1

1

1

 

เครื่องรางอวยพรนำโชคสีสดใสในมือยังคงสภาพไม่ต่างจากวันแรกที่ได้รับมา พฤกษ์ใช้ปลายนิ้วโป้งลูบมันอย่างแผ่วเบา เพียงแค่สัมผัสผ่านเนื้อผ้าก็รู้ได้ทันทีว่าภายในมีอะไรซุกซ่อนอยู่ ทุกครั้งเมื่อนึกถึงสิ่งที่อยู่ด้านใน ใบหน้าที่นิ่งสงบของเขาก็พลันเกิดรอยยิ้มขึ้น 

เสียงประกาศแจ้งผู้โดยสารในสนามบินทำให้พฤกษ์เก็บเครื่องรางเข้ากระเป๋า ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มตัว พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วคว้ากระเป๋าเดินผ่านเกต อีกไม่กี่อึดใจเขาก็จะได้พบเธอแล้ว

คะนึงนิตย์...ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดถึงที่ติดแน่นอยู่ในความทรงจำ มีหรือเขาจะปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ เขามักนึกถึงเจ้าของดวงตากลมโตกระจ่างใส ยามจ้องมองลึกลงไป เขาก็จะเห็นเงาของตัวเองสะท้อนกลับมาอย่างชัดเจน จมูกโด่งรั้นได้รูปสวย ริมฝีปากอิ่มทรงกระจับ รวมถึงเรือนร่างบอบบางชวนให้อยากปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเธอ เขาล้วนคิดถึงและจดจำได้อย่างชัดเจน 

พฤกษ์ไม่เคยเชื่อในรักแรกพบ แต่ตัวตนของคะนึงนิตย์จะปรากฏอย่างชัดเจนในห้วงความทรงจำของเขา และก็เป็นเขาเองที่ถูกบางอย่างในตัวเธอดึงดูดเอาไว้ ยิ่งเข้าใกล้หญิงสาว พฤกษ์ก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงกระตุ้นบางอย่างที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย มันไม่ใช่ความกระสันอยากที่เกิดจากห้วงอารมณ์เพียงชั่วครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างไร้สาเหตุนี้ 

เสี้ยววินาทีความทรงจำที่แสนใกล้ชิดระหว่างเขากับเธอก็ผุดขึ้นมา เช่นเดียวกับมุมปากของพฤกษ์ที่ยกยิ้มสูงขึ้นอีก เขายังจดจำได้ดีถึงอุณหภูมิร่างกายของเธอที่ร้อนผ่าว เสียงครางหอบที่ดังขึ้นยามเขาลากปลายนิ้วผ่านร่างกายอันบอบบาง นัยน์ตาที่มองเขาด้วยความไร้เดียงสาจนเขาต้องห้ามตัวเองไว้แทบตาย ถึงอยากใกล้ชิดกับเธอมากแค่ไหน แต่พฤกษ์ก็ไม่เห็นด้วยถ้าตัวเองจะฉวยโอกาสเช่นนี้ เขายังมีเวลาอีกมากที่จะทำให้คะนึงนิตย์รู้ตัวและเต็มใจตอบรับเขาโดยไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของน้ำเมาพวกนั้น 

จะว่าไปแล้ว นอกจากแววตาที่ไร้เดียงสาและใสสะอาดของเธอ มีครั้งหนึ่งที่เขาได้เห็นดวงตาของเธอคู่นั้นฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตา รวมถึงความตระหนกหวาดกลัว ในยามที่ร่างกายหญิงสาวสั่นระริกเพราะเจ็บปวด ชั่วเวลานั้นหัวสมองของเขาก็ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาหลังจากนั้นคือ เขาอยากประทับตัวตนของตัวเองลงไป ให้เธอกลายเป็นคนของเขา เป็นของของเขาโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ 

แต่ใช่ว่าพฤกษ์จะทำทุกอย่างได้ตามใจชอบ คะนึงนิตย์ไม่ใช่แค่ผู้หญิงทั่วไป เธอคือเพื่อนรักของกชนันท์ น้องสาวคนสุดท้องของเขา แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร พฤกษ์รู้ดีว่าหญิงสาวพยายามหลีกเลี่ยงเขาเท่าที่เธอจะทำได้ 

พฤกษ์รู้ดีว่านัยที่ทอดผ่านสายตาของคะนึงนิตย์มันมีอะไรเจือปนทุกครั้งที่เธอมองเขา ความลับในใจนี้มักเปิดเผยออกมาโดยที่เธอก็ไม่เคยรู้ตัว

ไม่ใช่ว่าคะนึงนิตย์จะไม่รู้สึกอะไรกับเขา แต่กระต่ายขี้กลัวตัวนี้กลับห้ามใจไม่กระโดดเข้ามา 

ดังนั้นเขาจึงให้เวลา ยอมปล่อยให้เธอวิ่งเล่นอยู่ในโลกของตัวเองอย่างไร้กังวล ไม่ต้องหวั่นกลัวโลกที่โหดร้ายใบนี้ เพราะว่าเขาเองที่จะควบคุมมันผ่านปลายนิ้ว ปล่อยให้โลกใบนี้เป็นไปตามที่หญิงสาวต้องการ ปล่อยให้เธอตระหนักถึงความรู้สึกที่มีต่อเขาด้วยตัวเอง 

เมื่อถึงเวลาที่คะนึงนิตย์เข้าใจทุกอย่างแล้ว...วันนั้นเขาจะเดินเข้าไปในโลกของเธอ 

ถึงเวลานั้นหากคะนึงนิตย์ต้องการหลบหนี อีกฝ่ายก็ไม่มีเวลาเสียแล้ว ต่อให้หัวใจของเธอจะมีเงาของใครพาดผ่าน เขาก็จะแย่งชิงหัวใจหญิงสาวกลับคืนมา

เพราะไม่ว่าอะไรที่พฤกษ์หมายตาไว้ เขาไม่มีวันจะปล่อยให้มันหลุดมือไปเป็นอันขาด

คะนึงนิตย์...

 

กระดาษบนกระดานวาดรูปถูกเปลี่ยนใหม่เป็นรอบที่สามแล้ว แต่คะนึงนิตย์ก็ยังไม่สามารถรวบรวมสมาธิเพื่อวาดภาพให้เสร็จ ตอนนี้จิตใจของเธอมัวแต่จดจ่อกับข้อความที่ได้รับจากกชนันท์ 

พฤกษ์กลับมาแล้ว...

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงรู้สึกดีใจและตื่นเต้นที่เขากลับมา ทว่าตอนนี้คะนึงนิตย์ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไป ใจหนึ่งก็พยายามจะไม่คิดถึงเขาอีก แต่อีกใจก็ยังเผลอคิดถึงชายหนุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่บ่อยครั้ง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าต่อให้ตัวเองพยายามเข้าใกล้อีกฝ่ายมากแค่ไหน ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองโดนแผดเผาเสียเปล่าๆ 

หลังจากที่คิดไม่ตกเรื่องของชายหนุ่มอยู่หลายวัน สุดท้ายคำตอบที่ให้กชนันท์เรื่องไปรับพฤกษ์ที่สนามบินด้วยกันก็กลายเป็นคำปฏิเสธ

ถ้าไปแล้วต้องพบเขากับวราลีเธอจะทำอย่างไร ถึงตอนนั้นยังจะทำใจสบายแล้วแกล้งไม่รู้สึกอะไรได้จริงๆ หรือ...  

มือที่ถือดินสอเผลอกำเข้าหากันแน่นอย่างไม่รู้ตัว ตามองกระดาษเปล่าตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย สุดท้ายหญิงสาวก็ตัดสินใจวางมือ ดูเหมือนความตั้งใจที่จะวาดตัวอย่างภาพดรอว์อิงในวันนี้จะไม่สำเร็จเสียแล้ว

เมื่อไม่มีสมาธิที่จะวาดรูป คะนึงนิตย์ก็หันไปจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับวันอื่นแทน 

หลังจากที่พฤกษ์จากเมืองไทยไปทำงานต่างประเทศ คะนึงนิตย์ก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยสอนในมหาวิทยาลัยที่ทำงานอยู่ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ยอมบอกใคร และตัดสินใจเปิดโรงเรียนสอนศิลปะ โดยใช้เงินเก็บที่มีเกือบทั้งหมดลงทุนกับโครงการนี้

ก่อนหน้านี้ถือว่าโชคยังเข้าข้างตัวเองอยู่บ้าง เพราะขณะที่ลองตระเวนหาทำเลเหมาะๆ คะนึงนิตย์มาสะดุดตากับตึกแถวที่อยู่ในทำเลทอง นอกจากจะตั้งใกล้ๆ กับโรงเรียนมัธยมปลายและย่านการค้าแล้ว ทำเลพิเศษเช่นนี้ยังทำให้เธอเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในระดับหนึ่ง 

คาดไม่ถึงว่าตัวอาคารที่ปล่อยขายต่อราคาไม่สูงเท่าที่คิด ครั้งแรกที่เธอได้ยินทางเจ้าของเสนอราคามาให้ ก็อดจะตกใจไม่ได้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะให้เหตุผลว่าต้องการขายอาคารด่วน เพื่อย้ายไปอยู่ต่างประเทศกับลูกสาว แต่คะนึงนิตย์ก็ไม่อยากจะเชื่อ ถ้าย้ายไปเมืองนอกพวกเขาก็ควรมีสินทรัพย์ที่มากหน่อยไม่ใช่หรือ ดังนั้นก่อนที่จะทำการซื้อขายจริงๆ เธอแอบวานให้เพื่อนๆ ที่รู้จักกับวงการตำรวจช่วยตรวจสอบข้อมูลชัดเจนว่าอาคารแห่งนี้ไม่มีปัญหา ไม่กี่วันต่อมาเธอก็ได้ข้อมูลที่ต้องการ พอเห็นว่าไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ต้องกังวลอีก คะนึงนิตย์จึงตัดสินใจซื้ออาคารนี้ทันที 

แต่ใช่ว่ามีอาคารแล้วจะเปิดโรงเรียนได้เลย คะนึงนิตย์ต้องซ่อมบำรุงและตรวจสอบตึกให้ได้มาตรฐานเสียก่อน หลังจากที่ลองปรึกษากับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยอย่างการะเกดแล้ว อีกฝ่ายก็แนะนำให้เธอรู้จักกับธีรดล

ธีรดลเป็นวิศวกรหนุ่มที่มีประสบการณ์เรื่องนี้อย่างดี ด้วยคำแนะนำจากเพื่อนสาว คะนึงนิตย์ติดต่อจ้างให้เขามาดูแลตรวจสอบอาคารหลังนี้ พร้อมรับผิดชอบในส่วนของการซ่อม ปรับปรุง และต่อเติมพื้นที่บางส่วน เนื่องจากคะนึงนิตย์ตั้งใจปรับปรุงให้นอกจากจะเป็นสถานที่ทำงานแล้ว ก็ยังมีพื้นที่สำหรับพักอาศัยไปในตัวด้วย 

คะนึงนิตย์อยากให้การซ่อมบำรุงและปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมดเป็นไปตามที่เธอต้องการ การรีโนเวตใหม่นี้จึงกินเวลายาวถึงครึ่งปี และในท้ายที่สุดเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยตามแผนงาน โรงเรียนสอนพิเศษของเธอก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

โรงเรียนของเธอมีทั้งหมดสี่ชั้น ชั้นล่างจะเป็นพื้นที่สำหรับติดต่อ และจัดสรรเป็นพื้นที่ส่วนกลางให้นั่งเล่น มุมหนึ่งจะเป็นบาร์เครื่องดื่มไว้เป็นรายได้เล็กๆ น้อยๆ เสริมกับการเปิดสอนพิเศษ ส่วนใหญ่จะมีเมนูเครื่องดื่มง่ายๆ ไม่ต่างจากร้านกาแฟสำหรับรับรองผู้ปกครองที่มารอบุตรหลาน

ชั้นสองและสามจะเป็นพื้นที่สำหรับการเรียน แบ่งเป็นชั้นละสองห้อง ชั้นสองคือห้องเรียนเด็กเล็กและห้องเรียนสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนชั้นสามจะเป็นห้องเรียนคลาสเรียนติวเข้มเพื่อเข้าสอบ ส่วนชั้นสี่จะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเธอ 

แน่นอนว่าเธอคนเดียวคงไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ทั้งหมด เธอจึงลองชวนๆ เพื่อนและรุ่นพี่ที่สนใจมาเป็นครูพิเศษด้วยกัน ช่วงเปิดเทอมหลักของเหล่านักเรียน วันที่โรงเรียนสอนพิเศษเปิดก็จะเป็นช่วงวันเสาร์กับอาทิตย์ และในช่วงเวลาปิดเทอม เด็กๆ ที่มาเรียนพิเศษก็จะมากันทั้งวันธรรมดาและเสาร์อาทิตย์ ชั่วโมงเรียนก็จะแบ่งง่ายๆ เป็นสองรอบคือช่วงเช้าและบ่าย

การะเกดที่สนใจรับจ๊อบพิเศษเป็นครูสอนศิลปะก็มาช่วยรับผิดชอบคลาสเรียนเด็กเล็ก และรุ่นพี่อีกสองคนที่เธอสนิทสนมด้วยไม่น้อยอย่างจอมขวัญและพสุก็มาช่วยดูคลาสเรียนสำหรับติวเข้มเข้าสอบ ท้ายที่สุดคลาสเรียนสำหรับผู้ใหญ่หรือบุคคลทั่วไปจึงเป็นหน้าที่ของคะนึงนิตย์ 

เงินเดือนค่าจ้างสอนคะนึงนิตย์คุยกับเพื่อนร่วมงานของเธอทั้งสามคนอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะจบลงด้วยความพอใจของทุกฝ่าย เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วเธอก็สบายใจ รีบเริ่มเดินหน้าทำงานต่อโดยที่ไม่ต้องนึกกังวลอะไรอีก

หลังจากที่โรงเรียนเปิดจนถึงตอนนี้ก็เกือบจะครบหนึ่งปีแล้ว โรงเรียนของเธอได้รับการตอบรับดีกว่าที่คิด มีกลุ่มนักเรียนที่สนใจจะเรียนต่อด้านศิลปะมาสมัครเรียนจำนวนหนึ่ง ความช่วยเหลือของเพื่อนๆ ที่พากันแนะนำกันปากต่อปาก รวมถึงการการันตีฝีมือการสอนของจอมขวัญกับพสุที่มีดีกรีการวาดและชื่อเสียงในวงการทำให้นักเรียนและผู้ปกครองให้ความสนใจโรงเรียนของเธอไม่น้อย

สำหรับคลาสเรียนสำหรับผู้ใหญ่หรือบุคคลทั่วไป แม้จำนวนคนสมัครเรียนจะน้อยกว่าคลาสอื่นๆ แต่เธอก็พอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้

“พี่ปั้นจ๊ะ มีคนมาสมัครเรียนจ้ะ” พริมาหรือพิมพ์ น้องพนักงานที่เธอจ้างให้มาช่วยดูแลรับผิดชอบพื้นที่ชั้นหนึ่งและขายเครื่องดื่มเดินขึ้นมาเรียกเธอ 

“เดี๋ยวพี่ลงไปจ้ะ พิมพ์กลับได้เลยนะ ไว้ตึกเปิดแล้วค่อยมา”

ช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวของเทศกาล โรงเรียนกวดวิชาทั้งหลายจึงพากันหยุด นอกจากบรรดาครูสอนพิเศษของเธอทั้งสาม พริมาเองก็ลาหยุดกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเช่นกัน เพียงแต่ว่าวันนี้เด็กสาวตรงหน้านึกมีน้ำใจ อาสามาช่วยดูแลเก็บของที่ตึกก่อนจะกลับ คะนึงนิตย์กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่มีเวลาพักผ่อน เลยเอ่ยปากให้สาวน้อยคนนี้รีบกลับบ้าน 

“ค่ะ หนูเพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ว่าจะมาลาพี่ปั้นเพื่อกลับบ้านก่อนเหมือนกันจ้ะ” 

เธอพยักหน้ายิ้มรับ ก่อนจะเดินลงมาจากชั้นล่างพร้อมกันกับพริมา นึกสงสัย ว่าใครกันที่จะมาสมัครเรียน เนื่องจากวันนี้ตรงกับช่วงวันหยุดยาว ทั้งตึกจึงปิดไปด้วย พอเดินลงมาถึงชั้นล่าง คะนึงนิตย์ก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อนักเรียนคนใหม่ที่จะมาสมัครเรียนไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นธีรดลที่เธอไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาเขามาสักพักแล้ว

คะนึงนิตย์เดินไปเปิดประตูโบกมือลาพริมา ก่อนจะหันมาสบตากับว่าที่นักเรียนคนใหม่ของตน

“สวัสดีค่ะคุณธีร์ เข้ามาก่อนสิคะ” หญิงสาวกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม ชวนชายหนุ่มนั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าเคาน์เตอร์เล็กที่วางไว้ด้านล่างเพื่อใช้สำหรับติดต่อสมัครเรียน

“สวัสดีครับคุณปั้น” 

คะนึงนิตย์ยิ้มรับ เผลอเอียงศีรษะมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ส่วนธีรดลเองเมื่อเห็นท่าทางของน่ารักของหญิงสาวตรงหน้าเช่นนี้เขาถึงได้กระแอมกระไอ เอ่ยจุดประสงค์ในวันนี้ของตนด้วยท่าทีจะขัดเขินอยู่ไม่น้อย

“ผมสนใจวาดรูปมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยเห็นที่ไหนเปิดสอนผู้ใหญ่เลย...ก็เลยมาสอบถามคุณปั้นดู เผื่อคุณปั้นจะมีอะไรแนะนำผมได้บ้าง”

คะนึงนิตย์ยกยิ้มพลางปรับท่าทางของตัวเอง ก่อนตอบชายหนุ่มทั้งรอยยิ้ม

“ขอบคุณนะคะที่สนใจโรงเรียนของปั้น”

พอเห็นคะนึงนิตย์แย้มรอยยิ้มอีกครั้ง ธีรดลก็อดไม่ได้จะเผยรอยยิ้มของตนออกมาด้วย ชั่วขณะนั้นชายหนุ่มไม่รู้สึกถึงความประหม่าหรือเกร็งเครียดแต่อย่างใดแล้ว เขาเริ่มปรับตัวพูดกับหญิงสาวได้ไม่ต่างจากตอนที่ทั้งคู่ต้องติดต่อคุยงานเรื่องซ่อมแซมตึก 

“ผมเรียนเขียนแบบมาบ้าง มันเป็นส่วนหนึ่งของงาน แต่ไม่แน่ใจว่าคอร์สโรงเรียนของคุณปั้นผมต้องเริ่มจากตรงไหน”

“ถ้าแบบนั้นคุณธีร์จะข้ามคลาสเรียนเบสิกไปเลยก็ได้นะคะ เท่าที่ปั้นจำได้ คุณธีร์ก็ยังพอมีพื้นฐานอยู่บ้าง” คะนึงนิตย์แนะนำ พลางหยิบไอแพดเครื่องใหญ่ของตนออกมาจากลิ้นชัก ก่อนจะเปิดหน้าต่างไฟล์รายละเอียดการเรียนของเธอให้เขา พร้อมกับอธิบายความแตกต่างของแต่ละคลาสเรียนให้เขาฟัง 

“ถ้าเป็นเบสิกดรอว์อิงจะเรียนทุกวันเสาร์ค่ะ มีให้เลือกสองช่วงคือเช้าหรือบ่าย เรียนสิบสองครั้งนะคะ ครั้งละสามชั่วโมง...” 

ขณะที่คะนึงนิตย์เปิดปากแนะนำไปเรื่อยๆ เธอก็หลุบตามองจอ เพื่อเลื่อนให้ธีรดลเห็นรายละเอียดบนหน้าจอได้อย่างชัดเจน ทว่าสายตาของชายหนุ่มกลับตกลงบนใบหน้าของหญิงสาวแทน

ธีรดลเก็บรายละเอียดเครื่องหน้าของหญิงสาวในระยะใกล้ชิดนี้ไว้ด้วยสายตาของตน คิ้วโก่งสวย ไหนจะแพขนตาที่ยามกะพริบมันจะเคลื่อนไหวไม่ต่างจากปีกผีเสื้อโบยบิน จมูกโด่ง ผิวของเธอขาวเนียนละเอียดจนเขาเห็นว่าพวงแก้มทั้งสองข้างมีสีอ่อนระเรื่อแบบคนสุขภาพดี จนสายตาของเขาเลื่อนมายังริมฝีปากรูปกระจับ... 

ทว่ายังไม่ทันที่จะได้จดจ้องกับความงามละเอียดอ่อนของหญิงสาว ธีรดลพลันรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องเขม็งมาจนแผ่นหลังเสียววาบ เขาตั้งสติขึ้นพลางขยับตัวถอยจากคะนึงนิตย์ แล้วเหลียวหันมองซ้ายขวารอบๆ ตัว พื้นที่ชั้นล่างของตึกฝั่งประตูทางเข้าออกติดกระจกบานใหญ่ทั้งหมด ภายในตึกก็มีแค่เขากับคะนึงนิตย์ พอมองออกไปด้านนอกอย่างละเอียดแล้วก็ไม่เห็นสายตาคู่ไหนจับจ้องเข้ามาอีกเลย...หรือว่าเขาคิดไปเอง

ขณะที่นึกสงสัย เสียงของคะนึงนิตย์ก็เรียกให้หันกลับไปมองหญิงสาว

“คุณธีร์คะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” 

ตอนที่คะนึงนิตย์เงยหน้าละสายตาจากหน้าจอ ก็เห็นธีรดลกำลังมองซ้ายมองขวาและมองออกไปด้านนอกอย่างเคร่งเครียด เธอจึงเผลอเลื่อนสายตาจับจ้องไปทิศทางเดียวกับชายหนุ่ม แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ 

“อ๋อ เปล่าครับ คุณปั้นแนะนำต่อได้เลยนะครับ”

ธีรดลไม่ได้พูดถึงความรู้สึกที่โดนจับจ้องให้คะนึงนิตย์ฟัง เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะตัดความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นทิ้งไป คราวนี้จึงหันมาตั้งใจฟังสิ่งที่หญิงสาวพูด

“ที่จริงผมก็ไม่ได้มีพื้นฐานอะไรมากขนาดนั้นหรอกครับ ลงเป็นคลาสเรียนเบสิกดีกว่าครับ อืม...ผมสะดวกช่วงเช้านะครับ”

“ได้ค่ะ เป็นเบสิกดรอว์อิงนะคะ นี่ค่าเรียนค่ะ ปั้นให้ส่วนลดคุณธีร์สิบเปอร์เซ็นต์นะคะ” 

ด้วยคะนึงนิตย์ได้ธีรดลช่วยเหลือแนะนำเรื่องซ่อมและปรับปรุงอาคาร เธอจึงให้ส่วนลดแก่เขา แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า 

“คุณปั้นไม่ต้องให้ส่วนลดผมก็ได้ครับ” 

“แต่คุณธีร์ช่วยปั้นไว้ตั้งเยอะนะคะ ตอนที่ซ่อมตึกก็ด้วย” 

“นั่นเป็นงานผมนะครับ ถ้าคุณปั้นอยากขอบคุณจริงๆ ไว้เลี้ยงข้าวผมสักมื้อแทนนะครับ” ธีรดลยิ้ม ก่อนจะกดโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็มีเสียงแจ้งเตือนที่โทรศัพท์ของคะนึงนิตย์ว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีมา ซึ่งเป็นค่าเรียนเต็มจำนวนในเมื่อห้ามไม่ได้ เธอก็ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ 

“คุณปั้นไม่ต้องคิดมากนะครับ ถ้าผมไม่รีบโอนไว คุณปั้นคงไม่ยอมให้ผมจ่ายค่าเรียนเต็มแน่ๆ”

คะนึงนิตย์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยิ้มและตอบรับไมตรีจากคนตรงหน้า

“ขอบคุณมากค่ะ ถ้ายังไงให้ปั้นถือโอกาสขอบคุณสักมื้อแทนตามที่คุณธีร์ว่าก็ได้ค่ะ”

“ได้ครับ”

ราวกับสมใจกับเป้าหมายของตัวเองแล้ว ธีรดลจึงเอ่ยปากชวนหญิงสาวตรงหน้าพูดคุยอีกเล็กน้อย 

“ว่าแต่วันนี้คุณปั้นเปิดตึกเหรอครับ หรือว่ามีสอน”

น้ำเสียงที่ประโยคหลังเป็นเชิงถาม คะนึงนิตย์มองวันและเวลาที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ครู่หนึ่งแล้วยกยิ้มที่มุมปาก 

ป่านนี้บัวคงไปรับพี่พฤกษ์ที่สนามบินแล้ว...

“วันนี้ตึกปิดค่ะ”

“อ่าว แบบนี้ผมมารบกวนใช่ไหมครับ” สีหน้าของชายหนุ่มดูจะตกใจเหมือนกัน 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณปั้นสนใจไปกินมื้อเที่ยงด้วยกันไหมครับ มื้อนี้ผมขอเลี้ยงก่อนนะ” 

คะนึงนิตย์รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนมีน้ำใจ แต่วันนี้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรสักเท่าไหร่ คำชวนของเขาในวันนี้ดูท่าคงจะเป็นหมันเสียแล้ว 

“ขอบคุณนะคะ แต่วันนี้ปั้นไม่ค่อยสะดวก ไว้เป็นโอกาสหน้าแล้วก็ให้ปั้นเลี้ยงขอบคุณนะคะ”

ธีรดลเก็บความผิดหวังที่ทาบดวงตาไปอย่างมิดชิด ก่อนที่เขาจะคุยกับหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยขอตัวกลับก่อน ตั้งแต่แรกเริ่มที่คุยกับหญิงสาวจนเดินออกจากตึกเรียน ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องมองตัวเองอยู่ แต่เนื่องจากไม่อยากทำให้กลายเป็นเรื่องไม่เรื่อง เขายกมือลูบหลังคอตัวเองไปมา พลางพึมพำบ่น

“คิดมากไปแล้วเรา”

 

คะนึงนิตย์มองชายหนุ่มร่างสูงจากไปเงียบๆ ก่อนจะเดินไปปิดประตูกระจก แล้วพลิกแผ่นป้ายที่แขวนไว้ให้คำว่าปิดขึ้นมา จากนั้นจึงค่อยๆ เดินกลับมานั่งที่โซฟารับรองที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกถึงไมตรีที่ธีรดลหยิบยื่นมาให้ แม้ยังไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่มากกว่ามิตรภาพความเป็นเพื่อนหรือไม่ แต่เวลานี้เธอยังไม่พร้อมที่จะเปิดรับศึกษาดูใจกับใครอย่างจริงจัง ในเมื่อตัวเองยังสับสน อีกทั้งไม่สามารถสลัดใครคนหนึ่งออกจากความคิดและหัวใจได้ คะนึงนิตย์ก็ไม่ต้องการให้คนดีๆ อย่างธีรดลมาเสียเวลา 

แม้ว่าก่อนหน้านี้ที่มีการซ่อมปรับปรุงตึกใหม่ทั้งหมด เธอจะมีเขาเป็นที่ปรึกษาและช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนพอจะรู้นิสัยใจคอของเขามาแล้วก็ตาม แต่เรื่องของหัวใจ...เธอจะเอาความดีมาแทนความรักไม่ได้ 

เสียงสั่นเตือนจากโทรศัพท์มือถือเร่งให้คะนึงนิตย์หยิบมันขึ้นดู พอเห็นบันทึกเตือนความจำที่ตัวเองเขียนเอาไว้ เธอก็เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง

ลืมไปเลยว่าสีน้ำมันที่ตัวเองสั่งไว้จากเมืองนอกมาส่งที่ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียนแล้ว ก่อนหน้านี้คะนึงนิตย์ไปสั่งสีชุดนี้กับที่ร้านรู้จักคุ้นเคยกันเพราะไปใช้บริการ รวมถึงสั่งซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนบ่อย ถ้าวันนี้เธอไม่ไปรับ วันอื่นเธอก็คงไม่สะดวกแล้ว สุดท้ายคะนึงนิตย์ก็ลุกไปเตรียมตัวก่อนจะออกจากตึก

ใช้เวลาฝ่ารถติดในเมืองช่วงวันหยุดพักใหญ่ก็ถึงห้างสรรพสินค้าที่เป็นที่หมาย เพื่อไม่ให้เสียเวลาคะนึงนิตย์จึงรีบเข้าไปในห้าง ตรงไปยังร้านขายเครื่องเขียนและอุปกรณ์ศิลปะทันที แต่ยังไม่ทันจะถึงร้านเป้าหมาย คะนึงนิตย์กลับพบเจอคนรู้จักที่คาดไม่ถึงเข้า 

หญิงสาวตรงหน้าอายุมากกว่าเธอสามปี แต่หลังจากเรื่องผิดใจในครั้งนั้น ระหว่างพวกเธอก็ไม่มีใครติดต่อกับอีกฝ่ายอีกเลย คะนึงนิตย์ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะเกิดเรื่องบังเอิญทำให้พวกเธอสองคนมาเจอกัน 

หญิงสาวตรงหน้าคือเจนตา ว่ากันตามลำดับเครือญาติ อีกฝ่ายมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ คะนึงนิตย์เสียพ่อกับแม่เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนอายุสิบห้า แม้ศาลจะตั้งผู้จัดการมรดกและยกทรัพย์สินของพ่อกับแม่ให้เธอทั้งหมด แต่เนื่องจากเธอไม่มีญาติฝั่งแม่และยังไม่บรรลุนิติภาวะ เธอจึงย้ายมาอยู่อาศัยกับพัชรีซึ่งเป็นป้าแท้ๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้จักลูกพี่ลูกน้องคนนี้

คะนึงนิตย์รู้ดีว่าป้าไม่ชอบใจที่รับเธอมาอยู่ในความดูแล แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ป้าจึงเป็นเพียงคนเดียวในบรรดาญาติพี่น้องฝั่งพ่อที่อาสาดูแลเธอ ระหว่างที่อาศัยอยู่กับป้า เธอก็พยายามช่วยเหลืออีกฝ่ายให้มากที่สุด ทั้งเรื่องงานบ้าน เรื่องค่าใช้จ่าย แม้จะไม่ต้องอดจนลำบาก แต่มันก็ไม่ได้สบายใจเท่าอยู่กับครอบครัวของตัวเอง

ส่วนความสัมพันธ์ของเธอกับเจนตาเรียกได้ว่าเป็นต่างคนต่างอยู่มากกว่า เธอรู้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ชอบที่เธอมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันด้วย ว่ากันตามฐานะที่พอมีพอใช้ของครอบครัวผู้เป็นป้า เจนตาจึงต้องแบ่งห้องส่วนตัวของตนอีกครึ่งให้คะนึงนิตย์ ไม่มีสาววัยรุ่นคนไหนอยากแบ่งพื้นที่ส่วนตัวให้คนนอก หลายครั้งเจนตาก็จะพูดจากระทบกระทั่งหรือหาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาแกล้ง ส่วนพัชรีผู้เป็นป้าก็จะทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับครอบครัวป้าก็เดินทางมาจุดแตกหัก เมื่อเธออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ช่วงนั้นเองที่ป้าและสามีมีปัญหากัน ลุงเขยเป็นคนขี้เกียจ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน การงานที่ทำก็ไม่เคยก้าวหน้า นับวันก็ยิ่งถดถอยลงเรื่องๆ หลังๆ มานี้ก็เริ่มติดเหล้าหนักขึ้น พัชรีมักทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของสามี ทั้งคู่จึงมักมีปากเสียงกันบ่อยครั้งความสัมพันธ์ที่เปราะบางก็ยิ่งง่ายที่จะแตกหักเข้าสักวัน กระทั่งถึงวันที่เกิดเรื่อง... 

 

คะนึงนิตย์ทำงานที่มหาวิทยาลัยจนดึก ถ้าเป็นปกติเธอก็คงกลับหอพัก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ที่บ้านของป้า สุดท้ายจึงก็ตัดสินใจเดินทางแวะกลับมาก่อน เธอพบลุงเขยในสภาพเมามายไม่ได้สติ เดิมทีเธอไม่ได้สนิทกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว และพยายามจะหลีกเลี่ยงการอยู่กับเขาเพียงลำพัง เนื่องจากเธอไม่ชอบสายตาของลุงเขยที่มองตัวเอง มันแสดงความไม่บริสุทธิ์ใจออกมาอย่างชัดเจน 

พอลุงเขยเห็นเธอเข้าบ้านมาแล้ว เขาก็ตรงเข้ามาทักทายด้วยเสียงอ้อแอ้ แต่มันก็มากพอที่เธอจะจับใจความได้

“อ้าว หนูปั้นมาแล้ว แหม่ๆ กลับบ้านดึกขนาดนี้ไปไหนมา”

“หนูทำงานที่มหา’ลัยค่ะ”

“จะว่าไปหนูมาอยู่บ้านลุงหลายปีแล้ว ดูสิโตขึ้นเยอะเชียว”

อีกฝ่ายไม่พูดเปล่า เขาลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงนแล้วตรงเข้ามา กลิ่นแอลกอฮอล์เหม็นฉุนกึกจนเธอนิ่วหน้า พอจะก้าวถอยหนี ชายวัยกลางคนที่กำลังเมาหนักคนนี้ก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเธอ 

เขาบีบข้อมือของเธอไว้แน่น คะนึงนิตย์พยายามจะบิดข้อมือหนี แต่แรงของอีกฝ่ายกลับมากกว่าที่คิด แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพสติไม่เต็มร้อย ทว่าลุงเขยของเธอไม่มีทีท่าจะปล่อยข้อมือของเธอเลย

“ลุงคะ ปล่อยมือปั้นนะคะ ปั้นเจ็บ”

“แหม่ ลุงแค่อยากดูว่าเราเป็นยังไงบ้าง ขยับมาใกล้ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง” 

น้ำเสียงเมามายคล้ายจะหยอกล้อ แต่คะนึงนิตย์ไม่ได้รู้สึกตลกด้วย เวลานี้เธอกลับกลัวมากกว่า กลัวว่าเขาจะทำอะไรไม่เข้าท่า 

“ปล่อยปั้นค่ะ!” เธอกระชากเสียง ขืนดึงแขนตัวเองกลับมาด้วยแรงทั้งหมด ทำให้อีกฝ่ายซวนเซไปด้วย

ลุงเขยเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน จากท่าทีเลื่อนลอยไม่ได้สติเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมา 

“บอกว่าทำงาน จริงๆ มัวแต่ไปไหนมาไหนกับผู้ชายใช่ไหม ทำเป็นเล่นตัวไปได้นังนี่!” 

ชายวัยกลางคนไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือหญิงสาว ซ้ำยังออกแรงผลักให้เธอล้มลงพื้น จากนั้นอีกฝ่ายก็เข้ามาตะครุบร่างเล็ก มือหยาบหนาพยายามจะลูบไล้ที่เรียวขาทั้งสองตรงหน้าอย่างหื่นกระหาย

คะนึงนิตย์สะดุ้งผวา ลมหายใจของเธอกระชั้นถี่ด้วยความกลัว พยายามจะสลัดตัวเองให้พ้นจากการคุกคามของลุงเขย รีบสะบัดเท้าหนี ก่อนจะยกมันถีบเข้าอย่างจังที่ท้องของอีกฝ่าย พลางฉวยโอกาสที่ร่างกายเป็นอิสระ ดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน รีบคว้ากระเป๋าขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนวิ่งตรงไปยังห้องน้ำเล็กของชั้นล่างที่ใกล้ที่สุดเพื่อหลบจากผู้ชายคนนี้ 

มือของเธอสั่นเทิ้ม สิ่งแรกที่เธอทำคือหยิบโทรศัพท์มือถือโทร. แจ้งความขอความช่วยเหลือ ทว่าก็พอดีกับที่เจ้าของเบอร์หนึ่งโทรศัพท์เข้ามา

“บะ...บัว! บัวช่วยด้วย บัว ฮือ...” ทันทีที่เธอรับสายแล้วรีบพูดออกไป เสียงของเธอก็สั่นเครือไม่แพ้กับร่างกาย ขอบตาของคะนึงนิตย์ร้อนผ่าว ม่านน้ำตาเอ่อขึ้นจนภาพตรงหน้าพร่าเลือน 

“ปั้นเป็นไร เกิดอะไรขึ้น!” เสียงร้อนรนของกชนันท์ดังผ่านลำโพง 

“บะ...บัวช่วยด้วย คือละ...ลุงเขา...กรี๊ด!”

ปัง! ปัง!

เสียงทุบประตูที่ดังขึ้นทำให้เธอหลุดกรีดร้องขึ้นมา ความตกใจทำให้เธอเผลอปล่อยโทรศัพท์มือถือในมือร่วงหล่นพื้นจนหน้าจอแตกร้าว ไม่ทันได้หยิบมันขึ้นมาสนทนาต่อ ประตูห้องน้ำก็สั่นอย่างแรง เสียงทุบดังขึ้นอย่างต่อเนื่องผสานกับเสียงก่นด่าจากคนที่อยู่อีกฝั่ง

“อีปั้น แกออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! อย่าให้กูเข้าไปได้นะ!”

เสียงขู่กระโชกของลุงเขยทำให้เธอขยับตัวเข้าไปหลบมุมหนึ่งของห้องน้ำ คว้าเอาขวดน้ำยาล้างห้องน้ำมาไว้ใกล้ตัว อย่างน้อยถ้าเกิดอีกฝ่ายพังประตูเข้ามาได้ เธอจะใช้น้ำยาล้างห้องน้ำฉีดใส่ใบหน้าเขา และอาจจะหนีออกไปได้ 

“อีปั้นออกมานะโว้ย!”

เธอกุมขวดน้ำยาล้างห้องน้ำไว้แน่น ดวงตาจับจ้องที่ประตู ภาวนาไม่ให้กลอนประตูหลุดออกมา 

แต่ดูเหมือนว่าคำขอของเธอจะไม่เป็นผล ตัวนอตของสลักประตูค่อยๆ คลายออกจากเกลียวเพราะแรงกระแทกที่กระหน่ำซ้ำเข้ามา คะนึงนิตย์จ้องมองประตูไม่คลาดสายตาจนสุดท้ายตัวนอตที่เต็มไปด้วยสนิมเหล่านั้นก็หลุดออกมาจริงๆ 

ปัง! 

ประตูห้องน้ำเปิดกระแทกออกอย่างแรงพร้อมกับร่างของลุงเขยที่ยืนเหนื่อยหอบ นัยน์ตาแดงก่ำ สายตาที่มองตรงมามีแต่ความมุ่งร้าย 

“อีปั้น!” ชายวัยกลางคนเดินเข้ามา แต่ไม่ทันที่เขาจะได้แตะต้องเธอ คะนึงนิตย์รีบบีบขวดน้ำยาล้างห้องน้ำใส่อีกฝ่ายโดยเร็ว

“อีบ้า! โอ๊ย ตากู!” อีกฝ่ายร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เธอใช้โอกาสนี้รีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำ โดยมีเสียงตวาดไล่หลังมาติดๆ 

“อีปั้น อีหลานชั่ว มึงมานี่!” 

เธอหันไปมองก็เห็นเขาวิ่งตามออกมาจากห้องน้ำ มือข้างหนึ่งกุมตาซ้ายไว้ 

“โอ๊ย!” คะนึงนิตย์เซไปด้านหลัง เพราะถูกอีกฝ่ายคว้าเส้นผมและกระชากไว้ เธอทรุดลงด้วยความเจ็บ ขณะที่ผู้ร้ายในคราบของญาติพี่น้องคนนี้เงื้อมือขึ้นสูงแล้วตวัดกระทบลงที่พวงแก้ม 

เผียะ! 

ใบหน้าข้างหนึ่งของเธอชาวาบ นอกเหนือจากความรู้สึกเจ็บที่แปล๊บขึ้นจากแรงตบ และความรู้สึกเจ็บชาที่หนังศีรษะแล้ว ความสิ้นหวังก็ผุดขึ้นเกาะกุมที่หัวใจ

“ช่วยด้วยค่ะ! ใครก็ได้!” เธอตะโกนกรีดร้องสุดเสียง หวังว่าอย่างน้อยเพื่อนบ้านใกล้เคียงจะได้ยินเสียงของเธอและเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น 

“หุบปาก!” ชายกลางคนรีบใช้ฝ่ามือหนาของตัวเองปิดปากเล็กพร้อมกับออกแรงบีบใบหน้าของเธอจนเจ็บ “ได้! เล่นตัวนักใช่ไหมอีนี่!”  

ลุงเขยกดร่างหญิงสาวลงกับพื้น มือข้างหนึ่งที่กุมดวงตาของตนเลื่อนออก ทำให้เธอเห็นว่าดวงตาของอีกฝ่ายแดงน่ากลัวแค่ไหน ดูท่ามันคงจะโดนน้ำยาล้างห้องน้ำไปไม่น้อย คะนึงนิตย์พยายามดิ้นรนหนีเอาตัวรอด แต่อีกฝ่ายกลับเลื่อนมือทั้งสองข้างของตัวเองบีบเข้าที่ลำคอเล็ก

“อั้ก! ปะ...ปล่อยหนู!”

วินาทีที่อีกฝ่ายออกแรงบีบคอของเธอเรื่อยๆ อากาศในปอดก็พลันหายไปทีละนิดจนแทบไม่เหลืออยู่ เธอพยายามดิ้นทุรนทุรายให้พ้นจากความทรมาน มือทั้งสองพยายามปัดป่าย ทำอย่างไรก็ได้ทั้งข่วนทั้งแกะเพื่อให้มือหนาหยาบที่อยู่รอบคอคลายออก แต่มันกลับกระตุ้นให้คนคนนี้บีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่สติของคะนึงนิตย์จะดับวูบไปทั้งหมด เธอพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายทั้งหมดผลักไสอีกฝ่าย ทว่ามันกลับไม่เป็นผลแม้แต่น้อย 

ในชั่วเวลาที่เธอหมดหวังนี้เอง เสียงกระแทกอย่างแรงก็ดังขึ้น ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของลุงเขย

พลั่ก! 

“โอ๊ย!”

“ปั้นเป็นไงบ้าง!” 

เสียงที่คุ้นเคยของกชนันท์ทำให้เธอแทบลืมหายใจ ความหวังที่คิดว่ามอดลงกลับลุกโชกขึ้นมาอีกครั้ง มือของอีกฝ่ายค่อยๆ ประคองร่างที่นอนหายใจรวยริน คะนึงนิตย์รีบสูดอากาศเข้าปอดลึก ก่อนจะมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ

เกิดอะไรขึ้น...ทำไมกชนันท์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้ว...ทำไมถึงเป็นเขา

พฤกษ์...

ร่างสูงของชายหนุ่มกำลังยืนอยู่ข้างหน้าราวกับแผ่นฟ้าที่กั้นเธอไว้จากความมืดมิด ตั้งแต่วินาทีที่เห็นแผ่นหลังของเขา คะนึงนิตย์ก็ไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้เลย 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น