10

10

10

 

        จบประโยคของพฤกษ์แล้ว ชายหนุ่มก็เอ่ยปากชวนทุกคนกินอาหารต่อราวกับว่า เรื่องที่ประกาศออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ลิ้นของตุลธร ชมนาด และวราลีแทบไม่รู้รส อาหารที่พวกเขากินไปหลังจากนั้นเป็นอะไรบ้าง ก็คิดว่าคงไม่ทันได้ตั้งใจสังเกต 

        เมื่อมีผู้ผิดหวังก็ต้องมีคนที่สมหวัง อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะกินข้าว กชนันท์และโมกข์กลับรู้สึกว่าอาหารตรงหน้าก็รสชาติไม่เลว มิหนำซ้ำยังเจริญอาหารกว่ามื้อไหนๆ ส่วนคะนึงนิตย์กับพฤกษ์คงไม่ต้องให้พูดถึงมากนัก เพราะคนหนึ่งก็เอาแต่เอาอกเอาใจอีกฝ่าย คะยั้นคะยอให้คนตัวเล็กกินนู่นกินนี่ หากไม่ต้องรักษามารยาทที่ดีงาม สองพี่น้องก็เชื่อว่าพี่ชายคนโตของพวกเขาคงประคองคนรักไว้บนตัก พลางป้อนข้าวป้อนน้ำให้ไม่ขาดแน่นอน 

        อาหารเย็นที่บ้านรัตนเวคินทร์จึงจบลงเช่นนี้ คำขาดของพฤกษ์เปรียบเสมือนกฎเหล็ก ในเมื่อเขาบอกว่าไม่สะดวก ต่อให้ตุลธรจะพยายามโน้มน้าวเท่าไหร่ เจ้าบ้านก็ใช้ความนิ่งสงบของตนสยบกระแสอันร้อนแรงของสองสามีภรรยา จนสุดท้ายแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสองต้องล่าถอย เอ่ยปากขอกลับไปในที่สุด 

        ส่วนแขกอีกคนกชนันท์เห็นชัดว่าควรไล่ออกไปจากบ้านได้แล้ว แต่ว่าที่พี่สะใภ้ของตนกลับปรามเอาไว้ แล้วบอกอย่างชัดเจนว่าให้เป็นหน้าที่ของพฤกษ์จะดีกว่า 

        หลังจากตุลธรกับชมนาดกลับไปแล้ว พวกเขาที่เหลือรวมถึงวราลีจึงมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น แขกสาวยังคงทำตัวสบายๆ คุ้นเคยกับทุกคน ราวกับว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว ทว่าเท่าที่คะนึงนิตย์สังเกต อีกฝ่ายคล้ายมีคำพูดบางอย่างที่จะคุยกับพฤกษ์เป็นการส่วนตัว เธอจึงเอ่ยปากขึ้นมา 

        “พี่พฤกษ์คะ ปั้นขอพาบัวกับพี่โมกข์ไปดูของว่างในครัวนะคะ” 

        พฤกษ์เข้าใจความหมายในประโยคนี้ทันทีโดยไม่ต้องให้กล่าวซ้ำ หลังจากที่ได้ยินแล้ว เขาสำรวจใบหน้าของว่าที่คู่หมั้นของตนรอบหนึ่ง นอกจากดวงตากลมโตที่มองเขาด้วยความอบอุ่นแล้ว ก็ไม่เห็นความไม่ไว้วางใจหรือความสงสัยจากคะนึงนิตย์เลย การกระทำอย่างผ่าเผยเช่นนี้เห็นชัดว่าเธอเชื่อใจเขามากแค่ไหน 

        “ได้ครับ”

        คล้อยหลังร่างทั้งสามหายลับไปทางห้องครัวแล้ว พฤกษ์ถึงได้ผินหน้ามามองวราลี แววตาอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นลมหนาวอันเย็นชา ไร้ซึ่งความอ่อนโยนแทบจะในทันที 

        วราลีเห็นแล้วก็รีบกลืนก้อนสะอึกที่ติดอยู่ในลำคอลงท้อง ความห่างเหินที่เขาแสดงออกมาดูแล้วก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อนนัก ทว่ายามที่ได้เห็นความอ่อนหวานของพฤกษ์ก็เหมือนมีตัวอย่างให้เปรียบเทียบ ดังนั้นเมื่อเทียบท่าทางของชายหนุ่มที่มีต่อคะนึงนิตย์และตนในเวลานี้แล้ว เธอย่อมไม่พอใจอย่างมาก 

        ที่แท้เขาก็ยิ้มได้อย่างอ่อนหวาน มีแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความลุ่มหลงเช่นกัน 

        เมื่อเทียบเธอกับคนรักของเขาแล้ว วราลีไม่รู้เลยว่าตัวเองพลาดตรงไหน เห็นได้ชัดว่าเธอรู้จักพฤกษ์ก่อนหญิงสาวอีกคนด้วยซ้ำ ทั้งยังเคยผ่านช่วงเวลาหลายๆ อย่างมาพร้อมกัน แต่ทำไมเธอถึงไม่ใช่คนที่ถูกเลือก...มีอะไรผิดพลาดไปอย่างนั้นหรือ

        ระหว่างที่วราลีกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ เสียงทุ้มที่เธอหลงใหลก็ดังขึ้นทำลายภาพในหัวทั้งหมดลง 

        “ลูกจันทร์มีอะไรอยากจะคุยกับผมหรือเปล่าครับ” 

        ไม่รู้ว่าพฤกษ์ทนความอยากรู้ไม่ไหวหรือต้องการไล่ให้เธอกลับกันแน่ เขาถึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นมา แต่สุดท้ายวราลีก็เก็บทุกความไม่พอใจ ความผิดหวัง และคำถามที่มีกลับลงไป ค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนหวานที่ดูแล้วก็ไม่ต่างจากรอยยิ้มของคนรักเขาออกมา 

        ทว่าทั้งๆ ที่เธอยิ้มเช่นนี้แล้ว ในแววตาของพฤกษ์ก็ยังไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความหวั่นไหว

        “ลูกจันทร์อยากขอโทษค่ะ ดูเหมือนมื้อเย็นวันนี้ของพฤกษ์จะไม่ราบรื่นเลย...ลูกจันทร์ไม่รู้มาก่อนว่าคุณลุงคุณป้าตั้งใจแบบนี้ พวกท่านบอกว่านัดกับพฤกษ์ไว้แล้ว ลูกจันทร์ก็เลยตกลงรับคำชวน” 

        มือเรียวที่ประสานกันบีบแน่น ดวงตาคู่งามหลุบมองต่ำ ทั้งขอบตาและปลายจมูกแดงเล็กน้อย เมื่อรวมกับเสียงสั่นเครือแล้ว ท่าทางตรงหน้าช่างดูน่าสงสารและน่าถนอมประคองหญิงสาวไว้ทั้งสองมือ แต่พฤกษ์กลับยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยปากช้าๆ ทุกคำพูดชัดถ้อยชัดคำ

        “ไม่ใช่ความผิดลูกจันทร์หรอกครับ เรื่องของลุงกับป้า ผมพอจะเดาออก” 

กระแสเสียงของพฤกษ์ฟังได้ชัดว่าไม่ใส่ใจ ทั้งๆ ที่ควรจะโล่งอก แต่วราลีกลับไม่ต้องการความสบายใจนี้ เพราะการไม่สนใจน่ากลัวยิ่งกว่าอารมณ์โมโหเสียอีก...ตราบใดที่คนบางคน โดยเฉพาะคนที่เธอใส่ใจโมโหหรือโกรธเธอขึ้นมา ย่อมหมายความว่าเขาคนนั้นมีเธออยู่ในใจ...ทว่าท่าทางของพฤกษ์ทำให้หญิงสาวทั้งหวั่นทั้งรู้สึกเหมือนตกอยู่ในน้ำเย็นจัด ชาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า 

        “ขอบคุณค่ะ พฤกษ์คะ เรื่องที่คุณลุงคุณป้าพูด...” เธอเงียบไปอึดใจ พลางลอบสังเกตใบหน้าของชายหนุ่มอย่างถี่ถ้วน “ลูกจันทร์ยังยืนยันคำเดิมนะคะ ถึงก่อนหน้านี้ลูกจันทร์จะเคยหวังว่าตัวเองจะมีโอกาส แต่ตอนนี้ลูกจันทร์เข้าใจแล้ว” 

        วราลีไม่ต้องการโกหกว่าไม่รู้สึกอะไร พฤกษ์เป็นคนฉลาด ต่อให้ปิดบังเขาก็ย่อมเข้าใจนัยของเธอที่แสดงออกมาหลายปีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้น

เมื่อก่อนข้างกายเขาไม่เคยมีใครนอกจากตน วราลีจึงมั่นใจถึงที่สุดว่าตำแหน่งคนรักของพฤกษ์จะต้องเป็นของตนแน่ๆ แต่ใครจะคิดว่าม้ามืดอย่างคะนึงนิตย์จะโผล่ขึ้นมา หากยังดื้อดึงแสร้งว่าไม่ได้คิดอะไรแล้ว แบบนั้นยิ่งทำให้พฤกษ์ตีตัวห่าง เว้นช่องว่างระหว่างเขากับเธอแน่นอน 

        สู้เปิดเผยแสดงความจริงใจออกมาไม่ดีกว่าหรือ... 

        “พฤกษ์น่าจะรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาลูกจันทร์คิดยังไงใช่หรือเปล่าคะ”

        การที่เขานิ่งเงียบก็ไม่ต่างจากการยอมรับ วราลีจึงค่อยๆ เพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง แล้วพูดออกไปด้วยท่าทางที่จริงใจที่สุด 

        “ถ้าจะบอกว่าลูกจันทร์ตัดใจได้แล้วคงเป็นเรื่องโกหก แต่ลูกจันทร์ไม่ได้อยากเข้าไปแทรกเป็นมือที่สามของใคร พฤกษ์ดูมีความสุขดี ลูกจันทร์คงตัดใจทำแบบนั้นไม่ลง ดังนั้นที่ลูกจันทร์อยากจะบอกพฤกษ์...” 

        วราลีจงใจปล่อยให้เสียงขาดห้วงเพราะการสะอื้นที่ไร้น้ำตา จากนั้นควบคุมตัวเองให้พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบที่สุด แม้จะมีความสั่นเครือเจืออยู่บ้าง ท่าทางพยายามเข้มแข็งทั้งๆ ที่อ่อนไหวถึงขีดสุดแบบนี้ดูน่าเห็นใจ และประทับใจกว่าการร้องไห้ฟูมฟายเป็นไหนๆ 

        “ลูกจันทร์ชอบพฤกษ์ค่ะ ชอบมาตลอด แต่จากนี้ลูกจันทร์จะมองพฤกษ์ให้เป็นเหมือนเดิม เป็นเพื่อนกันอย่างที่เราเป็นมาตลอด เพราะอย่างนั้น อย่าตัดขาดความเป็นเพื่อนของเราได้ไหมคะ ถึงลูกจันทร์จะเป็นคนรักของพฤกษ์ไม่ได้ แต่อย่างน้อยลูกจันทร์อยากรักษามิตรภาพความเป็นเพื่อนระหว่างเราไว้...ได้ไหมคะ”

        เธอจดจ้องชายหนุ่มตรงหน้าราวกับต้องการคำตอบ ความเงียบของเขาทำเอาหัวใจเต้นระรัว หากแผนการนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เธอคงไม่มีหน้าหรือโอกาสใดๆ ให้พยายามต่ออีกแล้ว

        “ครับ ผมยินดีเป็นเพื่อนกับลูกจันทร์เหมือนเดิม” 

        สุดท้ายพฤกษ์ก็เอ่ยขึ้นมา คำตอบนี้ต่อลมหายใจของวราลีให้ยืดออกไป แม้ว่าท่าทางของเขาจะชวนให้รู้สึกผิดหวังอย่างมาก แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้วสำหรับสถานการณ์นี้ 

        วราลียกยิ้มหวาน รักษาระยะห่างระหว่างตนกับชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชัดเจน เธอยืนขึ้นก่อนหยิบกระเป๋า แล้วเอ่ยคำลาในทันที ไม่คิดจะรั้งตัวอยู่ที่นี่นานนัก ในเมื่อเพิ่งพูดไปว่าจะขอรักษาความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ก็ไม่ควรฉวยโอกาสได้คืบจะเอาศอกอีก 

        เวลานี้เห็นได้ชัดว่าคนที่พฤกษ์ต้องการใช้เวลาร่วมด้วยเป็นใคร ก็ไม่ควรเสนอหน้าอยู่ให้เขานึกรำคาญ 

        “ขอบคุณนะคะพฤกษ์ ถ้าอย่างนั้นลูกจันทร์ไม่รบกวนแล้ว ไปก่อนนะคะ”

        “ครับ” 

        พฤกษ์ทำท่าจะยืนขึ้น แต่เธอก็รีบห้ามไว้

        “ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ ลูกจันทร์ไปเองได้”

        “ครับ ถ้าอย่างนั้นเดินทางปลอดภัยนะครับ” 

        ไม่มีความอาลัยอาวรณ์หรือการรักษามารยาทใดๆ ตอบกลับมาทั้งสิ้น แม้จะผิดหวังและรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง แต่วราลีก็ยังคงยิ้มหวาน กล่าวลาทิ้งท้ายแล้วเดินออกมา

        “...ขอบคุณค่ะพฤกษ์ ฝากลาน้องๆ แทนด้วยนะคะ”

        ระหว่างที่เดินออกจากห้องนั่งเล่น ก็พบกับกลุ่มของคะนึงนิตย์ที่ประคองถาดขนมและเครื่องดื่มออกมาจากครัวพอดิบพอดี โมกข์ที่เห็นเข้าก็ทักถามตามมารยาท

        “คุณลูกจันทร์จะกลับแล้วเหรอครับ”

        “ค่ะ ไม่อยากรบกวนเวลาครอบครัว แค่นี้พี่ก็เกรงใจมากแล้วค่ะ” เธอยกยิ้มอย่างขอโทษขอโพย ชายหนุ่มตรงหน้าก็ยิ้มตอบกลับอย่างเกรงใจเช่นเดียวกัน

        พวกเขาต่างรู้ดีว่าอาหารเย็นมื้อนี้ไม่ใช่เรื่องน่าจดจำเท่าไหร่นักทั้งสำหรับเจ้าบ้านและแขก

        “ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปส่งที่รถดีกว่า”

        “ไม่เป็นไรค่ะน้องโมกข์ แค่นี้เองไม่ต้องเสียเวลาหรอกค่ะ ให้เด็กเปิดประตูให้พี่ก็พอ”

        “ได้ยังไงครับ”

        “ได้สิคะ ตามที่พี่ว่าแหละค่ะดีแล้ว” 

        กชนันท์ที่เงียบอยู่ก็เอ่ยขึ้นตามพิธี น้ำเสียงที่ใช้ก็ไม่ต่างจากการเหน็บแนบไม่น้อย

        “พี่โมกข์ เถียงกันไปเถียงกันมาแบบนี้ คุณลูกจันทร์ไม่ได้กลับบ้านพอดี คุณลูกจันทร์ยืนยันแล้ว บัวก็ไม่ขัดศรัทธาค่ะ บ๊ายบายนะคะ”

        วราลียกยิ้ม ส่วนโมกข์กลับมีแววความกระอักกระอ่วนอยู่เด่นชัด สุดท้ายจึงเป็นหญิงสาวอีกคนที่เงียบอยู่นานพูดแก้บรรยากาศอึดอัดในเวลานี้แทน

“คุณลูกจันทร์เดินทางปลอดภัยนะคะ ค่ำแล้วคงขับรถลำบาก”

“ขอบคุณค่ะน้องปั้น งั้นพี่ขอตัวก่อนนะคะทุกคน”

สุดท้ายวราลีก็หมุนกายออกมาจากตรงนั้น พอดีกับที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างสนุกสนานไล่หลัง แม้รู้ดีว่าเสียงนี้คือเสียงของกชนันท์ และเรื่องที่พวกเขาหัวเราะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตนเลยก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับนึกถึงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคะนึงนิตย์ขึ้นมา ความคิดนี้ทำให้สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเหยียดหยาม ก่อนเร่งฝีเท้าออกจากบ้านรัตนเวคินทร์

        ก็แค่ดอกไม้บ้านๆ ไม่ต่างจากดอกหญ้าริมทาง จะมีวาสนาให้คนอื่นเขานึกถึงเท่าไหร่เชียว...

 

        ทันทีที่แผ่นหลังบอบบางของแขกสาวที่ไม่ได้รับเชิญมาในวันนี้จากไปแล้ว กชนันท์ก็โดนพี่ชายคนรองหยิกต้นแขนเข้าให้ด้วยข้อหาทำตัวเสียมารยาท 

        “โอ๊ย พี่โมกข์! บัวไม่ได้เสียมารยาทสักหน่อย คนเขาก็พูดเองว่ากลับได้ เราจะไปตอแยทำไม อีกอย่าง อย่าลืมนะคะว่าเราไม่ได้เชิญเขามา” 

        โมกข์ถลึงตาใส่น้องสาว เขาไม่ได้มีใจเอนเอียงให้คนนอก เพราะรู้ดีแก่ใจว่าผู้หญิงทั้งสองคนล้วนไม่ถูกกัน ทว่าถ้าพูดกันตามจริงแล้ว เขานึกเป็นห่วงมากกว่า

        มีเพียงข้อเปรียบเทียบเดียวระหว่างกชนันท์กับวราลีที่เห็นได้ชัดเลยก็คือการแสดงออก กชนันท์ตรงไปตรงมา รักคือรัก เกลียดคือเกลียด ไม่เคยปิดบังความคิดของตัวเอง ขณะที่วราลีซ่อนความรู้สึกของตัวเองไว้ และเลือกแสดงออกมาแต่ภาพที่สวยงามน่ามอง โมกข์กลัวว่าน้องสาวที่ร้อนทั้งนอกทั้งในเช่นนี้อาจจะพลาดเพราะใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งเข้าสักวัน 

        “ที่พี่ว่าไม่ใช่พี่ลำเอียงนะบัว พี่รู้ว่าเราไม่ชอบเขา แต่บางครั้งเราก็ต้องยับยั้งใจตัวเองไว้บ้าง พี่หวังดีกับบัวนะ” ถึงบางครั้งโมกข์ยอมปิดตาข้างหนึ่ง มองข้ามนิสัยเอาแต่ใจของน้องเล็กไปบ้าง ทว่าครั้งนี้เขากลับเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง ใบหน้าที่ปกติมักจะเจือความอบอุ่นอ่อนโยนจึงดูแข็งกร้าวขึ้นมา

         กชนันท์เห็นพี่ชายคนรองเข้าโหมดจริงจังแล้วก็นิ่งงัน ความจริงก็รู้ดีว่าพฤติกรรมของตัวเองไม่น่ารักเท่าไหร่นัก ความผิดครั้งนี้มีหลักฐานเด่นชัด เธอไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ได้แต่ยอมรับผิดนี้แต่โดยดี 

        “โอเคๆ บัวเข้าใจแล้ว บัวจะพยายามก็แล้วกัน” 

        หญิงสาวตกปากรับคำด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก ทว่าคนเป็นพี่กับเพื่อนสนิทที่รู้จักและรู้ใจมานานต่างรู้ดีว่า กชนันท์ยอมอ่อนข้อ ยอมรับผิด และยอมถอยลงหนึ่งก้าวแล้ว 

        “น้ำแข็งจะละลายหมดแล้ว เราไปที่ห้องนั่งเล่นกันดีกว่าค่ะ” คะนึงนิตย์เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะมองแก้วน้ำหวานในถาด 

        เสียงของหญิงสาวดึงสติของสองพี่น้องให้กลับมาสู่ปัจจุบัน หลังจากนั้นทั้งสามจึงมองหน้ากันพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินไปที่ห้องนั่งเล่นทันที ระหว่างทางน้องเล็กของบ้านก็หลุดคำถามหนึ่งออกมา ส่งผลให้ฝีเท้าที่มั่นคงของคะนึงนิตย์เสียจังหวะขึ้นมาทันที 

“ว่าแต่พี่พฤกษ์กับปั้นจะหมั้นกันเหรอ” 

“เรื่องนั้น...เราว่าพี่พฤกษ์แค่ตามน้ำไปมากกว่า” ใบหน้าของคนตอบแดงเรื่อ รีบสับเร่งฝีเท้าเดินไปล่วงหน้า ราวกับว่ากำลังหนี 

ส่วนคนถามก็คันปากยุบยิบ อยากเมาท์ใจจะขาดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่พี่ชายคนโตของตนจะแกล้งตามน้ำตบตาลุงและป้าสะใภ้ของพวกเขาเฉยๆ แต่เห็นท่าทางของเพื่อนสาวแล้วกชนันท์ก็เก็บปากไว้ก่อน เพราะจู่ๆ ก็นึกสนุก อยากเห็นว่าพี่ชายของเธอจะทำอย่างไร เพื่อให้การหมั้นหมายครั้งนี้สำเร็จไปด้วยดี

กระทั่งกชนันท์เข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้ว ก็เห็นว่าคะนึงนิตย์กำลังวางถาดขนมลงบนโต๊ะ เธอจึงรีบลากพี่ชายคนรองไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวตัวเล็กที่ขนาบซ้ายขวา เป็นการบีบบังคับให้เพื่อนสาวที่อาจจะกลายเป็นพี่สะใภ้ใหญ่นั่งคู่กับว่าที่สามีไป

พฤกษ์ที่เห็นพฤติกรรมของน้องสาวก็ไม่ห้ามปราม แววตาของเขาพราวระยับ ยามที่จดจ้องบนร่างระหงก็เต็มไปด้วยประกายแพรวพราย สุดท้ายคะนึงนิตย์ก็ต้องนั่งลงที่โซฟายาวตัวเดียวกันกับชายหนุ่ม เพียงแต่ยังเว้นระยะห่างจากเขาไว้พอประมาณ ถึงพฤกษ์จะไม่ชอบใจ แต่ชายหนุ่มก็ใจเย็นมากพอ ไม่ได้เอ่ยหรือบีบบังคับให้หญิงสาวขยับเข้ามา 

“พี่พฤกษ์ บัวว่าที่ลุงกับป้ามาไม่ธรรมดาแน่นอน คงอยากให้พี่พฤกษ์ช่วยพี่สนแน่ๆ”

กชนันท์เปิดประเด็นเรื่องลูกพี่ลูกน้องคนนี้หลังจากที่ติดใจอยู่นาน คิดไว้แล้วว่าญาติของตนไม่ได้มาเพราะอยากเจอหลานๆ แต่ที่อยากเจอคือ ‘เงิน’ ของหลานมากกว่า ยิ่งคิดถึงความเห็นแก่ตัวของอีกฝ่าย ใบหน้าของหญิงสาวก็เหยเกไม่น่ามอง ไม่นานก็เบ้ปากก่อนจะพึมพำบ่นขึ้นมา 

ส่วนเรื่องที่กชนันท์กำลังพูดถึงนั้นในใจของพฤกษ์ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว ก่อนที่จะกลับมาเมืองไทย เขาได้ตรวจสอบสถานะการเงินของญาติๆ ฝั่งพ่อไว้แล้ว โดยเฉพาะสถานะการเงินของผู้เป็นลุง ใครจะคิดว่าผู้ถือหุ้นที่มีสัดส่วนไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์จะได้รับเงินปันผลรายปีไม่น้อยหน้าพวกเขาสามพี่น้องด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าเป็นการยักยอกจากภายใน 

เขาไม่เชื่อว่าโมกข์จะไม่เอะใจ ถ้าไม่ใช่ว่าหลักฐานมีไม่มากพอ โมกข์คงไม่ปล่อยให้สองสามีภรรยาทำตัววางอำนาจต่อไปเช่นนี้อีกแน่นอน พฤกษ์จำสีหน้าของโมกข์ตอนที่เขายืนยันว่าจะเข้ามาดูแลกิจการของที่บ้านได้ดี สีหน้าน้องชายคนรองโล่งใจ เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากสรธร ลูกพี่ลูกน้องคนนี้นี่เอง 

พฤกษ์เหลือบมองน้องสาย โมกข์ที่รู้ตัวอยู่แล้วจึงสะดุ้งโหยง ก่อนจะทอดสายตาจำนน ทั้งคู่สบตาสื่อสารกันเพียงเสี้ยววินาที คนเป็นน้องก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไร 

        สองหนุ่มเบนสายตาหลบอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนที่โมกข์จะเป็นฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาเป็นเรื่องอื่น ท่าทางหงุดหงิดของกชนันท์ถึงได้ดีขึ้น น้องเล็กของบ้านถึงได้เอ่ยเรื่องอื่นมาเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นให้อบอุ่น สนุกสนานในพริบตา

        กระทั่งเข็มสั้นของนาฬิกาชี้เลขสิบ คะนึงนิตย์ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองโอ้เอ้อยู่ที่นี่นานเกินกว่าที่คิดเสียแล้ว ทั้งกชนันท์และโมกข์ต่างเป็นคู่สนทนาที่ดีเกินคุ้ม พูดหนึ่งเพื่อนรักของเธอก็ต่อได้ถึงสิบ และเมื่อมีลูกคู่อย่างพี่ชายคนรองด้วยแล้ว บทสนทนาที่เกิดขึ้นจึงยาวเหยียดไม่มีสิ้นสุด เพลิดเพลินจนแขกอย่างเธอลืมตัวไปด้วยซ้ำ 

        “พี่พฤกษ์คะ ปั้นว่านี่ก็ดึกแล้ว ปั้นกลับก่อนดีกว่าค่ะ” เธอตั้งใจหันไปกระซิบบอก ทว่าพอหันใบหน้าไปหาคนข้างหายกลับได้รับสัมผัสนุ่มอุ่นเฉียดหน้าผากไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว หญิงสาวชะงักกึก รีบเอนตัวออกมาเพราะความตกใจ และเมื่อสังเกตดีๆ ก็พบว่าระยะห่างของเธอและชายหนุ่มลดลงอย่างรวดเร็ว 

หากขยับตัวเข้าไปอีกนิด ต้นแขนของทั้งสองคนก็คงแตะกันแล้ว แขนข้างหนึ่งของพฤกษ์วางพาดยาวที่พนักพิงด้านหลังของโซฟา หากดูเผินๆ ก็ไม่ต่างจากการโอบกอดเธอไว้หลวมๆ มืออีกข้างวางลงบนเข่า เพราะอย่างนี้นี่เองใบหน้าของชายหนุ่มถึงใกล้กับเธอมาก

มือเรียวเผลอยกแตะจุดที่เฉียดริมฝีปากเขาไปอย่างลืมตัว ยิ่งเวลาที่เงยหน้าขึ้นมองดวงตาคมปลาบของคนตรงหน้า ลมหายใจก็พลันสะดุด กระทั่งเสียงกระแอมของกชนันท์ดังขึ้น คะนึงนิตย์ถึงได้สะดุ้งแล้วหันมายิ้มเจื่อน 

“..ดึกแล้ว เรากลับก่อนดีกว่า” พูดจบก็รีบลุกขึ้น เตรียมจะเอ่ยปากขอโทรศัพท์มือถือ รวมถึงข้าวของที่เตรียมมาตั้งแต่คราวก่อนคืน แต่เพื่อนรักก็ขัดขึ้นมา 

“เอาแบบนี้สิปั้น คืนนี้ก็ค้างที่บ้านเลย พรุ่งนี้เดี๋ยวให้พี่พฤกษ์ไปส่ง” 

คะนึงนิตย์ขมวดคิ้วทันที รีบพูดปฏิเสธเสียงอ่อน “แบบนี้พี่พฤกษ์เหนื่อยเปล่าๆ พรุ่งนี้เราต้องไปเตรียมของที่โรงเรียนแต่เช้า” 

คนฟังได้ยินเหตุผลก็แอบค้อนใส่พี่ใหญ่เบาๆ เพราะเห็นเต็มสองตาว่าพี่ชายแสดงความพึงพอใจมากแค่ไหน คำพูดเกลี้ยกล่อมจึงตกเป็นหน้าที่ของ ‘คนขับรถ’ ทันที 

“ไม่เหนื่อยครับ ตอนนี้ดึกแล้ว ปั้นค้างที่นี่ก็ได้ครับ พี่ไม่ถือ” 

คะนึงนิตย์หันไปส่งสายตาค้อนควัก อยากจะปฏิเสธใจจะขาด แต่เสียงอ่อนโยนของโมกข์ก็ดังขึ้น แสดงความเห็นด้วยกับพี่ชาย

“จริงด้วยปั้น ตอนนี้ดึกแล้ว ถ้าพี่พฤกษ์ไปกลับแบบนี้ พี่กลัวพี่พฤกษ์จะไม่ไหว จำได้ว่าปั้นมีของที่เตรียมมาค้างกับบัวเมื่อคืนใช่ไหม งั้นคืนนี้ปั้นก็อยู่ที่นี่ดีแล้วครับ”

“ใช่ๆ เพื่อนปั้นคนดี ไม่สงสารพี่พฤกษ์แล้วเหรอ”

สามพี่น้องพากันรับส่งเป็นจังหวะ ทั้งยังยกเรื่องความปลอดภัยของพฤกษ์ขึ้นมาอ้าง จากนั้นก็วนไปยังอันตรายของการเดินทางกลางคืน ทั้งบอกว่ากังวลในความปลอดภัยของเธอ หากต้องนั่งรถโดยสารไปคนเดียว เหตุผลเกือบสิบข้อถูกยกขึ้นมาเป็นลำดับ เหลือเพียงคำตอบเดียวที่คะนึงนิตย์ตอบได้ก็คือคำว่า ‘ตกลง’

หญิงสาวเห็นความพยายามของทั้งสาม โดยเฉพาะคนโตที่ถึงจะพูดน้อยสุด แต่เธอแอบเห็นอยู่ดีว่าสายตาของเขากำลังบงการลูกสมุนทั้งสองให้ยกแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมตนอย่างไร สุดท้ายคะนึงนิตย์ก็ทนไม่ไหว ต้องถอนหายใจปนหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วตอบตกลงเสียที ก่อนที่แม่น้ำและทะเลสาบทั้งหมดบนโลกจะถูกยกมาล้อมกล่อมตนอีก 

“ก็ได้ค่ะ ปั้นรู้แล้วว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย” เธอหัวเราะเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ปั้นขอรบกวนหน่อยนะคะ”

“ไม่รบกวนเลย พี่พฤกษ์สั่งให้แม่บ้านทำความสะอาดห้องที่ปั้นเคยพักพอดี ของของปั้นก็อยู่ในห้องนั้น พักผ่อนได้ตามสบายเลย” โมกข์อธิบายอย่างโล่งใจ กชนันท์ก็ตบตักเสียงดังด้วยความพอใจ 

แต่คำพูดนี้ของหนุ่มอบอุ่นทำให้คะนึงนิตย์ต้องปรายตามองหนุ่มคนรักที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะเห็นรอยยิ้มใสซื่อของเจ้าตัว คล้ายกำลังจะบอกว่าเขาไม่เกี่ยวข้องด้วยทั้งนั้น แต่มีหรือที่เธอจะเชื่อท่าทางไร้เดียงสาของเขา เห็นได้ชัดเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของพฤกษ์ชัดๆ หญิงสาวนึกมันเขี้ยวจนอยากหยิกสีข้างเขาแก้เผ็ดสักที 

ดูเหมือนพฤกษ์เองก็รู้ตัว เขาถึงได้ยืนขึ้น รีบเอ่ยแล้วรีบจากไปก่อน 

“พรุ่งนี้เช้าพี่จะไปส่ง ปั้นรีบพักผ่อนนะ โมกข์ หลังจากตรงนี้เรียบร้อยแล้วไปพบพี่ที่ห้องทำงานด้วย” 

 

ระหว่างที่กชนันท์กับคะนึงนิตย์เดินไปที่ห้องของเธอเพื่อหยิบกระเป๋าที่ตนเผลอทิ้งไว้ อีกฝ่ายก็แอบกระซิบถามบางอย่างขึ้นมา 

“ปั้น เมื่อคืนหลับสบายไหม”

คำถามนี้เปลี่ยนสีหน้าของคะนึงนิตย์ให้แดงเถือก มือไม้อ่อนขึ้นมา อาการที่เปลี่ยนไปกะทันหันทำให้คนถามรีบหรี่ตาจับผิดทันที ส่วนคนที่ต้องให้คำตอบก็ออกอาการกระอักกระอ่วนติดจะขัดเขินขึ้นมา 

“...อืม มะ...เมื่อวานก็ปกติ” 

เสียงตอบของเพื่อนซี้ค่อยๆ แผ่วลงเรื่อยๆ กชนันท์นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา ถึงได้ยกยิ้มเจ้าเล่ห์และแซวต่อ

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง เมื่อวานเรากับพี่โมกข์ก็รับหน้างานจนดึก พอส่งข้อความไปหาพี่พฤกษ์ก็ไม่ตอบ กว่าจะมาตอบอีกทีก็เกือบเช้า พี่พฤกษ์บอกว่าเมื่อคืนเห็นว่าดึกแล้ว เลยให้ปั้นค้างที่ห้องรับรองของพี่พฤกษ์”

ประโยคนี้คล้ายจะเป็นหลักฐานมัดตัวให้คะนึงนิตย์ยอมรับกลายๆ เธอจึงทำได้แค่พยักหน้ารับอย่างเป็นธรรมชาติเท่าที่จะทำได้ ทว่ากลับมีภาพความใกล้ชิดที่แสนลึกซึ้งของตนกับชายหนุ่มวนเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาเพื่อนสนิท 

“ปั้น”

“หะ...หือ!?”

กชนันท์เห็นเพื่อนสนิทสะดุ้งโหยงจนเลิ่กลั่กแบบนี้ก็ขำในใจ ทั้งนึกสงสารและเอ็นดูอีกฝ่าย ความรักสำหรับคะนึงนิตย์คงเป็นเรื่องแปลกใหม่ ไม่รู้ว่าพี่ชายของเธอใช้กลใด ถึงล่อลวงเพื่อนสาวแสนดีของเธอไปได้ ทว่าพอเห็นแววตาของพี่ชายที่เต็มไปด้วยความรัก ลุ่มหลง และอบอุ่นยามที่มองหญิงสาวคนนี้แล้ว คนเป็นน้องอย่างเธอก็โล่งใจและสบายใจอย่างถึงที่สุด 

เมื่อคนที่เธอรักและหวังดีทั้งสองคนได้มาอยู่ด้วยกัน กชนันท์ถึงเพิ่งเข้าใจว่า ยามที่คนเราได้พบเจอชิ้นส่วนที่หายไปแล้วมันเป็นอย่างไร ดวงตาของคะนึงนิตย์ไม่เคยโกหก เวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันเธอจึงรู้ดีถึงความรักที่ต่างฝ่ายต่างแสดงออกมา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของเพื่อนสาวที่เกิดจากพี่ชายอีกเช่นกัน 

“ถึงห้องแล้วนะ เหม่ออะไร” น้ำเสียงของกชนันท์เต็มไปด้วยการหยอกล้ออย่างชัดเจน ใบหน้าของคะนึงนิตย์ถึงได้แดงจัด ใบหูและลำคอก็ล้วนเปลี่ยนเป็นสีแดง 

เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนความสัมพันธ์ของพี่ชายและเพื่อนสาวคงขยับแบบก้าวกระโดด ดูท่าทางแล้วเรื่องหมั้นหมายที่พฤกษ์พูดบนโต๊ะกินข้าวคงไม่ไกลจากความจริงเท่าไหร่ 

“อะ...โอเค งะ...งั้นบัวไปนอนเถอะ ดึกแล้ว” 

น้องเล็กแห่งบ้านรัตนเวคินทร์ขำในลำคอเมื่อคนที่กำลังจะกลายเป็นพี่สะใภ้มีท่าทีเช่นนี้ แต่ก็เข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้คนหน้าบางอย่างคะนึงนิตย์คงไม่ชินได้เร็วๆ ก่อนจะจากไป กชนันท์ตั้งใจโยนระเบิดทิ้งไว้ให้บางคนเขินตายไปข้างหนึ่ง

“โอเค ฝันดีนะปั้น...ว่าแต่พี่ชายเราถือว่าเป็นของดีบ้านรัตนเวคินทร์เลยหรือเปล่า”

 

หลังจากอาบน้ำแล้ว คะนึงนิตย์ถึงได้สบายตัวขึ้นมา น้ำอุ่นๆ ช่วยทำให้จิตใจของเธอสงบ หญิงสาวเช็กโทรศัพท์มือถือดูแล้ว โชคดีที่ไม่มีสายด่วนจากที่ไหนติดต่อมา มีเพียงอีเมลแจ้งเตือนงานนอกที่รับเอาไว้เท่านั้นที่เธอต้องกลับไปอ่านอีกรอบ สุดท้ายจึงตั้งนาฬิกาปลุกให้เรียบร้อย แล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะหัวนอน 

ระหว่างที่ล้มตัวนอนลงบนเตียงพลางคิดอะไรเพลินๆ ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำแซวของเพื่อนสนิทก่อนหน้านี้ ใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะน้ำอุ่นกลายเป็นเข้มจัด คะนึงนิตย์รีบตบแก้มเบาๆ เรียกสติ ถึงจะรู้ดีอยู่แล้วว่ากชนันท์เป็นพวกชอบแกล้ง แต่ถ้าอีกฝ่ายพูดขนาดนี้แล้ว ไม่แน่ว่าเรื่องเมื่อคืนก็คงถูกมองออกแล้ว 

ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย ไม่รู้เลยว่าจะทำหน้าอย่างไรดีหากไปพบสองพี่น้องอีกครั้ง ดังนั้นเธอถึงได้หยิบหมอนบนเตียงขึ้นมาบีบแล้วเขย่าๆ จินตนาการว่านี่คือคนรักของตน เป็นทั้งหมดเพราะเขาแท้ๆ ...ทว่ายามที่นึกสัมผัสอันอ่อนโยนและอ่อนหวานของชายหนุ่มแล้ว มือไม้ก็พลันสั่น ความใกล้ชิดที่พฤกษ์เป็นคนพร่ำสอนวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมออกไปไหนเสียที โดยเฉพาะนัยน์ตาของเขาที่คอยแต่เพ่งมองเธอยามร่วมรัก สายตาร้อนแรงที่ไม่ต่างจากการกลืนกินเธอทั้งเป็นนั้นรุนแรงและอันตรายพอๆ กับความปรารถนาของเขา

แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับไม่มีความรู้สึกเสียใจหรือเสียดายทีหลังเลยสักนิด สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเธอเป็นฝ่ายที่เต็มใจ และเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมรักทำให้มันเกิดขึ้นมา ความรักที่เก็บงำมาหลายปีถูกถอดเปลือก เปิดเผยความนัยทุกอย่างก็เมื่อคืน ยามที่หัวใจทั้งสองรวมเป็นหนึ่ง คะนึงนิตย์ไม่เสียใจเลยสักนิดที่มอบมันให้กับพฤกษ์

ทั้งหมดเป็นหลักฐานของชีวิตว่า ครั้งหนึ่งความรักของเธอที่มีต่อผู้ชายคนนี้เป็นของจริง เป็นความรักที่เธอได้เรียนรู้ ได้สัมผัส และเข้าใจว่ามันมีรสชาติอย่างไร ต่อให้อนาคตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่รู้ทิศทางที่แน่นอน แต่เธอก็มั่นใจว่าระหว่างพวกเธอมันคือความรักโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ไม่ต้องหาคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมอีก

หมอนนุ่มในมือถูกเธอกอดแนบอกตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ คะนึงนิตย์ยกยิ้มหวาน ราวกับว่านี่คืออ้อมกอดของชายหนุ่มแทน 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องเป็นจังหวะสั้นๆ ทำให้เธอสะดุ้ง รีบปล่อยหมอนราวกับมันเป็นของร้อน แล้วผุดลุกขึ้นจากเตียง คะนึงนิตย์สางผมยุ่งๆ ไวๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตูห้อง แล้วค่อยๆ แง้มเปิดออก พลางสอดส่องสายตามองแขกยามวิกาล 

ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าห้องเธอพร้อมรอยยิ้มคนนี้เป็นใครไม่ได้ นอกจากพฤกษ์ คะนึงนิตย์กะพริบตาอย่างเชื่องช้า มองชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าด้วยความไม่เข้าใจครั้งหนึ่ง พลางเอ่ยปากถามเสียงเบา 

“พี่พฤกษ์มีอะไรหรือเปล่าคะ”

พฤกษ์ยิ้มกว้าง ดวงตาของเขานุ่มลึก ยามที่ทอดสายตาลงมาก็ยิ่งทำให้คนถูกจับจ้องใจสั่น 

“พี่มานัดเวลาครับ”

“อ๋อ...” หญิงสาวขานรับในลำคอ มองเขาอย่างตั้งใจ เฝ้ารอให้คนตรงหน้าบอกเวลานัดที่แน่นอน ทว่าพฤกษ์กลับเอาแต่ยิ้ม ไม่ให้คำตอบเสียที 

“พี่ขอเข้าไปคุยเรื่องสำคัญอีกเรื่องได้ไหมครับ”

“ต้องคุยตอนนี้เลยเหรอคะ”

“ครับ”

เมื่อได้ยินเสียงยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว คะนึงนิตย์จึงยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง ร่างสูงของพฤกษ์ย่างก้าวเข้ามาในห้องรับแขกที่กลายเป็นห้องพักชั่วคราวของเธอ สายตาของชายหนุ่มสอดส่องไปทั่วทั้งห้อง ก่อนร่างสูงจะนั่งลงที่ขอบเตียงทั้งที่รอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า 

“ทีหลังอย่าเปิดประตูให้ใครง่ายๆ สิครับ” 

ไม่รู้ว่าคำพูดนี้พฤกษ์มีความรู้สึกแบบไหน ทว่าบนใบหน้าของหญิงสาวกลับเต็มไปด้วยคำถาม คะนึงนิตย์ขมวดคิ้วทันที เธอกอดอกแล้วจ้องชายหนุ่ม ถามกลับอย่างไม่เข้าใจ

“ก็พี่พฤกษ์บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับปั้น”

“แล้วทำไมปั้นถึงยอมง่ายๆ ล่ะครับ”

“ก็พี่พฤกษ์บอกว่าจะคุยนี่คะ” หญิงสาวยืนยันคำเดิม เริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร 

“ปั้นไม่ระวังพี่แล้วเหรอ” 

คำถามนี้ของเขาทำให้คะนึงนิตย์นิ่งไป เธอคิดในใจว่าวันนี้เธอชะงักตกใจเพราะคำถามของคนที่บ้านรัตนเวคินทร์กี่ครั้งแล้ว ดูเหมือนนิสัยของคนบ้านนี้ก็คือชอบทำให้คนอื่นหัวใจวายเพราะคำถามเหลือเกิน สุดท้ายคะนึงนิตย์ถึงตอบตามจริง 

“ก็เป็นพี่พฤกษ์ไงคะ”

“ทำไมล่ะครับ”

“คะ?”

“เพราะเป็นพี่ใช่ไหมครับ ปั้นถึงเปิดให้แบบนี้”

เธออ้าปากคล้ายจะพูด แต่ก็หยุดลง พฤกษ์ก็รอคำตอบอย่างใจเย็น ไม่คิดจะเร่งรัดแต่อย่างใด กลับกันดวงตาของเขาจดจ้องจนหญิงสาวขัดเขิน อยากจะตัดบทรีบไล่เขาไปเร็วๆ แต่ดูเหมือนความคิดนี้จะถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง พฤกษ์ถึงได้รีบรวบร่างเพรียวบางของคะนึงนิตย์ให้มานั่งบนตักอย่างรวดเร็ว 

“ว่าไงครับ”

ระยะห่างของพวกเขามีเพียงลมหายใจกั้น คะนึงนิตย์ไม่อาจซ่อนสายตาของตัวเองจากชายหนุ่มได้เลย 

“..ก็เป็นพี่พฤกษ์นี่คะ”

“น่ารักจังครับ”

คำชมที่ไม่มีที่มาที่ไปทำให้พวงแก้มของคนตัวเล็กเจือสีแดงจางๆ ดวงตากลมโตถลึงมองค้อนคนปากหวาน ทำไมชอบทำให้เธอเขินอีกแล้ว 

“ตะ...ตกลงเรื่องสำคัญของพี่พฤกษ์คืออะไรคะ” 

มือเรียวกำแน่น หญิงสาวไม่กล้าขยับตัวมากนักเพราะตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนตักเขา ไม่กล้าสูดกลิ่นหอมสดชื่นของแชมพูและสบู่ของชายหนุ่มที่ลอยเข้าจมูก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ด้วยซ้ำ ผิดกับพฤกษ์ที่โอบเอวคอดไว้หลวมๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้นเล่นปลายผมนุ่มสลวยอย่างไม่เกรงใจ 

“ปั้นไงครับ”

คำตอบของร่างสูงทำเอาร่างบางบนตักเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ม่านตาของหญิงสาวหดลง แก้มที่ขึ้นสีจางๆ พลันเข้มจัด ร่างกายอุ่นร้อนและหอมหวานของเธอเหมือนขนมหวานชั้นดีที่น่าลิ้มลองสักคำ 

พฤกษ์ฉวยโอกาสนี้โอบกระชับร่างเล็กในอ้อมแขนแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง พาเธอเข้านอนทั้งๆ ที่ถูกเขากอดอยู่ 

“เอ๊ะ พี่พฤกษ์ เรายังคุยไม่รู้เรื่องเลยนะคะ” 

“งั้นนอนคุยกันครับ พี่ง่วง”

“ง่วงก็ไปนอนสิคะ แล้วก็นี่ห้องปั้นนะ” 

น้ำเสียงเง้างอดของเธอทำให้พฤกษ์ยกยิ้มอีกครั้ง ไม่ว่าจะสีหน้าท่าทางแบบไหนของคะนึงนิตย์ก็ทำให้เขานึกเอ็นดูตลอดเวลา เขาจดจ้องคนในอ้อมกอด พลางโน้มใบหน้าจรดริมฝีปากบนกลีบปากหญิงสาว จูบซับเบาๆ แล้วถอนออกมาอย่างรวดเร็ว 

“อยากอยู่กับปั้นครับ” 

คนตัวเล็กอายตัวม้วน รีบหยิบหมอนอิงใบเล็กมาปิดใบหน้า แถมยังเอาไว้กั้นระหว่างพวกเขาอีกต่างหาก 

“พี่พฤกษ์นิสัยไม่ดี”

“แต่พี่รักปั้นนะครับ”

“อ๊ะ!”

เจ้าของใบหน้าแดงรีบลดหมอนลงพลางถลึงตาหาเรื่องอย่างน่ารัก จนพฤกษ์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขารีบแย่งหมอนออกจากมือหญิงสาว แล้วโยนมันไว้ที่ปลายเตียง กอดร่างบอบบางในอ้อมแขนแน่นขึ้น นอนหันหน้าสบตากันอย่างหวานหยด 

“ปั้นครับ”

“...” 

คะนึงนิตย์หลบตาไม่ยอมมอง พฤกษ์ก็ไม่คิดจะบังคับ เขายกยิ้มและเปลี่ยนวิธีรับมือเป็นการเล่นเล่ห์ที่ตนถนัด

“ทำไมปั้นน่ารักจัง หน้าก็น่ารัก เวลาปั้นมองพี่ก็น่ารัก เวลาปั้นพูดก็น่ารัก เวลางอนก็น่ารัก ตอนไม่พอใจที่พี่แกล้งก็น่ารัก ทั้งตัวปั้นพี่ว่าน่ารักไปหมด ทั้งหวาน ทั้งนุ่ม ทั้ง...”

คำพูดของเขาถูกสกัดกั้น คะนึงนิตย์ยกมือปิดปากเขาแน่นสนิท ตอนนี้สีสันบนใบหน้าคนน่ารักไม่ต่างจากสีมะเขือเทศ ดวงตาฉ่ำวาววับมีทั้งประกายขัดเขินแล้วความยินดีรวมอยู่ในนั้น

““พี่พฤกษ์! เกินไปแล้วนะคะ” 

เสียงหวานเอ็ด แต่พฤกษ์ไม่รู้สึกถึงกระแสเสียงเข้มงวดจากอีกฝ่ายเลย พร้อมกับขยับริมฝีปากจูบอุ้งมือเล็กๆ ที่ปิดปากตนด้วยซ้ำ คะนึงนิตย์ถึงได้ถอนมือออกราวกับโดนของร้อน เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ พฤกษ์ก็ไม่หยุดเย้าคนในอ้อมแขน

“ปั้นต่างหากที่เกินไป”

“ปั้นเกินไปตรงไหนกัน” 

คิ้วโก่งดุจคันศรเคลื่อนขมวดกัน สีหน้าของคะนึงนิตย์ในเวลานี้เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายผสมปนอยู่โดยที่ความขัดเขินฉายชัดกว่าอารมณ์ไหนๆ 

“ก็ปั้นน่ารักเกินไปไงครับ เพราะแบบนี้พี่เลยอดใจไม่ไหว ต้องโทษปั้นแล้วนะ” 

มือเรียวกำแน่นแล้วทุบลงที่หัวไหล่ของเขาด้วยแรงเท่ามด เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเป็นฝ่ายออมแรงให้ 

“นี่ไง น่ารักอีกแล้ว”

พฤกษ์รีบพูดชมคนตรงหน้าอีก เธอแสดงท่าทีเง้างอดระคนเขินอายออกมา เจ้าตัวเล็กน่ารักน่าชมจนหัวใจของเขาเจ็บไปหมดแล้ว ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอด ค่อยๆ ให้หญิงสาวในอ้อมแขนขยับมาใกล้หัวใจ

“สะ...สรุปพี่พฤกษ์อยากคุยอะไรกับปั้นกันคะ” คนหน้าแดงพยายามบังคับให้จิตใจและสีหน้านิ่งสงบพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่มีหรือที่คนเจ้าแผนการอย่างพฤกษ์จะไม่รู้ถึงความสั่นไหวในน้ำเสียง

“ปั้นยังไม่ให้คำตอบพี่เลย ว่าไงครับ อยากหมั้นกับพี่ไหม”

ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง ก่อนที่ร่างเล็กจะรีบผุดลุกขึ้นมานั่งจ้องเขา พฤกษ์จำต้องลุกขึ้นมานั่งตามอย่างช่วยไม่ได้ 

“ปะ...ปั้นนึกว่าพี่พฤกษ์พูดเล่น” 

เสียงพึมพำตอบของคะนึงนิตย์ทำเขาขมวดคิ้วบ้างแล้ว ดังนั้นเพื่อยืนยันให้คนรักเข้าใจ ชายหนุ่มถึงได้โน้มใบหน้าไปใกล้หญิงสาว จูบลงบนหน้าผากมนเบาๆ แล้วถอยกลับมามองหน้าอีกฝ่าย

“เด็กโง่ เรื่องแบบนี้ใครเขาพูดเล่นๆ กัน” พฤกษ์ยิ้ม ทว่าในรอยยิ้มนี้แฝงด้วยความหมายหลายอย่างที่คะนึงนิตย์ไม่อาจจะเข้าใจ แต่เจ้าของถ้อยคำนี้รู้ดีที่สุด 

เดิมทีพฤกษ์ก็ตั้งหน้าตั้งตา รอหาโอกาสที่จะทำให้คะนึงนิตย์เป็นคนของเขาอย่างสมบูรณ์มาตลอด ตั้งใจไว้แล้วว่าอย่างไรเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเดินหน้าแล้ว จะไม่มีการถอยหลังเป็นอันขาด เขาทั้งรัก ทั้งลุ่มหลง เสพติดเธอยิ่งกว่าสิ่งใด ความในใจที่มีอีกนับพันนับหมื่นต้องการระบายออกมาให้หญิงสาวรับรู้ 

เพราะแบบนี้ลึกๆ แล้วพฤกษ์ถึงไม่พอใจมาตลอด เขาต้องการมากกว่านี้ ไม่อยากหยุดแค่นี้ ตอนนี้เขาเพิ่งกลายเป็นแค่คนรักของเธอ แต่ยังไม่ใช่อีกครึ่งหนึ่งที่เติมเต็มกันและกันอย่างสมบูรณ์แบบ 

พฤกษ์รู้ดีว่าตัวเองมีความดำมืดบางอย่างที่แสนเห็นแก่ตัวซุกซ่อนไว้ เขาจึงหวาดหวั่นอยู่ในใจลึกๆ ว่าหากวันหนึ่งคะนึงนิตย์มาพบเข้า เธออาจจะตีจากไปในทันที พฤกษ์จึงอยากได้ทุกโอกาสเพื่อผูกคะนึงนิตย์ไว้กับตัวเอง

เขาไม่ใช่ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ภายนอกหล่อหลอมให้เขาเป็น เขายังมีความเห็นแก่ตัวและกิเลสที่ชื่อว่าคะนึงนิตย์อยู่ในใจ แน่นอนว่ากิเลสที่ดำมืดเช่นนี้เขายินดีถือเอาไว้ ไม่ยอมขจัดออกจากใจอย่างเด็ดขาด 

ยามนี้ที่มีโอกาสดีและเหมาะสม พฤกษ์จึงทุ่มทุกทางเพื่อให้ได้คำตอบรับจากหญิงสาวมา 

“ปั้นเห็นพี่เป็นคนพูดอะไรเล่นๆ ด้วยเหรอ” 

พฤกษ์จดจ้องคะนึงนิตย์ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก นัยน์ตาสีเข้มดูไม่ต่างจากคลื่นทะเลที่นิ่งสงบ ทว่าเธอกลับรู้สึกว่าใต้ผิวน้ำที่นิ่งสงบนี้กลับมีคลื่นลูกใหญ่รอพัดโถมเข้ามาอย่างรุนแรง ยิ่งเธอเงียบงัน แววตาและสีหน้าของชายหนุ่มก็ยิ่งฉายความจดจ่อรอคอยคำตอบจากเธอ 

ส่วนคำถามนี้ของเขา คะนึงนิตย์คงต้องตอบว่าไม่เคยอยู่แล้ว 

“ไม่ค่ะ แต่ปั้นแค่คิดว่ามันไม่เร็วไปหน่อยเหรอคะ” 

นี่ไม่ใช่การตัดสินใจเรื่องเล็กๆ ทุกอย่างล้วนส่งผลถึงอนาคตข้างหน้า ถึงความรู้สึกของเธอที่มีต่อพฤกษ์จะเปี่ยมไปด้วยความรักมากมายสักเท่าไหร่ ทว่านี่คือสิ่งสำคัญที่อาจส่งผลทั้งชีวิตของตัวเอง จึงมีบ้างที่เธอจะมีคำถามและความสงสัยวนเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ

“พี่กลับคิดว่ามันช้าไปซะอีกครับ”

พฤกษ์พูดพลางถอนหายใจ สีหน้าของชายหนุ่มเหนื่อยล้าขึ้นมาจนคะนึงนิตย์ใจอ่อน ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ก่อนจะยกมือวางทับหลังมือของเขา 

“พี่พฤกษ์รีบจังเลยค่ะ เราเพิ่งคบกันเองนะ” ถ้อยคำนี้เจือด้วยเสียงหัวเราะของเธอ 

พฤกษ์ช้อนตาขึ้นมองคนรักด้วยความน้อยใจระคนขัดใจ ก่อนจะขยับไปซ้อนหลังหญิงสาวแล้วดึงร่างบางเข้าอ้อมกอดจนเธอแนบอกแกร่ง กลายเป็นกรงขังมนุษย์ที่หอมหวานที่สุดที่คะนึงนิตย์เคยสัมผัส นิ้วทั้งสิบของเธอกับเขาผสานกันแนบแน่น ลมหายใจอุ่นร้อนรดรินอยู่เหนือศีรษะ ไม่นานปลายคางของพฤกษ์ก็วางเกยบนไหล่เธอ 

“แต่พี่ชอบมานานแล้วนะครับ” 

เวลานี้เหมือนกับพฤกษ์ได้แปลงร่างกลายเป็นเด็กชายพฤกษ์ที่ช่างเอาแต่ใจ ไม่หลงเหลือท่าทางของหนุ่มธุรกิจมาดใหญ่ไฟแรงอีกแล้ว เป็นเพียงเด็กผู้ชายที่ดูโหยหาความรักอย่างมาก

“พี่พฤกษ์มีอะไรที่ไม่ได้บอกปั้นหรือเปล่าคะ”

พอหญิงสาวถามไป ชายหนุ่มกลับนิ่งงันไม่มีท่าทางหยอกล้ออีกแล้ว เธออยากหันหน้ากลับไปสบตากับคนข้างหลัง ทว่ามือหนากลับถอดจากการประสานนิ้วมาปิดดวงตาทั้งสองข้างของเธอ 

“อ๊ะ!”

หลังจากหลุดเสียงเพราะความตกใจไปแล้ว ริมฝีปากอิ่มก็ถูกขโมยจูบทันที จูบนี้ทั้งดื้อดึง เอาแต่ใจ รวมถึงแสดงความเผด็จการอยู่เล็กน้อย มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มอ้อยอิ่งที่เอวบาง จากนั้นก็เลื่อนลงไปที่สะโพกผาย ปลายลิ้นร้อนแทรกให้หญิงสาวเปิดปาก จากนั้นก็ตวัดเกี่ยวปลายลิ้นนุ่มๆ อย่างหยอกเย้า ก่อนชักพามาโรมรันพันเกี่ยวไม่รู้จบ หลังจากนั้นริมฝีปากอิ่มสีแดงของคะนึงนิตย์ก็ถูกดูดและขบเม้มอย่างเอาแต่ใจ 

ความร้อนระหว่างสองร่างไม่ต่างจากถ่านไฟที่คุกรุ่น แค่สัมผัสวาบหวามเพียงเบาๆ ประกายไฟอันร้อนแรงที่อยู่ในกายและจิตใจของทั้งสองฝ่ายก็ถูกสะกิดให้ลุกโชนขึ้นมา จวบจนมือที่วางบนสะโพกค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ หญิงสาวก็สะดุ้งเฮือก รีบออกแรงขัดขืน 

การต่อต้านนี้ดึงอารมณ์ของพฤกษ์ให้กลับมา เขารีบหยุดการกระทำของตน ทว่ายามที่ถอนริมฝีปากออกจากหญิงสาวก็ยังมีความอาวรณ์ให้เห็นอยู่ มือที่ปิดตาเธอค่อยๆ ลดลง จนสุดท้ายสายตาทั้งสองคู่ถึงประสานกันอีกครั้ง 

“พะ...พอก่อนค่ะ ปะ...ปั้นไม่ไหว” 

เสียงเล็กพึมพำอย่างเกรงกลัว เพราะคะนึงนิตย์ก็เคยอ่านกระทู้ทางอินเทอร์เน็ตมา เขาว่ากันว่าหากเรื่องบนเตียงไม่ตอบโจทย์กัน ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ชีวิตคู่เกิดการเลิกรา เธอจึงอดกังวลขึ้นมาไม่ได้ว่าหากตัวเองตอบสนองความต้องการส่วนนี้ให้ไม่ได้ พฤกษ์จะไม่พอใจหรือไม่ 

ทว่าระหว่างที่กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น พฤกษ์กลับสวมกอดเธอไว้อย่างอ่อนโยน เสียงแหบพร่ากระซิบใกล้ริมหู 

“ปั้นครับ ถ้าไม่พร้อมก็บอกพี่ พี่รอปั้นได้เสมอ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ”

คะนึงนิตย์ไม่รู้เลยว่าตัวเองแสดงสีหน้าออกไปแบบไหน ทว่าคนมองอย่างพฤกษ์ย่อมเข้าใจทุกอย่างได้แทบจะในทันที เขาถึงได้ปวดใจ รีบกอดประคบประหงมเธอไม่ต่างจากไข่ในหิน 

“พี่แค่อยากใกล้ชิดปั้น ถ้าปั้นไม่พร้อมก็ไม่ต้องฝืน พี่ไม่เลิกรักเราเพราะเรื่องแบบนี้หรอกครับคนดี”

พวงแก้มหญิงสาวแดงก่ำและร้อนฉ่า มือของหญิงสาวที่กำชุดนอนอยู่ก็ค่อยๆ คลายออก 

“ปะ...ปั้นเข้าใจแล้วค่ะ พี่พฤกษ์ปล่อยปั้นก่อนนะคะ” 

วงแขนแกร่งคลายออกทันทีที่จบคำพูดของเธอ คะนึงนิตย์เห็นท่าทางเป็นกังวลของเขาแล้วเธอกลับรู้สึกตื้นตันในใจ อดไม่ได้จะจรดปลายจมูกบนแก้มของเขา หอมแก้มเป็นรางวัลให้คนน่ารักอย่างพฤกษ์เช่นกัน 

“ขอบคุณนะคะที่แคร์ปั้น” หญิงสาวกระแอม แล้วพูดเสียงเบา “คะ...คืนนี้...พะ...พี่พฤกษ์กอดปั้นแทนไปก่อนนะคะ” 

เมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาวกลับมาเป็นปกติแล้ว และตัวพฤกษ์ก็ควบคุมความต้องการที่จะครอบครองได้แล้ว ประกายเร่าร้อนในดวงตาจึงกลับมาเป็นปกติ โชคดีที่คะนึงนิตย์ไม่ทันเห็นปรารถนาดำมืดแบบนี้ของเขา 

พฤกษ์ยกยิ้มแล้วโอบกอดหญิงสาวตามที่เธออนุญาต ก่อนพาทั้งร่างเขาและเธอทิ้งลงเตียงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้คะนึงนิตย์รีบพลิกตัวหันเข้าหา เผชิญหน้ากับเขาตรงๆ 

“พี่พฤกษ์อยากหมั้นกับปั้นเหรอคะ”

“ถ้าเปลี่ยนเป็นจัดงานแต่งเลยพี่ก็ยินดีนะครับ” พอเขาพูดจบใบหน้าหวานก็ขึ้นสีอีกครั้ง 

“แบบนั้นจะเร็วเกินไปแล้วค่ะ คนเขาคงลือกันแน่เลยว่าปั้นท้องก่อนแต่ง” 

ตอนแรกคะนึงนิตย์คิดจะพูดชวนขำ แต่ประโยคนี้ทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อคืนที่พวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน เขาและเธอต่างไม่ได้ป้องกันทั้งคู่ 

“พะ...พี่พฤกษ์คะ”

เสียงของหญิงสาวสั่นเครือขึ้นมา พฤกษ์เองก็เข้าใจได้โดยไม่ต้องพูด เขากุมมือเรียวบางของเธอไว้แล้วเอ่ยปลอบเสียงนุ่ม 

“เรื่องนี้พี่ไม่ดีเองครับ แต่ปั้นไม่ต้องกังวลนะ เพราะต่อให้มันเกิดขึ้นจริงๆ พี่ก็ยินดีครับ พี่บอกแล้วไง ว่าพี่ไม่ได้วางแผนเรื่องของเราไว้แค่นี้” 

คะนึงนิตย์ที่ได้ยินคนรักพูดเช่นนี้แล้ว เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี เพราะตอนนี้ทั้งความรู้สึกซาบซึ้งและความกังวลตีกันจนวุ่นวายไปหมด 

“ไม่ต้องคิดมากครับ ยิ่งเครียดก็ยิ่งไม่ดีกับตัวเองเปล่าๆ”

“แต่เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะคะ...ปั้นยังไม่คิดว่าตัวเองพร้อมเลย ตอนนี้ปั้นไม่มีอะไรเลย...”   

คะนึงนิตย์ท้วงแล้วเว้นวรรคเพื่อพักหายใจ พฤกษ์เงียบรอฟังความคิดของหญิงสาว

“ถ้าสมมติว่าปั้นมีน้องจริงๆ ภาระหลายอย่างก็ต้องเป็นพี่พฤกษ์ที่ต้องจัดการ ปั้นคิดมาตลอดเลยค่ะว่าตัวเองไม่เหมาะกับพี่พฤกษ์เสียเลย ไม่มีอะไรที่ดูทัดเทียมพี่สักอย่าง ปั้นในตอนนี้อยู่ห่างจากความฝันของตัวเองตั้งเยอะ ปั้นกลัวเหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งพี่พฤกษ์ค้นพบว่าตัวเองคิดผิดละคะ แบบนั้นปั้นจะทำอะไรได้อีก”

ความกลัวและความกังวลที่ซุกซ่อนอยู่ในใจถูกเผยออกมาจนหมดเปลือก ชวนให้คนฟังรู้สึกอยากกอดเธอให้แนบแน่นขึ้น ทั้งๆ ที่คนที่ต้องกังวลว่าตัวเองจะถูกทิ้งไปต้องเป็นเขาด้วยซ้ำ แต่เธอกลับวางเขาไว้สูงกว่าหัวใจตัวเองเสียอีก 

“สำหรับปั้น พี่พฤกษ์สำคัญมาก เป็นภาพที่สวยงามที่สุดในชีวิตปั้น ดังนั้นปั้นทั้งรักและทั้งกลัว...บางทีก็อยากไม่รัก จะได้ไม่ต้องเจ็บ” 

รอยยิ้มของหญิงสาวเวลานี้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดเท่าที่พฤกษ์เคยสัมผัสได้เช่นกัน เขาอดไม่ได้ที่จะโน้มใบหน้าเข้าไปจูบเปลือกตาหญิงสาว ไล่พรมจูบลงมาอย่างแผ่วเบาจนถึงริมฝีปากหญิงสาวอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับเป็นจูบแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความรักและความอ่อนหวาน ไม่ร้อนแรง แต่หนักแน่นจนหัวใจของทั้งคู่สั่นไหว

“พี่รักปั้นครับ” พูดแล้วเขาก็ยกมือลูบไล้พวงแก้มของหญิงสาว ปลายนิ้วไล่วนอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากนุ่มนิ่ม “พี่เข้าใจที่ปั้นรู้สึก เพราะพี่ก็คิดเหมือนกันว่าตัวเองยังห่างจากปั้นอีกตั้งเยอะ พี่กลัวด้วยซ้ำว่าปั้นจะไปจากพี่จริงๆ” 

ยิ่งพูดชายหนุ่มก็ยิ่งยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาที่สบจ้องมองอ่อนแสนชวนให้พักพิง

“ถ้าปั้นกลัวว่าระหว่างเรามีช่องว่างที่ขวางอยู่ก็ไม่เป็นไร เพราะหลังจากนี้พี่จะเป็นคนเข้าไปหาปั้นเอง” 

“พี่พฤกษ์...”

“ปั้นรู้หรือเปล่าว่าตัวเองพิเศษแค่ไหน”

หญิงสาวส่ายหน้า ดวงตากลมโตที่จ้องมองเขาเป็นประกาย ราวกับดาวนับร้อยกำลังสะท้อนผ่านดวงตาคู่นี้ 

“เพราะว่าคะนึงนิตย์คือความคะนึงหา พี่ถึงคิดถึงปั้นมาตลอด พี่หลงปั้นจนโงหัวไม่ขึ้นแบบนี้แล้ว หมั้นกับพี่เถอะครับ พี่ไม่อยากเอาแต่คิดถึงปั้นอีกแล้ว”

“ถ้าพี่พฤกษ์ไม่ติดว่าเรื่องของเราเร็วเกินไป...” หญิงสาวกระแอมในลำคออีก ก่อนช้อนนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรักมองตอบ “...เรามาหมั้นกันเถอะค่ะ เพราะปั้นก็ไม่อยากคิดถึงพี่พฤกษ์ข้างเดียวเหมือนกัน”

คำตอบนี้หวานล้ำเกินกว่าสิ่งไหน พฤกษ์หัวเราะออกมาเต็มเสียง กอดร่างบอบบางตรงหน้าเต็มอ้อมแขน ก้มศีรษะจูบกระหม่อมของเธออย่างใคร่รัก 

“ตกลงครับ หมั้นแล้วอีกสามวันแต่งได้ไหม”

“ไม่ได้ค่ะ”

ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้ แต่แค่นี้ก็ดีเกินกว่าที่คิดแล้ว 

คะนึงนิตย์ขยับตัวออกห่างจากพฤกษ์เล็กน้อย ดวงตากลมโตจดจ้องใบหน้าเขาอย่างอ่อนหวาน ตามด้วยจูบอันนุ่มนวลบนหน้าผากของเขาอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ร่างเล็กจะร่นถอยกลับมานอนข้างกายแต่โดยดี 

พฤกษ์กระชับอ้อมกอด ขยับให้คนในอ้อมแขนนอนสบายที่สุด พอก้มมองก็เห็นดวงหน้าหวานๆ กำลังเอนซบที่อก ใบหูเรียวเล็กแนบชิดกับแผ่นอก คอยฟังหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะอย่างสุขใจ

ไม่ต้องมีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกมาอีกแล้ว วินาทีนี้ความเงียบค่อยๆ หล่อหลอมความอ่อนหวานและความรักของทั้งคู่เป็นดังเพลงกล่อม 

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนั้นคะนึงนิตย์ไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้สึกได้ก็คือกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ที่คุ้นเคย รวมถึงอุณหภูมิจากอ้อมกอดอุ่นกำลังโอบตัว ก่อนจะตามด้วยเสียงทุ้มที่ดังขึ้นเหนือศีรษะเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน

“ฝันดีครับตัวเล็ก”

 

เสียงแจ้งเตือนเป็นจังหวะจากโทรศัพท์ทำให้คะนึงนิตย์ลืมตาตื่นขึ้นอัตโนมัติ มือเรียวคว้าต้นตอของเสียงดังมา เพียงปัดที่หน้าจอโทรศัพท์ทิ้งเสียงรบกวนก็หยุดลง พอดีกับที่ดวงตาของหญิงสาวกวาดมองไปทั่วตัว ข้างกายไม่มีชายหนุ่มที่ตระกองกอดเธอไว้ทั้งคืนแล้ว แต่ไออุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่จางๆ บนที่นอนก็พอให้นึกได้ว่า พฤกษ์คงตื่นและลุกจากไปได้ไม่นานเท่าไหร่ 

คะนึงนิตย์ขยับตัวรีบลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นก็เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กของตัวเอง เตรียมตัวพร้อมเดินทาง 

เธอเดินลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่เลย แม่บ้านสองสามคนที่เห็นเมื่อวานก็คล้ายว่าจะกลับกันไปหมดแล้ว คะนึงนิตย์ถือโอกาสแวะเข้าไปในครัว สุดท้ายก็พบความเคลื่อนไหวจากร่างสูงโปร่งที่คุ้นตา 

ร่างสูงโปร่งและแผ่นหลังกว้างของพฤกษ์กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในครัวอย่างคล่องแคล่ว พอเห็นพฤกษ์สวมผ้ากันเปื้อนเข้าครัวแล้วก็รู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง 

“พี่พฤกษ์คะ”

“ปั้น มาพอดี หิวหรือเปล่าครับ” พฤกษ์หันกลับมาทั้งที่มือถือกระทะ แล้วค่อยๆ ตักไข่ดาววางลงบนขนมปัง เป็นแซนด์วิชไข่ พอมองที่โต๊ะกลางครัวก็เห็นแซนด์วิชไส้อื่นๆ อีก มีทั้งจัดอยู่ในจานและเรียงอยู่ในกล่องเก็บอาหาร 

“มีหน้าไข่ดาว แฮม ผัก แล้วก็นูเทลล่า พี่เตรียมไว้ให้เราไปกินเป็นของว่าง หรือจะกินเป็นมื้อเที่ยงด้วยก็ได้นะ”

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวเดินไปหยิบแก้วน้ำในชั้น แล้วอ้อมไปเปิดตู้เย็น ก่อนจะเปิดก็ไม่ลืมหันมาถามชายหนุ่ม 

“พี่พฤกษ์อยากได้น้ำอะไรคะ ปั้นจะเตรียมให้” 

“ขอเป็นกาแฟแล้วกันครับ”

คะนึงนิตย์ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้นมา

“ตอนเช้าไม่ควรจะดื่มกาแฟเลยนะคะ เปลี่ยนเป็นนม หรือน้ำผลไม้ดีกว่าไหมคะ” คะนึงนิตย์เปิดตู้เย็น ปากก็พูดอย่างลืมตัว “แต่นมอาจจะทำให้พี่พฤกษ์ไม่สบายท้องหรือเปล่าคะ งั้นเป็นน้ำผลไม้จะดีกว่าเนอะ”

มือเรียวหยิบกล่องน้ำผลไม้จากในตู้เย็นมารินใส่แก้วทั้งสองใบ ก่อนวางลงที่โต๊ะกลางครัว พอเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นพฤกษ์กำลังยืนกอดอกมองตรงมาพร้อมรอยยิ้ม 

“ดูเหมือนปั้นจะเหมาะมาเป็นภรรยาของพี่จริงๆ แล้วนะครับ”

หญิงสาวเม้มริมฝีปาก หลุบสายตาร้อนแรงยามเช้าของคนตรงหน้า เอ่ยเสียงเรียบผิดกับท่าทางเขินอาย

“เรากินข้าวกันเถอะค่ะ เดี๋ยวปั้นต้องไปที่ตึกแล้ว”

“ตกลงครับ”

ทั้งสองคนช่วยกันถือจานแซนด์วิชกับแก้วน้ำมานั่งที่โต๊ะกินข้าว 

“วันนี้ปั้นมีสอนทั้งเช้าบ่ายเลยหรือเปล่าครับ”

“ค่ะ วันนี้มีติวสอบยาวเช้าบ่าย ปั้นต้องคอยดูความเรียบร้อยกับคอมเมนต์งานเด็กๆ ค่ะ”

“เลิกเรียนเวลาเดิมหรือเปล่าครับ”

“ค่ะ”

“ตอนเย็นพี่จะไปหานะครับ”

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวเลิกคิ้ว ถามด้วยความสงสัย 

“พี่จะพาปั้นไปกินข้าวเย็น ปั้นไม่มีรถ พี่ไปรับสะดวกกว่า”

คะนึงนิตย์คิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าแต่โดยดี 

“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นพี่พฤกษ์โทร.บอกปั้นอีกทีนะคะ”

ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะลงมือจัดการอาหารเช้าตรงหน้าด้วยบรรยากาศอบอุ่น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พฤกษ์ถึงได้พาคะนึงนิตย์มาส่งที่โรงเรียนของเธอ ก่อนจากกันก็ไม่ลืมย้ำกับอีกฝ่าย

“แล้วตอนเย็นพี่จะมารับนะครับ”

 

หลังจากที่ส่งคนรักเสร็จเรียบร้อย พฤกษ์ถึงขับรถเลยไปยังโรงแรมของตัวเอง ในหัวตอนนี้มีลำดับสิ่งที่ต้องจัดการเรียงรายอยู่ไม่น้อย อันดับแรกๆ ที่เขาต้องทำคือ การกำจัดกาฝากที่คอยสูบเอาผลประโยชน์จากครอบครัวของตนออกไปให้หมด

เมื่อคืนหลังจากที่แยกย้ายเข้านอนแล้ว โมกข์มาพบเขาที่ห้องทำงาน ดูเหมือนว่าน้องชายของเขาจะรู้ถึงเหตุผลที่ถูกเรียกมาพบได้ดี 

‘คิดว่าจะบอกพี่เมื่อไหร่’

คำถามนี้ทำให้โมกข์ยิ้มรับอย่างกระอักกระอ่วน สุดท้ายถึงถอนหายใจออกมาแล้วสารภาพตามตรง

‘ที่จริงเรื่องนี้ผมก็เพิ่งมารู้ก่อนที่พี่พฤกษ์จะกลับมาได้ครึ่งปีแล้วครับ ผมพยายามหาหลักฐานทั้งหมด แต่ดูเหมือนพวกคุณลุงคุณป้าก็เตรียมตัวมาดีไม่น้อย แค่พิรุธเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือว่ายังไม่มากพอที่จะยืนยันเอาผิดได้ ที่จริงหุ้นที่เหลือของเราอีกสิบเปอร์เซ็นต์ หากไม่นับที่ลุงตุลย์ถืออยู่ประมาณห้าเปอร์เซ็นต์นั้น ผมกำลังติดต่อไปยังผู้ถือหุ้นคนอื่นเพื่อขอซื้อกลับมา’

เรื่องการยักยอกเงินบริหารโรงแรมที่ลุงกับป้าของพวกเขาทำอาจมีพนักงานภายในที่มีส่วนรู้เห็น ทว่าครึ่งปีมานี้ หลังจากโมกข์ระแคะระคายคนดูแลบัญชีที่ตัดแต่งบัญชี อีกฝ่ายก็รีบชิ่งหนีลาออกไปก่อนเสีย ทำให้โมกข์ไม่รู้เลยว่าเป็นใครอีกบ้างที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของตุลธร 

การยักยอกแต่ละครั้งแม้จะไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่ก็เกิดขึ้นถี่ๆ บ่อยครั้ง ไหนจะการที่ตุลธรอ้างความสัมพันธ์เครือญาติเพื่อใช้โรงแรมของพวกเขาสามพี่น้องเป็นบันไดสู่ความสำเร็จอีก บางครั้งสรธรก็ใช้ความสัมพันธ์ในครอบครัวพาเพื่อนฝูงมาจัดงานที่โรงแรม ทั้งเข้าพักฟรี ทั้งใช้บริการส่วนอื่นๆ โดยไม่ยอมเสียค่าบริการสักบาท ไหนจะค่าเสียหายที่เกิดจากกลุ่มเพื่อนลูกพี่ลูกน้องหนุ่มคนนี้อีก 

โมกข์พยายามแสดงความเด็ดขาดออกมา ทั้งอ้างกฎระเบียบของโรงแรม ทั้งพูดในแง่ของการเป็นเครือญาติ ทว่าอีกฝ่ายก็เฉไฉแกล้งไม่เข้าใจ ต่อหน้ารับปากให้ลงค่าใช้จ่ายในนามของตัวเอง ทว่าสุดท้ายก็เป็นตุลธรไม่ก็ชมนาดที่เอาความเป็นผู้ถือหุ้นมากดข่มพนักงานในโรงแรมแทน 

        ญาติกลุ่มนี้ดูเหมือนจะเสวยสุขบนความสบายจนไม่ยอมมองความเป็นจริงใดๆ ทั้งสิ้น 

        ‘นี่เป็นเอกสารทั้งหมดที่ผมหามาได้ครับ ส่วนด้านหลังคือสำเนาที่เกี่ยวข้องกับคุณรุจี อดีตหัวหน้าฝ่ายบัญชีที่ลาออกไป ส่วนที่อยู่ในซองเอกสารเป็นรายงานทรัพย์สินของคุณลุงที่ผ่านมาสามปีนี้ครับ’

        โมกข์รู้ดีว่าความผิดของตนในตอนนี้คือ การหยุดยั้งคนที่มาเอาเปรียบตนเองไม่ทันท่วงที และที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือเขาทำอะไรไม่ได้เลย กว่าจะมารู้ความจริงเข้า ตุลธรและครอบครัวก็หาผลประโยชน์จากพวกตนไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

        ‘พี่ไม่ได้จะว่าอะไร แค่จะบอกให้รู้ว่าสำหรับคนที่ไม่รู้จักอิ่ม กินไม่รู้จักพอ เราไม่จำเป็นเลยที่จะต้องสงสาร’ สีหน้าพฤกษ์เรียบสงบ มีเพียงกระแสความเย็นชาออกมาเท่านั้น กลายเป็นพฤกษ์คนเดิมที่โมกข์คุ้นเคย ไม่เหลือความอ่อนโยนอย่างที่แสดงออกต่อหน้าคะนึงนิตย์เลยแม้แต่น้อย

        ‘ปล่อยเรื่องนี้ให้พี่จัดการ ส่วนเรื่องที่แกทำอยู่ก็จัดการต่อไป ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้’

‘ครับ แต่เรื่องสรธร พี่พฤกษ์จะจัดการด้วยหรือเปล่าครับ’

‘อืม’

‘ครับ เรื่องนี้ผมรู้แล้ว ส่วนเรื่องปั้น พี่พฤกษ์อยากให้พวกผมช่วยอะไรหรือเปล่า’

พฤกษ์เงียบครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก

‘รอพี่คุยกับปั้นก่อน แต่ยังไงงานหมั้นก็ต้องจัดแน่นอน’

ดูทรงแล้ว ไม่ว่าอย่างไรงานนี้ก็ต้องเป็นไปตามที่พี่ชายของเขาวางแผนไว้อย่างแน่นอน โมกข์ยกยิ้ม จากนั้นก็ถามพี่ชายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกไปเข้านอน

‘ดูเหมือนปั้นจะหนีพี่พฤกษ์ไม่พ้นแล้วใช่ไหมครับ’

พฤกษ์ไม่พูดอะไร ทว่าคำตอบนี้ก็เด่นชัดอยู่ในใจ 

แน่นอน เพราะเขาไม่คิดจะปล่อยให้คะนึงนิตย์หลุดมือไปอยู่แล้ว

 

“แสงและเงาของงานเข้ากันได้ดีนะคะ ภาพรวมเหมือนจะเป็นชิ้นงานสมบูรณ์ แต่ว่ายังขาดการเก็บรายละเอียด ระยะหน้าควรเก็บให้ชัด ปล่อยเบลอระยะหลัง เพื่อให้ภาพมีมิติหน้าหลังที่ชัดเจน” 

คะนึงนิตย์ยืนพูดอยู่หน้าผลงานดรอว์อิงของเด็กนักเรียนที่มาติว ส่วนพสุและจอมขวัญก็ยืนฟังอยู่ที่ด้านหลังสุด หลังจากจบชั่วโมงเรียนแล้ว อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงที่เหลือก่อนเลิกเรียน พี่ติวหรือก็คือพวกเธอสามคนจะมาคอมเมนต์ผลงานที่ติวของน้องๆ แต่ละคน 

“ของน้องส้ม ดูจากงานแล้ว เวลาน้องลงแสงเงาค่อยๆ ทำทีละส่วนของภาพใช่ไหมคะ ขั้นตอนการลงแรเงาและเก็บรายละเอียดทีละส่วนแบบนี้จะค่อนข้างควบคุมยาก ทำให้ผลงานทั้งหมดออกมาแล้วไม่เป็นภาพรวม บางชิ้นใกล้จะเสร็จ บางชิ้นก็เพิ่งเป็นแค่โครงหรือลงแรเงาไปแค่บางส่วน ภาพโดยรวมจึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ส้มไม่ได้คอนโทรลแสงเงาตั้งแต่ต้น งานจึงดูไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ถึงแม้บางส่วนจะเก็บรายละเอียดเรียบร้อยแล้วก็ตาม”

หลังจากพูดจบเด็กสาวเจ้าของผลงานก็จดตามคอมเมนต์อย่างตั้งใจ แม้ว่าสีหน้าจะแสดงความไม่มั่นใจออกมาอยู่เล็กน้อยก็ตาม เพราะอย่างนั้นคะนึงนิตย์จึงพูดให้กำลังใจเด็กๆ กลุ่มตรงหน้า

“ยังมีเวลาเหลืออีกสี่เดือนครึ่งจนกว่าจะถึงวันสอบ พี่คิดว่าน้องๆ ทุกคนอยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยและคณะที่ต้องการ คอมเมนต์ในวันนี้จะเป็นพัฒนาการของเราในวันข้างหน้า อย่าเพิ่งหมดกำลังใจกันนะ” 

ต่อมาพสุที่ยืนอยู่ข้างหลังจึงก้าวเข้ามาและเอ่ยให้กำลังใจเช่นเดียวกัน “วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกๆ ที่เรามาติวเข้มกัน วันนี้ทุกคนตั้งใจมาก หมดเวลาติวแล้วกลับบ้านไปพักผ่อน พรุ่งนี้เรามีติวกันต่อ รู้จุดอ่อนและข้อบกพร่องตัวเองในวันนี้เพื่อที่วันสอบเราจะได้ไม่พลาดครับ”

สีหน้าเด็กๆ แต่ละคนแช่มชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานบรรยากาศตึงเครียดก็พลันหายไป เหลือเวลาอีกสิบห้านาที ทุกคนถึงมานั่งรวมกันที่ชั้นล่างพูดคุยกันตามสบาย บางคนก็เก็บของกลับบ้านไปก่อน 

คะนึงนิตย์ขึ้นไปตรวจดูความเรียบร้อยบนตึก ระหว่างนั้นก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก แต่ก็รบกวนจิตใจของเธออยู่ไม่น้อย วันนี้มีนักเรียนมาสมัครเรียนเพื่อติวสอบ นักเรียนที่สอบในปีนี้จึงมากกว่าที่คิดไว้ ถึงจะเป็นเรื่องดี แต่ก็หมายความว่าความรับผิดชอบของพวกพี่ติวอย่างเธอก็มากขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลว่าคำแนะนำและการติวของพวกเธอจะดีพอหรือไม่ 

กระทั่งนักเรียนคนสุดท้ายกลับไปแล้ว เธอถึงนั่งปรึกษาเรื่องนี้กับพสุและจอมขวัญอีกเล็กน้อย พวกเขาเห็นตรงกันว่าอาจจะปรับหลักสูตรการติวให้สอดคล้องกับการสอบให้มากที่สุด แม้แผนการเรียนจะเหมือนกัน แต่ส่วนสำคัญคือ การให้คำแนะนำรายบุคคลที่ต้องพยายามปรับให้เข้ากับนักเรียนแต่ละคน เพื่อดึงศักยภาพที่ดีที่สุดขึ้นมา และแก้ไขจุดด้อยของแต่ละคน 

ใช้เวลาไม่นาน การประชุมเล็กๆ ระหว่างผู้สอนก็จบลง พสุกับจอมขวัญต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ขณะที่คะนึงนิตย์กำลังก้มเก็บของ กระดิ่งที่แขวนกับประตูโรงเรียนก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งกังวาน แขกที่เข้ามาใหม่ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นชายหนุ่มที่เธอไม่เห็นหน้าเห็นตามาสักพักใหญ่ 

ธีรดลส่งยิ้มกว้างเมื่อเข้ามาด้านในของตึก เขาเอ่ยปากทักทายเจ้าของตึกด้วยน้ำเสียงยินดี 

        “สวัสดีครับคุณปั้น”

        “คุณธีร์ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” 

        ธีรดลยกยิ้ม หลังจากสมัครเรียนกับหญิงสาวเรียบร้อย จู่ๆ เขาก็ต้องลงพื้นที่ต่างจังหวัดกะทันหันเพราะโพรเจกต์ใหม่ที่ติดต่อเข้ามา โชคดีที่ยังไม่ถึงช่วงเวลาเริ่มคลาสเรียนวาดรูป จึงยังพอมีโอกาสได้มาพบดวงหน้าหวานๆ ที่คิดถึงได้ 

        “ก่อนหน้านี้ผมต้องลงต่างจังหวัด เพิ่งกลับมาได้สักพัก วันนี้มีธุระแถวนี้พอดีเลยแวะมาทักคุณปั้นครับ”

        “อ๋อ ปั้นก็นึกว่าคุณธีร์มีอะไรด่วน คลาสเรียนของเราเริ่มอาทิตย์หน้า คุณธีร์อย่าลืมนะคะ”

        “แน่นอนครับ”

        คะนึงนิตย์ยิ้ม รอยยิ้มเป็นมิตรชวนให้มอง เพราะหญิงสาวไม่พูดอะไรขึ้นอีก ธีรดลถึงได้เก้อเขินขึ้นมา เขากระแอมในลำคอเบาๆ คล้ายเรียกกำลังใจให้ตัวเอง

        “ก่อนหน้านี้เรายังติดกินข้าวด้วยกันมื้อหนึ่ง ถ้าเย็นนี้คุณปั้นไม่ติดอะไร เราไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ”

        คะนึงนิตย์ชะงัก พอธีรดลพูดขึ้นมาแล้วถึงนึกได้ รอยยิ้มบนใบหน้าจึงกลายเป็นรอยยิ้มขอโทษติดเกรงใจขึ้นมา 

        ระหว่างที่กำลังจะเปิดปากพูด ประตูกระจกใสก็เปิดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นร่างสูงโปร่งของพฤกษ์ ชายหนุ่มก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ในมือติดถุงขนมสีสวยมาด้วย คะนึงนิตย์นึกแปลกใจที่เขาไม่ได้โทรศัพท์มาบอกกันก่อน

        ใบหน้าของหญิงสาวเกิดเป็นรอยยิ้มกว้าง ชวนให้คนมองแปลกใจ กระทั่งธีรดลหันไปพบชายหนุ่มอีกคน เขาถึงได้เข้าใจว่ารอยยิ้มนี้เกิดเพราะใคร 

“พี่พฤกษ์”

        “ปั้นยุ่งหรือเปล่าครับ” พฤกษ์ส่งยิ้มให้หญิงสาว พลางผงกศีรษะให้ธีรดลเป็นการทักทาย 

        “ไม่ค่ะ เออ...นี่คุณธีร์ เขาเป็นวิศวกรที่คอยให้คำแนะนำปั้นตอนทำตึกค่ะ” 

        “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมพฤกษ์”

        “ยินดีที่ดีรู้จักเช่นกันครับ”

        ทั้งๆ ที่รอยยิ้มกับแววตาของพฤกษ์ดูเป็นมิตรแท้ๆ ทว่าธีรดลกลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่แผ่ออกจากชายหนุ่มตรงหน้า 

        “ก่อนหน้านี้ที่ช่วยแนะนำปั้นไว้ต้องขอบคุณมากนะครับ” 

        คำพูดที่แสดงถึงนัยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคะนึงนิตย์ทำให้ธีรดลเริ่มตระหนักในใจ 

        “ไม่เป็นไรครับ ผมทำตามหน้าที่ อีกอย่างผมกับคุณปั้นก็เป็นเพื่อนกัน แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยครับ”

        พฤกษ์ได้ยินแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก เขาผินหน้าไปหาคนรักสาวก่อนยกมือลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา

“พี่เอาขนมที่โรงแรมมาฝาก ปั้นเอาไปให้คุณรักกับคุณขวัญนะ”

“ค่ะ” คะนึงนิตย์รับขนมจากพฤกษ์ ก่อนจะหันไปยิ้มขอโทษให้ชายหนุ่มอีกคนด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้เขาเสียเวลา 

“คุณธีร์คะ วันนี้ปั้นไม่สะดวก ไว้นัดเป็นครั้งหน้าแทนได้ไหมคะ”

ธีรดลมองพฤกษ์สลับกับเจ้าของดวงหน้าหวานอีกครั้ง จากนั้นก็เข้าใจความหมายที่ชายหนุ่มข้างตัวหญิงสาวต้องการบอกได้ในทันที รอยยิ้มของธีรดลที่ตอบกลับจึงดูฝืนๆ เจือด้วยความเสียดายอยู่ไม่น้อย 

“ไม่เป็นไรครับ รอวันที่คุณปั้นสะดวกเลยก็ได้ครับ” 

“ขอบคุณนะคะ”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ ลาก่อนครับคุณพฤกษ์” 

พฤกษ์ยกยิ้มส่ง ส่วนคะนึงนิตย์ก็เดินออกไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าตึก รอจนร่างสูงของโปร่งของวิศวกรหนุ่มจากไปแล้ว เธอถึงเดินกลับมาคุยกับคนรักที่อยู่ข้างกาย

        “ทำไมพี่พฤกษ์ไม่โทร. มาบอกปั้นก่อนละคะ”

        “พี่ลืมครับ พอนึกได้ก็ถึงที่โรงเรียนปั้นพอดี”

        พฤกษ์ยิ้ม ทว่าความจริงตัวเองกำลังโกหก คะนึงนิตย์นึกไม่ถึงแน่ๆ ว่าเขาตั้งใจมาหาเธอให้เร็วที่สุดแค่ไหน ทั้งๆ ที่จากโรงแรมจนถึงโรงเรียนปั้นรักต้องใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่เขาขับรถมาหาเธออย่างใจจดใจจ่อได้ภายในสามสิบนาที 

        “ปั้นก็กลัวว่าจะทำให้พี่พฤกษ์เสียเวลารอ”

        “ไม่ครับ ปั้นต้องเอาของอะไรหรือเปล่า”

        “ไม่ค่ะ เรียบร้อยแล้ว เราไปกันเลยก็ได้ค่ะ” 

        สิ้นคำของหญิงสาว พฤกษ์ก็ยื่นมือไปหาร่างบาง คะนึงนิตย์มองฝ่ามือของชายหนุ่ม ริมฝีปากยกโค้งเป็นรอยยิ้ม จากนั้นเธอจึงยกมือมาวางบนฝ่ามืออุ่นหนาของเขา 

        พฤกษ์กระชับมือที่กุมมือเรียวไว้อย่างแนบแน่น ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกมาจากตึกพร้อมๆ กัน ทว่าที่มุมหนึ่งไกลออกไป พฤกษ์เห็นร่างของแขกหนุ่มที่เพิ่งจากไปได้ไม่นานกำลังมองตรงมา ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายอยู่ในรถ เขาจึงยกมือข้างที่กุมมือหญิงสาวขึ้นมา จากนั้นก็จูบบนหลังมือเนียนนุ่มข้างนี้ ทว่าสิ่งนี้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความปรารถนาในใจ 

        พฤกษ์ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกจากมือเรียว ช้อนปลายคางมนขึ้นอย่างนุ่มนวล วินาทีต่อมาเขาก็กระซิบเสียงต่ำอย่างเว้าวอนเจือด้วยความไม่พอใจ

“อย่าน่ารักไปมากกว่านี้เลยครับ”

        ไม่ต้องรอให้คะนึงนิตย์ตอบ พฤกษ์ก็โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ฉวยโอกาสแสนหวานเอาไว้อีกครั้ง ริมฝีปากของเขาแนบทับกับริมฝีปากอิ่มพอดี สัมผัสดูดเม้มอย่างเอาแต่ใจ ทั้งจงใจรังแกและหยอกเย้าคนรักไปในคราวเดียวกัน  ระหว่างที่จูบก็ปรายตาผ่านหลังของหญิงสาว ดวงตาคมปลาบมองตรงไปยังคนที่กำลังมองอยู่ห่างๆ ด้วยประกายแรงกล้า ทั้งท้าทายและประกาศความเป็นเจ้าของ

        ไม่ใช่เหตุผลที่ใครมาก่อนหรือมาหลัง เพราะต่อให้พฤกษ์มาช้ากว่าคนอื่นไปหนึ่งก้าว ถึงอย่างนั้นคะนึงนิตย์ก็ต้องเป็นของเขา อะไรที่เขาหมายตา สุดท้ายก็ไม่มีวันหลุดมือ 

        ความคะนึงหาที่แสนเย้ายวนเช่นนี้ มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่อนุญาตได้ครอบครอง ดังนั้นก็ดูให้เต็มตา จากนั้นก็เลิกหวังเสียเถอะ 

        คนของเขา ของรักของหวงของเขา อย่าริอ่านมากล้าแตะ ต่อให้แค่ชายตามอง คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น