บทที่ 7

7

          อชิระขับรถมาส่งวสุวีในช่วงหัวค่ำ หลังจากพยายามโน้มน้าวให้เธอค้างกับเขาไม่สำเร็จ วสุวีพาตัวเองรอดพ้นจากกรงเล็บเสือหิวมาได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะชายหนุ่มไม่เร่งเร้า พอเธอหยิบยกเรื่องความเหมาะสม เขาก็ไม่เซ้าซี้ต่อ ส่วนหนึ่งก็เพราะวางใจ อย่างไรเหยื่อสาวก็คงหนีไม่พ้น แต่จะปล่อยเธอลงรถไปง่ายๆ โดยไม่หาเศษหาเลยสักหน่อยก็คงไม่ใช่อชิระ

                “วันนี้คุณยังไม่ได้ให้อาหารเสือเลยนะ ถึงจะไม่ได้มื้อหลัก แต่ของว่าง ของหวานก็น่าจะมีเสิร์ฟบ้าง” ชายหนุ่มออดอ้อน ส่งผลให้มือที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยชะงัก คนที่ต้องรับผิดชอบปากท้องของเสือหันไปมองอย่างเขินๆ

                “เอาไว้ให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนนะคะ ฉันสัญญาว่าจะ...” หญิงสาวเม้มปากไม่กล้าพูดต่อ

                “จะอะไรเหรอ”

                “จะ...ขุนเสือให้อิ่มค่ะ”

                อชิระมองคนพูดเองเขินเองแล้วอมยิ้มอย่างชอบใจ ชายหนุ่มแบมือยื่นมารอ “ขอโทรศัพท์หน่อยสิ”

                “จะทำอะไรคะ”

                “เมมเบอร์”

                วสุวีหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าส่งให้ ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น อชิระจัดการบันทึกเบอร์เสร็จเรียบร้อยก็เอาโทรศัพท์ของเธอและของเขาวางคู่กัน พยักพเยิดให้เธอดู

                ชื่อที่เขาบันทึกทำเอาเธอเผลอยิ้ม เบอร์เขาในเครื่องวสุวีมีคำเดียวสั้นๆ คือ เสือ แต่เบอร์เธอในเครื่องเขา อชิระบันทึกคำว่า คนเลี้ยงเสือ อย่างชัดเจน

                “มีอะไรด่วนก็โทร. หาผมได้ตลอดเวลา”

                “แล้วถ้าด่วนตอนตีสอง”

                “ผมก็จะมาหาคุณตีสองกว่าๆ”

                วสุวีหัวเราะ ก่อนบอกกับเขา “ฉัน...ไปแล้วนะคะ”

                “อืม...แล้วเจอกันครับ” อชิระพยักหน้า นั่งรอจนกระทั่งเธอเดินเข้าข้างในแล้วถึงได้ออกรถ ในใจก็อดห่วงไม่ได้ 

                เขาไม่อยากให้วสุวีอยู่โรงแรมคนเดียว สายตาของภูรีที่มองน้องสาวต่างสายเลือดไม่น่าไว้ใจ อชิระเป็นผู้ชายย่อมสัมผัสได้ ตอนยังไม่มีคู่แข่ง ภูรีอาจจะทนเก็บเขี้ยวเล็บไม่ให้ทำรุ่มร่ามกับวสุวีได้ แต่พอเขาโผล่เข้ามาปาดหน้าแบบนี้ ก็ไม่แน่ว่ามันจะปฏิบัติตัวเหมือนเดิม 

                ถ้ามันกล้าแตะวสุวีแม้แต่ปลายเล็บ เขาจะทำให้มันเจ็บจนแทบกระอักเลือดเลยคอยดู

                แม่คนเลี้ยงเสือไม่รู้ตัวหรอกว่ามีอันตรายอยู่รอบกาย การย้ายไปอยู่กับเขาเป็นทางเลือกที่ดีทั้งสองฝ่าย เขาได้ตบตาแม่ใหญ่ ส่วนเธอ การเป็นผู้หญิงของนายอชิระก็จะช่วยให้ปลอดภัยไม่มีผู้ชายหน้าไหนกล้าเข้ามายุ่ง โรงแรมก็ซื้อขายกันแล้ว คนเขาก็ได้แล้ว จะแยกกันอยู่ไปเพื่ออะไร 

                เห็นทีเขาคงต้องวางแผนพาวสุวีเข้ากรงเสือจริงๆ จังๆ ซะแล้วสิ

                หญิงสาวผู้ตกอยู่ในแผนการต้อนเข้ากรงเสือกลับมาถึงห้องพักและสังเกตได้ว่ามีสิ่งผิดปกติภายในห้อง ทันทีที่แสงไฟสว่างโร่ เธอก็ผงะตกใจเมื่อเห็นว่ามีใครนั่งรออยู่บนเตียง

                “พี่ภู! เข้ามาได้ยังไงคะ”

                วสุวีตั้งหลักเตรียมพร้อมรับมือลูกชายของพ่อเลี้ยง เมื่อตอนกลางวันเธอก็รู้สึกละว่า ภูรีไม่พอใจ สีหน้าเขาแสดงออกชัดเจนมาก จะด้วยเหตุผลใดก็ตามการปรากฏตัวของอชิระส่งผลกระทบชัดเจน อย่างน้อยๆ ก็มีคนนั่งไม่ติด ทว่าภูรีไม่มีสิทธิ์บุกเข้าห้องพักส่วนตัวของเธอ แม้มันจะไม่เกินความสามารถของเขา แต่มันก็สะท้อนถึงความหย่อนยาน เธอคงจะต้องทำความเข้าใจกับแผนกรักษาความปลอดภัยเสียใหม่ เพราะนี่คือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง และมันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้น

                “ว่าไงคะ มีเรื่องอะไรถึงบุกเข้ามาแบบนี้”

                “พี่อยากตกลงกับวีเป็นการส่วนตัว”

                วสุวีพยายามเว้นระยะห่างด้วยการขยับถอยหลังหนีอย่างช้าๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว “หมดเวลางานแล้วค่ะ มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ดีกว่า”

                “แต่พี่ใจร้อน อยากคุยเรื่องโรงแรมของเรา”

                “ของเราหรือคะ” หญิงสาวย่นคิ้วย้อนถามเสียงขื่น มันต้องโรงแรมของเธอสิถึงจะถูก มาตีมึนเหมารวมแบบนี้ เธอยิ่งไม่อยากคุย

                “อันที่จริงเราตกลงกันเป็นการภายในได้นะ วีอยากได้อะไร อยากทำอะไร พวกเราคุยกันได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องดึงคนอื่นเข้ามายุ่งวุ่นวาย”

                “คนอื่น? หมายถึงคุณเสือเหรอคะ” เธอพอเข้าใจรางๆ แล้ว ลนลานจนอยู่กันไม่เป็นสุขเลยสินะ “ถ้าเป็นคุณเสือก็ไม่ใช่คนอื่นหรอกค่ะ วีกับเขามีข้อตกลงร่วมกัน”

                “วีเอาอะไรไปล่อมัน ก่อนนี้ไอ้เสือมันเคยสนใจซะที่ไหน” 

                สายตาหยามหยันของภูรี ทำให้วสุวีตาลุกเป็นไฟ ไม่พอใจ “จะใช้อะไรล่อมันก็เป็นเรื่องของวีกับเขา จำเป็นต้องรายงานพี่ภูด้วยเหรอคะ อย่ากังวลไปเลยค่ะ ยังไงซะโรงแรมวิรงรองก็เป็นของวี วีคงไม่เสี่ยงทำให้มันเสียหายแน่”

                “แต่พี่อยากให้วีทบทวนดูอีกสักครั้ง” ภูรีขยับเข้ามาใกล้ พยายามหว่านล้อมหญิงสาว “ถ้าวีอยากได้อำนาจในการบริหาร คุณพ่อก็พร้อมจะจัดสรรให้อย่างเหมาะสม”

                “จัดสรรให้อย่างเหมาะสมเหรอคะ ทำไมฟังดูแล้วเหมือนโรงแรมไม่ใช่ของวีทั้งที่มันเป็นของวีล่ะคะ เอ๊ะ นี่มันยังไงกัน วีงงนะ”

                “พี่รู้ว่าวีเข้าใจ อย่าดื้อไปหน่อยเลย วีตัวคนเดียวจะทำยังไงไหว พวกเราหันหน้ามาจับมือกันดีกว่า โรงแรมของเราจะได้ดีขึ้น พี่เองก็มีแผนเตรียมไว้ในหัวแล้ว”

                “แผนที่จะเปลี่ยนโรงแรมของวีให้กลายเป็นบ่อนน่ะหรือคะ พี่ภูคิดว่าจะมีใครเห็นชอบกับเรื่องนี้”

                “พี่ก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงมันอย่างปุบปับ เราค่อยๆ ทำ ค่อยๆ จูนกันไป เดี๋ยวมันก็เข้าที่เข้าทางเอง”

                “ไม่ค่ะ” วสุวีปฏิเสธเด็ดเดี่ยว “อย่าเสียเวลากล่อมวีเลย กลับออกไปเถอะค่ะ วันนี้วีเหนื่อยมากแล้ว อยากพักเต็มที”

                “พี่พยายามจะพูดกับวีดีๆ แล้วนะ” ภูรีเสียงแข็งเริ่มหมดความอดทน แววตาของเขาน่ากลัวมากขึ้น “ไปทำอะไรมาล่ะ ถึงได้หมดเรี่ยวหมดแรง ฮึ! ออกไปกับไอ้เสือก็คงจะไปนอนกับมันสินะ เธอนี่ใจกล้ากว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย”

                “วีโตแล้ว จะทำอะไรก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร พี่ภูกล้าดียังไงมาพูดจาหยาบคายกับวีแบบนี้”

          “ฉันคงพูดจี้ใจดำเข้าสินะ”

                “ต่อให้วีจะนอนกับคุณเสือ มันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่ ออกไปเดี๋ยวนี้” หญิงสาวตวาดไล่เสียงดัง

                “คิดว่าจะไล่ฉันได้เหรอ เธอนี่มันง่ายกว่าที่คิด” ภูรีถูกโทสะครอบงำ เขาบุกเข้ามาจับต้นแขนของหญิงเขย่า วสุวีพยายามสะบัดตัวหนีแต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ “ไอ้นั่นมันเสือผู้หญิง เรื่องจะแสดงน้ำใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือใครโดยที่มันไม่ได้ผลประโยชน์คงไม่มี มันได้เธอแล้วอีกไม่นานมันก็จะเฉดหัวทิ้ง”

                “แต่เขาก็ยังดีกว่าพี่” หญิงสาวบอกอย่างเย้ยหยัน ราดน้ำมันลงไปบนไฟที่กำลังลุกโหม “คุณเสือมีหุ้นของโรงแรมนี้ เขามีเหตุผลมากพอที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ไม่ใช่จ้องแต่จะกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตัวอย่างที่พวกพี่ทำ วียอมแลกทุกอย่างเพื่อไม่ให้โรงแรมนี้ตกอยู่ในมือของพวกพี่กับอาภพ”

                “แล้วเธอจะเอาปัญญาที่ไหนบริหารงาน แค่ตอนนี้ยังเอาตัวรอดจากฉันไม่ได้เลย”

                “พี่ภูจะทำอะไร” วสุวีหน้าซีด เพิ่มแรงสะบัดมากขึ้นกว่าเดิม “ปล่อยวีนะคะ”

                “อย่าดื้อเลยน่า ไอ้เสือมันเคยทำอะไร ฉันก็จะทำอย่างนั้นแหละ เธอเคยผ่านงานมาบ้างแล้วฉันก็ไม่ต้องถนอมนัก แล้วมาลองดูกันระหว่างฉันกับหมอนั่นใครถึงใจเธอมากกว่า” 

                ภูรีกระชากร่างหญิงสาวเข้ามาชิดกาย ก้มหน้าลงซุกไซ้ที่ซอกคอ ปลุกปล้ำหญิงสาวอย่างหื่นกระหาย วสุวีกรีดร้องให้คนช่วยแม้จะรู้ว่าไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังดีกว่ายอมอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้เขาข่มเหง

                “พี่ภูอย่าทำอะไรบ้าๆ นะคะ อาภพรู้เข้าพี่โดนเล่นงานหนักแน่”

                “พ่อพี่อาจจะสนับสนุนก็ได้ใครจะไปรู้ เธอมันขยันสร้างแต่เรื่องน่าปวดหัว สมควรที่จะโดนกำราบเสียบ้าง ลองคิดดูสิ ถ้าเปลี่ยนลูกเลี้ยงให้เป็นลูกสะใภ้ แล้วเงินทองจะรั่วไหลไปไหนได้ล่ะ ยอมพี่ดีๆ จะได้มีความสุข”

                “ไม่นะคะ อย่าทำแบบนี้ ปล่อยวี พี่ภูปล่อยวีเดี๋ยวนี้!”

                วสุวีดิ้นหนีสุดชีวิต เธอกรีดร้องขอ สองมือทุบตีเพื่อเอาตัวรอด แต่แรงหญิงหรือจะสู้แรงผู้ชายตัวโตๆ อย่างภูรีได้

                “พี่ภูหยุดเดี๋ยวนี้นะคะ หยุด! วีบอกให้หยุด!” เธอจิกเล็บดันใบหน้าเขาออกจากซอกคอ ทุบตีตอบโต้ นึกขยะแขยงลมหายใจของอีกฝ่ายจนคลื่นไส้ เธอรังเกียจสัมผัสหยาบคายกักขฬะของเขา ให้ยอมตายดีกว่ายอมจำนน วสุวีฮึดสู้สุดแรง สองขายกขึ้นทั้งเตะทั้งกระทืบเพื่อทำให้ตัวเองเป็นอิสระ

                “ไอ้เสือมันเคยจับ เคยจูบตรงไหนบ้างบอกมา เดี๋ยวพี่ภูจะช่วยลบรอยให้เอง” 

                หน้าตาภูรีเหมือนคนคลุ้มคลั่งต่างจากภาพลักษณ์เดิมของเขาอย่างสิ้นเชิง เขาลากเธอและเหวี่ยงขึ้นไปบนเตียงนอน วสุวีร้องออกมา ทั้งเจ็บและจุก พยายามตะเกียกตะกายหนี มือหยิบจับอะไรได้ก็ขว้างปาใส่ ภูรีปัดป้อง ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แล้วเขาก็จับข้อเท้าเธอดึงเข้าหาตัว 

                วสุวีกรี๊ดลั่นเมื่ออีกฝ่ายทิ้งตัวทาบทับ จับคอเสื้อเธอกระชากออกจากกัน!

                ระหว่างที่รถติดไฟแดงอชิระกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่เบาะด้านข้างที่วสุวีเพิ่งลุกไป เขาเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่าทำไมต้องทำให้ตัวเองยุ่งยากด้วย แต่หลังจากได้พบกับพ่อเลี้ยงและพี่น้องต่างสายเลือดของเธอ เขาก็ได้คำตอบ

                ถ้าเขาไม่ช่วย วสุวีไม่รอดแน่ คุณวิมองเกมออก แต่ถูกเงื่อนไขแห่งกาลเวลาเล่นงานจนไม่ทันตระเตรียมความพร้อมให้ลูกสาว จำใจต้องเสี่ยงฝากวสุวีที่รักดั่งแก้วตาดวงใจไว้กับเขา 

                บังเอิญเหลือเกินที่อชิระกำลังถูกบ้านใหญ่เร่งเร้า ด้วยฐานะทางสังคมของวสุวีคงไม่เป็นที่รังเกียจของแม่ใหญ่ ท่านจะพอใจมากด้วยซ้ำ จะว่าไปแล้วเขาก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ทั้งขึ้นทั้งล่อง สบายทั้งตัว สบายทั้งใจ

          อชิระไม่เคยคิดอยากมีครอบครัว แทบไม่ต้องพูดถึงเรื่องลูกเพราะไม่เคยมีอยู่ในหัวสมองเขาเลย จริงอยู่ที่ความคิดนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือมันจะไม่เกิดขึ้นในช่วงเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน 

                การเติบโตขึ้นมาใต้ปีกนางพญาอย่างคุณเดือนฉาย มันคือฝันร้ายวัยเด็กของเขา ไม่มีอะไรสนุกเลยสักนิด อชิระไม่อยากให้ลูกต้องเจอประสบการณ์แบบที่ตัวเองเคยผ่านมา และที่สำคัญเขานึกภาพตัวเองเป็นพ่อเด็กสักคนไม่ออกเลยจริงๆ

                แสงไฟข้างทางที่สะท้อนวาบเข้ามาทำให้สายตาของชายหนุ่มปะทะกับซองสีน้ำตาลที่เบาะหลัง เขาย่นคิ้วอย่างสงสัย ก่อนเอี้ยวตัวเอื้อมไปหยิบมาดูแล้วจุ๊ปากขัดใจ เอกสารซื้อขายโรงแรมที่วสุวีเซ็นชื่อเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เท่ากับว่าอชิระครอบครองโรงแรมวิรงรองอย่างสมบูรณ์ 

                วสุวีขอเอาสัญญากลับมาอ่านให้ละเอียดอีกครั้ง ทั้งที่เขาแย้งไปแล้วว่าถ้ามีอะไรผิดพลาด เธอก็ไม่สามารถแก้ไขได้ สงสัยฝ่ายนั้นคงกลัวถูกเขาจับกินจึงรีบร้อนจนลืมมันไว้หลังรถ

                แต่จะว่าไปเขาเอาเอกสารนี้เป็นข้ออ้างบังหน้าเพื่อกลับไปหาเธอก็ได้นี่นา ถึงห้องพักเธอแล้วค่อยงอแงหาเรื่องค้างคืน ชายหนุ่มเกิดความคิดเจ้าเล่ห์วูบวาบในหัว คืนนี้เขานอนไม่หลับแน่ถ้าไม่ได้กอดเธอ เขายังอยากครอบครอง จะเรียกว่าหลงเห่อของใหม่ก็ไม่ผิด แค่คิดถึงร่างกายก็ตอบสนอง กลิ่นหอมของเธอยังติดอยู่ที่ปลายจมูก รสจูบของเธอยังคงซาบซ่านชวนถวิลหา

                จากระยะทางตรงนี้ถึงโรงแรมไม่ห่างกันมาก อชิระรู้ว่าจะต้องไปหาวสุวีที่ห้องไหน การไปปรากฏตัวต่อหน้าเธอจึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เธอจะไม่บ่ายเบี่ยงเพราะรู้ว่าทั้งหมดอยู่ในเงื่อนไข เธอแค่อยากให้มันเป็นไปอย่างเหมาะสม เขายอมปล่อยเธอไปแล้ว แต่สวรรค์คงเห็นใจชายคลั่งรัก ในเมื่อหาข้ออ้างได้แล้ว ทำไมเขาจึงไม่ฉกฉวยโอกาสทองเอาไว้ล่ะ ก็เคยเตือนแล้วว่าอย่าให้เสือหิว

                อชิระยิ้มย่องพลางยกซองเอกสารขึ้นจูบ แล้วโยนมันลงที่เบาะข้างคนขับ ผิวปากเป็นบทเพลงรักคลอกับเพลงในรถอย่างครึ้มอกครึ้มใจ อยากกินก็ต้องหาเรื่องไปกินให้ได้ นี่ละงานถนัดพี่เสือ!

          

ไม่นานเสือหนุ่มก็เดินยิ้มผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ตรงเข้าไปยังลิฟต์ ในมือถือซองเอกสารติดมาด้วย ลิฟต์หยุดชั้นที่วสุวีพัก อชิระเดินผิวปากมาถึงหน้าห้องกำลังจะยกมือเคาะ แต่ได้ยินเสียงบางอย่างตกลงพื้นดังโครมครามจากในห้อง อารมณ์ครึ้มใจกลายเป็นความห่วง

                “วี” ชายหนุ่มรีบหยิบคีย์การ์ดที่บังคับเอามาจากเธอแตะเปิดเข้าห้อง

                “ช่วยด้วย!”

                เสียงร้องขอความช่วยเหลือทำให้อชิระรีบวิ่งตรงไปที่ห้องนอน ภาพภูรีกำลังคร่อมร่างวสุวีที่ดิ้นเร่าๆ ทำเอาเขาเลือดขึ้นหน้า ก้าวขาเข้าไปด้านหลัง ทั้งภูรีและวสุวียังไม่รู้ตัว ฝ่ายชายหัวเราะย่ามใจ ขณะที่ฝ่ายหญิงดิ้นรน ตะโกนห้าม สองขาเตะถีบเพื่อเอาตัวรอด

                อชิระดึงคอเสื้อด้านหลังของภูรีแล้วเหวี่ยงลงจากเตียง เขาไม่ปล่อยให้ภูรีตั้งหลัก รีบซัดหมัดฮุกเข้าโหนกแก้มซ้ายขวา ภูรีสบถอย่างหัวเสีย พยายามเงยหน้ามองว่าใครแต่ก็ถูกอชิระตีเข่าเข้าที่หน้าท้อง จุกจนตัวงอทรุดลงไปกองกับพื้น แต่นั่นยังไม่ช่วยให้ความเกรี้ยวกราดของอชิระลดลง ชายหนุ่มง้างเท้าเตะเข้ากลางลำตัวอีกสามครั้งติด ภูรีนอนนิ่งสนิท ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องแสดงความเจ็บปวด

                ทว่าเสียงสะอื้นของคนบนเตียงทำให้เขาหันกลับไป วสุวีลุกขึ้นนั่งช้าๆ ใบหน้าซีดเผือดไร้สีสัน สองมือสั่นเทิ้มจับสาบเสื้อทบเข้าหากัน แรงกระชากก่อนหน้านั้นทำให้กระดุมหลุดขาดหายไป เธอหย่อนขาลงจากเตียง แววตาหวาดหวั่นจนเกือบสิ้นหวังมองตรงมาที่เขา 

                อชิระถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบก้าวยาวๆ เข้าไปหา กางแขนออกกว้างเพื่อรับเธอไว้ในอ้อมกอด

                “มันทำร้ายคุณหรือเปล่า”

                “คุณเสือ” วสุวีร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคนขวัญเสีย เธอกอดรัดเขาแน่น

                “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไร” อชิระลูบหลังปลอบโยน ก่อนค่อยๆ ดันร่างเธอออกเล็กน้อย กวาดตามองหาร่องรอยการถูกทำร้าย “เจ็บตรงไหน มันตบตี ชกท้อง บีบคอหรือเปล่า” 

                วสุวีส่ายหน้าน้ำตาไหล รีบดึงชายเสื้อปิดเข้าหากันอีกครั้ง แต่กลับถูกอชิระดึงมือไปกุมไว้อย่างรวดเร็ว สีหน้าดุดันเอาเรื่องของเขาทำให้เธอนึกกลัว

                “นี่มัน...” เขาจ้องรอยแดงรอบข้อมือเธอ

                “น่าจะตอนที่เขาจับฉันกดกับเตียงเมื่อกี้”

                “ไอ้ภูรีสมควรตาย! ผมจะไปเอาน้ำสาดให้มันฟื้น แล้วกระทืบมันอีกรอบ” อชิระหันไปมองร่างที่นอนนิ่ง หากไม่ถูกหญิงสาวรั้งไว้เขาคงทำอย่างที่พูดจริงๆ “มันเกิดบ้าอะไรขึ้นถึงหน้ามืดบุกมาปล้ำคุณอย่างนี้”

                “ฉันก็ไม่รู้ค่ะ เขาแอบเข้ามารอในห้อง บอกว่าขอตกลงเรื่องโรงแรม แต่ฉันไม่ยอม เขาก็พาลหาเรื่องว่าฉันเสนอตัวให้คุณแลกกับโรงแรม เขาบอกว่าจะทำเหมือนที่คุณทำกับฉัน”

                “สารเลว!” ชายหนุ่มสบถดุเดือด “ต่อให้คุณจะเสนอตัวให้ผมจริงๆ มันก็ไม่มีสิทธิ์จะทำระยำกับคุณแบบนี้”

                วสุวีมองร่างที่นอนแน่นิ่งอย่างไม่สบายใจ “เขาจะตายไหมคะ”

                “ห่วงมันรึไง”

                พอเห็นไฟโทสะในดวงตาเขา หญิงสาวก็รีบส่ายหน้า “ฉันเป็นห่วงคุณค่ะ ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ คุณอาจจะยุ่งยาก อาภพรู้จักตำรวจผู้ใหญ่หลายท่าน”

                “รู้จักใครให้ไปตามมา” อชิระร้องท้าอย่างไม่หวั่นเกรง แต่พอเห็นสายตาห่วงใยของเธอที่มองเขาอยู่ อชิระก็ชะงักก่อนจะถอนใจ โอบแขนรอบกายเธอ

                “ไม่ต้องห่วงหรอก โดนกระทืบแค่นี้ไม่ถึงกับตาย แต่ซี่โครงอาจจะหักบ้างถ้ากระดูกมันไม่แข็งพอ” อชิระบอกเสียงอ่อนลงเล็กน้อย จับไหล่เธอแล้วสั่งเด็ดขาด “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้ว เก็บของใช้ที่จำเป็น ระหว่างรอคุณ ผมจะลากมันออกจากห้อง ผมเห็นมันนอนอย่างนี้แล้วอยากจะกระทืบซ้ำ”

                “คุณจะให้ฉันเก็บของไปไหนคะ”

                “หลังจากเกิดเรื่องนี้ คุณยังมีแก่ใจอยู่ที่นี่ต่ออีกเหรอ คิดว่าปลอดภัยมากนักใช่ไหม หรือจะรอให้มันบุกมาปล้ำซ้ำอีกรอบ”

                “ฉันอยากกลับบ้านค่ะ”

                “กลับบ้าน! คุณกำลังยืนฝันอยู่หรือไง” อชิระผละออกไปยืนเท้าสะเอวมองเธออย่างเอาเรื่อง ก่อนจะยื่นคำขาด “ผมจะไม่ปล่อยคุณไปไหนทั้งนั้น จนกว่าจะมั่นใจว่าคุณปลอดภัย คุณเลือกได้สองอย่าง คือหนึ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเก็บข้าวของ หรือสองไปกับผมสภาพนี้เลย ว่ายังไง จะเอาแบบไหน”

                “ฉันจะไปเก็บของค่ะ”

                วสุวีแทบไม่ต้องเลือก หญิงสาวรีบวิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้าคว้าชุดใหม่ หายเข้าไปในห้องน้ำ ไม่กี่อึดใจก็ออกมาด้วยสภาพเรียบร้อย ผมเผ้าถูกมัดรวบไว้อย่างดี ก่อนลงมือเก็บเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋า

                อชิระเข้าห้องมาอีกครั้งก็พบว่าเธอพร้อมแล้ว ชายหนุ่มเดินมาช่วยหยิบกระเป๋า อีกมือก็คว้ามือเธอจับจูง ถึงจะไม่ค่อยสบายใจกับสายตาพนักงานที่จ้องมองมานัก แต่วสุวีก็ไม่กล้ามีปัญหา เพราะสีหน้าของอชิระไม่อนุญาตให้ใครขัดใจเขาได้ทั้งนั้น

                หญิงสาวได้แต่ลอบถอนหายใจขณะเดินตามแรงจับจูง ข่าวเธอหอบเสื้อผ้าหนีตามอชิระจะต้องดังกระฉ่อนในเช้าวันรุ่งขึ้น ทำใจรอได้เลย และอีกเดี๋ยวพอเธอกับอชิระก้าวเท้าออกจากโรงแรมไป เหล่าพนักงานก็จะรวมตัวกันสุมหัวนินทาแทบจะทันที

                ราวกับอชิระรู้สึกถึงความวิตกกังวลของเธอ ตอนที่เดินผ่านหน้าฟรอนต์ เขาก็พูดดังๆ ให้ได้ยินกันทั่วไปเลยว่า

                “ถ้าผมจับได้ว่าใครแอบนินทาคุณ ผมจะไล่ออกให้หมด”

                ทั้งที่ยังตกใจไม่หาย แต่ผู้ชายบ้าอำนาจคนนี้ก็ทำให้วสุวียิ้มออก อชิระคงโมโหจนลืมไปแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่วีพีกรุ๊ปหรือโรงแรมปาริชาตของเขา แต่ก็นั่นละพอได้ยินแบบนั้นพนักงานของเธอก็หลบตาวูบ ไม่กล้ามองต่อ คงจะมีแค่คนชะตาขาดเท่านั้นละที่กล้าท้าทายกับคุณเสือของเธอ

                อชิระปิดปากเงียบมาตลอดทาง ใบหน้าเขาเรียบเฉยติดจะบึ้งตึงด้วยซ้ำ วสุวีเองก็ไม่รู้จะชวนเขาคุยเรื่องอะไร เธอยังตกใจไม่หายกับเรื่องที่เกิดขึ้น หญิงสาวนั่งก้มหน้า เอามือประสานกันบนตัก เดี๋ยวบีบแน่นเดี๋ยวคลายราวกับว่าเจ้าตัวยังมีเรื่องคิดไม่ตก

                พอรถจอดติดไฟแดง ชายหนุ่มหันมาเห็นอาการนั้น จึงวางมืออบอุ่นไปบนหลังมือเธอ

                “ผมทำคุณตกใจหรือเปล่า”

                “ยังไม่เท่ากับที่พี่ภูทำหรอกค่ะ ฉันไม่เคยคิดว่าเขาจะกล้าได้ขนาดนั้น”

                “มือคุณสั่น ยังไม่หายตกใจเหรอ”

                “ค่ะ ทั้งกลัว ทั้งตกใจ” หญิงสาวยอมรับ ก่อนฝืนยิ้มพูดเล่นกับเขา หวังเปลี่ยนบรรยากาศอึมครึมให้สดใสขึ้น “ทำไงได้ล่ะคะ ฉันไม่มีประสบการณ์โดนปล้ำบ่อยๆ ซะด้วย คงต้องทำใจอีกนานกว่าจะลืมมันลง”

                อชิระดึงมือเธอขึ้นไปจูบ “วางใจเถอะนะ นี่จะเป็นครั้งแรก ครั้งเดียว และครั้งสุดท้าย ต่อไปมันจะไม่ได้เข้ามาอยู่ใกล้คุณอีก คุณไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”

                วสุวีน้ำตาเอ่อ รีบดึงมือจะเช็ด แต่อชิระไม่ยอมปล่อย

                “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องร้อง” แค่คำพูดปลอบใจเพียงไม่กี่คำจากปากเขา ก็ทำให้ความเข้มแข็งอันน้อยนิดของหญิงสาวพังทลาย

                “ถ้าคุณเข้าไปช่วยไม่ทัน ฉันไม่อยากนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง ฉันคงเหมือนคนที่ตายทั้งเป็น ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”

                “คิดอะไรไม่เข้าท่า ต่อให้ผมมาไม่ทันจริงๆ คุณก็ยังเหลือผม และขอรับรองด้วยเกียรติเลยว่าคนที่จะตายทั้งเป็นคือไอ้ภูรีนั่น ไม่ใช่คุณ”

                วสุวีช้อนตามองเขาอย่างซาบซึ้งอบอุ่นใจ เธอไม่เคยมีใครกางปีกปกป้องมานานแล้ว ต่อให้เป็นเสือผู้หญิงอย่าง อชิระเธอก็ยังรู้สึกดีที่ได้รับ “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ”

                น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นบนหลังมือ อชิระถอนใจเบาๆ ลูบศีรษะหญิงสาวอย่างอ่อนโยน

                “โธ่...วสุวี พอแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงมันอีกแล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มเหมือนพังทำนบน้ำตาให้แตกสลาย วสุวีปล่อยโฮจนเขาต้องปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วดึงเธอเข้ามากอดแน่นๆ “โอ๋ๆๆ นิ่งซะๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมา อย่าร้องๆ ผมไม่ถนัดปลอบใจหญิงสาว ถนัดแต่จับกินตับเท่านั้น ขืนคุณไม่หยุดร้อง ผมจะแวะปล้ำข้างทางจริงๆ นะ”

                “คุณเสือบ้า” เธอต่อว่าเสียงเครือ สูดน้ำมูกดังฟืดฟาด 

อชิระยิ้มทำท่าโล่งใจ ช่วยเช็ดน้ำตาให้ “เออ...แบบนี้ค่อยดีหน่อย” 

นิ้วของเขาเกลี่ยไปบนแก้มเปียกชื้น วนถึงริมฝีปากนุ่มน่าลุ่มหลง ทั้งคู่ตกอยู่ในมนตร์สะกด ชายหนุ่มโน้มหน้าเข้ามาจนชิด ปลายจมูกปัดผ่านแก้มนวลอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากของเขาอยู่ห่างจากปากเธอและเกือบจะแนบสนิท ถ้าเสียงแตรจากรถคันหลังจะไม่ดังขึ้นขัดจังหวะ 

                วสุวีสะดุ้งตกใจและผลักเขาออก อชิระส่งเสียงร้องอย่างขัดใจ พึมพำต่อว่ารถคันหลังชุดใหญ่ ชายหนุ่มดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด รีบพารถเคลื่อนไปข้างหน้า ปลอบใจตัวเองว่าไม่ต้องรีบ

                ก้าวเท้าเข้าถ้ำเสือมาแล้ว ต่อให้มีปีกงอกออกมาตอนนี้ วสุวีก็หนีเขาไม่พ้น

                หนุ่มสาวพากันฝ่ารถติดจนกระทั่งมาถึงคอนโดหรูแห่งหนึ่ง อชิระบอกว่าเขาพักอาศัยอยู่ที่นี่ วสุวีก็อดสงสัยไม่ได้ เขาคงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร จึงส่งรอยยิ้มมาให้

                “สงสัยล่ะสิ”

                “ฉันนึกว่าคุณอยู่ที่โรงแรม หรือไม่ก็บ้าน”

          “โรงแรมผมเยอะจนเลือกไม่ถูกว่าจะไปอยู่ที่ไหน ส่วนบ้านใหญ่ผมก็ไม่พิสมัยนัก สุดท้ายก็มาจบที่นี่” เขาบอกน้ำเสียงขบขัน “หรือคุณอยากไปบ้านใหญ่พร้อมผมตอนนี้”

                “ไม่ค่ะ ไม่ไป ไปตอนนี้ไม่ได้ด้วย” หญิงสาวเหลือบมองเวลา หากพาเธอไปปรากฏตัวที่บ้านวรปัทม์ตอนนี้ละก็ คนบ้านนั้นคงแตกตื่นน่าดู

                “ผมก็ยังไม่คิดพาคุณไปเปิดตัวตอนนี้หรอก ตั้งแต่เรียนจบกลับมาผมก็แยกมาอยู่ที่นี่คนเดียว อยู่ที่บ้านใหญ่วุ่นวาย อึดอัด สู้ที่นี่ไม่ได้ เงียบ สงบ เป็นอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ” 

                “ท่าทางคุณน่าจะเป็นคนโลกส่วนตัวสูง”

                “เปล่าหรอก ผมแค่ไม่ชอบให้ใครมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผม อีกอย่างเมื่อก่อนผมก็สายตี้อยู่ ความอิสระมันเลยค่อนข้างจำเป็น แต่ก็ต้องระวังตัว ขืนข่าวรั่วไปเข้าหูแม่ใหญ่บ่อยเข้าก็เดือดร้อนเหมือนกัน”

                “ท่าน...เข้มงวดกับคุณมากเลยเหรอคะ”

                “มาก แต่ก็พอทนไหว” เขายักไหล่ด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ แต่กลับดูไม่ขัดตาเลยสักนิด “ช่วยไม่ได้ ก็ผมดันเป็นลูกชายคนเดียวของป๊า ต่อให้เป็นลูกเมียน้อยที่เกลียดแสนเกลียดยังไง แต่แม่ใหญ่ก็ทำใจปล่อยมือจากผมไม่ได้อยู่ดี ผมน่ะยังมีประโยชน์กับท่านเสมอ เราเข้าห้องกันดีกว่า มาเดี๋ยวผมช่วยถือกระเป๋าให้”

                อชิระเปลี่ยนเรื่องด้วยการชวนวสุวีเข้าห้อง หญิงสาวหลุบตามองมือที่เขาจับจูง สถานการณ์ของเธอตอนนี้พลิกผันรวดเร็วเกินคาดคิด จากตอนแรกที่ตกลงกับเขาก็ไม่คิดว่าจะมาไกลจนถึงขั้นย้ายมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เท่ากับวสุวีต้องผูกติดกับเขายี่สิบสี่ชั่วโมงเต็ม เธอจะทนได้อย่างไร อชิระทำเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายที่จะจูงมือใครสักคนมาอยู่ด้วย

                “คุณพาผู้หญิงมาค้างด้วยบ่อยไหมคะ”

                “นี่เหมือนเป็นคำถามบังคับเลยเนาะ ถ้าผมบอกว่าบ่อยคุณจะทำไง แล้วถ้าเกิดผมบอกว่าไม่เคยพาใครมาเลย คุณจะเชื่อผมไหม” อชิระย้อนถามแล้วหัวเราะออกมา

                “ฉันว่าเราสองคนต้องหัดเรียนรู้ที่จะเชื่อใจกันนะคะ” วสุวียิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจริงใจ “ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะไม่เชื่อ ในเมื่อเรื่องใหญ่กว่านี้ฉันยังกล้าเชื่อใจคุณ อย่าลืมสิคะแล้วก็อย่าด้อยค่าตัวเองด้วย คุณอาจจะเป็นเสือผู้หญิง เป็นผู้ชายร้ายๆ ที่ต้องระวังเมื่ออยู่ใกล้ แต่ฉันรู้ว่าฉันสามารถเชื่อใจคุณได้ จริงไหมคะ”

                อชิระยืนนิ่ง มองหญิงสาวด้วยความรู้สึกหลากหลาย วสุวีทำให้หัวใจที่กำลังเดือดพล่านด้วยโทสะสงบเยือกเย็นลง เขาไม่เคยต้องการให้ใครมายกยอเอาใจ แต่คำพูดของเธอทำให้เขาอยากจะดีมากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องผิดหวังที่เลือกวางใจคนอย่างเขา

                “ผมไม่เคยพาใครมาที่นี่”

                เขาบอกอย่างหนักแน่น ก่อนจะปล่อยมือเธอเพื่อเปิดประตูห้อง อชิระเดินนำเข้าไป เปิดไฟสว่างจนกระทั่งถึงห้องนอน เขาเอากระเป๋าไปวางไว้หน้าตู้เสื้อผ้า ก่อนจะเดินย้อนกลับมาหาเธอที่ยืนทำอะไรไม่ถูก ห้องชุดของเขากว้างใหญ่ก็จริง แต่กลับมีห้องนอนเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น

                “คุณจะให้ฉันนอนห้องนี้จริงๆ หรือคะ”

                “ก็ผมมีอยู่ห้องเดียว คุณจะหนีไปนอนที่ไหนได้ล่ะ อย่าคิดมากน่า ไม่มีอะไรเสียหายไปกว่าที่เราเคยทำกันหรอก” เจ้าของห้องยิ้มกริ่ม “เราไปไกลเกินขอบเขตคำว่าเหมาะสม ไม่เหมาะสมแล้ว อีกอย่าง...จากคำพูดของพี่สาวนอกไส้ของคุณและการกระทำของไอ้ระยำอัปรีย์นั่น”

                “เขาชื่อภูรีค่ะ” วสุวีช่วยแก้ให้ทั้งที่สะใจอยู่ไม่น้อย เธอไม่นึกสงสารที่ภูรีถูกทำร้ายหรอก เขาสมควรได้รับสิ่งนั้นแล้ว 

                อชิระกระทืบเขาด้วยความโกรธ แววตาที่ใช้มองภูรีในตอนนั้นโหดเหี้ยมดุดันเกินสิ่งใดเปรียบ ในความตกใจและหวาดกลัว วสุวีแอบพอใจอยู่ลึกๆ เพราะนอกจากแม่ก็ไม่มีใครเดือดร้อนแทนเธอนานแล้ว การที่เราได้รับการปกป้องจากใครสักคน มันทำให้รู้สึกมีค่า

                เธอไม่เคยคาดหวังกับอชิระ ยอมทุ่มทุกสิ่งในชีวิตเพื่อเดิมพันกับโชคชะตา และเขาก็เกือบจะทำให้เธอสิ้นหวัง กระทั่งวันนี้วสุวีรู้ตัวแล้วว่าตัดสินเขาเร็วเกินไป อชิระอาจจะปากร้าย แต่เขาก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ

                “เรียกว่าอัปรีย์นั่นแหละเหมาะกับมันดี” เสียงเขายังขุ่นเคืองไม่พอใจ พูดต่อจากที่ค้างเอาไว้ “ยังไงผมก็ไม่ยอมให้คุณกลับไปโรงแรมวิรงรองแน่ ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยให้คุณได้เลย คุณอยากจะดื้อตะแบงเรื่องไหนก็ได้ แต่เรื่องนี้คุณต้องเชื่อฟังผม อยู่กับผมแล้วจะไม่มีใครทำอะไรคุณ”

                “นอกจากตัวคุณเองใช่ไหมคะ” 

                “ใช่ แต่ผมชอบทำรักมากกว่าทำร้าย คุณก็แค่ทำใจรอรับความสุขจากผม”

                “ขอบคุณค่ะคุณเสือ” วสุวียิ้มทั้งน้ำตา โผเข้าหาชายหนุ่ม สองแขนโอบรัดกายแกร่ง อชิระทำให้หัวใจที่แห้งแล้งอบอุ่นชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างประหลาด 

                หลายวินาทีกว่าที่ชายหนุ่มจะหายงุนงงและกอดตอบเธอ เขายิ้มอย่างมีความสุขขณะลูบไล้ปลอบประโลมคนในอ้อมแขน

                “เรื่องของเราไม่จำเป็นต้องปิดบังใครหรอกนะ จะช้าจะเร็วคนก็ต้องรู้ ยิ่งเปิดเผยผมคิดว่าคุณจะยิ่งได้เปรียบ อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้ายุ่งกับผู้หญิงของผม ส่วนในแง่ธุรกิจคุณลองคิดดู ถ้ามีผมคอยหนุนหลังให้ ใครมันจะกล้างัดกับคุณ สู้กับคุณก็เหมือนสู้กับผม คุ้มที่จะเสี่ยงเหรอ”

          “ฉันไม่แน่ใจค่ะ”

                ผู้หญิงของอชิระ...เธอก็คงเป็นได้แค่นั้น ขนาดยอมอายเป็นฝ่ายขอให้เขาจดทะเบียนด้วย เขายังบ่ายเบี่ยงขอคิดดูก่อน แล้วเธอจะคาดหวังอะไรที่มากกว่านี้ได้ล่ะ สุดท้ายก็ต้องเป็นผู้หญิงของเขาแบบไม่มีสถานะที่แน่นอนรองรับ ผู้คนคงได้เก็บไปนินทากันสนุกปาก

                “ขมวดคิ้วอีกแล้ว พอเถอะไม่ต้องคิดมาก ผมแค่เสนอแนวทางให้ฟังเฉยๆ คุณยังไม่แน่ใจก็ให้คิดทบทวนไปก่อน” อชิระเหมือนจะรู้ว่าเธอปลงไม่ตก เขาตบไหล่เธอเบาๆ เป็นการเรียกสติ รอยยิ้มของเขาทำให้เธออุ่นใจมากขึ้น “ถึงผมจะเป็นเสือ แต่ผมก็ไม่คิดกินเลือดกินเนื้อคุณสักหน่อย อย่าเพิ่งเครียด ค่อยๆ คิด เพราะตัวผมเองก็ต้องคิดทบทวนข้อเสนอของคุณเหมือนกัน”

                “ให้ฉันคิดหน่อยนะคะ”

                “อนุญาตให้คิดตามสบาย แต่ตอนนี้ไปอาบน้ำก่อน จะได้เข้านอนกันสักที ถึงผมจะฟิตเต็มถัง แต่ร่างกายก็ต้องการการพักผ่อนอยู่นะ”

                เขาขยับกายเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ลงมือคุ้ยๆ ค้นๆ อยู่พักหนึ่งก็หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ส่งให้

          “ผมไม่เคยมีแขก แต่ก็พอจะมีของสำรองเผื่อเอาไว้”

                “ขอบคุณค่ะ” วสุวีรับแล้วเดินเข้าห้องน้ำอย่างไม่อิดออด หญิงสาวเปิดน้ำใส่อ่าง ถอดเสื้อผ้าออกแล้วก้าวลงไปนอนแช่ ผ่อนลมหายใจแล้วหลับตาลงอย่างอ่อนล้า 

                อุณหภูมิของน้ำช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ กลิ่นหอมของสบู่สร้างความเพลิดเพลินจนไม่อยากขยับตัวไปไหน วสุวีเอนหลังทิ้งศีรษะหนุนเหนือขอบอ่าง กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้วถ้าหูของเธอไม่ได้ยินเสียงคนเปิดประตู

                “คุณเสือ!” หญิงสาวตะลึงตาค้าง จ้องเขม็งไปที่ร่างเกือบเปลือยของอชิระ ความผ่อนคลายสบายใจกลายเป็นความตื่นเต้นระทึกขวัญ ทั้งตัวเขาตอนนี้มีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวพันเอวไว้ แผงอกกำยำกับกล้ามท้องตึงแน่นทำให้เธอหายใจติดขัด “ขะ...เข้ามาทำไมคะ ฉันยังอาบน้ำไม่เสร็จเลย”

                “ก็ไม่อยากจะขัดความสำราญหรอกนะคุณผู้หญิง แต่ถ้าจะนอนแช่น้ำอย่างนี้ทั้งคืน คุณจะไม่สบายเอาได้ ขึ้นมาล้างตัวเถอะ” เขาชวนง่ายๆ เหมือนไม่รู้ว่าร่างเธอที่อยู่ใต้ฟองสบู่นั้นเปลือยเปล่าล่อนจ้อน

                “คุณออกไปก่อนสิคะ ยืนขวางแบบนี้ฉันจะล้างตัวยังไง”

                “ล้างได้” มุมปากอชิระมีรอยยิ้มของเสือจอมเจ้าเล่ห์ “เดี๋ยวออกไปพร้อมกันเลย คุณรอผมอาบน้ำแป๊บเดียว ไม่นานหรอก”

                ชายหนุ่มไม่สนใจอาการตื่นตะลึงอ้าปากค้าง เขาปลดผ้าผืนนั้นออกพาดราวลวกๆ สองขาก้าวเข้าชิดอ่างพลางช้อนร่างหญิงสาวขึ้นมา พาเธอเข้าไปยืนในตู้อาบน้ำแล้วเปิดฝักบัวราดรด ฟองสบู่ที่ยังอำพรางสายตาได้ค่อยๆ หายไปเนื่องจากการชะล้าง 

                ร่างเปลือยเปล่าขาวโพลนปรากฏตรงหน้า แววตาอชิระพร่ามัวความปรารถนา จับจ้องเธออย่างไม่วางตา ค่อยๆ ช่วยลูบล้างฟองสบู่จนหมดสิ้น วสุวียกมือลูบหน้าไล่หยดน้ำ สองสายตาประสานกันโดยไร้คำพูด

                ร่องรอยความไม่สบายใจของเธอเป็นสิ่งที่อชิระไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ ชายหนุ่มเชยคางเธอขึ้นแล้วถามอย่างอ่อนโยน

                “คุณไม่ได้กลัวผมใช่ไหม” 

                “ไม่กลัวค่ะ ฉันแค่...” แววตาหวาดหวั่น ริมฝีปากเธอสั่นน้อยๆ “รู้สึกไม่ดี ฉันขยะแขยงเวลาที่พี่ภูเข้ามาอยู่ใกล้ๆ”

          “ตอนเปิดประตูเข้าไปเห็นมันทำกับคุณอย่างนั้น ผมแทบอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือ”

          “ฉันไม่เคยเห็นคุณน่ากลัวแบบนั้นมาก่อนเลย แต่ฉันดีใจมากนะคะที่เห็นคุณ ฉันพยายามร้องให้คนช่วย แต่ยิ่งร้องก็ยิ่งหมดหวัง”

          “ลืมมันไปเถอะนะ อย่าเก็บมาใส่ใจ”

                อชิระลูบเส้นผมเปียกชื้นของเธอ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงประทับจุมพิตกลางหน้าผากนวลกระจ่าง ใช้จูบอ่อนโยนปลอบประโลมหัวใจที่บอบช้ำ วสุวีโอนอ่อนยอมเปิดทางให้เขาสัมผัสอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ริมฝีปากอบอุ่นเลื่อนลงมาตามใบหน้าและพวงแก้มนุ่ม

                “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น คุณยังเป็นคุณ คนเลี้ยงเสือของผม”

                ชายหนุ่มกระซิบบอกความในใจผ่านสัมผัสอ่อนหวานทะนุถนอม วสุวีรับรู้ถึงแรงปรารถนาท่วมท้นที่เขามีต่อเธอ จากสายตาเขา สายตาที่ซื่อตรงต่อความรู้สึก มันเป็นแบบนี้เสมอยามที่เขามองเธอ เขาทำให้เธอรู้สึกมีค่า เป็นที่ปรารถนาไม่สิ้นสุด 

                จูบของเขาทำให้วสุวีตัวสั่น ปลดปล่อยความหวาดหวั่นจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น ความต้องการถูกปลุกเร้าจนรวดร้าว กายเธอไหวสะท้านเจียนคลั่ง โหยหาเพียงเขาเท่านั้นมิใช่ชายอื่น หญิงสาวตระหนักได้ในนาทีนั้น เธอเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

                วสุวีไม่เคยคิดรังเกียจสัมผัสของอชิระ ไม่ว่าฝ่ามือคู่นั้นจะโลมลูบคลึงเคล้าในส่วนสงวนที่ซ่อนเร้น ไม่ว่าปากลิ้นของเขาจะครอบครองลึกล้ำสักแค่ไหน เธอก็พรั่งพร้อม หลอมละลายเพื่อให้เขาได้ตักตวงความสุขอย่างเต็มที่ 

                แต่พอเป็นภูรีเธอกลับทนไม่ได้ ร่างกายและจิตใจต่อต้านขัดขืน แค่คิดถึงกลิ่นลมหายใจน่าสะอิดสะเอียนของคนสารเลวนั่น วสุวีก็คลื่นไส้แล้ว

                “ฉันขยะแขยงจนอยากกลั้นใจตายตอนที่พี่ภูมาอยู่ใกล้ๆ” หญิงสาวถอนหายใจโล่งอกที่แคล้วคลาดจากภูรี ถึงจะรู้ว่าอชิระอันตราย แต่เธอก็เต็มใจเสี่ยงกับเขามากกว่า สองแขนของเธอยกขึ้นโอบรอบลำคอเขา “ขอบคุณที่เปลี่ยนใจกลับมาหาฉันนะคะ”

                “ขอบคุณความตะกละของผมเถอะ วันนี้คุณยังไม่ได้ให้อาหารเสือ ผมก็เลยหาเรื่องวนรถกลับไป” อชิระดึงความสนใจของหญิงสาวไปเรื่องอื่น

                วสุวีเขินจนหน้าแดง แต่กลับเบียดกายเข้าหาเขาอย่างออดอ้อน “กินบ่อยๆ ไม่เบื่อบ้างหรือไงคะ” 

                “หือ...ถามแบบนี้พิสูจน์กันทั้งคืนก็ยังไหว”

                คำพูดเย้ายวนใจนั้นส่งผลให้ร่างกายเธอผลิบานรอคอย วสุวีไม่อาจสู้สายตาชื่นชมเล้าโลมนั้นได้ ดวงตาคู่สวยหลุบลงมาที่ระดับอก ไม่กล้ามองต่ำไปมากกว่านั้น ด้านล่างมีอะไรรออยู่ ทำไมเธอจะไม่รู้ ตัวตนของเขากำลังหยอกเย้าเคล้าเคลียกับซอกขาเธอ

                อชิระเบียดเข้ามาใกล้อีกนิด ขยับกลางลำตัวยั่วเย้าให้ใจเธอไหวหวั่น สองมือประคองแก้มนวล ดันใบหน้าหญิงสาวให้เงยขึ้นเพื่อสบตากัน

                “ช่วงนี้ผมก็ไม่รู้เป็นยังไง กินคุณเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มเสียที”

                วสุวีตัวสั่นเมื่อถูกจูบเบาๆ ริมฝีปากของเขาอุ่นนุ่มชวนเคลิ้มฝัน ทว่าคำพูดและสายตาร้อนแรงที่มองมานั้นทำหัวใจเธออ่อนยวบ

                “ขอกินอีกได้ไหมครับ”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น