0

บทนำ

บทนำ

 

“ปั้น”

เสียงทุ้มแหบพร่าทำให้คะนึงนิตย์พยายามปรือตาขึ้นมองเจ้าของเสียง ทว่าภาพที่เธอเห็นในเวลานี้กลับเลือนราง ไม่ชัดเจนเต็มที่ ศีรษะหนักอึ้งพร้อมกับความรู้สึกปวดหนึบบริเวณขมับ ขณะที่สมองกลับว่างเปล่า หญิงสาวพยายามนึกทบทวนความทรงจำของตัวเอง และสิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเธอกำลังรอกชนันท์อยู่

“ปั้น มองพี่” 

เสียงกระซิบที่อยู่ข้างหูในตอนนี้ช่างคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่ายที่รดใกล้ๆ ใบหน้า คะนึงนิตย์ไม่แน่ใจเลยว่าเป็นเพราะน้ำเสียงที่ติดจะคล้ายคำสั่งและอ้อนวอนนี้หรือเปล่า เธอถึงได้พยายามฝืนความง่วงเบิกตามองเขาให้เต็มสายตา

เงาที่ซ้อนไปมาค่อยๆ ผสานกลายเป็นร่างของชายหนุ่ม สิ่งแรกที่ตรึงสายตาของเธอไว้คือนัยน์ตาคมกริบของเขา ดวงตาคู่นี้เหมือนกับบ่อน้ำลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด คะนึงนิตย์ไม่รู้เลยว่าภายใต้นัยน์ตาคู่นี้ซุกซ่อนความคิดอะไรไว้ ได้แต่ไล่สายตาสำรวจใบหน้าของเขาอีกครั้ง เริ่มจากสันจมูกโด่งได้รูปก่อนลงมายังริมฝีปากเรียวสีเข้ม โครงหน้าและเครื่องหน้าที่เด่นชัดเช่นนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...

“...พี่พฤกษ์” เสียงเรียกของเธอเบาหวิว แต่คนตรงหน้าก็ยังได้ยิน มุมปากของเขาจึงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ 

“ปั้น”

เขาเรียกอีกครั้งพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ มือหนาของเขาลูบไล้ที่ใบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา พลางเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าทัดไว้หลังใบหู แล้วเคลื่อนมือมาหยุดที่ปลายคางมนพลางใช้นิ้วโป้งคลึงเคล้าริมฝีปากเธอไปมาคล้ายหยอกล้อ

คะนึงนิตย์คิดตามไม่ทันแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นึกไม่ออกเลยว่าทำไมพฤกษ์ถึงได้แสดงท่าทีสนิทสนมและใกล้ชิดกับเธอถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่เขา...

“สัมผัสพี่นะ”

ความคิดของเธอตีรวนสับสนไปหมด เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นความจริงหรือภาพลวงตาที่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์บันดาลให้เธอสร้างขึ้นมา

เมื่อเห็นเธอยังคงนิ่งเฉย ชายหนุ่มจึงได้กุมมือเรียวเล็กไว้และยกขึ้นมาวางที่อกของตัวเอง ชักนำให้เริ่มสำรวจเรือนร่างส่วนบนของเขา

ถึงตอนนี้คะนึงนิตย์ก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเสื้อเชิ้ตของพฤกษ์ถูกปลดไปแล้ว มือของเธอกำลังแนบอยู่กับร่างกายที่สมส่วนและหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของชายหนุ่ม

“ปั้นชอบหรือเปล่า” 

เสียงของเขาคล้ายจะมอมเมาความคิดของเธอ คะนึงนิตย์ลองไล่ลูบผิวที่อุ่นจนเกือบร้อนของเขาอีกครั้งก่อนจะตอบเสียงเบา

“ชอบ” 

ชอบสิ เธอชอบมาก ไม่มีส่วนไหนของเขาที่เธอไม่ชอบ เรือนร่างที่สมบูรณ์แบบนี้...ถ้าเธอได้ลองใช้เป็นแบบสำหรับฝึกวาดอนาโตมีจะดีแค่ไหนนะ หรือแม้แต่ใบหน้าของเขา...ถ้าอีกฝ่ายยอมมาเป็นแบบ เธอว่าภาพใบนี้คงต้องสวยงามมากแน่นอน…

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเขาทำให้คะนึงนิตย์หลุดจากภวังค์ความคิด ถึงแม้จะเริ่มรู้สึกมีสติรับรู้หลายๆ อย่างได้ดีขึ้น ทว่าก็ยังคงรู้สึกล้าและไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้งขณะที่สมองว่างเปล่า ได้แต่ดูและฟังคนตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทั้งหมดเป็นความจริงหรือความฝัน

“พี่พฤกษ์คะ ปั้นง่วง” เสียงที่พูดออกมาเป็นแบบไหนคะนึงนิตย์ไม่แน่ใจ ทว่าสำหรับคนฟังมันดูออดอ้อนกว่าปกติเหลือเกิน

“พี่รู้ แต่พี่อยากให้ปั้นลืมตามองพี่”

“ทำไมคะ” หญิงสาวไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงยังยืนกรานจะบังคับกันเช่นนี้

“เพราะพี่อยากให้ปั้นมีสติรับรู้ทุกอย่างที่พี่จะทำ พี่อยากรู้ว่าปั้นเต็มใจหรือเปล่า” 

ไม่พูดเปล่า พฤกษ์ค่อยๆ ปล่อยมือเธอลง ก่อนที่มืออุ่นจะไล้บนใบหน้าของเธออย่างเย้าแหย่ ตั้งแต่หน้าผากมนจนถึงริมฝีปากอิ่ม สัมผัสกลั่นแกล้งชวนให้วาบหวิวและคลั่งไคล้ของเขาเช่นนี้ทำให้คะนึงนิตย์สั่นสะท้าน ปลายเท้าจิกลงเข้าหากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“หรือแม้แต่แบบนี้...”

เขากระซิบข้างหูของเธออีกครั้ง ก่อนที่ร่างสูงจะเคลื่อนโน้มตัวเข้ามาใกล้ เขาขบกัดติ่งหูเธอเบาๆ และเคลื่อนมาประทับริมฝีปากลงบนลำคอ เขาทั้งดูดเม้ม และใช้ลิ้นร้อนเลียลำคอของเธอราวกับมันคือของหวาน จากนั้นถึงค่อยๆ ไล่วนมาที่ใบหน้า พรมจูบที่เปลือกตา แก้ม และมุมปาก ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนที่เดียวกัน

สัมผัสทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่คะนึงนิตย์ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน มันเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต เธอทั้งตื่นเต้น ทั้งไม่เข้าใจความใกล้ชิดเช่นนี้ ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ร่างกายของเธอบิดเร่าจวนเจียนจะระเบิด

“ปั้น อ้าปากให้พี่” 

เสียงแผ่วเบาของเขาเป็นมนตร์สะกดที่เธอทำตามอย่างว่าง่าย ทันทีที่เธอเปิดปาก ลิ้นอุ่นร้อนของชายหนุ่มก็พัวพันเกาะเกี่ยวลิ้นของเธอ เสาะหาความหวานในโพรงปากอย่างโหยหา

คะนึงนิตย์ได้แต่หายใจหอบ ปล่อยให้เขาสำรวจหาความหวานและใกล้ชิดกับร่างกายตัวเอง มอมเมาตัวเองให้ตกอยู่ในความลุ่มหลงนี้อย่างเต็มใจ กระทั่งเธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่านี่คือความฝันหรือเรื่องจริง...

“พะ...พี่พฤกษ์ พอก่อนค่ะ”

เสียงของเธอฟังดูทั้งแหบพร่าและกระเส่าอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน พฤกษ์ขยับตัวถอยออกมาเล็กน้อย เขายิ้มที่มุมปาก ก่อนจะกดเสียงต่ำตอบกลับไป

“สำหรับพี่ ปั้นเท่านั้นที่พี่ไม่เคยพอ”

 

คะนึงนิตย์ลืมตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ เพราะความฝันที่มีแต่ฉากวาบหวามทำเอาหัวใจเต้นกระหน่ำผิดจังหวะ

หญิงสาวถอนหายใจยาว มือข้างหนึ่งวางไว้เหนืออกข้างซ้าย สัมผัสได้ถึงการเต้นของก้อนเนื้อในอกและความรู้สึกแสนรัญจวนที่ตกค้างอยู่รอบตัว เหมือนกับอากาศที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้

เธอนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาสองปีกว่าแล้ว... 

...

ในงานปาร์ตีเลี้ยงส่งทายาทคนโตของครอบครัวเจ้าของโรงแรม แขกที่มาร่วมงานถ้าไม่ใช่คนในวงสังคมไฮโซก็เป็นกลุ่มนักธุรกิจใหญ่ คนอื่นๆ อาจจะคิดว่าเธอมางานนี้เพราะกชนันท์ ทว่าแท้จริงแล้วเธออยากเห็นหน้าใครบางคนก่อนที่จะไม่ได้เจอเขาอีกต่างหาก

ปกติเพื่อนรักอย่างกชนันท์จะคอยอยู่ข้างกายเธอไม่ห่าง แต่พออีกฝ่ายต้องแยกตัวไปดูแลความเรียบร้อยในงาน คะนึงนิตย์จึงต้องยืนอยู่ในงานเพียงลำพัง คอยมองบรรยากาศรอบตัวด้วยความรู้สึกแปลกแยก พลันสายตาของตนก็ตกอยู่ที่ร่างสูงโปร่งสวมสูทกระดุมแถวเดียวสีเข้ม เสื้อตัวในของเขาเป็นเชิ้ตสีขาว แผ่นหลังเหยียดตรง ไหล่กว้าง ท่าทางดูสุขุมและผ่าเผยของชายหนุ่มทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าใคร 

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม พฤกษ์ รัตนเวคินทร์ ถึงกลายเป็นหนุ่มที่ใครหลายคนต่างจับตามอง นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่น เขายังมีความสามารถที่คนในวงการธุรกิจต่างยอมรับ เพราะเขาเข้ามาอยู่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารของบริษัทเล็กๆ ที่ใกล้จะปิดตัวลงได้แค่สามเดือน ก็สามารถพลิกวิกฤติให้กลายเป็นโอกาส ลดความเสี่ยงของบริษัทและฟื้นกำไรขึ้นมาหลายเปอร์เซ็นต์

หลังจากบริษัทเริ่มมีฐานที่มั่นคง พฤกษ์ก็ลาออกทันที และไม่คิดจะร่วมมือกับที่ไหน เหมือนกับว่าสิ่งนี้ยังไม่ใช่เป้าหมายของเขา คะนึงนิตย์เองก็ไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของพฤกษ์ เขาไม่ได้สนใจร่วมงานกับเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ ไม่ได้สนใจจะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง แล้วเป้าหมายอะไรกันแน่ที่อยู่ในใจของเขา

ขณะครุ่นคิดถึงชายหนุ่ม นัยน์ตาก็พลันเห็นว่าข้างกายของเขามีใครบางคนปรากฏตัวขึ้น หญิงสาวร่างสมส่วนในชุดเดรสสีขาวปาดไหล่เอาแขนเรียวคล้องอยู่ที่แขนของพฤกษ์ ราวกับกำลังแสดงความเป็นเจ้าของ ความสนิทชิดเชื้อตรงหน้านี้ทำให้คะนึงนิตย์เริ่มหาคำตอบที่เธอสงสัยได้แล้ว

บางทีเป้าหมายของพฤกษ์คงเป็นดวงจันทร์ที่สว่างสดใสอย่าง วราลี ภัทรพิสุทธิ์ หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา และยังเป็นเจ้าของแบรนด์ห้องเสื้อผ้าอันดับต้นๆ ของประเทศ จะว่าไปก็ได้ยินข่าวลือกันหนาหูว่าทั้งคู่กำลังคบหาดูใจกันอยู่ คะนึงนิตย์ไม่รู้หรอกว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่จะให้ถามกชนันท์ผู้เป็นน้องสาวแท้ๆ ของพฤกษ์สักคำ เธอก็ยังไม่กล้า 

ทว่าหากมองดูดีๆ แล้ว คู่ชายหญิงตรงหน้าก็ดูเหมาะสมกันไม่น้อย ความสมบูรณ์แบบของพวกเขาทำให้เธอนึกท้อ ความรู้สึกหดหู่ก่อขึ้นในใจอีก สุดท้ายราวกับทำใจให้ชิน ตนถึงได้กระดกดื่มแอลกอฮอล์ในมือ ปล่อยให้รสชาติขมฝาดของมันเรียกสติของตัวเอง

คะนึงนิตย์จำไม่ได้ว่าตัวเองดื่มไปเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าตัวเองคออ่อน แต่เพราะทนเห็นภาพที่บาดตาและทิ่มแทงหัวใจตัวเองเช่นนี้อีกต่อไปไม่ได้ เครื่องดื่มในมือจึงเป็นทางออกแรกที่ตัดสินใจเลือกใช้เป็นที่พึ่ง

‘ปั้น หาตั้งนาน มายืนทำอะไรตรงนี้ ไปหาพี่พฤกษ์กัน’ 

เสียงของกชนันท์ดังขึ้นท่ามกลางเสียงอื้ออึงในหู อีกฝ่ายไม่รอให้เธอตอบหรือตั้งตัว เพื่อนรักคนนี้รีบคว้าเอาแก้วใสในมือของเธอออกมาวางที่โต๊ะใกล้ๆ กัน แล้วกุมมือกึ่งลากกึ่งจูงให้เดินตามเข้าไป

คะนึงนิตย์พยายามจะปฏิเสธ แต่ความคิดที่รวนเรและชักช้าเพราะฤทธิ์น้ำเมาทำให้เธอได้แต่เร่งฝีเท้าให้ทันคนข้างหน้า พลางคอยระวังไม่ให้ตัวเองสะดุดล้มหน้าคว่ำเท่านั้น

‘พี่พฤกษ์’ เสียงของกชนันท์นำมาก่อนตัว ก่อนที่จะหยุดอยู่กลางวงสนทนา เมื่อคุณหนูคนเล็กของรัตนเวคินทร์เข้ามาร่วมวงแล้ว บางคนที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันมากก็ถอยออกจากวงสนทนาอย่างสุภาพ ปล่อยให้คนในครอบครัวมีเวลาส่วนตัว ทว่าวราลีที่อยู่ข้างกายพฤกษ์ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน พร้อมกันนั้นใบหน้าของหญิงสาวยังคงประดับรอยยิ้มเอาไว้อย่างสวยงาม

‘สวัสดีจ้ะน้องบัว’ เป็นวราลีที่เอ่ยทักอย่างเป็นมิตร แต่กชนันท์ไม่ได้ยิ้มตามหญิงสาว เพื่อนรักของเธอเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มเหมือนกับการเยาะเย้ยขึ้น

‘สวัสดีค่ะคุณลูกจันทร์ ฉันมีพี่ชายแค่สองคน คือพี่พฤกษ์กับพี่โมกข์ ฉันกับคุณลูกจันทร์เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น อย่าเรียกนงเรียกน้องเลยค่ะ ฉันรับไม่ไหว!’

‘บัว’ เสียงทุ้มของพฤกษ์ที่ปรามน้องสาวทำให้กชนันท์เบ้หน้าด้วยความไม่พอใจ ส่วนคู่กรณีสาวได้แต่ส่งยิ้มฝืนๆ พลางหันไปบอกชายหนุ่มเบาๆ

‘ลูกจันทร์ไม่ถือหรอก พฤกษ์ก็อย่าเครียดเลยค่ะ’

พอเห็นท่าทางสนิทสนมรู้ใจเช่นนี้ คะนึงนิตย์ก็รู้สึกขมฝาดที่กลางอก นึกอยากหมุนตัวหันหลังกลับไปโดยเร็ว...

เธอไม่ควรชอบเขาเลย ที่สำคัญก็คือไม่ควรหลงรักเขาแบบนี้ หากไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยแล้ว ก็คงไม่ต้องมารู้สึกเจ็บหน่วง ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นแม้แต่คนสำคัญในชีวิตของเขาเลยแท้ๆ

‘พี่พฤกษ์จะบินไปทำงานเมืองนอกแล้ว ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณลูกจันทร์นะคะที่อุตส่าห์ถ่อมาเลี้ยงส่งถึงที่นี่’

เมื่อกชนันท์เป็นฝ่ายเปิดศึกแบบนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา คะนึงนิตย์ได้แต่ลอบมองสถานการณ์เงียบๆ รู้ว่าเพื่อนสาวไม่ชอบหญิงสาวตรงหน้า แต่ก็ไม่เคยถามเหตุผล

‘อุ๊ย! น้องบัวยังไม่รู้เหรอคะ ว่าพี่กับพฤกษ์จะบินไปเมืองเดียวกัน พี่มีแผนเปิดห้องเสื้อสาขาต่างประเทศพอดี แบบนี้งานเลี้ยงวันนี้ก็เหมือนเลี้ยงส่งพี่ไปด้วยไม่ใช่เหรอคะ’

สิ้นเสียงของวราลี คะนึงนิตย์ก็เงยหน้าขึ้นขวับ หันไปมองชายหนุ่มคนเดียวในตอนนี้อย่างตกใจ...ไม่เห็นรู้เลยว่าครั้งนี้พวกเขาสองคนจะเดินทางไปด้วยกัน 

ช่วงเวลานั้นเองที่เธอได้สบประสานเข้ากับนัยน์ตาคมและแววตานิ่งสงบของชายหนุ่ม เพียงชั่ววินาทีสั้นๆ นี้กลับเหมือนยาวนานเป็นชั่วโมง

จากนั้นคะนึงนิตย์ก็ครุ่นคิดได้ขึ้นมาว่า ท้ายที่สุดพฤกษ์ก็เลือกตกลงร่วมงานกับบริษัทโกลบอลชั้นนำ บินย้ายไปทำงานและอยู่ต่างประเทศ การที่วราลีพูดขึ้นมาเช่นนี้นั่นหมายความว่า พวกเขาก็วางแผนร่วมกันไว้แล้ว เพราะมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญขนาดนี้...

บางทีเธอไม่จำเป็นต้องหาคำตอบจากข่าวลือพวกนั้นผ่านกชนันท์ก็ได้ ในเมื่อคำตอบมันเด่นชัดและตบลงที่หน้าเธอแล้วในเวลานี้

วินาทีที่พวกเขาสบตากันไม่มีใครถอนสายตากลับไปก่อน คะนึงนิตย์ลองจ้องลึกลงไปในแววตาของเขา นึกอยากลองอ่านแม้แต่เสี้ยวความรู้สึกของชายหนุ่มว่าจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อพบกับความว่างเปล่าเธอจึงได้รีบหลบสายตาออกมา

คงมีแต่ตัวเองที่ขาดทุน ที่ยอมเปิดหน้าต่างของหัวใจให้เขาเห็นถึงคลื่นความหวั่นไหวในนั้น

‘แหม ตามติดเป็นเจ้ากรรมนายเวรขนาดนี้ พี่ชายของบัวคงจะปลื้มน่าดู’ ผิดกับกชนันท์ที่ไม่ทันสังเกตอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเพื่อนรัก เพราะยังคงตอบโต้กับศัตรูตรงหน้าเอาจริงจัง หวังตอกหน้าให้อีกฝ่ายเจ็บแสบ 

ยิ่งได้ยินคำพูดของเพื่อนสาว คะนึงนิตย์ก็ลอบสังเกตสีหน้าของพฤกษ์ ไม่รู้ว่าเขานึกโกรธน้องสาวตัวเองหรือเปล่าที่พูดจากระทบกระทั่งหวานใจของตัวเองแบบนี้

‘ขอโทษด้วยนะครับ ดูเหมือนพวกเราจะตามใจยายบัวมากเกินไป ถึงได้เสียนิสัยแบบนี้ หวังว่าคุณลูกจันทร์จะไม่ถือสาเด็กๆ นะครับ’ เสียงของบุคคลที่สี่ที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้สถานการณ์น่าอึดอัดมลายหายไป

เป็นโมกข์ที่เดินเข้ามาร่วมในวงสนทนา เขาเป็นลูกคนกลางของบ้าน พูดง่ายๆ ก็คือน้องชายของพฤกษ์ กิจการโรงแรมของครอบครัวก็มีลูกชายคนรองอย่างเขานี่แหละที่เป็นคนกุมบังเหียนดูแลอยู่

โมกข์มีนิสัยใจเย็นและมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเสมอ เขาอายุห่างจากคะนึงนิตย์สามปี สำหรับเธอแล้วชายหนุ่มคนนี้เสมือนเป็นพี่ชายที่แสนใจดีและอบอุ่น

‘จะถือสาได้ยังไงคะโมกข์ ถ้าเป็นลูกจันทร์ ลูกจันทร์ก็ต้องห่วงอยู่แล้ว ก็มีพี่ชายที่แสนดีอย่างพฤกษ์กับโมกข์อยู่’

วราลีพยายามพูดเปลี่ยนบรรยากาศที่อึมครึมให้ดูสดใส แต่คะนึงนิตย์ไม่แน่ใจเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกแบบเดียวกันอย่างที่พูดหรือเปล่า

‘ขอบคุณครับ เมื่อครู่ทางกลุ่มคุณมินตราถามหาคุณลูกจันทร์อยู่นะครับ’

โมกข์พูดคุยกับหญิงสาวอีกสองสามคำ ก่อนที่วราลีจะขอตัวแยกออกมา คะนึงนิตย์เห็นแววตาเสียดายและไม่ยินยอมของอีกฝ่ายยามที่มองพฤกษ์ ก่อนมันจะกลับเป็นแววตากระจ่างใสตามเดิม สุดท้ายหญิงสาวก็ตัดใจหมุนตัวไปอีกทาง

‘สวัสดีครับน้องปั้น ไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะครับ’ โมกข์หันมาเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม แม้ตอนนี้เธอจะมึนๆ จากแอลกอฮอล์อยู่บ้าง ทว่าก็ยังประคองสติได้มากพอจะสนทนากับคนอื่นๆ 

‘สวัสดีค่ะพี่โมกข์ ปั้นสบายดีค่ะ แต่ได้ข่าวว่าพี่โมกข์กำลังวุ่นๆ อยู่เลยช่วงนี้ ยังไงก็อย่าลืมดูแลสุขภาพนะคะ’ เธอเอ่ยไปตามมารยาทและความหวังดี ได้ยินจากกชนันท์มาว่าช่วงนี้พี่ชายคนรองของเพื่อนรักต้องทำงานอย่างหนัก โดยเฉพาะโครงการปรับปรุงโรงแรมใหม่ของครอบครัวที่ต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจไปไม่น้อย

‘ปั้นไม่ต้องไปสนพี่โมกข์หรอก รายนี้เขาถึกจะตาย!’ เสียงประชดประชันอย่างไม่จริงจังของกชนันท์ทำเอาเธอยิ้มอ่อนแรง ขณะที่โมกข์เองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน พร้อมเอ่ยเสียงเย็นๆ อย่างทีเล่นทีจริง

‘บัว เหมือนว่าเราต้องคุยกันสักหน่อยแล้วนะ พี่พฤกษ์ เดี๋ยวผมพายายตัวแสบไปจัดการก่อนนะ’ ลูกชายคนรองของบ้านรัตนเวคินทร์ไม่รอช้า รีบคว้าแขนน้องสาวตัวดีออกมา ตั้งใจจะพาไปอบรมสักหน่อยในข้อหาที่เสียมารยาทต่อแขก

‘พี่โมกข์ปล่อยบัวนะ! พี่โมกข์! โอ๊ยยย พี่พฤกษ์บัวฝากปั้นหน่อยนะ!...’ เสียงบ่นโวยวายของกชนันท์ที่มีให้พี่ชายคนรองดังขึ้นเรื่อยๆ ทว่าในท้ายที่สุดเสียงนี้ก็ค่อยๆ เบาลงจนหายไปในที่สุด

พอคนอื่นทยอยจากไป บริเวณรอบข้างจึงเหลือแค่เธอกับพฤกษ์

ชายหนุ่มยังคงมีท่าทีที่นิ่งเฉยเหมือนก่อน จึงทำให้คะนึงนิตย์รู้สึกอึดอัดขึ้นมา นึกอยากออกไปให้ไกลจากเขาโดยเร็ว... แต่อีกใจก็สับสน ร้องคัดค้านบังคับให้อยู่ต่ออีกสักนิด อย่างน้อยเขาจะไปแล้ว โอกาสที่จะได้เจอคงไม่มีอีกเหมือนวันนี้ อะไรที่สมควรพูดก็ควรจะต้องรีบพูดออกไปไม่ใช่หรือ...

‘พี่พฤกษ์คะ’ คะนึงนิตย์เงยหน้าขึ้นเพื่อมองคู่สนทนาตรงหน้า ก่อนจะพบว่าเขามองตรงมายังเธออยู่แล้ว มือที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวกำเนื้อผ้าไว้แน่นด้วยอารมณ์ประหม่า

‘ยินดีด้วยนะคะกับงานใหม่ ขอให้พี่พฤกษ์เดินทางปลอดภัย แล้วก็...อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะคะ’ เธอรู้ว่าเขาเป็นคนจริงจังกับงาน บ่อยครั้งที่จะได้ยินกชนันท์บ่นถึงความบ้างานของพี่ชายคนโต และมีหลายครั้งที่เธอก็เห็นมันด้วยตัวเองเวลาไปหาเพื่อนรักที่บ้านบ่อยๆ

เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึก พลางหยิบเครื่องรางที่ตั้งใจทำด้วยตัวเองจากกระเป๋าถืออันเล็กให้เขา

‘ปั้นไม่รู้ว่าจะให้อะไรดี หวังว่าพี่พฤกษ์จะไม่รังเกียจนะคะ’

เธอไม่มีเงินมากพอจะซื้อของแพงๆ ให้เหมือนกับคนอื่นๆ และพฤกษ์เองอาจจะไม่ได้ใส่ใจเครื่องรางของเธอเท่าไหร่ แต่มันเป็นความจริงใจทั้งหมดที่เธอใส่ลงไปและอยากมอบให้เขา

‘ขอบคุณครับปั้น’ เสียงทุ้มของชายหนุ่มเจือด้วยความอ่อนโยนจนคะนึงนิตย์อยากได้ยินมันซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้เบื่อ ชายหนุ่มเอื้อมมือมารับเครื่องรางอวยพรนี้ไป แต่ในจังหวะหนึ่ง ปลายนิ้วของเขาแตะเข้ากับหลังมือของตน ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังละเมอไปเองหรือเปล่า จู่ๆ คะนึงนิตย์ถึงรู้สึกว่า สัมผัสจากปลายนิ้วของพฤกษ์คล้ายจะอ้อยอิ่งอยู่บนหลังมือของเธอไม่น้อย

แต่เมื่อเขาหยิบของไปเก็บในช่องเก็บของด้านในสูทแล้ว เธอถึงได้รีบชักมือและดึงสติของตัวเองกลับมา หญิงสาวมองซ้ายมองขวาอีกเล็กน้อย พอเห็นใกล้ๆ มีโต๊ะวางแก้วเครื่องดื่มไว้อยู่ก็รีบขยับไปคว้ามันมาถือไว้ในมือ

‘พี่ไม่ยักรู้ว่าปั้นเป็นสายดื่ม’ น้ำเสียงของพฤกษ์คล้ายจะหยอกล้อ แม้แต่นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายวาววับ

‘ปะ...ปกติปั้นก็ไม่ค่อยดื่มค่ะ ตะ...แต่วันนี้ปั้น เอ่อ...’ เธอพยายามหาคำตอบดีๆ ให้ตัวเอง เพราะคงจะบอกกับพฤกษ์ตามตรงไม่ได้ว่าตัวเองประหม่าแค่ไหนที่อยู่กับเขา และก็คอยแต่กังวลเรื่องเขาไม่หยุดจนต้องใช้เครื่องดื่มพวกนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชั่วคราว

‘หืม ปั้นว่ายังไงนะครับ’ พฤกษ์ขยับตัวเข้ามาใกล้ พลางโน้มตัวลงมา ระยะห่างของพวกเขาสองคนตอนนี้ใกล้จนเธอได้กลิ่นหอมสดชื่นจากตัวชายหนุ่ม มันเป็นกลิ่นสะอาดที่ทำให้รู้สึกสบายใจ 

คะนึงนิตย์พยายามนึกถึงกลิ่นน้ำหอมที่คิดว่าพฤกษ์จะใช้ จึงเผลอขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างสูงอีกนิด พลางสูดลมหายใจลึกเพื่อประเมินว่ากลิ่นที่ว่าคืออะไร ทว่ายังไม่ได้คำตอบ รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะของชายหนุ่มดังขึ้นเหนือศีรษะ

ยามที่เงยหน้าขึ้นก็พบว่าเธอเผลอขยับเข้าไปใกล้เขาอย่างไม่รู้ตัว ร่นระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่ให้เหลือเพียงแค่อีกนิดเดียวก็จะอิงศีรษะเข้ากับอกแกร่งได้เลย

‘อุ๊ย! ปะ...ปะ...ปั้นขอโทษค่ะ’ เธอละล่ำละลักขอโทษพลางก้าวถอยออกมาราวกับโดนของร้อนจนเกือบถอยไปชนกับโต๊ะที่เรียงรายไปด้วยแก้วเครื่องดื่ม โชคดีที่วงแขนแกร่งของพฤกษ์รวบตัวของเธอกลับเข้าไป ทำให้อุบัติเหตุไม่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันใบหน้าของเธอก็ได้แนบลงบนอกของชายหนุ่มเข้าจริงๆ

คะนึงนิตย์ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะอย่างมั่นคงของร่างสูง รวมถึงกลิ่นกายที่แสนเย้ายวนลึกลับชวนค้นหาของเขาโอบล้อมสติของเธอให้มัวเมาอีกครั้ง 

‘ปั้น’

แรงที่โอบรัดเอวของเธอค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอสบตาเข้ากับชายหนุ่ม เธอก็เห็นแต่ประกายลุ่มลึกในแววตาคู่ที่ทำให้หัวใจสั่นไหว แขนขาคล้ายจะหมดแรงลงไปดื้อๆ ทว่าสัมผัสเปียกชื้นจากตัวพฤกษ์ทำให้คะนึงนิตย์ได้สติ จากนั้นถึงเห็นว่าแก้วเครื่องดื่มในมือของตนกระฉอกหกรดบนตัวของชายหนุ่มไปเกือบครึ่ง

‘พี่พฤกษ์ ปั้นขอโทษนะคะ’

คนตรงหน้าไม่มีท่าทีตกใจ เพียงแค่ก้มมองเสื้อผ้าที่เปียกรอยน้ำเป็นดวงกว้าง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเธอเล็กน้อย

‘เห็นทีพี่ต้องไปเปลี่ยนชุดแล้ว ปั้นช่วยพี่หน่อยได้ไหมครับ’

คะนึงนิตย์พยักหน้ารัว เนื่องจากตนเป็นคนทำให้เขาเดือดร้อน ดังนั้นถ้าจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย หญิงสาวก็เต็มใจทำ

เวลานั้นมุมปากของพฤกษ์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาปล่อยให้ตัวของเธอเป็นอิสระ แล้วเอ่ยคำขอร้องของตัวเอง

‘ปั้นไปกับพี่หน่อยนะ’

คะนึงนิตย์เดินตามพฤกษ์ออกจากบริเวณที่จัดงานเลี้ยงกันอย่างเงียบๆ ร่างสูงโปร่งก้าวเดินไปพร้อมกับเธอ เวลาที่มีพนักงานโรงแรมเห็นชายหนุ่ม พวกเขาก็จะก้มศีรษะแสดงความเคารพด้วยท่าทีนอบน้อม ถึงพฤกษ์จะไม่ได้เข้ามาบริหารกิจการของครอบครัวโดยตรง แต่ก็ไม่มีใครในที่นี้ไม่รู้จักเขา

เนื่องจากสถานที่จัดคือโรงแรมของครอบครัว หลายๆ อย่างจึงสะดวกสบายไม่น้อย ใช้เวลาไม่นานเธอกับพฤกษ์ก็มาอยู่ในห้องพักส่วนตัวของชายหนุ่มซึ่งเป็นห้องชั้นบนของโรงแรมที่เตรียมไว้สำหรับสามพี่น้องเท่านั้น

‘ปั้นรอพี่ก่อนนะ พี่อยากให้ปั้นช่วยอะไรพี่หน่อย’ 

เธอรับปากอย่างว่าง่าย พลางเดินเข้าไปนั่งรอที่โซฟากลางในนั่งเล่น 

ในความเงียบงันทำให้คะนึงนิตย์นึกถามตัวเองขึ้นมาว่า เธอหุนหันพลันแล่นเกินไปหรือเปล่า ถึงได้เดินตามพฤกษ์มาง่ายๆ กระทั่งอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของเขาแบบนี้...แต่เมื่อคิดได้ว่าพฤกษ์ไม่ได้มีความคิดกับเธอในแง่ชู้สาว ความกังวลที่มีก็ถูกปัดตกลงแทบจะในเวลาเดียวกัน 

ระหว่างที่รอคะนึงนิตย์ก็อดไม่ได้ที่จะใช้เวลาที่มีลอบสำรวจห้องของชายหนุ่มเงียบๆ เธอพบว่าไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งห้อง ทั้งหมดสะท้อนตัวตนของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี ทันใดนั้นบางอย่างก็สะดุดสายตาจนคะนึงนิตย์ต้องลุกจากที่นั่ง เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าสิ่งนั้น

มันคือรูปถ่ายของเธอในวันรับปริญญา แต่จะเรียกว่ารูปถ่ายของเธอก็ไม่ถูกไปเสียทั้งหมด เพราะมันเป็นภาพถ่ายหมู่ที่มีเธอพร้อมกับสามพี่น้องครอบครัวรัตนเวคินทร์...

ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยบังเอิญว่าคะนึงนิตย์เป็นรูมเมตกับกชนันท์ ด้วยสาเหตุนี้หลังจากสนิทกับอีกฝ่ายพอสมควรแล้ว เธอก็พลอยได้รู้จักกับบรรดาพี่ชายของเพื่อนรักไปด้วย หากนับช่วงเวลาที่ผ่านมาก็เกือบหกปีแล้วที่เธอรู้จักกับกชนันท์ ทว่าถึงตนจะสนิทกับน้องสาวของพฤกษ์มากแค่ไหน และเคยได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวนี้อย่างไร แต่เธอก็ไม่คิดว่าเขาเก็บรูปนี้เอาไว้ แถมยังนำมาวางในห้องของตัวเองอีก

หรือว่าเขาจะมองว่าเธอเป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นกันนะ...

‘ปั้น’

พฤกษ์เดินออกมาจากห้องด้านใน ตอนนี้เขาเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตตัวใหม่แล้ว ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างเธอ พร้อมกับมองรูปใบนั้นเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร เพียงแต่หันมาสบสายตากับเธอ

ถ้าเทียบช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา คืนนี้กลับเป็นช่วงเวลาที่คะนึงนิตย์ใกล้ชิดเขามากที่สุด แต่น่าเสียดายที่เธอคงไม่อาจจะก้าวข้ามเส้นที่ขีดแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอไปมากกว่านี้ได้แล้ว

‘พี่พฤกษ์อยากให้ปั้นช่วยอะไรเหรอคะ’

ก่อนหน้านี้เขาขอร้องมาแบบนั้น คะนึงนิตย์ก็เลยย้ำถาม

พฤกษ์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนไล่สำรวจทั่วร่างกายของเธอ นัยน์ตาของชายหนุ่มเป็นประกายอ่อนโยน บรรยากาศในเวลานี้จึงไม่ชวนให้อึดอัดเท่าก่อนหน้านี้

‘พี่อยากจะพักครู่หนึ่ง ก่อนที่บัวจะมาปั้นอยู่กับพี่ก่อนได้ไหม’

‘ค่ะ’ คะนึงนิตย์ร้องรับ ในใจก็รู้สึกเบาขึ้นมาเปลาะหนึ่ง 

พวกเธอเดินกลับมานั่งพักบนโซฟาในห้องนั่งเล่น พฤกษ์ลุกหายไปในครัว ก่อนจะกลับมาพร้อมเครื่องดื่มสีหวานหลายแก้วบนถาด

‘พวกนี้เป็นค็อกเทลตัวใหม่ที่โรงแรมเตรียมไว้ ปั้นลองชิมดูนะ ชิมแล้วคอมเมนต์ให้พี่หน่อย ถือว่าเป็นคำแนะนำจากกลุ่มลูกค้าจริง’

คะนึงนิตย์พยักหน้าเมื่อเห็นว่าไม่ใช่คำขอร้องที่ยากลำบาก เธอหยิบหนึ่งในบรรดาแก้วค็อกเทลทั้งหลายขึ้นมาพิจารณา สีสันของพวกมันล้วนสวยสะดุดตา พอได้ลองชิมแล้ว ก็สัมผัสได้ถึงรสชาติหวานละมุน นุ่มคอ เหมาะกับแขกผู้หญิงไม่น้อย

หญิงสาวยกชิมค็อกเทลทีละแก้ว พลางเอ่ยสิ่งที่รู้สึกและคำแนะนำทั้งหมดให้คนตรงหน้าฟังอย่างตั้งใจ

ทั้งๆ ที่เวลาปกติเธอกับเขาไม่ค่อยได้พูดคุยกันมากมายขนาดนี้ด้วยซ้ำ คะนึงนิตย์จึงไม่แน่ใจเลยว่าที่ยังคงกล้าพูดจาฉะฉานต่อหน้าเขาเป็นเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มสีหวานเหล่านี้หรือเปล่า

ส่วนพฤกษ์ก็ยังคงตั้งอกตั้งใจฟังเธอ มีบ้างที่เขาช่วยอธิบายส่วนผสมของค็อกเทลแต่ละตัว จากนั้นเขาก็จะนั่งมองเธอด้วยแววตาที่เรียกว่าแววตายิ้มได้ ยามที่เห็นประกายเจิดจ้าของชายหนุ่มแล้วคะนึงนิตย์ก็สงสัย...มีบางอย่างกำลังทำให้เขารู้สึกสุขใจหรือ หรือจะเป็นเพราะคำชมของเธอที่มีต่อค็อกเทลพวกนี้กัน แต่มันน่าดีใจจนดวงตาทั้งสองเป็นประกายแบบนี้เชียวหรือ

คะนึงนิตย์ครุ่นคิดถึงสาเหตุของความยินดีในแววตาของเขาไปพลาง ชิมค็อกเทลตรงหน้าไปพลาง กระทั่งผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ เปลือกตาของตนเริ่มหนัก แผ่นหลังที่เหยียดตรงเริ่มเอนทิ้งตัวกับพนักพิงโซฟา คล้ายจะหาจุดที่สบายที่สุดเพื่อพักผ่อน

‘ปกติปั้นไม่ค่อยได้ดื่มใช่ไหม’ นี่เป็นคำถามแรกของเขาหลังจากที่เธอเริ่มชิมค็อกเทล

ในเวลานี้คะนึงนิตย์รู้สึกง่วงเป็นที่สุดจึงพยักหน้าแทนคำตอบ พลางพยายามมองไปที่ประตู แล้วเอ่ยถามคนตรงหน้าเสียงเบา

‘บัวล่ะคะ’

‘อืม...น่าจะกำลังมานะครับ’

เธอถอนหายใจพร้อมกับเอนศีรษะพิงเข้ากับโซฟา เปลือกตาพลันปิดลงเพราะไม่อาจทนฝืนความง่วง ต่อมาคะนึงนิตย์ได้ยินเสียงชายหนุ่มที่ขยับเข้ามาใกล้

‘พี่รู้ว่าปั้นไม่ชอบดื่ม แต่ปั้นห้ามไปดื่มแบบนี้คนเดียวนะ’

เธอส่งเสียงขานรับอือออในลำคอ...รู้แล้วว่าเขาหวังดีในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง

‘แล้วรู้หรือเปล่าว่าที่ปั้นไม่ระวังตัวแบบนี้มันอันตรายนะ’ ปลายเสียงของพฤกษ์คล้ายจะเจือด้วยการหยอกล้อ และคล้ายกับคนที่กำลังฝืนกลั้นอะไรอยู่

‘ปั้น...’

...

พอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็นอนอยู่ที่ห้องพักส่วนตัวของพฤกษ์โดยมีกชนันท์อยู่ข้างๆ สิ่งที่เธอจำได้คือคำพูดสุดท้ายคำนั้นของพฤกษ์ที่บอกกับเธอว่า ‘เธอเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่เคยรู้สึกพอ’...แต่กชนันท์กลับเล่าให้ฟังว่าตัวเองถูกพี่ชายตามตัวให้มาหา พอขึ้นมาถึงห้องก็เจอเธอนอนหลับสนิทเพราะฤทธิ์ของค็อกเทลแล้ว ส่วนพฤกษ์...ทันทีที่น้องสาวมาถึงห้อง เขาก็จากไป

คะนึงนิตย์ไม่กล้าถามเพื่อนสนิทว่าตอนนั้นท่าทีของชายหนุ่มเป็นอย่างไร เพราะบางทีเรื่องที่เกิดขึ้นมันอาจจะเป็นแค่ความเพ้อฝันของตัวเองก็ได้ อาจเป็นเธอที่มีใจให้เขาฝ่ายเดียว พอเหล้าเข้าปากถึงได้มีแต่เรื่องไร้สาระเก็บไปจินตนาการ 

ยังไม่ทันได้บทสรุปให้ตัวเอง สามวันหลังจากนั้นพฤกษ์ก็บินไปต่างประเทศแล้ว และคงไปพร้อมกับคุณวราลี ผู้หญิงที่คงจะกลายเป็นอนาคตของเขาในไม่ช้า 

จากวันนั้นคะนึงนิตย์พยายามตัดใจให้ขาดจากพฤกษ์ ทั้งที่ความจริงเธอกลับมักจะฝันถึงเหตุการณ์แสนรัญจวนในวันนั้นบ่อยครั้ง จนเธอรู้สึกว่าความพยายามที่มีมาทั้งหมดนั้นสูญเปล่า 

ในเมื่อพฤกษ์ยังมีอิทธิพลต่อหัวใจและความรู้สึก รวมถึงร่างกายของเธอขนาดนี้ คะนึงนิตย์จะเอาความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไปมาจากไหนกัน...แค่ความประทับใจทำไมถึงได้กลายเป็นความรักที่แสนยึดติดได้ขนาดนี้ 

คะนึงนิตย์เลิกคิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว ตลอดสองปีกว่ามานี้ เธอไม่เจอพฤกษ์และพยายามไม่รับรู้ข่าวของเขาแล้วเชียว แต่ทำไมวันนี้ถึงยังฝันถึงเขาอีก

หญิงสาวส่ายศีรษะหวังปัดความคิดของตัวเองให้หลุดออกไปจากหัวสมอง พอดีกับเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือ ร่างบอบบางขยับตัวเล็กน้อยก่อนเอื้อมไปคว้ามันขึ้นมา วินาทีที่เห็นข้อความดังกล่าว สายตาของเธอก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับประโยคที่ทำใจเต้นรัวประโยคนี้

‘ปั้น พี่พฤกษ์กลับมาแล้ว...’


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น