7

เรื่องเล่าในฮาเร็ม

บทที่ ๗

เรื่องเล่าในฮาเร็ม

 

หลังจากตั้งสติกับความอลังการของข้อเสนอได้ หญิงสาวก็ตั้งต้นถามอ้อมแอ้ม

“เอิ่ม นายต้องการเงินร้อยล้านจริงๆ หรือ”

“ทำไม...ทำไม่ได้หรือ ไหนเมื่อกี้บอกว่าแมนและแฟร์พอจะให้ทุกอย่าง”

พรนาราอึกอัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนกล่าวถึงเงินร้อยล้าน แค่ความฝันยังไม่อาจเอื้อมเลย แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่คนเดิมแล้ว เงินจำนวนเท่านี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซุปเปอร์สตาร์สาวของเมืองไทยที่จะหามาสักหน่อย พอคิดได้อย่างนั้นหญิงสาวจึงเตรียมจะตอบกลับไปว่าเธอพร้อมจะให้ แต่เป็นพันฤทธิ์เองที่ชิงพูดขึ้นมาก่อน เป็นการพูดด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลายลงเพียงแค่เห็นเท่านั้น เธอก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาขอเมื่อครู่ เขาไม่ได้ต้องการมันจริงๆ เพียงแค่อยากลองใจเธอเล่นๆ เท่านั้น

“แค่เงินร้อยล้าน เธอยังอ้าปากค้างตกใจขนาดนี้ ยอมรับมาเถอะว่าเธอไม่พร้อมรับผิดชอบอะไรหรอก ฉันถึงบอกไงว่าแค่คำขอโทษก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฉันพร้อมจะให้นายทุกอย่างจริงๆ!”

“ไม่ เธอไม่พร้อม และต่อให้เธอพร้อม ฉันก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากเธอด้วย โฟกัสกับงานหมั้นของเธอที่จะมาถึงเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลย”

“ไม่สำคัญได้ไง ฉันเป็นคน ‘ทำ’ นายนะ ถึงนายจะเป็นผู้ชาย แต่นายก็เป็นผู้เสียหาย!”

“มันก็ใช่ แต่มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่จะทำเป็นลืมไปไม่ได้ อย่าโอเวอร์ไปหน่อยเลย พอลลี่ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันก็แค่อุบัติเหตุ ฉันเข้าใจและลืมมันไปหมดแล้ว”

คนถูกหาว่าทำตัวโอเวอร์หน้าตึง นี่เธอควรจะต้องทำตัวอย่างไรดีล่ะเนี่ย หรือเธอจะตื่นตูมกับ ‘อุบัติเหตุ’ นี้มากไป

“สรุปว่านายจะให้ฉันทำเป็นเฉยและลืมมันไปเหมือนนายน่ะหรือ”

“ทำนองนั้น”

“โอย ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดีเลย ทำไมจิตใจนายถึงแข็งแกร่งดุจหินผาขนาดนี้” พรนาราบ่นออด ตบหน้าผากตัวเองอย่างเครียดๆ “อย่าหาว่าฉันหยาบคายเลยนะ แต่เห็นนายเฉยๆ กับเรื่องนี้แล้ว ทำให้อดคิดไม่ได้เลยว่าเอ่อ...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของนายใช่ไหม”

“อืม ไม่ใช่ครั้งแรก” เขาตอบเรียบๆ ทำเอาคู่สนทนาอึ้งกิมกี่ เพราะคาดไม่ถึงว่าเพื่อนจะมีโมเมนต์เช่นนี้ด้วย ที่แท้ก็เสือห่มหนังแกะหรือนี่ “โตๆ กันแล้วน่ะ อุบัติเหตุทำนองนี้มันก็เรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ตลอดไม่ใช่หรือ ตอนเรียนอยู่ที่อเมริกาเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นประจำในหมู่เพื่อนๆ ฉันชินแล้ว เพราะงั้นฉันถึงได้บอกไงว่ามันไม่สำคัญ อย่าไปใส่ใจมาก”

“เอ่อ...อาจจะเพราะนายเป็นเด็กนอกละมั้งเลยมองข้ามเรื่องนี้ไปได้ แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้เลย มันรู้สึกผิดอยู่ข้างในน่ะ ยิ่งเวลามองหน้าพี่ชินแล้ว ฉันยิ่งละอายใจ”

“ทำไมต้องละอายใจ เขาไม่เห็นสักหน่อยว่าเธอทำอะไรฉัน”

“เอ๊ะ พี่ชินเขาไม่เห็นหรือ!”

“ฮื่อ เขาหลับ เขาก็เมาหนักเหมือนกับเธอนั่นละ มีแต่ฉันคนเดียวที่ไม่เมาและมีสติพอจะจำเรื่องทุกอย่างได้”

ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ไตรทศค่อนแคะว่าเธอเปิดฮาเร็มหมู่เหม่ออะไรนั่นก็ไม่จริงน่ะสิ รู้อย่างนี้แล้วก็ใจชื้นไปนิดหนึ่ง อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้หน้ามืดขนาดนอนกับผู้ชายสองคนพร้อม เธออาจจะเป็นแค่คนบาปที่ดอดไปกินผู้ชายลงท้องเรียบทีละคน ทีละคราวแค่นั้นเอง!

“ถ้าอย่างนั้นฉันไปทำอย่างนั้นกับนายและพี่ชินเอ่อ...แบบต่างกรรมต่างวาระหรือ”

“ไม่ เธอทำฉันคนเดียว”

“ฮ้า! ฉันทำนายแค่คนเดียวไปอี๊ก” พรนาราหน้าร้อนฉ่าไปหมด จนต้องรีบหยิบกาแฟขึ้นดื่มเพื่อดับความร้อน แต่ลืมไปเสียสนิทว่ากาแฟแก้วนั้นมันก็ร้อนพอๆ กับหน้าของเธอ ครั้นดื่มเข้าไปแบบไม่ระวังก็เลยสำลักมันออกมา หวิดจะพองทั้งปากทั้งลิ้น 

“เป็นอะไรไหม”

หญิงสาวส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร รับกระดาษชำระจากคู่นัดมาซับทำความสะอาดปากทั้งๆ ที่มือสั่นเทา นี่อะไรเข้าสิงทำให้เธอต้องมานอนกับเพื่อนวัยเด็กตัวเองละเนี่ย 

“ถ้าอย่างนั้นขอทำความเข้าใจให้ตรงกันอีกครั้ง สรุปว่านายไม่ถือสากับเรื่องที่เกิดขึ้นใช่ไหม”

“อืม”

“นายไม่ต้องการอะไรชดเชย แล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้?”

“เธอยังเป็นลูกค้าวีไอพีของฉันเหมือนเดิม พอลลี่” ชายหนุ่มตอบ ไม่รู้ว่าจงใจเลี่ยงอะไรอยู่หรือเปล่า “ทำตัวให้เหมือนเดิมเถอะ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเอง”

“โอเคๆ” สาวเจ้ายกมือขึ้นตบอกตัวเองป๊าบๆ อย่างคนพยายามบอกตัวเองให้เลิกหวาดวิตก “ฉันจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ถึงแม้มันจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม”

“ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากหรอก เพราะอันที่จริงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันก็ไม่ได้น่าจดจำขนาดนั้น”

“โหดร้าย!” หญิงสาวแหวใส่เขา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นก็เถอะ แต่โดนกล่าวหาว่า ‘ไม่น่าจดจำ’ ซึ่งหน้าแบบนี้ก็เกินไปเหมือนโดนสบประมาทชอบกล แม้เธอจะจำไม่ได้เลยว่าตนวาดลวดลายนางแมวยั่วสวาทอะไรไปบ้างก็เถอะ “ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกของนาย เพราะงั้นเป็นธรรมดาที่นายจะมีข้อเปรียบเทียบ แต่การที่นายวิจารณ์ว่าการนอนกับฉันมันไม่น่าจดจำมันค่อนข้างอำมหิตไปหน่อย ถึงมันจะเป็นแค่วันไนต์สแตนด์ แต่มันก็เป็นครั้งแรกของฉันเชียวนะ!”

พรนาราโพล่งความคับข้องใจออกไปแบบหมดเปลือก ก็ไม่รู้ว่าพันฤทธิ์จะไม่พอใจหรือเปล่า เพราะเขาขมวดคิ้วมุ่น และเขม้นมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ เป็นสายตาที่ในทำนองที่ว่านี่เธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า

“วันไนต์สแตนด์? นี่เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่เรามีอะไรกันไง ฉันว่าก็ไม่ได้ใช้คำผิดไปนะ หรือต้องเรียกว่ามีเซ็กส์...”

“เดี๋ยวก่อน เธอน่ะหยุดเลย” เขายกมือขึ้นปรามไม่ให้เธอพูดอะไรต่อ คงจะแสลงหูอยู่พอสมควร “วันไนต์สแตนด์อะไร ไปกันใหญ่แล้ว ฉันไปมีอะไรกับเธอตอนไหน พอลลี่!”

คงไม่ใช่แต่เขาหรอกที่ตกใจ พอโดนย้อนถามเช่นนี้เธอเองก็ตกใจเช่นกัน 

“อ้าว ก็เมื่อคืนเราไม่ได้มีอะไรกันหรือไง นายก็บอกเองแท้ๆ ว่าฉันเมาและเป็นฝ่าย ‘ทำ’ นายก่อน!” เธอถามหน้าเหลอหลา

“ฉันว่าเธอตีความคำว่า ‘ทำ’ เกินเลยมากไปแล้ว ที่ฉันบอกว่าเธอทำฉัน มันก็แค่การที่เธอเมาเละเทะจนอาเจียนใส่ฉันเท่านั้นเอง”

“หะ...หา!” พรนารารับฟังเรื่องราวด้วยความตกตะลึง หนักกว่าการเข้าใจผิดมาตลอดว่าตนเองมีอะไรกับเพื่อน ก็คือการที่เพิ่งมารู้เอาป่านนี้ว่าเธอจินตนาการไปเองนั่นละ “ถ้างั้นที่นายบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุและเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำในหมู่เพื่อนๆ ที่อเมริกาก็หมายถึง...”

“หมายถึงเรื่องที่เพื่อนเมาแล้วโดนอาเจียนใส่น่ะสิ ฉันรับมือกับสถานการณ์นี้มาหลายครั้งแล้ว เพราะงั้นฉันถึงเข้าใจและไม่โกรธเธอ” เขากล่าวก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง

เรื่องราวมันเริ่มต้นจากการชนกันของงานใหญ่สองงาน ได้แก่ งานฉลองปิดกล้องละครและงานฉลองการหมั้นในหมู่คนสนิท หลังเสร็จงานฉลองทั้งสองงานเธอกับชินกฤตก็เมาเละเป็นสุนัข เพราะความที่ไตรทศคออ่อนที่สุดเขาจึงแยกตัวกลับบ้านไปก่อนตั้งแต่จบงานแรก พันฤทธิ์จึงต้องทำหน้าที่พาลูกค้าวีไอพีของเขาพร้อมแฟนหนุ่มมาส่งที่เพนท์เฮ้าส์ และเมื่อตอนรุ่งสางตอนที่เธองัวเงียลุกมาเข้าห้องน้ำก็อาเจียนใส่เขา เขาจึงต้องไปทำความสะอาดเนื้อตัวในห้องน้ำ พอได้ยินเสียงเธอกรีดร้อง เขาก็เข้ามาตรวจสอบ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตื่นมาเจอเขากำลังนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ไม่มีอะไรเกินเลยมากกว่านั้น เพราะต่างคนต่างนอนกันคนละห้อง เธอนอนในห้องนอนของเธอกับชินกฤต ส่วนพันฤทธิ์ก็นอนในห้องรับรองแขกเท่านั้น

โอละพ่อไปอีก...นี่เรื่องราวมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกันนะ หน้าแตกยับ หมอไม่รับเย็บแล้ว!

“ตกลงว่านี่ฉันเข้าใจผิดไปเองหรอกหรือเนี่ย เมื่อคืนนี้ฉันกับนายก็ไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ากันน่ะสิ”

“อืม เราไม่ได้มีอะไรกัน” เขาสรุปอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ยังหน้านิ่วคิ้วขมวด “ทำไมถึงคิดว่าเรามีอะไรกันล่ะ ฉันไม่คิดจะมีความสัมพันธ์กับลูกค้าหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเธอด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้”

พรนาราก็ไม่มีเวลาถามหรอกว่าทำไมเธอจึงอยู่ในลิสต์เป็นไปไม่ได้ของเขา อาจจะเพราะเธอเป็นเพื่อนของเขาและมีคู่หมั้นแล้วกระมัง แต่จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ แม้จะหน้าแตกยับเยิน แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็โล่งใจได้แล้ว รู้สึกดีชะมัด เหมือนยกเทือกเขาหิมาลัยออกจากอกเลย 

“ฮ่าๆๆ โล่งใจเป็นบ้า ฉันรึก็หลงเครียดตั้งนาน สุดท้ายเรื่องมันก็จบแค่ฉันเมาปลิ้นแล้วอ้วกใส่นายเท่านั้นเอง” หญิงสาวเอนหลังพิงพนักแล้วหัวเราะจนตัวงอ แต่ดูเหมือนคู่สนทนาจะไม่อยากร่วมวงหัวเราะไปกับเธอด้วย เห็นได้จากสีหน้าเข้มๆ ของเขา

“ตลกมากเลยหรือที่บอดีการ์ดอย่างฉันต้องมาคอยเช็ดคราบอาเจียนให้เธอ”

“เปล่าๆ ไม่ได้ตลก อย่าเข้าใจผิดว่าฉันหัวเราะนายสิ ฉันแค่ขำกับความช่างจิ้นของตัวเองเฉยๆ ถึงแม้ฉันจะจำไม่ได้ แต่ก็ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลฉัน” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้เพื่อนปะหลกๆ ก่อนจะตั้งต้นถามต่อ “ว่าแต่ถ้าเมื่อคืนนี้นายเองก็ไม่ได้เมา ทำไมนายถึงมานอนค้างคืนในบ้านฉัน”

“นี่เธอจำอะไรไม่ได้เลยหรือไง เธอเป็นคนขอร้องให้ฉันนอนค้างที่บ้านเธอเอง”

“เอ๊ะ ฉันน่ะหรือ แต่ทำไมล่ะ”

“เพื่อความปลอดภัยน่ะสิ มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับเธอบ่อย เธอกังวลก็เลยขอให้ฉันนอนค้างด้วยคืนหนึ่ง”

 “หืม? พูดซะน่ากลัวเลย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉันกัน”

อาการงงงันของดาราสาวคงสะกิดใจเขามาก ดวงตาคมของเขาจึงหรี่แคบลง จ้องมองเธออย่างสังเกตสังกา คงอยากจะถามเช่นนี้อยู่นานแล้ว

“ขอโทษนะ ฉันก็ไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงอะไร แต่ถามจริงเถอะเธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วที่เธอตื่นมาแล้วทำท่าแปลกๆ จากที่เป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรก็กลับคิดเยอะ คำพูดก็แปลก การกระทำก็ยิ่งแปลก แถมยังลืมเรื่องที่ไม่น่าจะลืมอีก เธอดูเปลี่ยนไปจนเหมือนเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน”

“เพราะฉันคนเมื่อก่อน กับฉันคนตอนนี้ไม่เหมือนกันไง จะเรียกว่าเป็นคนเดียวกันที่ไม่ใช่คนเดียวกันก็ได้นะ”

“พูดอะไรของเธอ”

“งงใช่ไหม เอาอย่างนี้ฉันจะอธิบายให้นายฟังเอง ยังไงฉันก็ตั้งใจจะเล่าเรื่องนี้ให้นายฟังอยู่แล้ว เจ้าตัวเล็ก ถ้าเป็นนาย ต้องเชื่อเรื่องที่ฉันกำลังจะเล่าต่อไปนี้แน่”

“พอลลี่” เขาเรียกชื่อเธออย่างไม่ชอบใจอะไรสักอย่าง “อีกแล้วนะที่เธอ...”

“ชู่วว์~ ฟังฉันก่อนสิ” พรนาราใช้นิ้วจุ๊ปากไม่ให้เขาพูดอะไรอีก “ตอนนี้ฉันกำลังจะความลับที่สำคัญมากๆ นะ ถ้านายฟังแล้วนายจะเข้าใจเองว่าทำไมฉันถึงดูเปลี่ยนไปจากเดิม คือความจริงแล้วฉันน่ะ...” เธอสูดลมหายใจเข้าลึกยาวอย่างเรียกสติ และเมื่อพร้อมแล้วเธอจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ยังไม่วายหันซ้ายแลขวาราวกับกลัวว่าจะมีใครมาแอบฟังเข้า “ฉันน่ะไม่ใช่ซุปเปอร์สตาร์อย่างที่ทุกคนเข้าใจหรอก”

“ไม่ใช่ซุปเปอร์สตาร์?”

“อื้อ มันอาจจะฟังดูน่าเหลื่อเชื่อนะ แต่จริงๆ แล้วฉันเป็นแค่เกษตรกรธรรมดาๆ ที่ทำไร่ทำนาอยู่ในภาคอีสาน ฉันทำพิธีขอพรจากตำราโบราณที่ได้มาจากร้านขายของเก่าตอนที่ไปเดินเล่นกับนายในเมืองไง”

“ฉันเนี่ยนะพาเธอไปเดินในเมือง?”

“ใช่ นายนั่นละ แล้วพอฉันเข้านอนในคืนนั้น ตื่นขึ้นมาฉันก็แบบว่า...” หญิงสาวดีดนิ้วมือประกอบการเล่าเรื่องเพื่ออรรถรส “แบบว่าวืบ...อะเมซิ่งจิงเกิลเบล ฉันก็มาโผล่ที่นี่เลย ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงเหมือนกัน แต่ทุกอย่างที่ฉันเคยขอพรไว้เป็นจริงทั้งหมด ฉันกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์และมีทุกอย่างที่ต้องการ เหมือนว่าฉันกำลังสวมทับชีวิตของอีกคนหนึ่งอยู่ ชีวิตของนานะน่ะ”

กล่าวถึงชื่อของนานะทีไร พันฤทธิ์ดูจะมีปฏิกิริยาแปลกไปทุกที นัยน์ตาของเขาไหววูบและดูจะไม่พอใจเลยที่พรนาราเอ่ยถึงนันทวดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามเก็บกลั้นอารมณ์กรุ่นๆ นั้นเอาไว้ก่อน

“เธอกำลังจะบอกว่าตัวเธอตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมกับที่ฉันเคยรู้จัก เธอมาจากอีกโลกหนึ่ง โลกที่เธอเป็นเกษตรกร และเธอมาที่นี่เพื่อขโมยชีวิตของนานะไปงั้นหรือ”

“คิดว่าใช่นะ แต่อย่าเรียกว่าขโมยสิ ฉันไม่ใช่ผู้ร้าย ฉันแค่ขอพรเฉยๆ เอง นี่น่ะเป็นชีวิตที่ฉันควรจะมีและเป็นนี่นา ทีนี้นายเข้าใจหรือยังว่าทำไมฉันถึงได้ดูแปลกไปในสายตาของนายและทุกคน”

“เข้าใจ” ชายหนุ่มพยักหน้า ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเขาจะเข้าใจโดยง่ายดายขนาดนี้

“จริงหรือ นายเข้าใจแล้วแน่นะ” พรนาราถามย้ำอย่างดีใจ แต่ความดีใจของเธอก็ห่อเหี่ยวทันทีที่ได้ยินคำพูดถัดมาของเขา

“อืม เข้าใจว่าเธอควรจะต้องไปหาหมอ หมู่นี้เธอคงทำงานหนักและเครียดมากไป ให้พี่ไตรขอยกเลิกคิวงานลงสักหนึ่งในสี่สิ ทุกอย่างอาจจะดีขึ้น”

“อะไรกัน นายไม่เชื่อฉันนี่!”

“แล้วจะให้ฉันเชื่ออะไร พอลลี่ เชื่อว่าเธอเป็นอีกคนที่มาจากอีกโลกหรือ มิติคู่ขนานหรือว่ายังไง ฉันไม่รู้นะว่าทำไมเธอถึงดึงนานะมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ถ้าให้ฉันเดาฉันว่าเธออินกับบทบาทที่ผู้จัดเสนอเข้ามามากไปหน่อย เธอควรจะพักตั้งสติก่อน จะได้ไม่สับสนว่าอันไหนชีวิตจริงอันไหนบทในละคร”

พรนาราฟุบหน้าในอุ้งมือ เธอน่าจะรู้อยู่แล้วสิน่าว่างานนี้ไม่ง่าย จะให้คนมีสติดีที่ไหนเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นกันล่ะ ขนาดเธอประสบเอง กว่าจะทำใจให้เชื่อได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันก็ต้องทำใจและพิสูจน์ตั้งนาน แต่ถึงอย่างนั้นความจริงที่ว่าพันฤทธิ์ไม่เชื่อในสิ่งที่เธอเล่าทำให้เธอรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย 

“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันฟังดูเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันพูดความจริงนะ นายไม่ต้องเชื่อฉันตอนนี้ก็ได้ แต่อย่าหาว่าฉันบ้าหรือโกหกเลย” เธอเงยหน้าจากฝ่ามือ มองตาเขาอย่างเว้าวอน “นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน การที่นายไม่เชื่อฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกเศร้าและเสียความมั่นใจ มันเหมือนกับว่าฉันอยู่ตัวคนเดียวในโลกนี้ อย่าทำแบบนั้นเลยนะ เจ้าตัวเล็ก...นะ”

เจ้าตัวเล็กของเธอนิ่งเงียบ หากเป็นเมื่อก่อนเชื่อได้แน่ว่าเขาต้องโอบกอดและปลอบประโลมเธอแน่นอน แต่ตอนนี้กลับไร้วี่แวว มีเพียงสายตาที่ดูจะจงใจรักษาระยะห่างเท่านั้นที่ทอดมองมา 

“เธอต่างหากที่ไม่ควรทำแบบนี้ อย่าเอาความรู้สึกมาผูกกับฉัน เราไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น”

หัวใจพรนาราหล่นวูบเมื่อได้ฟัง...ไม่ได้สนิทสนมกันงั้นหรือ

“สถานะของเธอคือเพื่อนเก่าและลูกค้าของฉัน ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ แต่อย่าพยายามทำอะไรให้ฉันลำบากใจเลย เพราะฉันเองก็วางตัวยาก เข้าใจฉันด้วย”

“เจ้าตัวเล็ก...”

“และมีอีกเรื่องที่อยากจะขอ อย่าเรียกฉันว่าเจ้าตัวเล็กอีก” เขาว่าต่ออย่างจริงจัง นัยน์ตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นมีแต่แววห่างเหินจนผู้มองรู้สึกใจหาย “ฉันไม่รู้ว่าเธอไปเอาชื่อนี้มาจากไหน แต่ชื่อนี้มีความหมายต่อฉันมาก...มากจนฉันรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะให้เธอเรียก เพราะคนที่จะสามารถเรียกฉันด้วยชื่อนี้ได้มีแค่คนเดียว และคนๆ นั้นไม่ใช่เธอ”

เป็นบรรยากาศที่น่าอึดอัดจริงๆ พรนาราไม่รู้เลยว่าเธอนิ่งเป็นรูปสลักอยู่เช่นนั้นนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อคู่นัดของเธอก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วเตือนว่าถึงเวลาอันสมควรต้องแยกย้ายกันไปได้แล้ว

“ฉันขอตัวก่อน พอดีมีธุระต้องไปจัดการ เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะส่งลูกน้องมือดีมาดูแลความปลอดภัยให้เหมือนเดิม เจอกันพรุ่งนี้” พันฤทธิ์บอกทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็ขอตัวออกจากร้านไป ทิ้งให้เธอมองตามด้วยดวงตาหม่นแสงลง

ทั้งใจหายและน้อยใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้วจริงๆ สินะ เพราะแม้แต่เพื่อนผู้แสนดีที่น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุดก็ยังไม่เชื่อเธอเลย หรือถึงคราวที่เธอต้องยอมรับแล้วว่าเธอโดดเดี่ยวอยู่ในโลกนี้เสียแล้ว

 

หลังจากแยกตัวจากพรนาราแล้ว พันฤทธิ์ก็ตรงไปจัดการธุระที่ว่าของตนทันที เขากลับเข้าไปที่บริษัท VVIP เพื่อพูดคุยกับลูกน้องซึ่งนัดกันไว้ 

“มาแล้วครับพี่พีท ขอโทษที่ให้รอ พอดีผมมัวเคลียร์งานเอกสารอยู่ชั้นบน”

“ไม่เป็นไร นั่งสิ”

ลูกน้องหนุ่มพยักหน้าและนั่งลงที่เก้าอี้ตามคำเชื้อเชิญ

“ว่าแต่ทำไมพี่ถึงนัดผมที่คาเฟ่ของบริษัทล่ะ ที่จริงคุยกันในห้องทำงานพี่ก็ได้”

“เพราะเรื่องที่จะขอให้ช่วยมันเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่เกี่ยวกับงานของบริษัทน่ะสิ เลยคิดว่าคุยกันที่นี่น่าจะดีกว่า” เขาตอบข้อสงสัยของอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นมือออกมาข้างหน้าอย่างรอรับอะไรสักอย่าง “แล้วไหนข้อมูลที่ให้ไปหา ได้มาไหม”

“อ้อ ได้ครับได้ นี่ครับ” ลูกน้องหนุ่มรีบยื่นส่งอุปกรณ์บันทึกข้อมูลสำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาให้เจ้านาย เขารับมันมาและต่อเข้ากับแล็บท็อปที่วางอยู่บนโต๊ะ “ผมไปตรวจสอบมาแล้ว เธอยังอาศัยอยู่ที่เดิมกับเมื่อสิบปีก่อนครับ ไม่ได้ย้ายไปไหน”

พันฤทธิ์กวาดสายตามองรูปถ่ายกระท่อมไม้ผสมปูนชั้นเดียวบนหน้าจออย่างแสนคิดถึง ก่อนจะหันมาขอบคุณลูกน้องที่ช่วยเป็นธุระให้

“เปลี่ยนจากคำขอบคุณ เป็นบอกพ่อพี่ให้ขึ้นโบนัสให้ผมก็ได้นะครับ”

“ถ้าดูแลลูกค้าดี ไม่หนีเที่ยวบ่อย โบนัสก็ไม่หนีไปไหน”

“โห พี่พีทละก็” พอได้หัวเราะกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ลูกน้องจึงขอตัวไปทำงานต่อ แต่ก่อนไปก็ไม่ลืมอวยพรเจ้านายทิ้งท้าย “ขอให้พี่พบคนสำคัญของพี่เร็วๆ นะครับ การรอคอยที่แสนยาวนานนี้จะได้สิ้นสุดลงสักที”

พันฤทธิ์พยักหน้าเป็นเชิงรับคำอวยพร เขาเองก็หวังว่าการรอคอยกว่าสิบปีนี้จะสิ้นสุดลงสักทีเหมือนกัน

เมื่อคล้อยหลังลูกน้องแล้ว ชายหนุ่มจึงกดต่อสายวิดีโอคอลผ่านทางแท็บเล็ต ปลายสายคือโลเกชั่นเมเนเจอร์ของกองละครที่เขาเคยติดต่อไว้ก่อนหน้านี้นั่นเอง

“สวัสดีครับ คุณเต้ ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ คุยได้ไหม”

“อ้อ ก็ยุ่งๆ กับเรื่องเดิมนั่นละครับ จนป่านนี้ยังหาโลเกชั่นที่ถูกใจผู้กำกับไม่ได้เลย เจ้าสาวไกลปืนเที่ยงใกล้จะเปิดกล้องเต็มทีแล้วด้วย เฮ้อ แล้วคุณพีทมีอะไรหรือเปล่า อ๊ะ อย่าบอกนะว่าคุณพอลลี่เป็นอะไร”

“พอลลี่สบายดีครับ แต่ที่ผมติดต่อมาคราวนี้ ผมแค่อยากบอกว่าผมช่วยคุณหาโลเกชั่นที่เหมาะๆ กับงานนี้ได้”

“หือ คุณพีทรู้จักสถานที่ดีๆ หรือ”

“รู้จักอยู่ที่หนึ่งครับ เป็นบ้านไร่ทางภาคอีสานที่น่าจะเหมาะกับละครเรื่องใหม่ของพวกคุณมาก คุณเต้สนใจไหม ถ้าสนใจผมแนะนำให้ได้ เดี๋ยวผมส่งรูปถ่ายไปให้ดู” พันฤทธิ์กล่าวยิ้มๆ และเมื่อส่งรูปถ่ายของกระท่อมไม้ผสมปูนกลางทุ่งนาไปให้ ฝ่ายนั้นก็มีท่าทีสนใจมาก ราวกับตามหาสถานที่เช่นนี้มาแสนนาน จึงรีบตกปากรับคำว่าจะไปดูสถานที่ให้เห็นกับตา เพื่อตระเตรียมการคุยเรื่องขออนุญาตเจ้าของสถานที่ถ่ายทำต่อไป

“ทางผู้ใหญ่ชอบโลเกชั่นที่คุณแนะนำมามากครับ มันเป็นซีนในฝันตามบทประพันธ์เลยก็ว่าได้ ขอบคุณนะ คุณพีท คุณช่วยชีวิตผมไว้จริงๆ”

“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ อันที่จริงแล้วผมก็ไม่ได้ทำแค่เพื่อพวกคุณ แต่ผมยังทำเพื่อตัวเองด้วย”

“ทำเพื่อตัวเอง? ยังไงหรือครับ”

แต่บอดีการ์ดหนุ่มไม่ยอมตอบคำถาม เขาเพียงยิ้มและบอกลาอย่างสุภาพก่อนจะกดตัดสายสนทนาไป 

ทำเพื่อตัวเองยังไงน่ะหรือ...เขาทวนคำถามนั้นด้วยการดึงสายสร้อยล็อกเก็ตออกมาจากคอเสื้อ จ้องมองรูปถ่ายในวัยนักเรียนของตัวเขาและใครอีกคนด้วยความรู้สึกถวิลหา สุดท้ายแล้วที่เขาทำลงไปทั้งหมด ก็คงเพื่อให้เขาได้พบคนสำคัญ และได้ใช้เวลาร่วมกับเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้นเอง

 

ความรู้สึกของการถูกเพื่อนทอดทิ้ง ทำให้พรนารารู้สึกซังกะตายไปอีกหนึ่งคืนเต็มๆ แต่พอเช้าวันใหม่มาถึง เธอก็ยุ่งอยู่กับการทำงานจนลืมเรื่องเศร้าใจนี้ไปโดยปริยาย พันฤทธิ์มาทำหน้าที่บอดีการ์ดให้เธอตามปกติ เธอเองก็เลยพยายามจะทำตัวปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน เธอหมกมุ่นอยู่กับงาน งาน และงาน ช่วงเช้าไปให้สัมภาษณ์ในรายการข่าว เที่ยงไปบรีฟเรื่องงานแฟชั่นโชว์ ช่วงบ่ายแก่ๆ ลากยาวมาถึงค่ำมีไปบันทึกเทปรายการวาไรตี้เพื่อโปรโมตภาพยนตร์เรื่องใหม่ ถามว่าเหนื่อยไหม ตอบเลยว่าเหนื่อยมาก เพราะเธอยังไม่คุ้นเคยกับวงการบันเทิง จึงต้องใช้ความช่างสังเกตและความพยายามมากกว่าคนอื่นๆ 

แต่ก็นะ บางทีการทำงานหนักก็ดีเหมือนกัน เพราะมันช่วยให้เธอลืมเรื่องที่รู้สึกแย่ๆ ไปได้ แม้จะไม่ถาวรแต่ก็มากพอที่จะทำให้เธอมีเวลาไตร่ตรองและจัดการกับอารมณ์ด้านลบๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พอผ่านไปสองสามวันก็ค่อยพอทนขึ้นล่ะนะ อย่างน้อยเธอก็แค่มีคติประจำใจเพิ่มมาอีกอย่างสองอย่างนั่นคือ ‘ช่างมันเถอะ’ และ ‘ฉันสวย ฉันโอเค ฉันอยู่ได้!’

“นี่พี่ไตร หนูขอถามอะไรสักอย่างสิคะ” พรนาราถามขึ้นอย่างเซ็งๆ ในขณะที่แผ่หลาอยู่บนเบาะหลังในรถตู้อย่างหมดสภาพ หลังเสร็จสิ้นวันทำงานอันยาวนาน เธอก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัวแบบนี้ตลอด บางทีชีวิตของดาราอาจจะมีวัฏจักรแค่นี้กระมัง แค่ทำงาน ช็อปปิง ปวดหลังและตายไป 

“ถามอะไร ว่ามา”

“หนูมีครอบครัวไหมคะ เอ่อ ไม่ใช่สิ” เธอรีบแก้ไขคำถามตนเองใหม่ เพราะกลัวว่าจะถูกไตรทศสงสัยเข้าอีก ครอบครัวหนูอยู่ที่ไหนคะ ทำไมพวกเขาไม่ติดต่อหรือมาเยี่ยมหนูบ้างเลย”

“ทำไมล่ะ นานปีทีชาติไม่เห็นเคยพูดถึง มาตอนนี้เกิดคิดถึงครอบครัวขึ้นมาหรือยังไง”

“ก็ช่วงนี้หนูรู้สึกโดดเดี่ยวนี่นา แม้แต่เพื่อนที่ไว้ใจที่สุดก็ยังหันหลังให้หนูเลย คิดดูละกัน” เธอจงใจว่าใส่คนตัวโตซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ แต่คนโดนว่ากระทบก็ยังทำหน้าเรียบ ไม่หือไม่อือใดๆ เห็นแล้วก็น่าน้อยใจชะมัด

“หนูก็เลยคิดว่าถ้ามีครอบครัวอยู่ด้วย หนูคงรู้สึกดีขึ้น พวกเขาอยู่ที่ไหนกันคะ” พรนาราถามอย่างมีหวัง ลึกๆ แล้วเธอหวังจะได้ยินข่าวของบิดาและส้มโอบ้าง ตอนอยู่ด้วยกันไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไร แต่พอห่างกันไป เธอก็เริ่มคิดถึงพวกเขาเสียแล้ว แต่สุดท้ายก็ตระหนักว่าชีวิตของเธอมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เพราะครั้นกล่าวถึงครอบครัว ไตรทศก็ตอบเพียงว่าเธอเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเด็ก

เยี่ยมเลย จู่ๆ ก็กลายเป็นเด็กกำพร้าแบบไม่เนื้อรู้ตัว พรวิเศษนั่นทำให้เธอกลายเป็นร่างโคลนนิ่งของนันทวดีโดยสมบูรณ์ไปแล้วหรืออย่างไร

“ถ้าพ่อแม่หนูเสียไปหมดแล้ว แล้วหนูโตขึ้นมาได้ยังไงคะ ใครเป็นคนเลี้ยงดูหนู”

“อ๋อ จริงๆ แล้วป้าเป็นคนเลี้ยงดูเธอมาน่ะ”

“ป้าหรือคะ”

“ใช่แล้ว ป้าญา กัญญา พี่สาวแท้ๆ ของพ่อเธอไง แต่พี่ว่าเธอคงไม่อยากนับป้าคนนี้ว่าครอบครัวนักหรอก”

“หือ ทำไมงั้นล่ะคะ”

“ก็เธอเรียกป้าตัวเองว่าปลิงดูดเลือดนี่”

“ฮ้า! หนูเนี่ยนะเรียกป้าตัวเองแบบนั้น” พรนาราหน้าเหลอหลา “ทำไมหนูหยาบคายจัง!”

 “ก็ไม่รู้สินะ เพราะอย่างนี้เวลาโดนคนอื่นถามทีไร เธอก็มักจะบอกว่าไม่มีครอบครัวทุกที ฉะนั้นในงานหมั้น เธอเลยไปขอร้องอาจารย์สมัยเรียนการแสดงที่เธอเคารพรักคนหนึ่งให้มาเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเธอให้แทนไง” ผู้จัดการไหวไหล่นิดหนึ่ง ก่อนจะหรี่ตามองเธอ “ว่าแต่ที่ถามนี่ ลืมชีวิตตัวเองอีกแล้วหรือไง สงสัยอัลไซเมอร์จะเริ่มถามหาอีกสิท่า เอ้าๆ มานี่พี่ไปหายามาให้เธอแล้ว สารสกัดใบแปะก๊วยป้องกันความจำเสื่อมกับยาหอมกลิ่นคุณทวดที่เธออยากได้ไง”

พรนาราดีดตัวผึ้งขึ้นมาไหว้ขอบคุณและรับของจากผู้ใหญ่ เห็นอาการไหว้ผู้อาวุโสกว่าแบบเป็นธรรมชาติโดยไม่เก้อเขินหรือลังเลเช่นนั้น ไตรทศก็อดชมเชยไม่ได้

“ไหว้สวยขึ้นนะเรา เป็นคนมือไม้อ่อนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

“แล้วไม่ดีหรือคะ”

“ดีสิ พี่ชอบเด็กอ่อนน้อมมีสัมมาคารวะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะ แต่ช่วงนี้เธอดูเปลี่ยนไป ทำตัวน่ารักขึ้นเยอะ”

คนถูกชมว่า ‘น่ารัก’ ยิ้มหวาน สูดยาหอมเข้าจมูกดังซู้ดเพื่อแก้เขิน

“จริงหรือคะ หนูทำตัวน่ารักขึ้นใช่ไหม”

“ใช่แล้ว ถ้าไม่นับเรื่องที่เธอชอบไปยืนมึนๆ อยู่หน้าเซตบ่อยๆ เธอก็นิสัยน่าคบหาขึ้น จนบางทีพี่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอไปกินยาตัวไหนผิดมาหรือเปล่า”

“ผมว่าพอลลี่คงไม่ได้กินยาผิด แต่คงเครียดมากกว่า พฤติกรรมเลยสับสนและเปลี่ยนไป” คราวนี้คนที่นั่งเป็นหุ่นปั้นที่หน้ารถได้ฤกษ์ออกความเห็นเสียที จนป่านนี้เขาก็ยังไม่มีวี่แววจะเชื่อสิ่งที่เธอเล่าเลย “ผมเข้าใจว่าช่วงนี้งานชุก แต่พี่ไตรน่าจะให้เวลาเธอพักบ้าง โหมทำงานมากเดี๋ยวอาการจะยิ่งทรุดเกินเยียวยา งานหมั้นของเธอก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย”

พรนารากำลังจะอ้าปากตอบกลับเชียวว่า เธอสบายดีและไม่ได้เป็นบ้า แต่ไตรทศก็ขัดขึ้นมาก่อนดูจะเห็นดีเห็นงามกับคำแนะนำของพันฤทธิ์

“นั่นน่ะสิ งวดเข้ามาทุกทีแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงนะ พอลลี่ พี่เคลียร์คิวช่วงหนึ่งวันก่อนงานพิธีไว้ให้เธอแล้ว เธอจะมีเวลาพักผ่อนและเตรียมตัวสำหรับงานหมั้นเธอแน่นอน”

มีวันว่างแค่หนึ่งวัน...นี่สินะความลำบากของซุป’ตาร์ ยิ่งโด่งดังมากเท่าไร เวลาส่วนตัวก็จะน้อยลงเท่านั้น แต่จะว่าไปกล่าวถึงงานหมั้นทีไร ก็ทำใจเต้นตึกตักด้วยความขวยเขินและตื่นเต้นทุกครั้ง เหมือนฝันเลยที่เธอจะได้ยืนข้างๆ ผู้ชายที่เฝ้าหลงใหลได้ปลื้มมาตั้งแต่แตกเนื้อสาว

“ค่ะ แล้วหนูต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง” เธอลองถามดู เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าก่อนหน้านี้เธอจัดเตรียมงานไว้ถึงขั้นไหนแล้ว หากกำหนดการใกล้เข้ามาขนาดนี้ ก็แปลว่าทุกอย่างน่าจะถูกจัดเตรียมไว้เกือบครบถ้วนแล้วซึ่งก็จริงตามนั้นเมื่อได้รับการยืนยันจากไตรทศ

“ที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก พวกเราจัดเตรียมงานไว้พร้อมหมดแล้วไง เธอก็แค่รีเช็กความเรียบร้อยของงานรอบสุดท้ายและไปอัปสวย เพื่อความเปล่งประกายไชน์นิ่งต่อหน้าสื่อมวลชน”

เรื่องอัปสวยให้ตะลึงแลลาน ฟังดูไม่ใช่งานที่เธอห่วงเท่าไร สิ่งที่เธอห่วงคือการรีเช็กงานมงคลรอบสุดท้ายมากกว่า เธอกลัวจะมีอะไรขาดตกบกพร่องไป โดยเฉพาะเรื่องแขกที่เชิญมาเป็นสักขีพยาน 

“แล้วนอกจากสื่อมวลชน เราเชิญใครมาเป็นแขกอีกบ้างคะ”

“ก็พวกเพื่อนและผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงของเธอและวงการธุรกิจของคุณชินน่ะ อ้อ ครอบครัวคุณชินด้วย”

“แล้วครอบครัวของหนู...”

“เธอไม่ได้เชิญป้าเธอมานี่ แต่ถ้าจะเปลี่ยนใจเชิญก็ตามใจนะ”

“ค่ะ ยังไงท่านก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของนา...เอ๊ย หนูหมายถึงของหนูน่ะค่ะ ยังไงก็ต้องเรียนเชิญท่าน หนูอยากให้ท่านมาเป็นผู้ใหญ่ฝั่งของหนูร่วมกับอาจารย์ท่านนั้นที่เรียนเชิญไว้แล้วค่ะ” เธออ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก จะให้เธอพูดออกไปได้อย่างไรล่ะว่าใจจริงเธออยากเชิญสินธรกับส้มโอมาแสดงความยินดีด้วย แต่ในเมื่อชีวิตเธอเปลี่ยนไปแล้ว เป็นคนใหม่แล้ว เธอจึงนึกหาเหตุผลดีๆ ที่จะเชิญพวกเขาไม่ออก ซ้ำยังไม่แน่ใจด้วยว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน ยังอยู่ที่บ้านไร่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ อย่างไรงานนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากตัดใจ

ไม่เป็นไร...อย่างไรเธอก็ไม่ได้พิสมัยอยากมีพ่อแบบนั้นอยู่แล้ว พ่อขี้เมาที่นำแต่ความอับอายขายหน้ามาให้เธอ จะสนใจไปทำไมกัน อยู่ห่างๆ อย่างคนไม่รู้จักกันก็ดีอยู่แล้ว 

ใช่...แบบนั้นละดีที่สุดแล้ว!

“ถ้างั้นเธอกับคุณชินจะไปเชิญป้าด้วยตัวเองไหม เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันงานแล้วนี่ หรือจะให้พี่เป็นคนโทร.ไป...”

“เดี๋ยวหนูกับพี่ชินไปเรียนเชิญป้าญาด้วยตัวเองเองดีกว่าค่ะ ยังไงท่านก็เป็นผู้ใหญ่และมันก็เป็นหน้าที่ของเรา ว่าแต่พี่ไตรคะ ถ้าหนูอยากจะขอเพิ่มลิสต์รายการแขกเพิ่มตอนนี้ยังทันไหม”

“พอได้อยู่ เธอจะเชิญใครเพิ่มล่ะ”

พรนาราขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด หากเธอไม่สามารถเชิญครอบครัวที่แท้จริงมาร่วมงานได้ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรจะเชิญแขกคนนี้แทน เธออยากเห็นว่าหลังจากพรวิเศษสำแดงฤทธิ์ เจ้าหล่อนมีชีวิตอย่างไรบ้าง มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม หรือมีแต่เธอที่เปลี่ยนคนเดียว บางทีถ้าโชคดีพวกเธออาจจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน

“เพื่อนเก่าสมัยเรียนของหนูค่ะ ชื่อนานะ หนูอยากเชิญเธอมาร่วมงาน”

ครั้นกล่าวถึงนานะ พันฤทธิ์ซึ่งนั่งอยู่เบาะหน้าก็ชะงัก หันมามองเธอทันที 

“มีอะไรหรือ เจ้า...” เธอกดลิ้นตัวเองไว้ทันและแก้ไขคำพูดตนใหม่ เกือบลืมไปเสียสนิทว่าเขาไม่อนุญาตให้เธอเรียกเขาด้วยฉายานั้นอีกแล้ว “มีอะไรหรือเปล่า พีท” เธอจงใจเน้นย้ำชื่อ ‘พีท’ ด้วยเสียงหนักแน่นเป็นพิเศษ “มีอะไรอยากจะถามฉันไหม ถามมาได้เลยนะ”

“มี” เขายอมรับ แววตาก้ำกึ่งระหว่างความแปลกใจและไม่พอใจ “ถึงเพนท์เฮ้าส์แล้ว มาคุยกันหน่อยได้ไหม”

“อื้อ ได้สิ แต่รีบหน่อยนะ เย็นนี้ฉันมีนัดกับพี่ชิน”

เป็นอันว่าพอตกลงกันได้แล้ว เมื่อมาถึงเพนท์เฮ้าส์ คนอื่นๆ ก็เลยแยกตัวกันไป ส่วนพันฤทธิ์กับพรนารายังคงนั่งอยู่ในรถตู้ต่ออีกหน่อยเพื่อพูดคุยกัน โดยต่างคนต่างยังนั่งประจำที่ตำแหน่งเดิม ไม่มีการย้ายไปนั่งใกล้ชิดกันแต่อย่างใด ซึ่งก็ดีแล้วละ หากว่าเธอเข้าใกล้เขามากไป เขาอาจจะไม่พอใจอีกก็ได้

ก็อย่างที่เขาเคยบอก...เขากับเธอไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น

“ตกลงนายมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันล่ะ”

“ฉันอยากจะคุยเรื่องของนานะ เธอคิดจะทำอะไรกันแน่”

“หมายความว่ายังไง ฉันคิดจะทำอะไร?”

บอดีการ์ดหนุ่มผ่อนลมหายใจหนักๆ ก่อนจะขยายความต่อ

“ทำไมจู่ๆ เธอคิดจะชวนนานะมาร่วมงาน เท่าที่จำได้พวกเธอไม่ได้สนิทกันด้วยซ้ำ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ”

“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นห่วงเรื่องนี้นี่เอง ถึงจะสนิทหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นา ยังไงนานะก็เป็นเพื่อนของฉัน ฉันจะชวนเพื่อนเก่าตัวเองมันก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไรสักหน่อย ทำไม...นายไม่อยากเจอเธอที่งานหรือยังไง”

“เปล่า แน่นอนว่าฉันอยากเจอ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร นายอยากเจอ ฉันเองก็อยากเจอ ก็เชิญเธอมาร่วมงานล่ะดีที่สุด ว่าแต่นายรู้ไหมว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ถ้ารู้ก็บอกหน่อย ฉันจะได้...”

“ฉันรู้ว่านานะอยู่ที่ไหน แต่ฉันคงบอกเธอตอนนี้ไม่ได้”

“บอกไม่ได้? ทำไมล่ะ” เธอถาม และรอว่าเขาจะอธิบายเหตุผลหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้อธิบายอะไร ทำให้เธอต้องเป็นฝ่ายปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเอง “โอเค บอกไม่ได้ก็บอกไม่ได้ งั้นฉันจะพยายามหาด้วยตัวเองโดยไม่รบกวนนายก็แล้วกัน” หญิงสาวตัดจบประเด็นดังกล่าว แล้วตั้งท่าจะลงจากรถตู้ หากแต่อีกฝ่ายก็ยั้งเธอไว้ด้วยคำเตือนเสียก่อน

“ฉันไม่อยากให้เธอยุ่งกับนานะ”

ดาราสาวชะงักค้าง หันกลับมามองคนเตือนอย่างมีคำถาม

“นายว่าอะไรนะ”

“อย่ายุ่งกับนานะ” เขาย้ำคำเดิมด้วยเสียงดังขึ้น ราวกับกลัวว่าเธอจะได้ยินไม่ชัดพอ “ฉันรู้ว่าช่วงนี้เธอทำตัวแปลกๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่อย่าพยายามดึงนานะมาเกี่ยวข้อง อย่ายุ่งกับเธอ”

ก็ไม่รู้ว่าอะไรมันแย่กว่ากัน ระหว่างการที่ต้องมานั่งฟังเพื่อนสนิทพูดจาห่างเหินใส่ หรือการที่เขามองเธอเหมือนวายร้ายที่ควรถูกกันให้ห่างจากนางเอกผู้แสนดีอย่างนันทวดี ที่จริงแล้วมันอาจจะแย่พอๆ กันนั่นละ พรนาราแทบจะทนรับกับบรรยากาศอึดอัดในรถตู้นี้ไม่ไหวเลย สิ่งที่เธอทำได้ก็เพียงแค่ยิ้มและใช้มุกตลกตอบกลับไป หวังให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แม้ในสายตาของเขามันอาจจะเป็นเพียงมุกตลกโง่ๆ ไม่เอาไหนก็ตาม

“ทำไมถึงห้ามฉันแบบนั้นล่ะ กลัวว่าฉันจะกระโดดเข้าไปตะปบหน้าเธอหรือยังไง ฉันเป็นคนนะ ไม่ใช่หมี”

“พอลลี่ ฉันไม่ได้พูดเล่น” พันฤทธิ์มองเธอด้วยแววตานิ่งๆ เห็นได้ชัดว่ามุกตลกไม่ช่วยในสถานการณ์แบบนี้ ทำให้เธอต้องเป็นฝ่ายปรับท่าทีจริงจังตามเขา รอยยิ้มที่พยายามปั้นขึ้นมาให้สดใสเลือนหายไปจากใบหน้า 

“ฉันแค่อยากพบนานะ อยากเห็นว่าเธอเป็นยังไง ไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝงอะไร นายไม่จำเป็นต้องมองฉันในแง่ลบขนาดนั้นก็ได้”

“ฉันไม่ได้มองเธอในแง่ลบ ยังไงเธอก็เป็นลูกค้าของฉัน ฉันจะมองเธอแบบนั้นได้ยังไง ฉันแค่ไม่อยากให้เธอ...โอเค ฉันขอพูดตรงๆ เลยละกัน ฉันแค่ไม่อยากให้เธอนำทฤษฎีแปลกๆ เรื่องพรวิเศษอะไรนั่นมาใส่หัวคนอื่น โดยเฉพาะกับนานะ นานะไม่ควรต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้”

ยิ่งกว่าท่าทางปกป้องนันทวดีอย่างออกนอกหน้านั้น ก็คือการที่เขาตอกย้ำว่าเธอโกหกนี่ละ ความจริงที่เธอเล่ากลายเป็นทฤษฎีแปลกๆ ไร้เหตุผลในสายตาเขาเสียแล้ว

“เรื่องไร้เหตุผลงั้นหรือ” สาวเจ้ายิ้มขมขื่น “ถ้าฉันไม่ได้ขอพรเมื่อวันนั้น นายจะพูดแบบนี้กับฉันไหม พีท”

“พอลลี่” แต่นั่นไม่ใช่เสียงร้องเรียกจากพันฤทธิ์ แต่เป็นเสียงของชินกฤตที่มาตามเธอที่รถตู้พร้อมเคาะกระจกรถเบาๆ สองสามครั้งเป็นเชิงร้องเรียก คงจะเห็นว่าเธอหายมาสักพักแล้ว “พี่มารับแล้วนะ เสร็จธุระหรือยังครับ”

“สักครู่นะคะพี่ชิน เดี๋ยวพอลลี่ออกไปหาค่ะ” หญิงสาวชะโงกตัวไปตอบว่าที่คู่หมั้น ก่อนจะหันมาทางคู่สนทนาซึ่งยังค้างประเด็นกัน “ว่าไง ตอบฉันมาสิ ถ้าฉันไม่ได้ขอพรเมื่อวันนั้นและยังใช้ชีวิตอยู่ที่ไร่ นายจะพูดแบบนี้กับฉันไหม”

“เธอพูดไม่รู้เรื่องอีกแล้วนะ เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงเป็นห่วง” บอดีการ์ดหนุ่มถอนหายใจ ส่ายหน้าไปมา “พูดตรงๆ ฉันไม่ได้จะกีดกันอะไร สุดท้ายแล้วเธอกับนานะก็ต้องเจอกันในหน้างานอยู่ดี แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นเธอช่วยปรับจูนสติให้อยู่ในโลกความเป็นจริงหน่อย ลืมเรื่องเชิญนานะมางานหมั้นไปซะ อย่าไปเจอนานะ ทั้งๆ ที่เธอยังอยู่ในสภาพไม่พร้อมแบบนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวเธอเองด้วย เพราะเธอเองก็จะถูกมองเสียๆ เหมือนกัน”

“อย่าใช้ฉันมาเป็นข้ออ้างหน่อยเลย นายก็แค่อยากปกป้องนานะ” พรนาราตัดพ้อ ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่พันฤทธิ์พูดถึงเรื่องหน้างานอะไรนั่นหมายถึงอะไร แต่จะหมายถึงอะไรก็ช่าง เพราะตอนนี้เธอรู้สึกน้อยใจเกินกว่าจะคิดอย่างอื่นได้ “นานะเป็นเพื่อนแท้ของนายตั้งแต่เมื่อไร จำไม่ได้หรือว่าก่อนหน้านี้เธอทำอะไรไว้กับฉันบ้าง อ้อ นายคงจำไม่ได้สินะเพราะตอนนี้นายเปลี่ยนไปและไม่ใช่คนเดิมแล้ว มีแต่ฉันนี่ละที่ยังเป็นคนเดิม เป็นคนเดิม...ที่นายมองไม่เหมือนเดิม”

หญิงสาวรู้สึกอึดอัดและอัดอั้น ราวกับว่ามีวัตถุหน่วงๆ หนักๆ กดทับหัวใจเธอไว้ ครั้นดิ้นรนที่จะหนีออกมาทีไรก็จะพานพบแต่ใบหน้าเฉยชาของเพื่อนสนิทที่มองเธออย่างเวทนาเหมือนคนบ้า เธอเคยคิดว่าตนต้องไม่เป็นไรและทนรับสภาพนี้ให้ได้ แต่พอโดนจี้จุดมากเข้า มันก็ยากที่จะทำเป็นไม่สนใจเหมือนกัน ถึงกระนั้นเธอก็ยังกัดฟันและยิ้มให้เขา แม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่ฝืนๆ บ้างก็ตาม

“แต่มาคิดๆ ดูแล้ว จะว่าไปฉันก็ไม่มีสิทธิ์จะไม่พอใจนายนี่เนอะ เพราะนายเองก็ไม่ได้เลือกที่จะมาอยู่จุดนี้สักหน่อย เอาเป็นว่านายอยากจะคิดว่าฉันบ้าหรือสติหลุดอะไรก็เชิญ แต่สักวันนายจะเข้าใจเองว่าสิ่งที่นายคิดน่ะผิด พรวิเศษนั่นมีจริงและมันเกิดขึ้นแล้ว”

“พรวิเศษ...เธอจะไม่หยุดเรื่องนี้จริงๆ ใช่ไหม พอลลี่”

“ฮื่อ ช่วยไม่ได้นี่นา ความจริงก็เหมือนบูมเมอแรงนั่นละ ยิ่งเราขว้างมันไปแรงมันก็จะกลับมาหาเราเร็วเท่านั้น ยังไงก็ปฏิเสธมันไม่ได้หรอก” พรนาราบอกกับเขาเป็นการส่งท้าย ก่อนจะลงจากรถตู้เพื่อตามไปสมทบกับชินกฤตที่รออยู่ 

“เสร็จธุระแล้วหรือครับ คนสวย” ชินกฤตสอบถามอย่างห่วงใย ยื่นมือมารับแฟนสาวลงจากรถ เขาไม่ได้มีอาการไม่พอใจเลย แม้เธอจะปล่อยให้เขารอแกร่วอยู่นอกรถสักพักหนึ่งก็ตาม

“ค่ะ เสร็จแล้ว ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ”

“ไม่เป็นไรเลย แล้วคุยอะไรกันหรือ บรรยากาศดูอึมครึมชอบกล” เขาถามต่อ คงจะจับสังเกตได้ว่าบรรยากาศในรถตู้มันอึดอัดชอบกล “มีอะไรให้พี่ช่วยไหม บอกได้เลยนะ”

“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่มีอะไรหรอก พอลลี่แค่...” เธอเหลือบมองพันฤทธิ์ซึ่งนั่งอยู่ในรถเป็นครั้งสุดท้ายอย่างมีความหวัง ก่อนจะเลื่อนประตูปิด “แค่คุยกับเพื่อนเท่านั้น ตอนนี้อาจยังต่อกันไม่ติด แต่ต่อไปต้องดีขึ้นกว่านี้แน่นอน”

ครั้นพอดาราสาวกับแฟนหนุ่มเดินจากไป คนที่นั่งในรถจึงตกอยู่ในความเงียบงันเพียงลำพัง ถึงแม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่คำพูดของพรนาราเมื่อครู่สะกิดใจเขา เพราะมันเหมือนกับคำพูดของเขาเองในอดีต

‘เธอรู้ไหมว่าฉันเหมือนบูมเมอแรง ยิ่งเธอขว้างฉันไปแรง ฉันก็จะกลับมาหาเธอเร็วเท่านั้น’

แต่ประโยคนั้นเขาไม่ได้พูดกับพรนารา แต่พูดกับคนสำคัญของเขาที่บ้านไร่ต่างหาก แต่ทำไมกันนะเขาถึงเห็นภาพของพรนาราสอดแทรกขึ้นมาในความคิดได้ มันซ้อนทับกับภาพเหตุการณ์ในความทรงจำของเขาอย่างน่าประหลาด เป็นแค่เรื่องบังเอิญงั้นหรือ หากเป็นเรื่องบังเอิญก็คงเป็นเรื่องบังเอิญที่เขาไม่ชอบเลย เพราะมันทำให้เขารู้สึกโหวงเหวงในหัวใจ เหมือนว่าเขาลืมอะไรบางอย่างไป...บางอย่างที่สำคัญต่อชีวิตและหัวใจของเขามากๆ

พันฤทธิ์พิงศีรษะกับพนักเบาะ หลับตาลง ใช้ปลายนิ้วกดคลึงหน้าผากอย่างไม่เข้าใจตัวเอง

เขาลืมอะไรไป...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่นะ?

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น