”

                “นั่งคุยตรงดีกว่า เผื่อแกมีลูกค้า ไม่ได้แวะมานาน กิจการเป็นไงบ้างล่ะ” 

                ร้านของอณิษฐ์เคยเป็นที่นิยม ลูกค้าแน่นจนต้องจองคิวล่วงหน้า วันนี้กลับปลอดคนจนน่าใจหาย มีลูกค้านั่งอยู่เพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้น

                “ดีค่ะ” เจ้าของร้านบอกยิ้มๆ ส่งแก้วน้ำให้ “ดีที่ยังไม่ต้องปิดกิจการ”

                “คิดแบบนี้ก็สบายใจดีนะ”

                อนงค์รตีมองค้อน คนเป็นน้องก็ได้แต่หัวเราะ ลูกค้าทั้งสองโต๊ะลุกออกไปจากร้านในเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าของร้านเดินไปปิดประตูและพลิกป้ายปิดร้าน ก่อนย้อนกลับมาเก็บแก้วของลูกค้า

                “เมื่อไหร่จะเปลี่ยนใจไปช่วยป๊ากับคุณปลาสักทีล่ะ”

                “พี่ปลาให้พี่นกมาหว่านล้อมมดหรือคะ”

                “แกก็น่าจะรู้ คุณปลาไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น เพื่อความสุขของพวกเราสามคนเขาถึงต้องทนทำงานหนักอย่างทุกวันนี้ ฉันเห็นแล้วก็สงสาร อยากช่วย แต่ก็คงช่วยได้เท่าที่ทำอยู่”

                อนงค์รตีรับช่วงดูแลกิจการร้านเพชรต่อจากคุณมณีจันทร์ผู้เป็นแม่ จึงทำให้เข้าไปช่วยงานในวีพีกรุ๊ปได้ไม่เต็มที่นัก ส่วนอชิระก็อย่างที่เห็น งานโรงแรมล้นมือ คนเหนื่อยสุดต้องยกให้อชิรญาณ์ที่ทำงานหัวไม่วางหางไม่เว้น ถึงจะเป็นพี่น้องที่ห่างเหินในสายตาคนภายนอก แต่อนงค์รตีก็เป็นห่วงพี่สาวคนโตอยู่ไม่น้อย

                ทุกคนรู้ดีว่าอชิรญาณ์เสียสละความสุขหลายอย่างในชีวิตเพื่อทุ่มเทให้แก่วีพีกรุ๊ป ภายใต้รอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อนของนักธุรกิจสาว อนงค์รตีรู้ดีว่าพี่สาวของเธอไม่ได้แข็งแกร่งเกินกว่าคนทั่วไป 

                “พี่หญิงใหญ่ของเราต้องมีคนช่วยงานเพิ่มนะ”

                “มดไม่อยากเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนวัยอันควรค่ะ”

                “แล้วไม่ห่วงพี่แกบ้างรึไง คุณปลาน่ะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่รับไว้คนเดียวหมด แกควรแบ่งเบาภาระเขาบ้าง ฉันกับเสือก็ช่วยได้ไม่เต็มที่นัก เฉพาะงานตัวเองก็ปลีกตัวยากแล้ว”

                “มีมือดีอย่างพี่เสือกับพี่นกคอยช่วย ไม่ต้องถึงมือมดหรอกค่ะ ขอมดขายขนม ขายกาแฟ รอให้พวกพี่เลี้ยงดีกว่า” อณิษฐ์ยิ้มประจบ แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้น เธอรีบรับ คุยครู่หนึ่งก็วาง “พี่นกไปนั่งข้างในดีกว่าค่ะ อาหารจะมาส่งแล้ว เดี๋ยวมดรอรับแล้วตามเข้าไป”

                “ถ้าเจ้าภาพมาสายฉันจะฟาดให้เรียบเลยคอยดู”

                ระหว่างที่สองสาวกำลังจะย้ายที่นั่ง อชิรญาณ์ก็ผลักประตูร้านเดินเข้ามาท่าทางอารมณ์ดี “อะไรกันยายมด พี่เห็นแขวนป้ายปิดร้าน นี่เสือมันเหมาร้านฉลองเลยเหรอ”

                อณิษฐ์สบตากับพี่สาวคนรอง ก่อนหันไปทางคนที่เพิ่งมาถึง “บังคับเหมาค่ะ เดี๋ยวมดบวกค่าสถานที่ไปพร้อมค่าอาหาร” 

                “กลัวว่ามันจะหลอกให้แกเลี้ยงมากกว่า” อชิรญาณ์วางกระเป๋า นั่งใกล้ๆ น้องสาวคนรอง “คุณนกมานานแล้วเหรอ”

                “สักพักแล้วค่ะ กะว่าถ้าอาหารมา เจ้าภาพไม่โผล่จะไม่รอแล้ว”

                “ไม่ต้องรีบร้อนน่า เมื่อกี้ไอ้ตัวดีมันโทร. มาบอกว่าเพิ่งออกจากเขต ให้รอหน่อย”

                “พี่ๆ คุยกันไปก่อนนะคะ อาหารมาส่งแล้ว มดออกไปรับก่อน” อณิษฐ์เดินออกไปรับของ

                “งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยถือ” อชิรญาณ์ลุกเดินตามไปช่วยน้องสาวรับถุงอาหาร โดยมีอนงค์รตีช่วยถืออีกคน

                “สั่งมาเยอะขนาดนี้ นัดไปกินกันที่โรงแรมก็ได้นะ”

                “เจ้าภาพมันอาจจะอยากได้บรรยากาศครอบครัวก็ได้คุณนก” อชิรญาณ์บอกยิ้มๆ จากนั้นสามสาวก็ช่วยกันจัดโต๊ะ อนงค์รตีขมวดคิ้วเมื่อเห็นอณิษฐ์วางจานใบที่ห้า เธอส่งสายตาไปถามพี่สาวคนโตทันที

          “ดูเหมือนเราจะมีแขกด้วยนะคะ”

                “แขกพิเศษค่ะ”

                “คุณปลารู้ใช่ไหมคะว่าใคร”

                “อย่างธนู มดไม่นับเป็นแขกพิเศษนะคะพี่ปลา”

                “อย่าซื่อน่ะยายมด คุณปลาไม่ได้หมายถึงเลขาฯ นายเสือสักหน่อย” อนงค์รตีดุน้อง เพราะจับสัญญาณความอารมณ์ดีผิดปกติของพี่สาวคนโตได้ “น้อยครั้งหรอกนะที่จะเห็นพี่หญิงใหญ่ของเรายิ้มกริ่มแบบนี้ แสดงว่าต้องไม่ใช่แขกธรรมดาแน่ คุณปลาน่ะรู้อะไรมา ไม่คิดจะบอกพวกเราบ้างเหรอ”

                “บอกก็ไม่สนุกสิ” 

                “อย่าคิดว่ากุมความลับได้คนเดียวนะคะ” มุมปากของอนงค์รตีโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ถึงคุณปลาไม่ยอมบอก ฉันก็พอเดาออกละนะ เมื่อวันก่อนไอ้ตัวดีพาสาวไปเหมาเครื่องเพชรที่ร้าน เปย์ไม่อั้นเลยด้วย”

                “หืมมม” อชิรญาณ์วางช้อนแล้วเงยหน้ามองน้องสาวอย่างสงสัย “นี่เรากำลังพูดถึงคนคนเดียวกันใช่ไหมคุณนก”

                “อ้าว แล้วคุณปลาพูดถึงคนไหนล่ะคะ”

                “ลูกสาวคุณวิรงรองค่ะ” อชิรญาณ์รีบเฉลย “เจ้าของโรงแรมที่ไอ้ตัวดีมันเพิ่งควักเงินซื้อเมื่อไม่นานนี้ แล้วคนที่คุณนกพูดถึงล่ะ ใช่คนเดียวกันรึเปล่า”

                “ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แต่หน้าตายังกับเด็กมหา’ลัย แล้วไอ้กะล่อนก็แนะนำเต็มปากเต็มคำเลยว่าแฟน”

                “แฟน?” อณิษฐ์กลอกตามองหน้าพี่สาวสองคนสลับไปมา “กลายเป็นมดที่ไม่รู้อยู่คนเดียวสิคะแบบนี้”

                “ไม่ต้องนอยด์น่า เรื่องสำคัญแบบนี้พี่จะไม่บอกน้องสาวสุดที่รักได้ยังไง”

                “พี่เสือ!” 

                ความดีใจของอณิษฐ์เปลี่ยนเป็นงุนงงสงสัย พี่ชายไม่ได้โผล่มาคนเดียว แต่มีผู้หญิงเดินคู่มาด้วย สอดนิ้วกุมมือกัน และถ้าตาไม่ฝาดเธอเห็นแหวนเพชรประดับนิ้วนางของหญิงสาวคนนั้น อณิษฐ์รีบมองไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของพี่ชาย ปกติพี่เสือไม่สวมเครื่องประดับอื่นนอกจากนาฬิกา ทว่าวันนี้ที่นิ้วนางของพี่ก็มีแหวนเช่นกัน แหวนคู่อย่างนั้นเหรอ ไม่ธรรมดาจริงๆ หรือนี่จะเป็นแขกพิเศษที่พี่ๆ กำลังพูดถึง

                ขณะที่อณิษฐ์กำลังเผชิญกับความงุนงงสงสัย อชิรญาณ์กับอนงค์รตีกลับมองหน้ากันอย่างลังเลใจ ก่อนที่ผู้อ่อนวัยกว่าพยักพเยิดไปยังแขกสาวที่เป็นปริศนาและเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อมว่า

                “คนเดียวกันรึเปล่าคะคุณปลา”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น