1

ตอนที่ 1

บรรยากาศยามใกล้เที่ยงของวันศุกร์ อาจจะเป็นเวลาเร่งรีบของคนทั่วไปที่ต้องขวนขวายทำงานหาเลี้ยงชีพ ผิดกับคนอีกกลุ่มซึ่งยังคงอยู่ในห้วงเวลาของการหลับนอน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีเวลาการทำงานยามค่ำคืนจึงต้องอาศัยนอนในตอนกลางวันทว่าอีกส่วนคือบุคคลประเภทร่ำรวย ไม่ต้องดิ้นรนก็สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสบาย หนึ่งในบุคคลกลุ่มหลังก็คือหญิงสาวผู้มีนามว่า ‘เจ้าเอย วชิรวิทย์’ เธอเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลวชิรวิทย์ ตระกูลเก่าแก่ที่ดำเนินกิจการด้านการโรงแรมมาหลายทศวรรษและยังเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของประเทศ 

.ห้องนอนสีหวานของคฤหาสน์สุดหรู เข็มนาฬิกาที่เดินเข้าใกล้เวลา 12.00 น. หรือเที่ยงวัน ไม่เป็นอุปสรรคในการนอนของเจ้าเอยเพราะผ้าม่านสีทึบและเครื่องปรับอากาศทำหน้าที่กั้นแสงและปรับอุณหภูมิได้อย่างดี ทว่าคนที่ควรหลับสนิทกลับดูกระสับกระส่าย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันในขณะที่เปลือกตายังปิดสนิท ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อส่ายไปมา ทรวงอกอวบอิ่มขยับขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจที่หอบกระชั้น สองมือปัดสะเปะสะปะราวกับคนที่กำลังปัดป้องบางอย่างออกไปให้พ้นตัว

“ไปไกลๆ เลยไอ้คนบ้า อย่ามายุ่งกับฉันนะ!” สิ้นประโยค เรือนร่างบอบบางเด้งพรวดลุกขึ้นนั่ง ลำตัวหอบโยนคล้ายคนวิ่งมาไกลแสนไกล จนเมื่อเห็นสภาพห้องเดิมๆ ไม่มี ‘ไอ้บ้า’ ที่ฝันถึงจึงค่อยโล่งอก “ฉันฝันถึงนายอีกแล้วเหรอเนี่ย” เผลอยกมือขึ้นไปแตะริมฝีปาก แววตาอ่อนโยนทอแสงอยู่เพียงครู่ก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว

ยกมือขึ้นไปปาดเหงื่อที่ไหลซึมบริเวณหน้าผากพร้อมกับพ่นลมหายใจแรงๆ  ดวงตากลมโตตวัดมองไปยังสิ่งเดียวที่สื่อถึงบุคคลที่ทำให้ฝันร้าย เห็น ‘เจ้าตุ๊กตาเป็ด’ หน้าเซ่อเอนพิงหมอนอยู่ก็ยื่นมือไปกำรอบคอแล้วเขย่าๆ จนเจ้าตัวสีเหลืองหัวสั่นหัวคลอน

“เข้ามาในฝันของฉันทำไมอีตาบ้า อยากตายเหรอ!” จบประโยคเจ้าตุ๊กตาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ลอยละลิ่วไปกระทบผนังห้อง “บอกเจ้านายแกเลยนะ ว่าอย่าบังอาจมาเข้าฝันฉันอีก!” เอาเรื่องกับตุ๊กตาเสร็จก็สะบัดหน้าหนีก้าวลงจากเตียงเดินดุ่มๆ หายเข้าไปในห้องน้ำ ไร้อารมณ์ที่จะนอนต่อแม้เพิ่งเอนกายลงบนที่นอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง เธอยอมให้ใต้ตาดำคล้ำเป็นหมีแพนด้าดีกว่าต้องหวนถึงเรื่อง ‘ความฝันบ้าๆ’ ของ ‘คนบ้าๆ’ อีก

ใช้เวลาในห้องน้ำอยู่เกือบชั่วโมง เจ้าของเรือนร่างเซ็กซี่ขยี้ใจที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวปกปิดก็เดินอวดเรียวขาออกมา สีหน้าสดชื่นแจ่มใสขึ้นเมื่อได้อาบน้ำอาบท่า เสียงฮัมเพลงเบาๆ บ่งบอกถึงสภาวะอารมณ์ที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ในระหว่างที่กำลังเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวหางตาก็สังเกตเห็นเจ้าสีเหลืองที่นอนฟุบหน้าอยู่กับพื้น ใจหนึ่งก็อยากทิ้งไว้อย่างนั้นเพราะโกรธเคืองคนให้แต่อีกใจกลับลังเล

ถอนหายใจแล้วเดินไปหยิบเจ้าตัวเล็กขึ้นมา “คราวหลังอย่าแปรพักตร์อีกรู้ไหม ถ้าแกทำให้ฉันฝันถึงไอ้คนบ้านั่นอีกละก็ คราวหน้าได้ย้ายที่อยู่ถาวรแน่!” พึมพำคาดโทษเสร็จก็จับไปวางไว้ที่เดิม ณ.ข้างหมอนที่หนุนนอนประจำ ไม่ลืมแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ราวกับว่าเจ้าตุ๊กตาเป็ดคือใครอีกคนที่เธอเกลียดแสนเกลียด  

ใช้เวลาแต่งตัวอยู่อีกเกือบชั่วโมง เจ้าเอยก็แอบย่องออกจากห้องในชุดเตรียมพร้อมออกนอกบ้าน  ลงมาถึงชั้นล่างไม่ทันก้าวพ้นบันไดก็สะดุ้งโหย่งจากเสียงร้องทัก

“คุณหนู ลงมาแล้วเหรอคะ”

คนโดนเรียกค่อยๆ ผินหน้าไปมอง พอเห็นว่าเป็นใครก็ยกทาบอก รู้สึกโล่งใจที่ไม่ใช่ใครอีกคนที่เธอยังไม่อยากพบตอนนี้ “ป้าศรีนวล! เอยตกใจหมดเลยค่ะ”

“ก็ป้านะสิคะ อย่าคิดว่าจะแอบออกไปได้ง่ายๆ เชียว” ผู้สูงวัยกว่ายกมือขึ้นกอดอก มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาตำหนิ อายุอานามคุณหนูเล็กของบ้านวชิรวิทย์ไม่ใช่น้อยๆ ล่วงเข้าสู่วัยเบญจเพสแล้วแต่ก็ยังทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย

หลังจากเรียนจบก็ขออนุญาตน้าสาวพักผ่อนสักพักก่อนเข้าไปเรียนรู้งานของโรงแรม แต่ระหว่างนั้นก็ดอดไปรับงานในวงการบันเทิง ทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบ พรีเซนเตอร์สินค้า จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสองปีก็ยังไม่มีวี่แววที่จะเข้าไปเรียนรู้งานอย่างที่รับปากไว้ พอน้าสาวทวงถามก็บอกว่ายังสนุกกับงานในวงการอยู่ นี่ก็แว่วๆ ว่ามีหนังติดต่อมาหลายเรื่อง น้าสาวจึงกลัวว่าเจ้าเอยจะเข้าวงการบันเทิงเต็มตัวจนละทิ้งงานของโรงแรมไป

“โธ่! ป้าคะ เอยไม่ได้แอบเสียหน่อย” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปโอบกอดผู้สูงวัย อ้อนออเซาะเหมือนครั้งยังเป็นเด็กน้อย “เอยจะรีบไปแต่งหน้าทำผมต่างหาก วันนี้มีงานปาร์ตี้สละโสดของยัยรตา ป้าลืมแล้วเหรอคะ” รีบเอ่ยถึงเพื่อนสนิทคนสำคัญ ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ประตูวิวาห์มาเป็นข้ออ้าง

 “จริงด้วยสิ ป้าลืมไป”

“ใช่ไหมล่ะ งั้นเอยขอตัวก่อนนะคะ” ไม่รีรอให้อีกฝ่ายได้คัดค้าน เจ้าเอยก้มหอมแก้มแล้ววิ่งปรูดออกจากบ้านไป โดยมีเสียงโวยวายดังตามหลัง “แต่คุณหนูคะ งานปาร์ตี้มีตอนหนึ่งทุ่ม นี่มันเพิ่งจะบ่ายสองเองนะคะ คุณหนู!” คุณหนูคนสวยฟังเสียที่ไหน ก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว แม่บ้านสูงวัยจึงได้แต่ส่ายหน้าระอา

“คุณหนูนะ คุณหนู…”

 

งานปาร์ตี้เริ่ม 19.00 ตามกำหนดการ เจ้าเอยเดินลงจากรถสปอร์ตคันหรูด้วยมาดนางพญา ชุดเดรสสีขาวแนบลำตัวโชว์ส่วนเว้าส่วนโค้งได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ มือถือกระเป๋าสีชมพูแบรนด์ดังราคาแพงลิบลิ่ว บรรดาผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดมองเป็นตาเดียว บางรายอาการหนักถึงขั้นน้ำลายหก คนถูกมองเพียงปรายตา ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มเชิดขึ้น รู้สึกชินมากๆ กับการเป็นจุดสนใจ ส่งต่อกุญแจรถให้พนักงานเสร็จก็เดินเข้าไปภายในโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจตระกูลตนเอง

เพียงแค่ปรากฏตัวที่ล็อบบี้ คนเก่าแก่ที่จำทายาทคนเดียวของตระกูลวชิรวิทย์ได้ก็กระวีกระวาดมาต้อนรับ  “คุณหนูเจ้าเอย ไม่ได้มาเสียนานเลยนะครับ” ชายสูงวัยอายุกว่าห้าสิบปีโค้งคำนับแทบจะเก้าสิบองศา เล่นเอาคนเด็กกว่ารีบขยับถอยหลังไปตั้งหลัก เธอไม่ชินกับการถูกเคารพนบน้อมโดยเฉพาะคนที่อายุมากกว่าหลายสิบปี

“คุณลุงชนะอย่าทำแบบนี่สิคะ เอยอายุสั้นพอดี”

“แหม…คุณหนูก็พูดเกินไป ผมต้องทำความเคารพคุณหนูสิครับ ก็คุณหนูเป็นเจ้าของโรงแรม”

“ยังไม่ได้เป็นค่ะ และก็อาจจะไม่ได้เป็นด้วย” คนไม่คิดสานต่อกิจการครอบครัวบอกปัด “ไม่เอาดีกว่าค่ะ เลิกพูดเรื่องเครียดดีกว่า ว่าแต่คุณลุงสบายดีนะคะ”

“สบายดีครับ ตามอัตภาพ”

“เอยดีใจที่เห็นคุณลุงแข็งแรงดี ยังไงก็อย่าลืมรักษาสุขภาพนะคะ งานหนักๆ ก็ใช้คนอื่นทำก็ได้” เพราะเห็นผู้สูงวัยมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เจ้าเอยจึงนับถือเป็นดั่งญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง “ว่าแต่…คุณน้ายังอยู่ไหมคะ”

“ยังอยู่ครับ คุณหนูขึ้นไปได้เลยครับ”

“เอ่อ...ไม่ดีกว่าค่ะ เอยมางานเลี้ยงของเพื่อน ใกล้ถึงเวลานัดแล้วด้วยไม่อยากไปสาย งั้นเอยขอตัวเลยนะคะ” ว่าแล้วก็เดินตัวปลิวไปยังลิฟท์ตัวที่กำลังเปิดออก บอกเจ้าหน้าที่ประจำลิฟท์ถึงจุดหมายปลายทางเสร็จก็หันมาส่งยิ้มให้คุณลุงสูงวัยอีกทีเป็นการตบท้าย

ชนะได้แต่มองตามแล้วส่ายหน้า “คุณหนูนะคุณหนู คุณท่านเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ยังเอาแต่เที่ยวสนุกอยู่อีก เห้อ…”

 

ทางฝั่งคนขึ้นลิฟท์มาก็หาได้สนใจอะไรไม่ พอประตูเปิดก็มีเสียงเรียกชื่อเธอดังขึ้นทันที พอเห็นว่าใครยืนกวักมือเรียกอยู่จึงรีบเดินตรงดิ่งไปหา ไม่สนใจสายตาบรรดาหนุ่มๆ รอบข้างที่มองตามตาละห้อย

“ว่าที่เจ้าสาว ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ” คนเพิ่งมาถึงถามอย่างสงสัย ว่าที่เจ้าสาวที่เอ่ยถึงคือ รตา เลิศวรรธน์ เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม รตาเป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของธนาคารใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตระกูลที่ร่ำรวยไม่น้อยกว่าบ้านวชิรวิทย์

รตากำลังจะแต่งงานกับ นิมมาน ธาดา อีกหนึ่งตระกูลผู้มั่งคั่งเจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งสองเริ่มต้นด้วยการจับคู่ของผู้ใหญ่ คบหาดูใจกันได้เกือบปีก็ตกลงปลงใจที่จะเข้าสู่ประตูวิวาห์ ถึงแม้เพื่อนคนอื่นๆ รวมทั้งเจ้าเอยห้ามปรามเนื่องจากเห็นว่าระยะเวลาในการคบหาสั้นเกินไป อีกทั้งกิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของฝ่ายชายก็ยังมีให้เห็นตามสื่ออยู่ตลอด ทว่าคุณหนูหัวอ่อนอย่างรตาก็ไม่ฟัง กลับมั่นใจว่าผู้ชายที่เป็นรักแรกคนนี้คือรักแท้ และเขาจะเลิกเจ้าชู้ได้ดั่งคำสัญญาที่เคยให้เมื่อครั้งคุกเข่าขอเธอแต่งงาน

“งานปาร์ตี้อยู่ห้องบอลรูมอีกฝั่งหนึ่งไม่ใช่เหรอ แกด้วยยัยพลอยไหนบอกติดงานมาไม่ได้ไง ทำไมมาถึงก่อนฉันอีกยะ” คนถามตวัดสายตาต่อไปยังหญิงสาวผู้เป็นเพื่อนสนิทอีกคน พลอยหรือชื่อเต็มๆ ว่า พลอยไพลิน ลูกสาวคนสุดท้องของครอบครัวบุษราเจ้าของกิจการจิวเวลรี่ชั้นนำ น้อยคนนักจะทราบว่าจริงๆ แล้วพลอยไพลินเป็นเพียงบุตรบุญธรรม  เนื่องจากคุณไพลินเคยประสบอุบัติเหตุในขณะตั้งครรภ์อ่อนๆ ลูกคนที่สองจนต้องตัดมดลูกทิ้ง จึงรับพลอยไพลินมาอุปการะเพื่อเติมเต็มในส่วนนี้ โดยมีบุตรชายคนโตหนึ่งคนชื่อ เพทาย ซึ่งปัจจุบันอายุ  28  ปี

“ฉันก็ไม่ได้มาร่วมงาน” พลอยไพลินตอบพร้อมกับก้มลงมองสภาพการแต่งเนื้อแต่งตัวของตนเอง “แกว่าเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์เหมาะกับงานไฮโซของยัยรตาหรือไง”

เจ้าเอยมองการแต่งตัวเพื่อนสาวแล้วเบ้หน้า พร้อมออกศึกมากกว่ามาออกงานจริงๆ “แกนี่นะ จะแต่งเนื้อแต่งตัวให้เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาหน่อยก็ไม่ได้ ป้าไพลินให้เงินใช้ตั้งเยอะมัวอิดออดไม่ยอมใช้อยู่นั่นแหละ” สาวแฟชั่นจ๋าไม่วายบ่นพึมพำ จิกสายตามองเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์อย่างดูแคลน “อุตส่าห์ได้อยู่ครอบครัวมหาเศรษฐีทั้งทีจะทำตัวลำบากมอซอไปทำไม นี่ถ้าแกหุ่นไม่ดี หน้าตาไม่ดีบอกได้เลยว่าดับอนาถ” ค่อนแคะอย่างคนที่คิดอะไรก็พูดไปอย่างนั่น บ่งบอกถึงนิสัยใจคอที่เที่ยงตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด แม้กับเพื่อนสนิทยังไม่คิดรักษาน้ำใจ

รตาเห็นทีท่าเจ้าเอยจะไม่จบง่ายๆ จึงขยับเข้าไปเขย่าแขนเพราะคนโดนว่าหน้าหดเหลือสองนิ้วไปนาน

 “โอเค ฉันไม่ยุ่งกับการแต่งตัวของแกก็ได้” คนพูดมากเริ่มรู้ตัวว่าก้าวก่ายเกินไป จึงเสเปลี่ยนเรื่อง “แล้วแกมาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่ามาทำงาน”

“ก็…เอ่อ ประมาณนั้นแหละ”

“ห๊ะ! มาทำงานจริงเหรอ ทำงานอะไร ที่ไหน ชั้นอะไร ที่นี่มันโรงแรมนะ จะมีงานประเภทไหนให้ทำกัน หรือว่าแกโดนหลอกมา…”

เสียงเจื้อยแจ้วทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มหันมองด้วยความสนใจ พลอยไพลินจึงถลาเข้าไปปิดปากคนช่างพูด “หยุดโวยวายได้แล้ว มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นสักหน่อย”

เจ้าเอยปัดมือออกพร้อมวีนใส่ “ไม่เลวร้าย แสดงว่าเข้าข่ายนะสิ” จบประโยคพลอยไพลินก็โดนสายตาคาดคั้นสองคู่ถลึงใส่ ความมั่นใจที่พกมาเต็มเปี่ยมจึงแทบหายเกลี้ยง งานที่รับมาใช่ว่าจะไม่เสียหาย ทว่าอยู่ในข่ายเสียหายไม่มาก…

“ก็แค่งาน…”

“งานอะไร!” สองเสียงผสานกันจนคนรอบข้างสะดุ้ง พากันหลบลี้หนีหายอย่างรู้ตัวว่าไม่ควรยุ่งถ้าไม่อยากโดนระเบิดโดยไม่ตั้งใจ

“งาน…โชว์ตัวนะ ฉันรับจ๊อบมาโชว์ตัวที่งานเลี้ยงบนชั้นหก”

“งานเลี้ยงอะไร…” หลานสาวเจ้าของโรงแรมยังไม่วายสงสัย สองมือยกขึ้นกอดอกดั่งคนกำลังใช้ความคิด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจคาดเดาได้เนื่องจากไม่เคยเข้ามาดูงานเลย จึงเมินสายตาไปหาเพื่อนเพื่อให้อีกฝ่ายสารภาพออกมาเอง

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ลิลลี่เป็นคนรับงานมาให้ บอกแค่ว่าเงินดีไม่มีอันตรายฉันก็เลยตกปากรับคำ” คนร้อนตัวรีบแก้ต่าง ก็สายตาที่เจ้าเอยมองมาธรรมดาที่ไหน เพื่อนสนิทที่คบกันมานานย่อมรู้ดี เห็นหลานสาวเจ้าของโรงแรมเป็นสาวสังคม ปาร์ตี้จ๋า ดูโลดโผนไม่กลัวใครแต่เอาเข้าจริงกลับอ่อนไหวและเปราะบาง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ผิดปกติจำพวกรักซ่อนซ้อนเงื่อน ซึ่งเป็นปมด้อยมาตั้งแต่เด็กๆ เนื่องจากครอบครัวต้องพังพินาศจากความเจ้าชู้ของบิดา จนมารดาที่แสนใจดี กลับกลายเป็นโรคซึมเศร้าเพราะตรอมใจ

“พี่ลิลลี่คงไม่รับงานสาวเสี่ยงๆ มาให้ฉันหรอกน่า อย่างมากก็คงแค่เดินโชว์ตัวรอบสองรอบ แกอย่าคิดมากสิ” พลอยไพลินออกตัวอย่างเดาสถานการณ์ออก ถ้าเป็นงานที่เข้าข่ายชี้นำให้คนนอกใจเจ้าเอยเป็นต้องห้ามสุดฤทธิ์ ถึงขั้นเคยออกเงินเพื่อจ้างเธอให้ยกเลิกงานบางงานมาแล้วในอดีต

คนมีปมยังมีท่าทีไม่ไว้วางใจ จนรตาต้องเข้ามาช่วยพูดอีกแรง “เถอะน่า! แกก็คิดมาก ยัยพลอยเอาตัวรอดเก่งจะตาย ไม่งั้นจะรอดเงื้อมือพี่ชายมาถึงทุกวันนี้เหรอ”

“ยัยรตา!” ครานี้เป็นพลอยไพลินบ้างที่ขึ้นเสียง ตวัดมองอย่างคาดโทษ ก็เรื่องราวของเธอกับพี่ชายนอกไส้นี่วีรกรรมล้านแปด เป็นอะไรที่ไม่ถูกชะตากันเลย เกลียดขี้หน้าถึงขั้นอย่าเอ่ยถึงเป็นดีที่สุด

“ก็จริงนี่นา ขนาดพี่เพทายหาเรื่องแกล้งไม่เว้นวัน แกยังอยู่รอดเป็นคุณหนูเล็กของบ้านบุษรามาถึงทุกวันนี้ได้ย่อมไม่ธรรมดา จริงไหมยัยเอย” หันไปเออออกับอีกคนที่ยังไม่เลิกกังวลเรื่องเดิม ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจ บ่งบอกว่าโอนเอียงตาม

“ก็จริง งั้นก็ดูแลตัวเองดีๆ ละกัน ถ้าเสร็จงานก็รีบลงมาหาพวกฉัน ตกลงไหม”

“เจ้าค่ะ คุณหนูเจ้าเอยถ้าอีฉันเสร็จงานแล้วจะรีบลงมาหานะเจ้าคะ” พลอยไพลินตอบเสียงกระแทกกระทั้น ยังไม่ชอบใจที่ได้ยินชื่อใครบางคนอยู่ดี ถึงจะอยู่บ้านเดียวกันแต่ก็พยายามหลบหลีกสุดฤทธิ์ เป็นต้นว่าถ้าฝ่ายนั้นอยู่ติดบ้านนานกว่า 2 ชม. เมื่อไหร่ เธอจะเผ่นแนบออกมาทันที

“งั้นฉันไปทำงานก่อนนะ ใกล้เวลานัดแล้วเดี๋ยวค่อยเจอกัน”

“ยะ! แล้วเจอกัน ขอให้ทำงานอย่างมีความสุขไม่เจอพี่ชายสุดที่รักนะ” เจ้าเอยตะโกนตามหลัง จนคนที่เดินห่างไปหลายก้าวหันกลับมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ สองสาวที่เหลือจึงพากันหัวเราะชอบใจ

“แกก็ไปขู่ยัยพลอย ถ้าเกิดเจอจริงๆ งานปาร์ตี้แตกแน่” รตาทำท่าขนลุกขนพอง นึกกลัวบุคคลที่เอ่ยถึง

 “น่าสนุกดีออก” คนฟังยักไหล่ไม่ยี่หระ ก็ในสายตาเธอ เพทายคือบุคคลที่หวงน้องสาวมาก จนบ้างครั้งยังรู้สึกว่ามากเกินไป

 “เข้าไปในงานแกดีกว่า ฉันอยากยืดเส้นยืดสายเต็มที” มือบางตวัดรอบเอวเพื่อน พากันเดินเข้าไปยังห้องจัดงานที่อยู่ไม่ไกล ปาร์ตี้สละโสดกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีนี้

 

ยิ่งเข็มสั้นของนาฬิกาเดินเข้าใกล้เลข 12 มากเท่าไหร่ บรรยากาศของงานปาร์ตี้ก็ยิ่งสนุกสุดเหวี่ยงมากขึ้นเท่านั้น แม้เจ้าของงานอย่างรตาจะดื่มไม่หนักมากเพราะต้องคอยต้อนรับแขกเรื่อที่เข้ามาร่วมยินดี ผิดกับเพื่อนว่าที่เจ้าสาวที่ดื่มหนักจนครองสติแทบไม่อยู่

“ไหวไหมยัยเอย” รตาแอบแวบออกมาจากแขกคนอื่นๆ เพื่อเข้ามาสอบถามอาการของคนที่มือหนึ่งถือแก้ว อีกมือหนึ่งยกขึ้นเหนือหัว ยักย้ายส่ายสะโพกวาดลวดลายสุดเซ็กซี่ตามจังหวะดนตรีอยู่กลางฟลอร์

“แกว่าไงนะ ฉันไม่ค่อยได้ยิน” คนกำลังสนุกถามกลับในขณะที่ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว จนคนถามต้องขยับเข้าไปรั้งแขนให้หยุดแล้วตะโกนที่ข้างหู “ฉันถามว่าแกไหวไหม!”

“ไหวสิ แค่นี้จิบๆ” ใบหน้าสวยแดงก่ำ ดวงตากลมโตหวานเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ริมฝีปากยกยิ้มพรายคล้ายยั่วยวน ผู้หญิงแท้ๆ ยังอาจละลายถ้าได้อยู่ใกล้หญิงสาวที่มีเสน่ห์เหลือล้นคนนี้

“แต่ฉันว่าแกไม่ไหว เข้าไปพักก่อนดีกว่า” รตาไม่พูดเปล่า ออกแรงกึ่งลากกึ่งจูงพาคนมึนเมาไปนั่งยังโซฟาในมุมมืดมุมหนึ่ง ซึ่งพอเจอความนุ่มปุ๊บคนที่บอกว่าไหวก็เลื้อยตัวตามความยาวของโซฟาในทันใด

“ยัยเอย! ไหนบอกไหวไง” คนพามารีบดึงเพื่อนให้ลุกนั่ง ไม่อยากให้ใครมองด้วยสายตาดูถูกดูแคลน แม้ในงานจะเป็นคนกันเองก็ใช่ว่าทุกคนจะชอบเจ้าเอย อย่างที่บอกว่าสาวเจ้าเป็นคนตรง คิดจะพูดอะไรก็พูดออกมาโดยไม่รักษาน้ำใจ ไม่นึกถึงจิตใจคนฟัง จนบางครั้งก็ก่อศัตรูโดยไม่รู้ตัว

“อือ…ก็ไหว”

“นั่งตัวตรงยังไม่ได้เลยนี่นะ”

“ไหวน่า…” มือไม้เริ่มสะเปะสะปะ ยันคนที่ช่วยให้ออกห่าง “แกกลับไปดูแลแขกเถอะ ไม่ต้องห่วง…ฉันดูแลตัวเองได้”

“แกแน่ใจนะ ว่าดูแลตัวเองได้”

“แน่จายสิ…แค่นี้จิบๆ” ยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขึ้นมากะระยะให้รู้ว่าจิบๆ จริง ก่อนจะยิ้มหวานแล้วผุดลุกขึ้น

 “นั่นแกจะไปไหน…” รตาลุกตามด้วยความเป็นห่วง คิดไว้ว่าถ้าเพื่อนจะออกไปเต้นอีกไม่มีทางยอมแน่

“ไปฉี่ ช้านปวดฉี่…” เอ่ยเสียงลากยาวแล้วหมุนตัวเดินออกไป ทิ้งให้อีกคนยืนมองด้วยความกังวล เห็นท่าทีการเดินคลำทางไปเรื่อยก็อดเป็นห่วงไม่ได้จึงตัดสินใจเดินตาม ยังไม่ทันจะถึงตัวคนที่บอกว่าจะไปห้องน้ำก็เปลี่ยนเส้นทาง

“ยัยเอย ห้องน้ำอยู่ทางนี้”

“ฉันไม่เข้าที่นี่…คนเยอะ ไปข้างบนดีกว่า จะไปดูยัยพลอยด้วย”

“สภาพแบบนี้เนี่ยนะ”

“อือฮึ! ไม่ต้องห่วงน่า ไม่ได้เมาสักหน่อย ช้านไปด้าย…” รตาได้แต่พ่นลมหายใจแล้วเดินตามคนเมาไป เธออยากจะบอกเหลือเกินว่าให้เจ้าเอยห่วงตัวเองก่อนดีกว่า ค่อยไปห่วงคนไม่ดื่มเหล้าอย่างพลอยไพลิน

“แกตามมาทำไม ฉันไปด้าย…” เจ้าเอยหันมองคนที่เข้ามาประคอง ปากยังยืนยันเสียงแข็ง

“ฉันห่วงยัยพลอยเหมือนกัน” รตาตอบความจริงแต่ไม่ทั้งหมด เธอก็เป็นห่วงพลอยไพลินก็จริงแต่ห่วงคนเมามากกว่า ก็การแต่งกายบวกสติที่ไม่เต็มร้อยมันมีโอกาสสูงที่จะโดนฉุดกลางทางไปเสียก่อน

ส่วนคนมึนก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจ ยอมให้รตาพาขึ้นลิฟท์แต่โดยดี และเพียงแค่ประตูเปิดภาพของคนที่กึ่งลากกึ่งจูงกันอยู่หน้าลิฟท์ก็ทำให้ผงะ

“ยัยพลอย คุณเพทาย…”

“เจ้าเอย รตา ช่วยฉันด้วย!” คนโดนลากออกแรงฝืนตัวไว้เมื่อเจอคนที่พอจะช่วยเหลือได้ เธออุตส่าห์ฝืนทนใส่ชุดบ้าๆ จนใกล้จะเลิกงานอยู่แล้ว จู่ๆ พี่ชายนอกไส้ก็โผล่มาฉุดกระชากให้กลับบ้าน

“ไม่ต้องไปขอให้คนอื่นช่วยเลย ตัวเองทำผิดแท้ๆ” คนลากดุเสียงกร้าวก่อนจะปรายตาไปทางสองสาว ซึ่งแค่เห็นแววตาที่บ่งบอกว่าไม่พอใจสุดๆ ก็พากันสะดุ้ง โดยเฉพาะเจ้าเอยที่แทบจะหายเมาเป็นปลิดทิ้ง “เราสองคนด้วย เห็นเพื่อนทำผิดทำไมไม่ห้ามปราม คอยดูพี่จะฟ้องคุณน้าดารินกับคุณน้าจิตรา” พูดจบก็ฉุดดึงคนตัวเล็กเดินไปยังลิฟท์

“ไม่เอา! ฉันยังไม่กลับ คุณเพทายอย่าทำแบบนี้นะ” คนโดนลากดิ้นรนขัดขืน ส่งสายตามาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนทั้งสอง

“คุณเพทายค่ะ ฉันว่า…”

“ไม่ต้องพูดเลยรตา พี่กำลังโมโหไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น”

“แต่ยัยพลอยแค่มาทำงานเองนะคะ”

“ทำงานเหรอ…” ริมฝีปากหนากระตุกยิ้ม กระชากแขนเจ้าของเรือนร่างบอบบางให้มายืนด้านหน้า “ทำงานอะไร ถึงแต่งตัวแบบนี้”

คราวนี้เป็นสองเพื่อนซี้ที่ตาเบิกโพลง คราแรกไม่ได้สังเกตการณ์การแต่งตัวที่เปลี่ยนไปเพราะมัวแต่ตกใจ พอเห็นชัดๆ ก็แทบจะเป็นลมตาม ทำไมชุดเสื้อเชิ๊ตกางเกงยีนส์เมื่อตอนหัวค่ำถึงได้เปลี่ยนเป็นเดรสเกาะอกสีแดงแนบลำตัวแถมยังสั้นกุดจนชวนให้วาบหวิวได้ขนาดนี้

“เอ่อคือ…” ในขณะที่สองเพื่อนซี้ยังอึกอัก พลอยไพลินก็รีบแก้ต่างให้ตัวเอง

“ก็บอกแล้วไงคะ ว่าแค่มาโชว์ตัว ส่วนชุดนี้เจ้าของงานเป็นคนจัดหามาให้ ฉันรับงานเขามาแล้วจะปฏิเสธได้ยังไงคะ”

“แต่ไม่ใช่งานแบบนี้”

“เอะ! ขึ้นชื่อว่างาน แบบไหนก็ต้องทำ”

“แบบโชว์เนื้อหนังมังสาให้ผู้ชายดูนะเหรอ ดี! งั้นก็กลับไปโชว์ที่บ้าน” คำประกาศกร้าวเล่นเอาคนฟังต่างอ้าปากค้าง กว่าจะทันได้ตั้งตัวเพทายก็ลากพลอยไพลินหายเข้าลิฟท์ไปแล้ว

“คุณเพทายอย่าทำอะไร ยัยพลอยนะคะ” รตารีบตามไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้ลืมเพื่อนอีกคนไป

ริมฝีปากบางกระตุกยิ้ม ก็ภาพความวุ่นวายเมื่อครู่ทำให้เธอได้เห็นอะไรบางอย่าง อะไรที่แฝงเร้นมาในดวงตาเกรี้ยวโกรธของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชาย “นึกว่าห่วง ที่แท้ก็หวง…” ส่ายหน้าอย่างคนรู้เท่าทัน ไม่ใช่ไม่ห่วงพลอยไพลินแต่เธอเชื่อว่าเพทายไม่มีวันทำอะไรน้องสาวนอกไส้แน่ๆ จึงบ่ายหน้าเดินตามป้ายบอกทางไปห้องน้ำแทนที่จะลงลิฟท์ตามเพื่อนไปอีกคน

ยิ่งเดินลึกเสียงเพลงก็ยิ่งเบาลงบ่งบอกว่าออกมาไกลจากผู้คน จนในที่สุดก็ถึงจุดมุ่งหมาย หลังจากเข้าไปทำธุระส่วนตัวอยู่พักใหญ่ ความมึนเมาค่อยทุเลาเบาบางจึงเดินกลับออกมา ตั้งใจจะไปดูรตาว่ากลับเข้างานหรือยัง หรือว่าตามพลอยไพลินกับเพทายไปแล้ว แต่สองขาที่ก้าวเดินก็พลันชะงักเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นภาพบางอย่าง…ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังถึงเนื้อถึงตัวกันอยู่หน้าห้องน้ำชายโดยไม่สนสายตาบุคคลที่สามอย่างเธอ

คราแรกไม่คิดสนใจ คิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ที่ได้เชื่อว่า ‘มักมาก’ และเธอเองก็เคารพสิทธิมากพอที่จะไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่พอได้เห็นเสี้ยวหน้าหนึ่งของฝ่ายชายกลับต้องขยี้ตาซ้ำ ช่างเหมือนกับว่าที่เจ้าบ่าวของรตาราวกับคนเดียวกัน เจ้าเอยจับจ้องเขม็งค่อยๆ สาวเท้าขยับเข้าใกล้ ยังไม่ทันจะได้เห็นอย่างที่ต้องการข้อมือก็ถูกกระชากจนเซถลา เสียงหวีดร้องไม่ทันได้ออกจากปากก็ถูกกลืนลงคอ ริมฝีปากถูกทาบทับด้วยความอ่อนนุ่มที่ร้อนระอุจนแนบสนิท

ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตระหนก ออกแรงดิ้นหนีพร้อมกับสองมือที่ผลักไส แต่นอกจากเจ้าของริมฝีปากปริศนาจะไม่สะทกสะท้านแล้ว เธอยังรู้สึกถึงการจู่โจมที่หนักหน่วงขึ้น เขาเอียงศีรษะให้ได้องศาแล้วจู่โจมครอบครองแบบไม่เผื่อช่องว่างให้หายใจ เจ้าเอยปัดป้องจนเรี่ยวแรงเริ่มหมด ลมหายใจชักขาดช่วง ‘หรือเธอจะตาย เพราะโดนคนบ้ากามจูบ’


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น