2
“พวกแกเป็นใคร เข้าบ้านกูมาได้ไง!” ชายวัยกลางคนที่ล้มลงไปเพราะแรงกระแทกของหมัดหันใบหน้าเหยเกกลับมาด้วยความเจ็บปวด มุมปากแตกจนได้เลือด ทว่าหมัดของพฤกษ์คงยังไม่มากพอที่ปิดปากสกปรกนี้ให้สนิท
“เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องกังวลหรอกนะครับ” พฤกษ์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขากำหมัดของตัวเองแน่น หากไม่ใช่เพราะด้านหลังมีคะนึงนิตย์อยู่ เขาคงไม่รีรอที่จะเข้าไปจัดการอีกฝ่ายในทันที
พฤกษ์ยังไม่ต้องการให้เธอเห็นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านพร้อมกับสีหน้าของตนในเวลานี้ เขาสูดลมหายใจลึกพยายามควบคุมสติ ก่อนจะลอบเหลือบตาไปมองด้านหลังเพื่อสำรวจหญิงสาว
แก้มข้างหนึ่งของเธอมีรอยฝ่ามือแดงประทับอยู่ ดวงตากลมฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตา ผมเผ้ายุ่งเหยิง ไหนจะร่างกายที่สั่นเทาไม่ต่างจากลูกนกที่พลัดรัง ทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้ามันก็มากพอที่เขาจะฆ่าชายวัยกลางคนตรงหน้าให้ตายซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาส่งสายตาไปยังน้องสาว อีกฝ่ายรู้ดีถึงความนัยที่เขาต้องการสื่อ กชนันท์จึงค่อยๆ ช่วยประคองคะนึงนิตย์ขึ้นนั่ง พลางสำรวจรอยฝ่ามือที่อยู่บนใบหน้าของเธอ
“ปั้นเจ็บไหม” เสียงของกชนันท์สั่นเครือ แม้แต่มือที่โอบประคองเธออยู่ก็ออกอาการสั่นอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เป็นไร”
คนเจ็บตัวเผยแววตาไม่สู้ดีออกมา แต่เจ้าตัวคงไม่อยากให้คนข้างกายต้องขวัญเสียไปมากกว่านี้จึงได้แต่โกหกออกไป
โกหก…เจ็บก็บอกว่าเจ็บ เขาไม่ต้องการให้เธอมาแสร้งว่าไม่เป็นไรต่อหน้าตัวเองแบบนี้
พฤกษ์กัดฟันแน่น กรามของเขาเกร็งแน่นจนแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกได้
“อีปั้น! พวกนี้มันเป็นใคร มันเข้ามาในบ้านกู ทำร้ายกูอีก อีชั่ว แกต้องรับผิดชอบเลยนะ!”
ลุงเขยของหญิงสาวพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล พลางยกมือชี้หน้าเขาและน้องสาว พร้อมกับถลึงตาใส่คนเป็นหลานราวกับว่าอีกฝ่ายคือคนที่ผิด
“เก็บปากของลุงไว้เถอะ ฉันโทร. แจ้งตำรวจแล้ว” กชนันท์ค้อนสายตากลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ คำพูดนี้ก็ทำให้ลุงเขยของคะนึงนิตย์เลือดขึ้นหน้าอีกครั้ง
ตั้งแต่ที่คะนึงนิตย์รับสายและหลุดเสียงสะอื้นด้วยความหวาดกลัวออกมา เขาที่บังเอิญอยู่กับน้องสาวพอดีจึงไม่รีรอรีบมาที่บ้านของอีกฝ่ายตามที่กชนันท์บอกทาง ใจของเขาร้อนรนไปหมด เสียงความเคลื่อนไหวจากปลายสายทำให้เขาร้อนรน นึกขออย่าให้หญิงสาวเกิดเรื่องอะไรร้ายแรง
เขาไม่ลืมให้กชนันท์โทรศัพท์แจ้งตำรวจไปพร้อมกัน เผื่อหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น พวกเขาจะได้คอยช่วยเหลือคะนึงนิตย์ได้
“เสือก! อีปั้นมันหลานกู พวกแกมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลยนะ ไม่ต้องมาสาระแนบ้านคนอื่น!”
นอกจากเอ่ยปากไล่พวกเขากลับไปแล้ว อีกฝ่ายยังหน้าด้านหน้าทนพูดจาแบบนี้ออกมา เขาลอบสังเกตว่าคะนึงนิตย์กำมือของตนไว้แน่น ท่าทางคับอกคับใจ แต่ไม่อาจจะระบายออกมาได้ของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจ จนต้องหันไปมองคู่กรณีตรงหน้า พร้อมสาวเท้าย่างก้าวเข้าใกล้อีกฝ่าย
“ไม่ต้องห่วง พวกเราไปแน่ แต่มันหลังจากที่คุณต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”
เขามองใบหน้าอีกฝ่ายพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก ถ้าตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุแล้วเห็นสภาพตอนนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ ฝ่ายไหนที่เสียเปรียบ ในเมื่อคนที่ยืนด่าเขาปาวๆ อยู่ในสภาพไม่ได้สติ กลิ่นแอลกอฮอล์เหม็นคลุ้ง ขณะที่บนใบหน้าและตามร่างกายของคะนึงนิตย์กลับมีร่องรอยการถูกทำร้าย
แต่แทนที่ปัญหาจะจบลงง่ายๆ อย่างที่เขาคิด ตัวแปรสำคัญของเรื่องนี้ก็ดันโผล่ขึ้นมา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครนอกเสียจาก พัชรีและเจนตา ป้าและลูกพี่ลูกน้องของคะนึงนิตย์ เมื่อทั้งสองกลับมาถึงที่บ้าน ฉากที่พวกเขาเห็นคือ เจ้าของบ้านกำลังถูกคุกคามโดยคนแปลกหน้า
“พี่ป้อง! ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น ปั้น สองคนนี้เป็นใคร ทำไมมาทำร้ายลุงป้องแบบนี้” เมื่อเห็นว่าสามีถูกทำร้ายร่างกาย พัชรีก็รีบวิ่งเข้าไปดูอาการของอีกฝ่าย พร้อมกับหันมาส่งสายตาไม่พอใจใส่คะนึงนิตย์
พฤกษ์ได้แต่ลอบสังเกตครอบครัวญาติของหญิงสาวเงียบๆ ขณะเดียวกันเจนตาก็ถลึงตาใส่ญาติผู้น้องพร้อมกับวิ่งเข้าไปดูการของผู้เป็นพ่อ
“ปั้น! แกพาคนมาทำร้ายพ่อฉันได้ไง อกตัญญู! ถ้าไม่ได้พ่อแม่ฉัน ป่านนี้แกจะมีที่ซุกหัวนอนไหม!”
คำพูดนี้ทำคิ้วของพฤกษ์ขมวดเข้าหากัน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะรู้จากปากของกชนันท์มาบ้างว่าครอบครัวฝั่งป้าของคะนึงนิตย์ไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ แต่เมื่อมารับรู้ด้วยตัวเองในวันนี้ เขากลับรู้สึกว่าคะนึงนิตย์ไม่ได้เป็นที่ต้อนรับจากสามคนตรงหน้าเลยมากกว่า
“นี่ๆ ขอโทษนะคะ ก่อนที่จะพูดกล่าวหาปั้น คุณถามคนของตัวเองก่อนไหมคะว่าเขาทำชั่วๆ อะไรมา!” กชนันท์ไม่รอให้คะนึงนิตย์โต้ตอบก็เป็นฝ่ายพูดสวนขึ้นแทน
“หน็อย! ฉันสิจะต้องถาม พวกเธอเป็นใคร ก็เห็นอยู่ตำตาว่าพ่อของฉันบาดเจ็บ ดูสิ แผลที่ปากนี่พ่อฉันคงไม่บ้าจี้ต่อยตัวเองหรอกใช่ไหม!” เจนตาตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะรู้สึกว่าคนที่กำลังเดือดร้อนเป็นตัวเอง ไม่ใช่บุคคลแปลกหน้าทั้งสอง
ส่วนพฤกษ์ที่เห็นท่าน้องสาวจะโต้ตอบกลับไป เขาก็รีบยกมือขึ้นขวางพลางหันไปหาลูกพี่ลูกน้องของคะนึงนิตย์พร้อมกับอธิบายช้าๆ
“เรื่องนี้เราอย่าเสียเวลามาทะเลาะกันเลย พวกผมแจ้งตำรวจแล้ว มีอะไรเราเคลียร์ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ดีกว่า”
พอเขาพูดถึงตำรวจ อีกฝ่ายก็เบิกตากว้าง เผยสีหน้าสับสนเพียงชั่วครู่ ก่อนจะโวยวายกลับมาเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ที่ไม่สงบของตน
“ยังจะต้องแจ้งตำรวจอะไรอีก! เห็นชัดๆ ว่าพวกคุณบุกรุกบ้านคนอื่น ไหนจะทำร้ายร่างกายเจ้าบ้านอีก อย่าคิดว่าเอาตำรวจมาอ้างแล้วพวกฉันกับแม่จะกลัวนะ!”
คำพูดเถียงข้างๆ คูๆ นี้พฤกษ์ไม่สนใจ เขามองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนจะหันหลังเดินมาหาหญิงสาวที่เขานึกเป็นกังวล พฤกษ์หยุดอยู่ตรงหน้าร่างเล็ก ย่อตัวนั่งคุกเข่าหนึ่งข้างให้ระดับสายตาตรงกับคะนึงนิตย์ พลางสำรวจร่างกายบอบบางอย่างละเอียดอีกครั้ง
หญิงสาวไม่มีท่าทางสั่นเทาเหมือนลูกนกแล้ว ทว่ายิ่งมองรอยแดงที่แจ่มชัดบนพวงแก้มอีกฝ่าย พฤกษ์ก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ ร่างกายของเธอบอบบางเกินไป ผิวเนียนละเอียดตามแขนและขาจึงมีรอยแดงรอยช้ำจากความทารุณของผู้เป็นลุงเขย แต่พอเขาสังเกตดีๆ ก็พบบางอย่างที่สะดุดตาตัวเองเหลือเกิน
พฤกษ์ยกมือขึ้นตั้งใจปัดเรือนผมที่หญิงสาวพยายามนำมาปรกไว้ที่ด้านหน้าออก ก่อนเชยคางมนให้เงยขึ้นมาวินาทีนั้นคะนึงนิตย์สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ แววตาของเธอที่ประสานสบกันนั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและหวาดกลัว ต่อมาหญิงสาวก็เบนสายตาหลบหนีอย่างคนมีความผิด
เมื่อเห็นสิ่งที่เจ้าตัวพยายามซ่อนให้พ้นจากสายตาตัวเอง ลมหายใจของพฤกษ์ก็พลันสะดุด ม่านตาหด มืออีกข้างที่ว่างเปล่ากำเข้าหากันแน่น หากไม่มีคะนึงนิตย์อยู่ตรงนี้ เขาคงเดินเข้าไปฆ่าคนที่ทำร้ายเธอด้วยมือข้างนี้แล้ว
“พี่พฤกษ์คะ”
เสียงเรียกของคะนึงนิตย์ทำให้เขารีบปรับสีหน้า พร้อมถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนมือไปที่พวงแก้มของเธอพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ปั้น พี่มาแล้ว”
คำพูดคำเดียวของพฤกษ์กลับทำให้กำแพงที่เธอพยายามก่อขึ้นมาทลายลงอย่างรวดเร็ว คำพูดของเขาคือสิ่งเดียวที่เธออยากได้ยินในวินาทีไร้ซึ่งความหวัง
น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วไหลอาบใบหน้าอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มีฝ่ามือหนาอันอบอุ่นของพฤกษ์คอยช่วยซับและปาดมันออกจากใบหน้าของตนอย่างแผ่วเบา
คะนึงนิตย์ไม่รู้ตัวเลยว่ากชนันท์ปล่อยให้พี่ชายคนโตโอบประคองตัวเธอไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกครั้งเขาก็โอบเธอเข้ามาอยู่ในวงแขน ขณะเดียวกันความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นค่อยๆ ถูกเยียวยาช้าๆ จากสัมผัสที่นุ่มนวลและอบอุ่นของชายหนุ่ม
ขณะเดียวกันเสียงรถตำรวจที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เตือนสติให้เธอถอยห่างจากร่างสูงตรงหน้า ทว่าต่อให้พยายามผละตัวออกห่างแล้วก็ตาม แต่วงแขนของพฤกษ์กลับออกแรงตรงข้าม คอยรั้งเธอไว้ให้อยู่ที่ตำแหน่งเดิมก่อนพฤกษ์จะโน้มศีรษะมาใกล้ พลางกระซิบให้ได้ยินเพียงแค่สองคน
“ทุกอย่างจะเรียบร้อย ปั้นเชื่อพี่นะ”
แน่นอนว่าเธอเชื่อ ต่อให้เขาไม่ขอให้เธอเชื่อคำพูดของเขา คะนึงนิตย์ก็เชื่อมั่นในตัวเขาอย่างไม่มีข้อแม้
“บัวออกไปดูให้พี่หน่อย” เขาหันไปหากชนันท์ก่อนเอ่ยคำไหว้วาน คนเป็นน้องก็ทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากที่กชนันท์ออกไปได้ไม่นาน อีกฝ่ายก็กลับเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสามนาย
“เราได้รับแจ้งว่ามีเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้ ผมขออนุญาตดำเนินการสอบสวนนะครับ” ตำรวจคนหนึ่งก้าวขึ้นมาข้างหน้า ขณะที่อธิบายสถานการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจคนเดิมก็กวาดสายตามองไปรอบๆ พร้อมๆ กัน
“คุณตำรวจคะ! ผู้ชายคนนี้เขาบุกเข้ามาที่บ้าน แล้วก็ทำร้ายสามีดิฉันค่ะ ดูเหมือนเขาจะรู้จักกับหลานสาวดิฉัน พูดตรงๆ นะคะ ฉันกลัวว่าจะมีเหตุจูงใจอย่างอื่นด้วย”
คำพูดของผู้เป็นป้าทำให้ลมหายใจของคะนึงนิตย์สะดุด เธอเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ทว่าพัชรีกลับทำเพียงปรายตามองมาอย่างไม่ไยดี
“ป้าเก็บปากไว้กินข้าวดีกว่าไหม ถ้าขืนยังพูดจาแบบนี้ ฉันกับพี่ฟ้องป้าในฐานะหมิ่นประมาทได้นะ”
“พวกเราขอเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องให้ปากคำด้วยครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจกลัวว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะบานปลายจนควบคุมไม่อยู่ เขาจึงบอกทั้งสองฝ่ายด้วยเหตุผล
ป้าของเธอมีสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่ แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ทุกคนจึงต้องไปรวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นเพื่อให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
หากเป็นแค่คดีทำร้ายร่างกายกันในครอบครัวเล็กๆ น้อยๆ คงไกล่เกลี่ยยอมความกันได้ แต่ว่านี่...
“ปั้นลุกไหวไหม” เสียงเรียกจากพฤกษ์ทำให้เธอดึงความคิดของตัวเองกลับมา ทว่ายังไม่ทันได้ตอบว่าเธอลุกเองได้ ชายหนุ่มก็ช้อนตัวเธอขึ้นในวงแขนก่อนเสียแล้ว
“พี่พฤกษ์!” เธอเรียกเขาด้วยความตกใจ และพอถูกอุ้มขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มือของเธอทั้งสองข้างจึงคล้องลำคอและบ่าของเขาไว้เพื่อไม่ให้ตกอย่างกะทันหัน
“พี่ไม่ถือ”
เขาตอบกลับมาด้วยสีหน้านิ่งสงบ...ถูกที่เขาอาจจะไม่คิดอะไร แต่คะนึงนิตย์ต้องใช้พลังอย่างมากที่จะควบคุมไม่ให้หัวใจของตนเต้นผิดจังหวะจนเขาจับความขัดเขินได้
พฤกษ์อุ้มเธอตามมาได้ไม่กี่ก้าว พวกเขาก็มารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นของบ้านแล้ว เขาวางเธอลงบนโซฟาขณะที่กชนันท์ลงมานั่งข้างๆ กุมมือเธอไว้ ส่วนพฤกษ์เลือกที่จะยืนอยู่ข้างๆ แทน
“ในเมื่อพร้อมแล้ว ขอทางฝั่งผู้แจ้งความเล่าก่อนนะครับ”
ป้าของเธอดูจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ยอมให้กชนันท์ที่เป็นผู้แจ้งความเล่าเรื่องก่อน และจากการบอกเล่าของเพื่อนรัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงหันมาถามเธอ
“ถ้าเป็นอย่างที่ผู้แจ้งความเล่า แสดงว่าคุณเป็นผู้รับสายโทรศัพท์ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ” เธอตอบแล้วค่อยๆ เล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เริ่มจนจบให้ตำรวจฟัง
ขณะที่เล่าไปนั้น สีหน้าของพัชรีกับเจนตาก็ซีดเผือด ทั้งคู่จ้องมองเธอด้วยสายตาแข็งกร้าว ส่วนลุงเขยของเธอในเวลานี้ก็คล้ายจะสร่างเมาในทันที ระหว่างนั้นเองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนก็เดินเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือของเธอ
“พบโทรศัพท์มือถือตกอยู่ในห้องน้ำครับ”
เมื่อตำรวจที่สอบปากคำเธอเห็นมือถือเครื่องนี้ เขาก็หันไปหาลุงเขยของเธอ และให้เขาเล่าเรื่องให้ฟังบ้าง แต่คำพูดจากปากของอีกฝ่ายกลับเป็นเหมือนหนังคนละม้วน จากท่าทางอันตรายไม่ได้สติ กลับดูใจเย็นและพูดจาคล่องปากขึ้นมาทันตา
“เป็นไปไม่ได้เลยครับที่ผมจะทำร้ายเธอ ตั้งแต่พ่อแม่ของเธอเสีย ผมกับเมียก็รับเธอมาเลี้ยง คอยดูแลไม่ต่างจากลูกอีกคน วันนี้ผมยอมรับว่าดื่มหนักไปหน่อย แต่พอปั้นกลับมาที่บ้าน ไม่รู้ว่าเพราะเมียผมกับลูกสาวไม่อยู่บ้านหรือเปล่า เธอถึงมานั่งคุยกับผม คุยไปคุยมาก็วกมาเรื่องเงิน ปั้นบอกผมว่าเธอเงินไม่พอใช้ เลยอยากจะยืมจากผม แต่ผมก็ไม่มีให้ เธอก็ทำท่าจะเข้ามาใกล้ บอกว่าถ้าผมให้เงิน เธอจะ...” อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลานสาวนอกไส้
“เฮ้อ ผมก็ไม่อยากจะเอาที่ลับมาไขที่แจ้ง แต่ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ ผมยอมถูกตราหน้าว่าผิดไม่ได้ ปั้น ลุงขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ หลานผมคนนี้บอกว่า เธอยอมนอนกับผมแลกเงินและจะไม่บอกให้เมียผมรู้”
สิ้นคำพูดของลุงเขย ศีรษะของคะนึงนิตย์ก็เหมือนโดนของหนักกระแทกเข้าใส่ หูอื้อไปด้วยความโกรธ เธอกำมือแน่น มองคนตรงหน้าใส่สีตีไข่ เล่าเรื่องโกหกมาเป็นฉากๆ หาว่าตัวเองถูกเธอเล่นลูกไม้และจัดฉากทั้งหมดขึ้น ขณะเดียวกันป้าของเธอก็ไม่มีท่าทีจะมาช่วยเหลือ รีบใส่ไฟกับสามีปดต่อหน้าตำรวจว่าเธอเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อยเสมอ
ทำไมคนที่ได้ชื่อว่าเป็นญาติกลับทำตัวเลวร้ายได้ขนาดนี้...
คอของเธอแห้งผาก ต้องใช้เวลาสักพักคะนึงนิตย์ถึงค้นหาเสียงของตนเจอ ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากกลับไปนั้น มือของเธอก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นหนึ่งที่เลื่อนมาเกาะกุมไว้...
เป็นพฤกษ์เองที่ขยับตัวมานั่งลงที่ข้างๆ พร้อมกับกุมมือข้างนี้ แม้จะไม่ได้หันมามองสังเกตสีหน้าของกันและกัน แต่แรงบีบจากมือหนาของเขามีความหมายมากกว่าคำพูดใดๆ
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะอธิบายร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกายที่ตัวของปั้นยังไงครับ”
สิ้นคำพูดของพฤกษ์ ทุกสายตาก็พุ่งตรงมาที่หญิงสาวเป็นตาเดียว รอยช้ำที่รอบลำคอ ตามตัว และรอยนิ้วมือบนใบหน้ายังเด่นชัด ลุงเขยเริ่มแสดงอาการลุกลี้ลุกลนออกมา เมื่อพฤกษ์เห็น เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนก็ล้วนต้องเห็นเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสอบสวนลุงเขยของเธอเพิ่มขึ้น อีกฝ่ายก็แสดงพิรุธขึ้นมาเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็ต้องจนมุมด้วยหลักฐาน ไหนจะประตูห้องน้ำที่พัง ไหนจะปากคำจากเพื่อนบ้านที่ได้ยินเสียงร้องของคะนึงนิตย์ ในเมื่อหลักฐานเด่นชัดขนาดนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มองลุงเขยและป้าของเธอด้วยสายที่เปลี่ยนไป
“ทางผู้เสียหายต้องการดำเนินคดีไหมครับ”
คะนึงนิตย์มองญาติใกล้ชิดทั้งสามคนด้วยแววตาว่างเปล่า ตามความถูกต้องเธอควรจะแจ้งความเรื่องลุงเขยและดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกเหนื่อยล้าไปหมด ไม่อยากแม้แต่จะยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีก
“ไม่ค่ะ ฉันขอแค่บันทึกประจำวันไว้นะคะ...” เธอเงียบไปอึดใจก่อนจะหันไปหาพัชรี “หนูคงไม่กลับไปที่บ้านป้าแล้วค่ะ รับรองได้ว่าของของป้าหนูไม่เคยยุ่งด้วยสักนิด ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปี ป้าก็คงรู้ดีว่าค่าใช้จ่ายของหนูเป็นเงินของพ่อกับแม่ ขอบคุณที่ป้ากรุณานะคะ แต่หนูคงไม่อยู่รบกวนป้าอีกแล้ว”
คำพูดนี้ชัดเจนมากพอที่ทุกคนจะเข้าใจ ในเมื่อเจ้าทุกข์ไม่ต้องการเอาความ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำบันทึกประจำวันเอาไว้ ส่วนคะนึงนิตย์ก็ตัดสินใจในเวลานั้นเลยว่าเธอจะย้ายออกจากที่นี่
หลังจากให้ปากคำเสร็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็อยู่ช่วยดูแลความเรียบร้อยระหว่างที่เธอกับกชนันท์มาเก็บข้าวของ ใช้เวลาไม่นาน สัมภาระของเธอก็ถูกขนออกมา ข้าวของของคะนึงนิตย์มีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าสองใบ พร้อมกล่องใส่ของใช้ส่วนตัวอีกใบหนึ่ง แน่นอนว่าของพวกนี้เธอให้พัชรีและเจนตาตรวจสอบดูแล้ว โดยมีตำรวจทั้งสามคนเป็นพยานว่าเธอไม่ได้นำของของพวกเขาออกไปเลยสักชิ้น พฤกษ์กับกชนันท์ช่วยเธอขนของขึ้นรถ ก่อนที่จะลาเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง
คะนึงนิตย์นั่งอยู่ในรถของพฤกษ์ จากนั้นรถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากบ้านหลังนั้น และมันก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอกลับไปที่บ้านป้าของตัวเอง
นั่นคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้าเจนตา คะนึงนิตย์มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความตกใจเล็กน้อย พอสังเกตดีๆ เธอเห็นเจนตาอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของพนักงานขายร้านแบรนด์เครื่องสำอาง นึกแปลกใจที่เห็นเจนตาในชุดพนักงานขาย เพราะเท่าที่เธอจำได้ อีกฝ่ายเคยประกาศไว้ว่าตัวเองจะไม่มีทางมาเหนื่อยลำบากขายของงกๆ แบบนี้แน่นอน
เธอไม่แน่ใจว่าญาติผู้พี่คนนี้จะเห็นเธอไหม ทว่าระหว่างพวกเธอสองคนไม่มีเรื่องราวใดๆ ต้องติดต่อหากันแล้ว คะนึงนิตย์คิดจะเดินผ่านไปเฉยๆ แต่เสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลของเจนตาทำให้เธอชะงัก
“ปั้น!”
เธอหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสงสัย ไม่คิดเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นเช่นกัน ไม่กี่อึดใจเจนตาก็มาหยุดยืนตรงหน้า เห็นประกายวาวโรจน์เรืองรองขึ้นมาจากดวงตาอดีตลูกพี่ลูกน้องคนนี้
“พี่แจงมีอะไรหรือเปล่าคะ”
น้ำเสียงของคะนึงนิตย์ราบเรียบ บอกไม่ถูกเลยว่าคนพูดรู้สึกอย่างไร คู่สนทนาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดขึ้นมา
“แกรู้หรือเปล่าว่าหลายปีมานี้ ที่บ้านฉันต้องเจออะไรบ้าง ทั้งหมดนี้สะใจแกพอหรือยัง”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้คะนึงนิตย์ขมวดคิ้วนึกสงสัย ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น เธอก็ไม่ได้สนใจความเป็นไปของครอบครัวนี้เลย
“ตั้งแต่วันนั้น ปั้นก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับพี่หรือคุณป้าอีก”
“ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใครที่เอาเรื่องพ่อฉันไปเล่าต่อ ฉันต้องทนสายตาของคนรอบตัวมากแค่ไหน รู้หรือเปล่า! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าเรื่องที่แม่ฉันเจอปัญหาเรื่องงานก็เป็นฝีมือของแก!”
หนนี้คะนึงนิตย์ไม่นิ่งเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายกล่าวหาในสิ่งที่เธอไม่ได้ทำเช่นนี้ต่อไปแน่
“ปั้นไม่รู้ว่าพี่แจงอยากจะพูดอะไรกันแน่ แต่ปั้นไม่เคยทำเรื่องที่พี่พูดออกมา”
“โกหก! ต้องเป็นแกแน่ๆ ดูสิ ฉันถึงต้องมาจมปลักอยู่กับงานโง่ๆ แบบนี้!”
เสียงดังโวยวายของเจนตาทำให้ผู้คนที่มาเดินเที่ยวเล่นหรือมาซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ามองพวกเธอทั้งสองเป็นตาเดียว
“พี่แจงควรจะตั้งสติก่อนนะคะ ปั้นเคยบอกแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับพวกพี่อีก ปั้นก็ไม่เคยผิดคำพูด พี่โทษปั้นแต่ไม่ลองย้อนดูล่ะคะ ว่าเรื่องทั้งหมดมันผิดที่ปั้นหรือเปล่า”
ปกติแล้วเธอไม่เคยเป็นฝ่ายมีปากเสียงหรือทะเลาะเบาะแว้งกับใครเขาก่อน แต่หนนี้เมื่อได้ยินคำพูดกล่าวหาของเจนตาแล้ว เธอกลับคิดว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรเจอ
ตอนที่จะตัดขาดจากครอบครัวของพัชรี เธอก็ไม่คิดจะย้อนกลับไปคบค้าสมาคมหรือนับเป็นญาติกันอีก ทั้งยังยอมตัดใจไม่เอาความกับเรื่องร้ายๆ ที่พวกเขาทำ คิดว่าต่างคนต่างอยู่แล้วทุกอย่างมันจะจบ แต่พออีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากก็กลับโทษว่าทุกอย่างเป็นเพราะเธอ ไม่มีใครคิดจะย้อนมองดูเงาและการกระทำของตัวเองสักคน
“แก!”
“ปั้นไม่รู้ว่าใครเอาเรื่องลุงป้องไปพูด เพราะมันไม่ได้ออกจากปากปั้น ถ้าพี่แจงคิดว่าตัวเองโชคร้ายเพราะปั้น แล้วทำให้พี่สบายใจ พี่แจงจะคิดแบบนี้ต่อไปปั้นก็ไม่ห้ามค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วปั้นขอตัวนะคะ ปั้นไม่ว่าง”
แต่ก็ยังคงเป็นเจนตาที่ไม่ยอมให้คะนึงนิตย์หันกลับไปง่ายๆ อีกฝ่ายยื้อมาจับที่ต้นแขนของเธอไว้ ออกแรงกระชากจนเธอเซ เจนตารีบเดินอ้อมมาตรงหน้าทั้งๆ ที่ยังบีบต้นแขนของเธอไว้แน่น
“อีปั้น! ฉันบอกให้แกไปเหรอ”
“พี่แจง ปล่อยปั้น” ถึงจะพูดแบบนั้นออกไปก็ตาม แต่คนตรงหน้าก็ไม่มีทีท่าจะปล่อยมือ มิหนำซ้ำยังออกแรงมากกว่าเดิม
สถานการณ์ตรงหน้าเริ่มไม่สู้ดี คนรอบตัวจึงพากันจ้องมองมาที่พวกเธออย่างสนอกสนใจ คะนึงนิตย์ไม่ชอบการที่ถูกมองเช่นนี้จึงพยายามทั้งสะบัดทั้งดึงแขนกลับมา ยกมืออีกข้างวางลงบนมือของเจนตาที่บีบต้นแขนตนอยู่ สภาพตอนนี้ของเธอและอดีตญาติสาวเริ่มไม่ดีแล้ว อีกฝ่ายยังอยู่ในชุดพนักงาน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เจนตาคงได้ชวดงานครั้งนี้แน่ๆ
“ปล่อยค่ะ พี่กำลังทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่นะคะ”
“ทำไม! ตอนนี้แกเริ่มอายแล้วหรือไง ทีตอนทำชั่วๆ ไม่คิดจะสำนึก!”
คะนึงนิตย์ไม่รู้แล้วว่าจะควบคุมสถานการณ์และอารมณ์คนตรงหน้าอย่างไร ดูท่าเจนตาจะเชื่อไปแล้วว่าตนคือเบื้องหลังของความตกต่ำที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย
แต่ทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ ในเมื่อไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เธอจะต้องรับผิดชอบอะไร
“ถ้าพี่ยังไม่ปล่อยปั้น ปั้นจะแจ้งบริษัทของพี่ให้ดูแลเรื่องความประพฤติของพนักงานนะคะ ถ้าพี่ยังอยากมีงานในมือไว้อยู่ก็ปล่อยปั้นค่ะ”
วิธีการแบบนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงไม่ชอบใจนักและคงได้แต่ยินยอมให้อีกฝ่ายแกล้งเอาเปรียบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปแล้ว แต่การที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียวและพึ่งพาแค่ตัวเอง รวมถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากครอบครัวของคนตรงหน้าทำให้คะนึงนิตย์ท่องจำขึ้นใจว่า บางครั้งคนเราก็ต้องลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองเสียบ้าง
“อีปั้น แกกล้าขู่ฉันเหรอ!”
สีหน้าของเจนตาบิดเบี้ยวเพราะความโกรธจนไม่เหลือใบหน้าพนักงานสาวที่ยิ้มแย้มอยู่ก่อนหน้านี้ เปลี่ยนไปจนน่าเกลียด มืออีกข้างที่ยังว่างเงื้อสูงขึ้นพร้อมจะประทับฝ่ามือที่แก้มของคะนึงนิตย์
แต่คราวนี้คะนึงนิตย์จะไม่ยอมอยู่เฉย ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเตรียมง้างมือขึ้นจะทำร้ายร่างกายตัวเอง เธอก็พร้อมไว้แล้ว ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่ตนหรือเจนตาคิดไว้แม้แต่สักนิดเดียว
มือของเจนตาไม่ได้ตวัดลงบนใบหน้าหญิงสาว เนื่องจากถูกใครบางคนคว้าเอาไว้ก่อน
“ถ้ายังไม่หยุดยุ่งกับปั้น ผมรับรองได้เลยว่าที่คุณเจออยู่ตอนนี้ยังไม่ถึงครึ่งที่ผมจะตอบแทนแน่ๆ”
เสียงนุ่มทุ้มที่แสนจะคุ้นหูทำให้คะนึงนิตย์นิ่งงัน สมองคิดอย่างสับสนว่าตอนนี้เป็นเพราะเธอหูฝาดไปเองใช่หรือไม่ ถึงรู้สึกว่าเสียงนี้ช่างเหมือนเสียงของพฤกษ์เหลือเกิน
เธอค่อยๆ เบนสายตาไปมองชายที่หยุดมือของญาติสาวผู้พี่ไว้ แล้วก็ต้องพบว่าหูและสมองของเธอไม่ได้จำผิดเพี้ยนไป คนตรงหน้าคือพฤกษ์จริงๆ
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ถึงวันนี้กชนันท์บอกว่าเขากลับมา แต่เขาก็ไม่ควรมาอยู่ตรงหน้าเธอแบบนี้สิ
คะนึงนิตย์มองใบหน้าของชายหนุ่มอย่างนึกแปลกใจ พร้อมกันนั้นก็เผลอมองสำรวจใบหน้าของเขาไปด้วย ไม่เจอกันสองปี เขาดูผอมลงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเองหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้ใบหน้าของเขาคมเข้มขึ้น นัยน์ตาสีดำลึกลับยังคงน่าหลงใหล เดิมทีพฤกษ์ก็เป็นผู้ชายที่มีร่างกายสูงโปร่ง ไหล่กว้าง แค่เธอประเมินด้วยสายตาก็พอรู้ว่าช่วงเอวสอบของเขามีสัดส่วนที่น่ามองเพียงใด
ไม่เจอกันสองปี ครั้งนี้คะนึงนิตย์รู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าคล้ายจะเปลี่ยนไปไม่น้อย ดูเข้าถึงยาก...และอีกทั้งยังดูเต็มไปด้วยฟีโรโมนดึงดูดเพศตรงข้ามมากขึ้น ราวกับว่ารู้ตัวว่ากำลังถูกมอง สายตาของพฤกษ์จึงเบนมาที่เธอเล็กน้อย ชั่วพริบตาเธอเห็นว่ามุมปากของชายหนุ่มยกยิ้มขึ้น ก่อนที่จะหันกลับไปตีหน้าขรึมใส่อดีตญาติสาวของเธอ
“ดูเหมือนว่าเรื่องเมื่อหลายปีก่อนพวกคุณคงไม่จำใช่ไหม”
“คะ...คุณ!”
“ปล่อยมือปั้น แล้วผมจะทำว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น” น้ำเสียงของพฤกษ์นิ่งสงบ ไม่ต่างจากตัวตนของชายหนุ่ม แม้ท่าทางของเขาจะดูสุภาพ แต่คลื่นอารมณ์ที่แสดงออกมาจากแววตากลับไม่เหมือนการกระทำเลยแม้แต่น้อย
เจนตาค่อยๆ ปล่อยมือออกจากต้นแขนของคะนึงนิตย์ แม้ว่าแววตาจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ยินยอม แต่อีกฝ่ายคงไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับพฤกษ์
ทันทีที่คะนึงนิตย์เป็นอิสระ พฤกษ์ก็ขยับตัวเข้ามายืนขวางระหว่างเธอกับเจนตาเอาไว้ เธอเห็นญาติสาวคนนี้มีสีหน้าคับข้องใจอย่างมาก พอเห็นว่าเธอมองอยู่อีกฝ่ายก็ถลึงตาใส่ หากสายตาของเจนตาคือคมมีด มันคงตรงเข้าเฉือนตามตัวของเธอจนเป็นแผลไปแล้ว
“ไปเถอะปั้น” พฤกษ์ไม่รีรอให้สถานการณ์ตรงหน้าวุ่นวายไปมากกว่านี้ เขาหันหลังกลับมา ก่อนจะคว้ามือของเธอแล้วออกแรงชักชวนให้เธอเดินจากมา
“พี่พฤกษ์ เดี๋ยวก่อนค่ะ หยุดก่อน พี่พฤกษ์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แล้วบัวล่ะคะ”
คะนึงนิตย์รีบถามขณะที่เขาพาเธอเดินออกมาได้แล้วครู่หนึ่ง จนถึงตอนนี้เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าพฤกษ์มาที่นี่ได้อย่างไร แล้วเมื่อครู่ที่เขาพูดกับเจนตาครั้งแรกมันหมายความว่ายังไงกันแน่
พฤกษ์หยุดเดินตามที่เธอร้องขอ เขาหันมาสบสายตาเข้ากับเธอ ใบหน้าที่นิ่งสงบเปลี่ยนเป็นใบหน้าอบอุ่นที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและแววตาอ่อนโยน เขาไม่ตอบคำถามของเธอ เพียงแต่เอ่ยคำพูดที่ทำให้วันเวลาและหัวใจของเธอหยุดเต้น
“ปั้น พี่มาแล้ว”
ความคิดเห็น |
---|