บทที่ 9

9

          อชิรญาณ์เพิ่งกลับถึงบ้าน วันนี้มีงานเลี้ยงการกุศลและมีการประมูลเครื่องเพชร เจ้าสัวอรุณกลับรถอีกคันเพราะต้องไปส่งคุณมณีจันทร์ที่บ้าน 

                หญิงสาวเพ่งมองแสงไฟในบ้านที่ยังสว่างโร่เหมือนตอนหัวค่ำที่เธอออกไป พอเข้าในบ้านก็ต้องชะงักเมื่อเห็นผู้เป็นแม่นั่งรออยู่ สมองอันชาญฉลาดขบคิดทบทวนอย่างรวดเร็วถึงสาเหตุความเป็นไปได้ มีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณเดือนฉายนั่งหน้าตึงรอเธออย่างนี้

                หญิงสาวสูดลมหายใจรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายของวันนี้ เดินฉีกยิ้มกว้างเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งข้างแม่

                “ทำไมวันนี้คุณเดือนฉายนอนดึกจังล่ะคะ”

                “ฉันนอนไม่หลับ ผู้หญิงคนนี้ใคร?” คุณเดือนฉายถามพร้อมเลื่อนโทรศัพท์ให้ลูกสาวได้เห็นรูปภาพชัดๆ

                อชิรญาณ์ก็เกือบร้องอ๋อ แต่นึกขึ้นได้ถ้าบอกโพล่งไปเลยก็เกรงว่าจะบ้านแตกเพราะพิษรักแรงหึง แค่วันนี้ป๊าออกงานกับแม่รอง จิตใจของแม่เธอก็ไม่เป็นสุขอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะได้รูปนี้มายังไง หญิงสาวถ่วงเวลาแกล้งเอียงคอเพ่งมองซ้ายทีขวาที แต่แม่ก็คือแม่ คุณเดือนฉายคงเดาออกว่าเธอรู้ตั้งแต่แรกเห็น

                “แกอย่ามาลูกไม้นะยายปลา คิดว่าฉันโง่นักรึไง”

                “โธ่...ใครจะกล้าคิดอย่างนั้นกับแม่คะ หนูละอยากรู้”

                “ก็แกกับป๊าของแกไงล่ะ” คุณเดือนฉายสะบัดหน้าค้อนขวับ “ฉันตงิดใจอยู่แล้วเชียวตอนที่ป๊าแกบอกว่าจะซื้อที่แล้วต้องไปดูด้วยตัวเอง เมื่อก่อนซื้อที่ทีละพันไร่ไม่เคยจะต้องลากสังขารไปสำรวจ นี่ที่แค่ห้าสิบไร่รีบถ่อไปเหมือนไฟจี้ ทำไมแกไม่บอกฉันว่าเจ้าของที่ยังสาวยังสวยขนาดนี้ นี่แกอยากได้แม่เลี้ยงเพิ่มอีกหรือไง”

                “แม่เข้าใจผิดแล้วละค่ะ”

                “ผิดยังไง”

                “ก็ผิดตรงที่เขาไม่สนใจมาเป็นเมียน้อยป๊าไงแม่ คุณสินีมีคนรักแล้ว เป็นหนุ่มนักเรียนนอกโพรไฟล์ดีเลิศแถมหล่อมาก เขาคงไม่ชายตาแลคนแก่ๆ แบบป๊าหรอก งานคนละเกรดเลย”

                “แต่ป๊าแกอยากชายตาแลเขาแน่นอนฉันมั่นใจ หุบปากไปเลยนะ ถ้าคิดจะเถียงแทน” คุณเดือนฉายมองตาขวางรีบดักคอด้วยเสียงเฉียบขาดชนิดที่ว่าอชิรญาณ์ยังอ้าปากค้าง

                “แม่...หนูพูดหรือยังว่าจะเถียงแทนป๊า” ลูกสาวยิ้มอ่อน เอื้อมมือไปจับมือแม่กุมไว้ “เชื่อเถอะนะคะคุณสินีไม่คิดอะไรเกินเลยกับป๊าจริงๆ แม่ไม่ควรเก็บเรื่องนี้มาคิดให้หงุดหงิดใจ ดูสิคะแทนที่จะนอนหลับสบายๆ ก็ต้องมาปั้นหน้าเครียด มันไม่ดีต่อสุขภาพเลยนะคะ”

          “ทำอย่างกับว่าที่ผ่านมาฉันไม่มีเรื่องให้ต้องคิดมากงั้นแหละ ตลอดเวลาที่อยู่กับป๊าแก ฉันไม่เคยวางใจได้เลย ถึงไม่ใช่คนนี้ก็ยังมีคนอื่น การเป็นเมียหลวงของเจ้าสัวอรุณไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ”

                คุณเดือนฉายแบกความเจ็บช้ำจากตำแหน่งภรรยาเอกของเจ้าสัวอรุณมาครึ่งค่อนชีวิต ต้องฝืนยิ้มยินยอมแบ่งปันสามีสุดที่รักกับหญิงอื่น ต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ เชิดหน้าสู้คำนินทาลับหลังอย่างไม่รู้จักเจ็บจักจำ

                “แม่คะ...เรื่องบางเรื่องเราก็ต้องปล่อยวาง แม่ทนความเจ้าชู้ของป๊ามาทั้งชีวิต เจ็บใจเสียใจมาตั้งเท่าไร แต่จะให้แม่ตัดใจทิ้งป๊าแม่ก็ทำไม่ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนี้แม่ก็ต้องเลือกที่จะสุขกับสิ่งที่มีอยู่นะคะ ถ้าขืนยังต้องมานั่งระแวงกันตลอดเวลา แล้วแม่จะหาความสุขได้จากไหน”

                “ความสุขของฉัน” คุณเดือนฉายแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วบอกกับลูกสาว “ฉันจะเลิกสนใจ ถ้าแกมีลูกให้ฉันเลี้ยง คราวนี้ป๊าแกจะไปตายคาอกใครก็ช่างหัวเลย”

                “แม่! ทำไมเปลี่ยนเป้าหมายมาที่หนูได้ล่ะ” อชิรญาณ์อุทานเสียงสูง ไม่ได้ตกใจที่แม่ตัดป๊าได้อย่างปุบปับ แต่ตกใจเรื่องจะให้เธอมีลูก โอ...เรื่องนี้ยากยิ่งกว่าให้ป๊าหยุดเจ้าชู้ซะอีก 

“ก่อนอื่นแม่ต้องเข้าใจว่าหนูตัวคนเดียวนะคะ จู่ๆ จะท้องป่องขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้าแม่ไม่เกี่ยง หนูขอรับสเปิร์มของใครสักคนมาทำหลานให้เอาไหมคะ”

                “แกคิดว่ามันง่ายนักสินะ”

                “ไม่ง่ายหรอกค่ะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถของหนู” อชิรญาณ์บอกอย่างมั่นใจ เธอไม่จำเป็นต้องมีสามีก็ได้ งานล้นมือขนาดนี้ แค่สเปิร์มดีๆ ที่แข็งแกร่งสมเป็นลูกหลานวรปัทม์ก็พอ

                “ตอนนั้นถ้าฉันกับป๊าของแกไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง แกอาจแต่งงานมีความสุขไปแล้ว” คุณเดือนฉายมองลูกสาวด้วยความรู้สึกผิด “ฉันขอโทษที่ทำให้แกกับหมอต้องเลิกกัน”

          “แม่...”

                คลื่นความโศกเศร้าวูบไหวในแววตาคู่สวย แต่เพียงครู่เดียวก็จางหาย อชิรญาณ์เป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งและปกปิดได้อย่างแนบเนียน เธอจะไม่ยอมให้ใครมองเห็นความอ่อนแอที่ซ่อนไว้เด็ดขาด

                “เราเปลี่ยนเรื่องกันเถอะค่ะ”

                “แกก็เป็นซะแบบนี้ หัดมีมุมอ่อนไหว เปิดใจให้คนใหม่บ้าง”

                คุณเดือนฉายส่ายหน้า เพราะคร้านจะพูดต่อ ท่านรู้นิสัยลูกสาว ต่อให้เศร้าเพียงใดอชิรญาณ์ก็กลบเกลื่อนมันได้ด้วยรอยยิ้ม ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากพูดถึง ท่านก็ได้แต่ปล่อยไปเพื่อคาดคั้นเรื่องใหม่แทน 

                “งั้นเรื่องที่ฉันสั่งให้ไปคุยกับไอ้เจ้าเสือ มันว่าไงบ้าง”

                เฮ้อ...อชิรญาณ์ถอนใจเฮือก ความจริงน่าจะลองเล่นบทเศร้าแกล้งวิ่งหนีไปแอบร้องไห้กระซิกๆ ในห้องยังดีกว่าเปลี่ยนจากเรื่องนั้นเพื่อมาปวดกบาลกับเรื่องนี้

                “จะได้เรื่องได้ราวอะไรล่ะคะ เอาแค่ให้เสือมันมีเมียเป็นตัวเป็นตนให้ได้ก่อนค่อยคิดถึงหลานจะดีกว่า”

                “เมียน่ะหาไม่ยากหรอก ถ้าจะเอาจริงๆ ดูป๊าแกสิ”

                “แต่เสือกับป๊าคนละคนกันนะแม่” อชิรญาณ์เถียงแทนน้อง “หนูว่าแม่เลิกคิดเรื่องหลานเถอะ บอกตามตรงนะคะเผ่าพันธุ์วรปัทม์ของเราเนี่ยเทวดายังไม่น่าจะมาเกิด และถึงเราจะมีกำลังเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งได้อย่างสบายๆ ไม่ลำบากยากแค้น แต่หนูไม่อยากให้ลูกหลานต้องเติบโตมากับข่าวข่มขืน ทำร้ายร่างกาย หรือพวกอินฟูลฯ หิวแสงไม่เว้นแต่ละวันอย่างปัจจุบันนี้”

                ดวงตาคุณเดือนฉายหรี่แคบลงขณะมองลูกสาวด้วยความหมั่นไส้ “แกเคยดูข่าวพวกนั้นด้วยเหรอ ฉันนึกว่าวันๆ เอาแต่คร่ำเคร่งเกร็งกำไรให้ป๊าแกอยู่”

                “แหม...” คนถูกจับได้หัวเราะแหะๆ “ก็มีดูผ่านๆ บ้างค่ะ ยังไงเราก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับสังคมแบบนี้ ฮ้าว...หนูง่วงแล้ว เราไปนอนกันดีกว่า”

                คุณเดือนฉายยังไม่ขยับ แม้อชิรญาณ์จะลุกขึ้นยืนพร้อมยื่นมือรอ ท่านแหงนหน้ามองลูกสาวอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

                “ฉันพูดจริงนะเรื่องหลาน ฉันอยากให้พวกแกมีครอบครัว มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน ที่เน้นเจ้าเสือก็เพราะว่ามันเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ฉันต้องแน่ใจว่ามันมีลูกชายสืบสกุลแล้ว ฉันถึงจะนอนตายตาหลับ”

                “โอ๊ย...งั้นแม่คงได้อยู่จนอายุถึงร้อยปีแน่ค่ะ”

                “นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่นนะยายปลา ฉันน่ะจะเหลือเวลาจ้ำจี้จ้ำไชพวกแกนานแค่ไหนกันเชียว”

                “ก็ต้องนานพอจนกว่าจะกล่อมลูกชายแม่ให้ยอมผลิตทายาทนั่นแหละค่ะ” อชิรญาณ์หาวอีกรอบ

                “ฉันน่าจะตายก่อน”

                “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ ไปนอนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวหนูเดินไปส่งแม่ที่ห้อง”

                “คืนนี้ป๊าแกไม่กลับสินะ” คุณเดือนฉายเหม่อมองไปทางหน้าบ้าน ก่อนถอนสายตากลับมาที่ลูกสาว 

อชิรญาณ์ยิ้มอ่อนโยนอย่างที่สุด “กลับสิคะ ป๊าแค่ไปส่งแม่รอง อีกเดี๋ยวคงมาถึง”

                “อืม...งั้นเราก็ไปนอนกันเถอะ”

                “ใกล้จะวันเกิดแม่แล้ว อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมคะ” อชิรญาณ์ชวนคุยระหว่างเดินขึ้นบันได

                “สิ่งที่ฉันอยากได้ พวกแกก็ให้ฉันไม่ได้ แกน่ะไม่เท่าไหร่ ไอ้น้องชายสุดที่รักของแกยิ่งแล้วใหญ่ อย่าให้ฉันต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดจับพวกแกคลุมถุงชนนะ”

                “หนูไม่เล่นด้วยนะคะ อยากจับก็ไปจับไอ้เสือโน่น”

          “ถ้าแกกล่อมน้องชายตัวดีไม่สำเร็จก็มีสิทธิ์โดนด้วยเหมือนกัน อย่าหาว่าฉันใจดำนะ”

                “งั้นหนูคงต้องไปจับน้องชายสุดที่รักมัดคลุมถุงชนกับใครสักคนสินะคะ” อชิรญาณ์แกล้งถาม

                “ก็เลือกเอาว่าจะโดนฉันจับทั้งพี่ทั้งน้อง หรือแกจะไปจับกันเอง” คุณเดือนฉายหัวเราะเบาๆ อย่างผู้ชนะ เพราะท่านรู้ว่าอชิรญาณ์จะทำอย่างไร “ถึงห้องแล้วส่งแค่นี้แหละ แกกลับไปนอนคิดให้ดีเถอะ ฉันไม่ชอบรออะไรนานๆ หรอกนะ และถ้าฉันลงมือ แกก็รู้ว่าฉันไม่เคยพลาด”

                อชิรญาณ์เป่าลมออกจากปาก ยืนมองประตูห้องของแม่อย่างกลัดกลุ้ม คนอย่างคุณเดือนฉายไม่จำเป็นต้องขู่ เธอรู้ว่าแม่เอาจริง ยิ่งเป็นเรื่องนี้ท่านคงกัดไม่ปล่อย ต้องวางแผนเอาตัวรอดทั้งเธอและอชิระ ไม่งั้นชีวิตคงหาความสงบสุขไม่ได้ จะต้องไม่มีการบังคับขืนใจกันในเรื่องนี้ อชิรญาณ์ไม่ยอมเด็ดขาด

                มองจากสภาพครอบครัวของเธอ นอกจากความร่ำรวยก็ไม่มีอะไรอีกเลยให้น่าอิจฉา คนเราอาจใช้เงินแก้ปัญหาในชีวิตได้ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง อชิรญาณ์ไม่สามารถใช้เงินที่เธอมีซื้อโอกาสที่จะได้นั่งกินข้าวพร้อมหน้ากับพ่อแม่พี่น้อง เธอกับน้องสาวคนรองถูกมองว่าเป็นคู่แข่ง น้องชายคนที่สามของเธอสูญเสียแม่แท้ๆ ตั้งแต่ยังเล็ก การมาอยู่ภายใต้การดูแลของคุณเดือนฉายทำให้อชิระกลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่น ส่วนน้องสาวคนเล็กของเธอเลือกที่จะตัดขาดปัญหาครอบครัวด้วยการทำธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง ทุกคนมีแผลที่ใจและไม่มียารักษาใดที่เงินซื้อได้

                แต่เธอกับน้องๆ ก็ยังสนุกกับการใช้ชีวิต และเลือกที่จะทำให้ตัวเองมีความสุข ก็ไม่รู้ทำไมคุณเดือนฉายถึงอยากได้หลาน ท่านจริงจังจนอชิรญาณ์ชักกลุ้มใจ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แม่ไม่เหมาะกับการเลี้ยงเด็ก ความล้มเหลวของคุณเดือนฉายก็คือบาดแผลในใจของอชิระ น้องชายเธอกลายเป็นคนมีปม ดังนั้นอชิรญาณ์จึงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แค่ความรู้สึกอยากมีอยากได้ มันไม่ยุติธรรมกับเด็กที่จะเกิดมาเลยสักนิด

                ภาพน้องชายในวัยเด็กยังติดตาเธอ อชิระยืนตัวสั่นร้องไห้ขวัญเสีย น้องชายคนนี้อาภัพนัก มีแม่ก็ด่วนมาตายตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ มีป๊าท่านก็ไม่มีเวลาเหลือให้ คุณเดือนฉายที่รับผิดชอบเลี้ยงดูไม่ได้ทำหน้าที่แม่แทนคุณรัศมีได้สมบูรณ์ครบถ้วน องค์ประกอบครอบครัวที่มั่นคงขาดหายแหว่งเว้า เธอเคยคิดด้วยซ้ำว่าที่แม่รับเลี้ยงอชิระก็เพราะจะเอาไว้ดึงความสนใจของป๊ามากกว่า

                อชิรญาณ์โตพอจะรู้ความจึงคอยช่วยเหลือน้องชายตั้งแต่เด็กจนโตเป็นหนุ่มเต็มตัว เพียงแต่เรื่องทายาทนี้เธอไม่มีทางเลี่ยง คุณเดือนฉายจงใจเลือกใช้เธอไปบีบอชิระ ถึงจะดื้อกันสักแค่ไหน แต่บรรดาน้องๆ ก็เกรงใจเธอ นี่ขนาดว่าเธอแกล้งทำเป็นเงียบๆ ไปแล้วแม่ก็ยังไม่เลิกรา แถมทำท่าจะลงมือเองอีก

                คงต้องไปกระตุ้นอชิระสักหน่อย แม่จะได้เห็นว่าเธอไม่นิ่งนอนใจ ส่วนไอ้น้องชายมันก็จะได้หาทางหนีทีไล่เตรียมเอาไว้รับมือ

                อชิระระบายยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้าน ดวงตาคมพราวระยับด้วยประกายแห่งความสุขสมอิ่มเอมใจ ทุกเช้าเขาจะตื่นมาพบวสุวีนอนซุกอยู่ในอกกว้าง ความอ่อนเพลียจากการร่วมรักที่ยอดเยี่ยมเมื่อคืนนี้ทำให้เธอหลับเป็นตาย

                วสุวีกับเขาเข้ากันได้ดี แม้บางครั้งจะยังคงเคอะเขินลังเล แต่สุดท้ายเมื่อถูกไฟปรารถนาแผดเผาเกินหยุดยั้ง การเรียกร้องอย่างไร้เดียงสาก็ทำให้อชิระหน้ามืดมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน 

                ชายหนุ่มยิ้มละมุนขณะก้มลงสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเส้นผมยุ่งเหยิง ปลายนิ้วไล้เล่นบนผิวเนียนที่โผล่พ้นชายผ้าห่ม ใต้ผ้าผืนนี้มีแต่ความเปลือยเปล่าเย้ายวนใจ ปกติวสุวีเป็นคนตื่นไว แค่เขาขยับกายเธอก็มักจะตื่นตาม แต่วันนี้เธอกลับไม่ขยับเขยื้อน แม้ว่าเขาจะแกล้งหอมแรงๆ แล้วก็ตาม

                จะขี้เซาเกินไปแล้ว

                อชิระเหลือบมองนาฬิกาข้างเตียง เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด ทั้งคู่จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปไหน อันที่จริงเขาก็อยากให้เธอพัก แต่ร่างกายเขามันช่างไม่รักดี ขณะที่วสุวียังนอนไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่เขากลับตื่นทั้งตัว

                “อื้อ” เธอปัดมือซุกซนออกอย่างรำคาญ แล้วพลิกกายตะแคงหนีเพื่อนอนต่อ บั้นท้ายหนั่นแน่นสัมผัสกับต้นขาแกร่ง

                “ยั่วเหรอ” อชิระกระซิบเสียงพร่า ดันแก่นกายร้อนแรงหยอกล้อกับเนื้อนุ่ม “ตื่นมาคาร์ดิโอกันสักยกดีไหม”

                “ไม่เอาอย่ากวน ฉันจะนอน” 

                วสุวีพึมพำว่าแล้วขยับตัวหนีทั้งที่ยังไม่ลืมตา แต่อชิระดักทางเธอด้วยการล็อกเอวแล้วส่ายสะโพกถูไถประกาศความต้องการ คราวนี้ต่อให้วสุวีอยากนอนก็คงนอนไม่ได้นาน ถูกเขาบดๆ ยั่วๆ อยู่อย่างนั้นก็พลันร้อนวูบวาบทั้งเรือนกาย เธอรีบตะครุบมือเขาไว้ก่อนที่มันจะลูบไล้สร้างความปั่นป่วนตรงหน้าท้องและหว่างขา

                “คุณเสือไม่เล่นนะคะ ฉันจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว”

                “ไม่เป็นไร วันนี้วันหยุด ไม่ต้องเดินไปไหนหรอก กลิ้งไปกลิ้งมากันบนเตียงนี่แหละ” เสียงพึมพำต่ำพร่าแทบไม่ได้ศัพท์ ริมฝีปากจูบเม้มตามเนื้อตัว เริ่มจากใบหูแล้วต่อที่ซอกคอ ทำเอาวสุวีขนลุกซู่ ความปรารถนาเอ่อล้นจนเปียกชื้น

                “นี่มันจะเกินไปแล้วนะคะ ใจคอคุณทำด้วยอะไรกัน ไปหาหมอเถอะ ฉันว่าบางทีคุณอาจจะเป็นโรค...” หญิงสาวพลิกตัวกลับมาพร้อมใบหน้าแดงก่ำ อชิระอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกแล้วตรงนั้นของเขาก็กำลังทักทายความสาวที่ชุ่มฉ่ำรอคอยของเธอพอดี

                “โรคอะไร”

                “โรค...ติดเซ็กซ์”

                “อืม...ถ้างั้นพอมีทางรักษา ไม่ต้องถึงมือหมอหรอก” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ จุ๊บระหว่างคิ้ว “หนามยอกเอาหนามบ่ง ติดเซ็กซ์ก็แค่มีเซ็กซ์ คุณช่วยผมหน่อยแล้วกัน ถือเสียว่าสงสารเสือป่วย”

                “อุ๊ย! คุณเสือ คนบ้านี่! เล่นอะไรเนี่ย” วสุวีหัวเราะเสียงดัง หลบคนที่แกล้งซุกไซ้ทำให้เธอจั๊กจี้จนไม่อาจทนเงียบอยู่ได้ กว่าอชิระจะหยุดแกล้ง เธอก็เหนื่อยจนหอบ

                หญิงสาวนอนหายใจแรงอยู่ใต้ร่างใหญ่โต มองเขาด้วยประกายตาหวานซึ้ง อชิระช่วยปัดเส้นผมเธอให้เข้าที่ รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนจนทำให้คนข้างล่างใจแกว่ง

                “ทำไมมองฉันแบบนี้ล่ะคะ”

                “ถุงยางหมด”

                วสุวีหน้าแดงซ่านกับคำพูดตรงๆ ของเขา 

                “จะหยุดแค่นี้หรือคะ”

                “ไม่มีทาง” เขาส่ายหน้ายืนยันความมุ่งมั่นด้วยการกดสะโพกหมุนวนกับเนินเนื้อนุ่ม “แค่แจ้งให้ทราบเท่านั้น”

                “คนเจ้าเล่ห์” หญิงสาวหัวเราะพร่าเลือน เสียววาบในช่องท้องกับภาพจินตนาการแสนเร้าใจ อย่างอชิระน่ะหรือจะหยุดเรื่องนี้ได้

                เมื่อไฟรักร้อนแรงจนเกินหักห้าม อะไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการที่พุ่งทะยานไร้ขอบเขต วสุวีก็แค่เตรียมตัวรอรับความสุขสมที่เขาปรนเปรอให้ อชิระเป็นนักล่าที่ทั้งเมตตาและไร้ความปรานีในเวลาเดียวกัน เขาทำให้เธอรวดร้าวทรมานเรียกร้องหาการเติมเต็มครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็มอบความสุขเสียวซ่านหวานแหลม ทำให้เธอแหวกว่ายในห้วงหฤหรรษ์ เขาไม่พอและไม่เคยหยุดที่จะแสดงความหิวกระหายในตัวเธอ วสุวีมองปลายคางที่เริ่มมีไรหนวดจางๆ ปรากฏ ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกเขาอย่างขัดเขิน

                “ก็...ได้ข่าวว่าหมดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

                “แต่ผมไม่พลาดเลยใช่ไหมล่ะ” อชิระครางเบาๆ ในหัวคิดถึงแต่ภาพตอนที่ธารรักพุ่งกระฉูดไปบนบั้นท้ายของเธอ ความต้องการแรงกล้าจู่โจมจนแก่นกายสั่นระทึก ทั้งเสียงครางและความสุขสมยังตราตรึง เขาอยากทำอย่างนั้นจนสะท้านไปทั้งกายใจ “อีกครั้งนะครับ เดี๋ยวนี้เลย”

                เขาผลักเข่าเธอให้แยกออก ส่วนปลายแตะไล้ความชุ่มฉ่ำพรั่งพร้อม วสุวีน่ารักมากๆ ก็ตรงนี้ คนปากไม่ตรงกับใจ สะกิดทีไรเป็นต้องปฏิเสธ แต่พอถึงเวลาเครื่องร้อนได้ที่ร่างกายกลับคลี่ขยายต้อนรับเขาอย่างยินดีปรีดา เธอถูกสร้างมาเพื่อมอบความสุขให้เขา ทุกอย่างมันช่างเหมาะเจาะลงตัว

                “คุณเสืออย่าแกล้งกันสิคะ” หญิงสาวประท้วงเสียงสั่น บิดเร่าเมื่อเขายังรีรออยู่ที่ปากทาง อชิระแกล้งถ่วงเวลาให้เธอทรมานเล่น

                “ก็เมื่อกี้ทำเหมือนไม่อยาก ผมเลยไม่ฝืนใจคุณ” เขาแกล้งผละถอยจนเธอต้องหยัดสะโพกตาม

                “คุณ อ๊ะ!” น้ำเสียงดุๆ แปรเปลี่ยนในตอนที่เขาโจนจ้วงเติมเต็มความเป็นชายเข้ามาอย่างไม่บอกกล่าว มันรวดเร็วเสียวซ่านเสียจนเธอครางเสียงหลง

                “ผมชอบเสียงคุณ ครางดังๆ ผมอยากฟังอีก” อชิระปลุกเร้า ส่งตัวตนตอกตรึงเข้าออกเนิบนาบเป็นจังหวะเชื่องช้าแต่หนักแน่นเต็มกำลังทุกการเคลื่อนไหว “ไม่ต้องอายคนดี ที่นี่มีแค่เราเท่านั้น เรียกผมสิ เรียกดังๆ”

                “คุณเสือ! คุณเสือ! คุณเสือ อื้อ...”

                ชายหนุ่มเปลี่ยนจากเนิบนาบเป็นจังหวะถี่กระชั้น วสุวีถูกสาดซัดด้วยพายุเสน่หา ลมหายใจของเธอขาดห้วง เสียงหวานดังกระท่อนกระแท่น เธอกำลังจะตายเพราะความเสียวซ่านเร้าใจที่เขามอบให้ อชิระเป็นเพียงทางรอดเดียวที่ต้องยึดเหนี่ยวไว้ สองแขนกอดรัดกายแกร่งแน่นหนา ปากก็คร่ำครวญร้องเรียกชื่อเขาอย่างเอาใจ

                อชิระกัดฟันเร่งสะโพกโยกใส่ระรัวกระทั่งเสี้ยววินาทีสุดท้ายที่วสุวีหวีดร้องอย่างสุขสม ชายหนุ่มรีบถอดถอนแก่นกายออกมาปลดปล่อยธารรักแตกกระจายเต็มหน้าท้องหญิงสาว ก่อนทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แล้วหยอกล้อเธออย่างเหนื่อยอ่อน

                “อยู่กับผมรับรองฟิตแอนด์เฟิร์ม ไม่ต้องเสียเงินจ้างเทรนเนอร์”

                “คุณไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนคะ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง” หญิงสาวยิ้มเขิน ทุบอกเขาเบาๆ

                “จะหนีไปไหนล่ะครับ” เสียงเขาดังอู้อี้ ขณะที่มือคว้าแขนเธอเอาไว้

                “ไปอาบน้ำค่ะ คุณทำฉันเลอะเทอะแต่เช้า”

          “ก็คุณทำผมแข็งเป๊กก่อนนี่นา”

                “ไม่คุยด้วยแล้ว คุณเสือทะลึ่ง” 

                เธอหย่อนขาลงเตียง แต่แล้วก็ต้องรีบชักขากลับเมื่อมีเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้น วสุวีหันขวับไปจ้องประตูเขม็ง ขณะที่อชิระผงกหัวงัวเงียขึ้นมองเหมือนกัน

                “ใครมาคะ” หญิงสาวถามหน้าตาตื่น

                “กล้าบุกมาหาผมถึงที่แถมมีคีย์การ์ดเข้าห้องก็มีอยู่แค่คนเดียว” อชิระดันร่างขึ้นนั่ง เดาออกว่าข้างนอกคงเป็นอชิรญาณ์ แต่ให้ตายสิ มาหาเขาในวันหยุดเนี่ยนะ พี่ปลาบ้าไปแล้วรึไง “คุณไม่ต้องตกใจหรอก จะอาบน้ำก็ไปเถอะ เดี๋ยวคุยกับพี่ปลาเสร็จเราออกไปหาอะไรกินกัน ผมไปไล่แขกแป๊บ”

                อชิระคว้าเอวหญิงสาวดึงร่างเธอเข้ามากอด แกล้งงับไหล่เธอเล่นและหอมแก้มนวล ก่อนจะปล่อยเธอเป็นอิสระ แล้วคว้าเสื้อคลุมมาสวมลวกๆ แล้วเดินออกไปต้อนรับพี่สาว

                วสุวีนั่งเอามือกุมแก้มสุกปลั่ง นึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน อชิรญาณ์เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร นานแค่ไหน และจะได้ยินเสียงของพวกเธอก่อนหน้านี้หรือไม่

          โอ๊ย...แล้วต่อไป เธอจะมองหน้าพี่สาวเขาได้อย่างไร อุตส่าห์มั่นใจว่าอยู่กันสองคน ตอนนั้นก็เลยไม่คิดถนอมเสียง คุณเสือก็ยุยงส่งเสริมให้เธอครางดังอีกๆ จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหนกันล่ะคราวนี้ น่าอายชะมัดเลย

                ความตั้งใจของหญิงสาวเปลี่ยนไปเมื่อเห็นประตูห้องที่อชิระแง้มทิ้งไว้ เธอคว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วค่อยๆ ย่องไปแอบฟังสองพี่น้องคุยกันที่ด้านนอก แม้จะรู้ว่าเป็นการเสียมารยาท แต่ก็เป็นอชิระที่ไม่ยอมปิดประตูเองนี่นา แล้วเสียงอชิรญาณ์ก็ดังลอดเข้ามาในห้องด้วย วสุวีฟังไม่ถนัด ไหนๆ ก็จะได้ยินแล้ว เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนเธอควรตั้งใจแอบฟังให้มันรู้เรื่องไปเลยดีกว่า

                “แกชักจะเอาใหญ่แล้วเสือ เดี๋ยวนี้ถึงขนาดหิ้วเหยื่อกลับมากินที่ห้องแล้วเหรอ ฉันคิดว่าแกน่าจะละเว้นพื้นที่ส่วนตัวไว้บ้าง ที่ไหนได้เล่นแหกปากครวญครางอย่างกับนางเอกหนังเอกซ์ ไม่อายผีสางเทวดาก็น่าจะอายฉัน” อชิรญาณ์เปิดฉากว่าทันทีที่เห็นหน้าน้อง

          “เดี๋ยว...ใครจะไปคิดล่ะว่าสาวใหญ่ใจเปลี่ยวจะบุกมาหาถึงที่ แล้วผีสางเทวดาน่ะน่าจะอยากฟินแบบผมมากกว่า พี่ว่างั้นปะล่ะ” ชายหนุ่มลดเสียงถามอย่างนึกสนุกจึงถูกพี่สาวถลึงตาใส่

                “ไอ้เสือ!”

                “อะๆ ใจเย็นๆ พี่ โมโหมากเดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตก” อชิระเลยไปรินน้ำเย็นใส่แก้วเสิร์ฟให้พี่สาว “เอ้า! ดื่มน้ำดับอารมณ์ก่อน แล้วมาหาผมแต่เช้านี่มีอะไรด่วนเหรอ”

                “แกกับลูกสาวคุณวิรงรองนี่มันยังไง ทำไมจู่ๆ กลับคำยอมซื้อโรงแรมเขา” 

                หลังจากนอนขบคิดอยู่หลายคืน ในที่สุดอชิรญาณ์ก็พอจะมองเห็นทางรอด แต่แผนนี้อชิระต้องร่วมมือกับเธอด้วย

                “อยากได้ก็ซื้อ จะต้องมีเหตุผลอะไรซับซ้อนด้วยเหรอ”

                “ฉันว่าไม่ใช่แค่นั้น”

                “เอ้า! แล้วจะให้แค่ไหนล่ะครับ ถ้าพี่ปลามาเพราะสงสัยเรื่องนี้ก็สบายใจเถอะ ทุกอย่างเป็นแค่ธุรกิจ” ชายหนุ่มปิดปากเงียบ ไม่ยอมบอกว่าเสียงครางที่พี่ได้ยินเป็นเสียงของลูกสาวคุณวิรงรอง เขาจะไม่ยอมเอ่ยถึงวสุวีจนกว่าจะได้รู้ว่าพี่ถามถึงเรื่องนี้ทำไม

                “แต่ฉันไม่เคยเห็นแกเปลี่ยนใจกลับไปกลับมาอย่างนี้”

                “เอาเป็นว่าผมกับลูกสาวคุณวิมีข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน”

                “สายตาแกไม่น่าไว้ใจเลยนะเสือ ฉันอยากจะเตือนแกสักหน่อย”

                “ไม่จะแล้วมั้งพี่” อชิระเหยียดยิ้มยียวน แต่พี่สาวของเขาดูเคร่งเครียดจริงจังเกินกว่าจะทำเล่นๆ ชายหนุ่มปรับท่าทางเป็นตั้งใจมากขึ้น “อะๆ จะเตือนอะไรก็ว่ามา ผมรอฟังอยู่”

                “เรื่องธุรกิจของแกนี่แหละ แกต้องรู้นะเสือว่าระดับลูกสาวคุณวิ จะทำเป็นเล่นไม่ได้ ถึงแม่เขาจะไม่อยู่แล้ว แต่หลายคนก็ยังนับถือและให้เกียรติคุณวิ แม่กับป๊าก็เหมือนกัน”

                “ไม่เล่นหรอก ผมเอาจริง”

          “เฮอะ! เอาจริงด้วยการหิ้วใครก็ไม่รู้มาเล่นหนังเอกซ์จนสะท้านห้องก้องประตูแบบเมื่อกี้น่ะนะ แกเอาจริงกับใครไหนบอกมาซิ”

                “ฮื้อ ไม่เอาน่าพี่ ใครจะรู้ว่าพี่มาล่ะ แล้วนี่ก็วันหยุดของผม ดีเท่าไรที่ไม่เปิดผลัวะมาเจอผมกับเธอแซ่บนัวกันอยู่ตรงนี้ พี่อาจจะช็อกไปเลยก็ได้ อย่าคิดว่าผมไม่เคยทำนะ” เสียงหัวเราะของชายหนุ่มส่อไปในทางล่อแหลม

                “แกนี่มันเหลือเกินจริงๆ” อชิรญาณ์มองโซฟาด้วยสายตาหวาดระแวง โชคดีที่เธอเลือกนั่งเก้าอี้ตัวนี้ อย่างน้อยมันก็คับแคบเกินกว่าที่น้องชายของเธอจะเปิดการแสดงฉากรักร้อนแรงอย่างที่มันว่า “แกจะทำอะไร ฉันไม่ยุ่งหรอกนะ แต่อย่ารุ่มร่ามให้มันมากนัก ไม่ใช่หนุ่มน้อยวัยคึกคะนองแล้ว มันจะกระทบภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือ”

                “คร้าบบบบ” อชิระตอบรับแข็งขัน ส่วนตัวพี่สาวเขานั้นกระแทกลมหายใจอย่างเอือมระอา

                “รู้จักเจ้าของที่ดินแปลงใหม่ที่ป๊าจะซื้อไหม” อชิรญาณ์เปลี่ยนเรื่อง

                “จะได้ซื้อจริงเหรอ เหมือนป๊าเอาเงินไปเสนอเป็นสินสอดให้ตัวเองยังไงไม่รู้สิ ผู้หญิงเขามีคนรักอยู่แล้วก็น่าจะละเว้นบ้าง ปกติป๊าไม่เคยพลาดข้อมูลพวกนี้นะ”

                อชิระแค่นเสียงค่อนขอด เขาได้ข่าวมาสักพักแล้ว แต่ก็คิดว่าไม่เกี่ยวกับตัวเองสักเท่าไรถ้าป๊าจะมีเมียใหม่เพิ่มมาอีกสักคน ส่วนคนที่เดือดร้อนน่ะมีแน่ คุณเดือนฉายไงล่ะ

                หากเขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ แม่ใหญ่ก็คงโทร. ไปตามป๊า รายงานว่าเขามีอาการปวดหัวตัวร้อนกะทันหันเพื่อดึงความสนใจป๊ากลับมา หากโชคร้ายป๊าไม่สนใจ สถานการณ์จะเลวร้ายมากขึ้น เด็กชายอชิระจะกลายเป็นต้นเหตุแห่งการทะเลาะเบาะแว้ง เสียงโต้เถียงอย่างไม่มีใครยอมใครของสองสามีภรรยายังตราตรึงอยู่ในโสตประสาทเขา

                โชคดีที่อชิระหลุดพ้นจากวังวนนั้นมาแล้ว เขาเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ คุณเดือนฉายจึงขาดอาวุธสังหาร จะเหลือก็แต่อชิรญาณ์ผู้เป็นกระบอกเสียงเอาไว้พูดแทนเวลาต้องการอะไร

                “แม่ใหญ่คงใช้ให้พี่มาเร่งผมเรื่องมีลูกสินะ”

                “เออ เรื่องนั้นแหละ”

                “กลัวป๊าจะชิงปั๊มลูกตัดหน้าผมหรือไง”

                “ฉันไม่เคยเห็นแม่จริงจังแบบนี้มานานแล้วนะเสือ” อชิรญาณ์ไม่ค่อยสบายใจ เรื่องนี้ต้องมีอะไรซับซ้อนกว่าที่เห็น เพียงแต่เธอบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร “เท่าที่ฉันรู้ ป๊าก็ไม่ใช่ว่าจะแสดงอาการโจ่งแจ้งจนน่ากังวล ฉันเคยเห็นป๊าตอนที่จะมีเมียใหม่ มันไม่ใช่แบบนี้ อีกอย่างคุณสินีก็มีคนรักอยู่แล้ว”

          “ผมนึกไม่ออกว่าทำไมแม่ใหญ่ถึงอยากได้หลานขึ้นมา”

                “ก็นั่นละที่ฉันยังมึนตึ้บ แต่เรื่องนี้แม่กัดไม่ปล่อยแน่ แกต้องช่วยฉัน”

                “ช่วยยังไงก่อน” อชิระย้อนถาม “เรื่องนี้พี่ปลาคงต้องแก้ปัญหาเอง ผมไม่ใช่เครื่องผลิตลูกให้แม่ใหญ่ เลิกฝันได้เลย”

                “แกนั่นแหละที่ต้องเลิกฝัน คิดจะผลักภาระมาให้ฉันแล้วตัวเองรอดงั้นเหรอ เฮอะ! แกนี่ช่างไม่รู้จักนิสัยแม่ซะเลยนะ” อชิรญาณ์คาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้าราวกับมองเห็นอนาคต “เวลาที่แม่อยากได้อะไร มีสักครั้งไหมที่จะไม่ได้”

                “แต่ต้องไม่ใช่เรื่องนี้” น้ำเสียงอชิระหนักแน่นจริงจัง “การมีลูกไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ผมไม่อยากให้เด็กเกิดมาเจอกับอะไรแบบที่ผมเคยเจอ” 

                ทั้งคนฟังและคนแอบฟังต่างนิ่งอึ้งตามๆ กันไป อชิระมีแผลในใจและไม่ต้องการให้ใครเดินตามรอย เรื่องนี้วสุวีจำได้ อชิรญาณ์เองก็ทราบดี แต่ติดตรงที่ความต้องการของคุณเดือนฉายยากเกินกว่าใครจะคัดค้าน

                “ถ้าแกหาทางออกไม่ได้ บางทีแม่อาจจับแกกับฉันแต่งงานกับลูกบ้านไหนสักบ้าน”

                “ท่านก็แค่ขู่!” ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด เขาควรมีความสุขบนเตียงกับวสุวีมากกว่าต้องเสียเวลานั่งถกเถียงกับพี่สาว “ถ้าท่านทำจริงพี่ยอมเหรอ”

                “แกยอมรึเปล่าล่ะ”

                “ก็ต้องไม่ยอมอยู่แล้ว เราโตเกินกว่าจะให้ใครมาบงการชีวิตแล้วนะพี่”

                “เออ ถ้าไม่ยอม เราก็ต้องหาทางออกไง ไม่ใช่ปฏิเสธ”

                “ทางออกยังไง” อชิระจ้องหน้าพี่สาว ดวงตาคมวาวหรี่ลงอย่างใช้ความคิด ลองถ้าอชิรญาณ์มาแนวนี้ก็ต้องมีแผนในใจบ้างแล้ว

                “แกเพิ่งซื้อโรงแรมใหม่และประวัติเจ้าของโรงแรมก็น่าสนใจไม่ใช่เล่น”

                “พี่คิดจะทำอะไร” ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปทางประตูห้องที่แง้มทิ้งเอาไว้ หญิงสาวในห้องกำลังจะถูกดึงมาเป็นส่วนหนึ่งของเกมสร้างทายาท พี่สาวของเขาเป็นคนฉลาดและในบางครั้งก็เจ้าเล่ห์อย่างคาดไม่ถึง เขาเริ่มกลัวแผนของพี่ขึ้นมานิดๆ แล้ว

                “แกเพิ่งบอกฉันว่ามีข้อตกลงร่วมกันกับลูกสาวคุณวิ”

                “ก็ใช่ ผมช่วยเขาและเขาก็ช่วยผม” อชิระระวังคำพูด นึกระแวงพี่สาวมากขึ้นทุกขณะ

                “ลองเพิ่มข้อตกลงอีกสักข้อสองข้อคงไม่มากเกินไปหรอกมั้ง”

                “พูดมาให้ชัดเลยดีกว่า พี่อยากให้ผมทำอะไร” 

                “ใช้ประโยชน์จากการทำธุรกิจของแกซื้อเวลาจากแม่ใหญ่” 

          นี่ไงล่ะอชิรญาณ์ผู้แสนปราดเปรื่อง อชิระสบตาพี่สาวเพียงแวบเดียวก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ความคิดของอีกฝ่ายตรงกับที่เขาเคยคิดไว้แต่จะจริงจังเข้มข้นมากกว่า วสุวีเป็นตัวเลือกที่ดีและน่าเชื่อถือสำหรับแผนถ่วงเวลา แม่ใหญ่คงเลิกวุ่นวายกับเขาไปสักพัก

                “วิธีนี้ดีกับเราทั้งคู่ ถ้าแกตกลงกับลูกสาวคุณวิได้ ฉันก็จะลองคุยกับป๊าดู” อชิรญาณ์นิ่วหน้า นัยน์ตาขุ่น เอ่ยถามน้องชายที่นั่งหัวเราะอย่างเอาเรื่อง “มันน่าขำตรงไหนเสือ”

                แต่อชิระเก็บความขบขันเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ แม้จะถูกพี่สาวมองตาเขียวปั้ดก็ตาม

                “ขอโทษๆ ผมก็แค่ขำพี่ เดี๋ยวนี้วิชายุทธ์แกร่งกล้าถึงกับจะห้ามป๊ามีเมียใหม่แล้ว”

                “ฉันไม่ห้ามแล้วใครจะห้ามขอถามหน่อย ป๊ากับแม่แก่แล้วทั้งคู่ แทนที่จะอยู่กันอย่างสงบ แต่ก็ต้องมาผิดใจกันด้วยเรื่องแบบนี้ ทั้งที่บางทีมันอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้”

                “หรือบางทีมันก็เป็นอย่างที่เราคิดนั่นแหละ”

                “แกนี่นอกจากไม่ช่วยแล้วยังจะทำให้ฉันประสาทเสียอีก” อชิรญาณ์เข่นเขี้ยวใส่น้องชาย “บางครั้งฉันก็อิจฉาพวกแก อยากทำอะไรก็ทำได้ ใช้ชีวิตกันตามสบาย ผิดกับฉันที่ทำอะไรก็ต้องคิดเผื่อไปซะทุกเรื่อง”

                “พี่ปลาไม่จำเป็นต้องจริงจังถึงขั้นนั้น พวกเราสามคนโตพอที่จะเอาตัวรอดได้แล้ว พี่ต้องหัดหาความสุขใส่ตัวบ้าง ไปเที่ยวทะเลปราณไหม พอดีโรงแรมที่นั่นจะมีงานสัมมนาเรื่องการรับมือโรคอุบัติใหม่ของพวกอาจารย์หมอ เขาติดต่อมาขอใช้สถานที่ พี่ไปเป็นเจ้าภาพต้อนรับแทนผมหน่อยสิ”

          “รับใคร”

                “ก็หมอไง”

                อชิรญาณ์จ้องหน้าน้องอย่างเคลือบแคลงสงสัยแล้วตัดบทฉับ “ฉันไม่ว่าง”

                “ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร เจอตอนไหนก็เหมือนกัน” อชิระพึมพำในลำคอ

                “แกหมายความว่าไง”

                “ไม่มีความหมาย พี่หมดธุระยังอะ ผมอยากอาบน้ำแล้ว”

                อชิรญาณ์มองน้องชายอย่างรู้ทัน “ไม่ต้องมาไล่ฉัน”

                “แหม...ใครจะกล้าไล่พี่หญิงใหญ่ล่ะครับ” ชายหนุ่มยิ้มประจบ

                “ฉันไม่อยากอยู่ขัดความสำราญของแกนานนักหรอก คุยกันรู้เรื่องก็จะไปแล้ว” อชิรญาณ์พยักพเยิดไปทางห้องนอนของน้องชายแล้วกล่าวเตือนเสียงเฉียบขาด “ทีหลังอย่าเอาคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามามั่วที่นี่ ฉันน่ะชินกับความกร้านโลกโลกีย์ของแกอยู่แล้วไม่ต้องห่วง แต่ถ้าเปลี่ยนจากฉันเป็นแม่ คงไม่ต้องให้สาธยายนะว่าผู้หญิงในห้องจะเป็นยังไง”

                “แม่ใหญ่...ไม่มาหรอก”

                “อ่อ ถ้ามั่นใจแบบนั้น ฉันก็ขอให้แกโชคดีนะ”

                “พี่นี่ชอบพูดเป็นลางชะมัด ผมชักระแวงแล้ว”

                อชิรญาณ์แค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนลุกขึ้นยืน “ใกล้วันเกิดแม่แล้ว แกควรพาของขวัญที่ถูกใจไปให้แม่เห็นด้วย ถ้าแกฉลาดพอ”

                “แล้วจะคิดดู ไม่ส่งนะพี่”

                “กลับเข้าห้องไปเล่นหนังเอวีต่อเถอะ” 

                อชิระส่ายหน้าขำๆ พี่สาวสุดที่รักเดินออกจากห้องไปแล้ว ความเงียบสงบกลับมาพร้อมความกังวลใจบางอย่าง ชายหนุ่มยกแก้วน้ำที่พี่สาวไม่ได้ดื่มขึ้นดื่มเสียเอง ประตูห้องนอนค่อยๆ เปิดออกกว้าง นางเอกหนังเอวีของพี่ปลายืนตรงกลางกรอบประตูในชุดเสื้อคลุมเรียบร้อย เขารู้โดยทันทีว่าใต้ชุดนั้นนอกจากเนื้อแท้ก็ไม่มีอะไรอีก แค่กระตุกปมผ้าที่ผูกเอวให้คลายออกแล้วกระชากเสื้อตัวนั้นทิ้ง วสุวีก็จะเปล่าเปลือย

                ชายหนุ่มขยับกายไล่ความอึดอัด แค่คิดร่างกายก็เกิดปฏิกิริยาขึงขัง เขาควรจัดการยังไงกับความลุ่มหลงนี้ วสุวีทำให้เขากลายเป็นจอมตะกละ มักมาก ไม่รู้จักพอ ทุกครั้งที่เข้าใกล้เธอ เขาไม่อาจหักห้ามใจได้เลย

                “ไหนว่าจะอาบน้ำ” เขาถาม ดวงตาไม่ละจากใบหน้าหญิงสาว

                “พี่สาวคุณอยากให้คุณทำอะไรคะ ขอโทษค่ะที่เสียมารยาทแอบฟัง แต่ดูเหมือนชื่อฉันจะอยู่ในบทสนทนานั้นด้วย”

                “เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ มานั่งนี่กับผมเถอะ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ขี้เกียจตะโกนคุยกัน”

                “นั่งอย่างเดียวนะคะ” เธอลดสายตาลงมาที่กลางลำตัวของเขาอย่างรู้ทัน

                “ถึงอยากจะกินคุณตรงนี้ แต่กลัวว่าพี่น้องที่เหลือของผมจะโผล่มาเซอร์ไพรส์อีก”

                “แค่นี้ฉันก็อายจนอยากมุดดินหนีแล้ว”

                “พี่ปลาไม่รู้หรอกว่าเป็นคุณ เมื่อกี้ยังบ่นผมอยู่เลย ว่าพาสาวมากินไม่เลือกหน้า” ชายหนุ่มหัวเราะ ตบมือกับที่ว่างข้างๆ ชวนให้เธอมานั่งด้วยกัน

                “ตกลงพี่สาวคุณมาเรื่องอะไรคะ” วสุวีนั่งลงใกล้ๆ ยอมให้เขาโอบไหล่เธอเข้าหากาย 

                อชิระมองเธออย่างคิดไม่ตก เขาพยายามจะให้วสุวีเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้น้อยที่สุด แรกเริ่มเดิมทีเขาคิดจะเอาเธอเป็นตัวหลอกสักพักให้คุณเดือนฉายลืมเรื่องทายาทบ้าบออะไรนั่น แต่ข่าวที่เขาตัดสินใจปุบปับซื้อโรงแรมวิรงรองคงจะลอยไปเข้าหูอชิรญาณ์พอดี พี่สาวคนนี้หูตาอย่างกับสับปะรด เขากระดิกตัวทำอะไรเป็นต้องรู้หมด

                แต่จะโทษอชิรญาณ์ก็ไม่ได้ พี่ปลาน่าจะโดนแม่ใหญ่กดดันมาหนักใช่เล่น ลำพังแค่เขากับวสุวีก็ตกลงกันง่ายอยู่หรอก เขาช่วยเธอเอาโรงแรมคืนมาแล้วแม้จะยังไม่เรียบร้อย แต่อย่างน้อยพ่อเลี้ยงเธอก็หมดสิทธิ์ ส่วนเธอช่วยเป็นผู้หญิงของเขาสักพักหนึ่งแลกกัน แต่นี่กลายเป็นว่าแม่ใหญ่จะเอาลูกด้วย เขาให้ไม่ได้หรอก วสุวีเองก็คงไม่พร้อมจะช่วยเขาถึงขั้นนั้น เธออายุยังน้อย มีอนาคตรอคอยอีกยาวไกล ถึงเขาจะเห็นแก่ตัวตักตวงความสุขจากเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดใช้ประโยชน์เธอถึงขั้นนั้น

                มีเซ็กซ์กับมีลูกมันเหมือนกันซะที่ไหน เขาอาจจะประทับใจวสุวี แต่การผูกพันลึกซึ้งทางใจยังห่างไกลมาก หลงเธอน่ะแน่นอน แต่รักไหม ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป

                ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนตอบเธออย่างไม่ปิดบัง

                “ดูเหมือนว่าผมจะต้องเร่งหาเมียสักคน เรื่องที่คุณขอให้ผมจดทะเบียนสมรสด้วย คุณยังยืนยันความคิดเดิมอยู่ไหม”

                “คุณนึกเปลี่ยนใจอยากจดทะเบียนสมรสกับฉันขึ้นมาแล้วเหรอคะ ฉันไม่มีอะไรแลกด้วยแล้วนะ ตัวคุณก็ได้ไปแล้ว หุ้นก็ขายให้หมดแล้ว” หญิงสาวบอกด้วยรอยยิ้ม เธอรู้ว่าเขาลังเล แต่เธอไม่ได้หวังเป็นอื่น “ตอนนั้นที่ฉันอยากจดทะเบียนสมรสก็เพื่อให้มั่นใจ ถึงแม้จะโอนหุ้นทั้งหมดให้คุณไปแล้ว แต่ฉันก็ยังมีสิทธิ์เป็นเจ้าของโรงแรมครึ่งหนึ่งในฐานะเมียคุณ”

                “คิดรอบคอบดี” อชิระอมยิ้มชื่นชม “แต่ผมคงทำคุณเสียเรื่อง”

                “ไม่หรอกค่ะ ฉันเห็นคุณไม่พูดอะไร ก็เลยคิดว่ามันคงเป็นข้อเรียกร้องที่มากเกินกว่าเหตุ คุณเองก็คงไม่อยากจะเหนื่อยกับโรงแรมฉันนานนัก เรื่องทะเบียนสมรสสำหรับฉันตอนนี้จดก็ดี ไม่จดก็ได้ ถึงจะมีคนสงสัยสถานะของพวกเรา แต่ดูเหมือนคุณจะจัดการปัญหานั้นไปแล้ว อาจจะมีคนแอบซุบซิบนินทาบ้างพอให้ชีวิตมีสีสัน ถ้าไม่ได้ยินซะอย่างก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกค่ะ เพราะคุณน่ะให้เกียรติฉันมากเกินกว่าคำว่าคู่นอน”

                “คุณมีค่ามากกว่าคำนั้นวสุวี” อชิระดึงเธอเข้ามากอด กดจมูกสูดดมกลิ่นจากเส้นผมนุ่ม

                หญิงสาวเบียดกายเข้าหาไออุ่นจากอกกว้าง ตั้งแต่อชิระเข้ามาบริหารโรงแรม เขาตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ดึงคนมีฝีมือมาช่วยงาน ลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาใช้บริการก็จากการแนะนำของเขา วสุวีพอใจกับการเปลี่ยนแปลงและเชื่อว่าเขาคงไม่กลืนน้ำลายฮุบโรงแรมของเธอ ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่คิดรื้อฟื้นเรื่องการจดทะเบียนสมรสอีก

                “ถ้าผมอยากจดทะเบียนสมรสกับคุณ คุณจะมีปัญหาไหมกับการเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม”

                “จะเมียเถื่อน หรือเมียถูกกฎหมายยังไงฉันก็ต้องเลี้ยงดูเสือหิวอย่างคุณให้อิ่มแปล้จนพุงกางอยู่แล้ว ถ้าคุณโอเคจดทะเบียนกัน ฉันสัญญาค่ะว่านอกจากโรงแรมแล้ว ฉันจะไม่ยุ่งกับทรัพย์สมบัติวรปัทม์ของคุณแม้แต่น้อย ให้ฝ่ายกฎหมายคุณร่างสัญญามาเลยก็ได้”

                “คุณนี่เลือดเย็นกว่าที่ผมคิดไว้นะ ถามจริงเราใกล้ชิดกันขนาดนี้ สาวโสดไร้ประสบการณ์ไม่หวั่นไหวบ้างเหรอ”

          “ถึงหวั่นไหวฉันก็เป็นได้แค่คนเลี้ยงเสือเท่านั้นละค่ะ หมดหน้าที่ฉัน คุณก็ต้องหาคนเลี้ยงดูใหม่” วสุวีพูดตามหลักความเป็นจริง ต่อให้รู้สึกก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจเงียบๆ

                ถ้าไม่อยากเสียใจตอนจากลา ก็อย่าแสดงความอ่อนไหวออกมาตอนใกล้ชิดกัน

                “ให้เดาตอนนี้ทะเบียนสมรสน่าจะจำเป็นต่อคุณมากกว่าฉันแล้วใช่ไหมคะ”

                “แหม เสียงคุณฟังดูเป็นต่อนิดๆ นะ ย่องมาแอบฟังผมกับพี่ปลาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย” เขาไม่ได้โกรธเธอหรอก แค่ถามให้รู้ว่าเธอได้ยินอะไรไปแล้วบ้างเพื่อที่จะได้กล่อมกันถูก

                “พี่คุณอยากให้คุณแต่งงานเหรอคะ”

                “ก็ไม่เชิงหรอก ไม่จำเป็นต้องแต่งก็ได้” เขาเม้มปากขณะลำดับเรื่องราวแล้วบอกเธอยิ้มๆ ว่า “ยังไงดีล่ะ เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน”

                “เป็นความซับซ้อนที่ทำให้คุณคิดหนักซะด้วย” หญิงสาวแตะปลายนิ้วชี้ที่จุดกึ่งกลางระหว่างหัวคิ้วยู่ย่น นวดวนเบาๆ ให้คลายออก สีหน้าอชิระเคร่งเครียดจนไม่เหลือความรื่นเริงให้เธอได้เห็น เขาจับมือข้างนั้นของเธอ จูบหนักๆ ที่ข้อนิ้ว

                “ถ้าใครสักคนขอให้คุณมีลูก คุณจะคิดหนักไหม เดี๋ยว...จะลุกไปไหน นั่งแบบนี้แหละ” อชิระกดร่างที่กำลังจะผละออกให้ซบอกกว้างเหมือนเดิม

          “พี่สาวคุณอยากให้คุณมีลูกเหรอคะ”

                “ไม่ใช่พี่ปลา แต่เป็นแม่ใหญ่” อชิระถอนใจอย่างอัดอั้น ถ้าเป็นอชิรญาณ์เขายังพอขัดใจได้ แต่นี่ดันเป็นคุณเดือนฉายที่รู้กันว่าถ้าไม่ได้ดั่งใจขึ้นมาก็ต้องหาเรื่องให้คนอื่นอยู่ไม่สุขแน่

                “คุณไม่อยากมีลูก?”

                คำถามคาดเดาของวสุวีทำให้ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ “ผมเป็นพ่อที่ดีไม่ได้หรอก”

                คนมีปม วสุวีได้แต่คิด ขณะเขี่ยปลายนิ้วเล่นกับสาบเสื้อที่แยกออกจากกันจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อด้านใน

                “ไหนๆ เราก็ยังนั่งอ้อยอิ่งกันอยู่นี่ ถ้าคุณอยากเล่ารายละเอียด ฉันก็ยินดีเป็นผู้ฟังให้นะคะ อะไรที่ฉันช่วยคุณได้ ฉันเต็มใจช่วยค่ะ”

                “รู้อะไรไหม คุณเป็นเหมือนแม่พระมาโปรดผมเลย” อชิระบอกเธอด้วยรอยยิ้มกว้าง กดจมูกลงบนศีรษะหญิงสาวอีกครั้ง สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เขาเริ่มคุ้นชินขึ้นทุกวัน


 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น