10

ตอนที่ 10


พระพายเจ้าเอย :: ตอนที่ 10

การสระผมที่ดูเหมือนจะโรแมนติกในความคิดของใครหลายๆ คน กลับกลายเป็นสนามรบขนาดย่อมเมื่อสองพี่น้องนอกไส้เอาแต่เถียงกันไม่หยุดปาก พลอยไพลินเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในห้องส่วนตัวของเพทายด้วยความจำยอมราวห้านาทีก่อน และเปิดปากโวยวายทันทีเมื่ออีกฝ่ายเริ่มจัดการกับเสื้อผ้าตัวเอง

“จะทำอะไรคะ” ตาลีตาลานกลับหลังหันเตรียมวิ่งหนี ทว่าเขาก็ตามมาตะครุบได้ทันท่วงทีแถมยังลากลิ่วๆ เข้าไปในห้องน้ำโดยไม่ฟังเสียงโวยวาย

“ปล่อยนะ!”

“จะโวยวายทำไม แค่ให้ช่วยสระผมไม่ได้จะปล้ำเสียหน่อย”

“ทำไมต้องถอดเสื้อด้วย!”

“กลัวเสื้อเปียก ที่จริงก็อยากถอดกางเกงด้วย กลัวใครบางคนช็อคตายไปเสียก่อน” พลอยไพลินอึ้งไปหลายวินาทีก่อนจะกรี๊ดลั่น

“คนลามก!”

“ลามก! ลามกตรงไหนหรืออยากให้ถอด” ท่าทางคนพูดเหมือนจะถอดจริงๆ มือไม้เริ่มไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวหัวเข็มขัด คนยืนมองอยู่จึงรีบร้องห้ามเสียงหลง

“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”

“ไอ้นู้นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ผู้หญิงนี่เอาใจยากชะมัด” หน้าตาและน้ำเสียงเหมือนจะดุดัน หากแววตากลับแวววับ

 “รีบมาสระผมได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่ได้นอนกันพอดี” พูดจบร่างหนาก็เดินไปเอนกายนอนรอยังขอบอ่างจากุซซี่ราคาแพงลิบลิ่ว

พลอยไพลินยืนมองอ่างอาบน้ำสลับกับประตู คิดใคร่ครวญว่าถ้าวิ่งหนีไปในตอนนี้จะรอดหรือไม่

 “เอ๊า! ยืนนิ่งอยู่ได้ ถ้าผมต้องลุกขึ้นไปตามอีกรอบ จะให้อาบน้ำแทนสระผมเสียเลย”

“อะไรนะ! อะ…อาบน้ำ”

“ใช่! อาบน้ำ ถ้าอยากถูหลังให้ก็ยืนรออีกนิด เดี๋ยวถอด…”

“ไม่ต้อง สระผม ฉันจะสระผมให้คุณเอง” ค่อยๆ ขยับกายไปบนพื้นบริเวณขอบอ่าง ยืนพะว้าพะวังอย่างไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี

“นั่งลงสิ ยืนอยู่แบบนั้นจะสระได้ยังไง”

“แต่ว่าฉัน…” มือเล็กพยายามดึงชายกระโปรงลง ก็ชุดที่ใส่เป็นเดรสสีหวานความสั้นเหนือเข่า หากต้องนั่งคุกเข่าอีกคงไม่ดีนัก

“ก็ตามใจ…” พูดจบเขาก็เอนตัวลงนอน พลอยไพลินจึงขยับถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อความปลอดภัย

“มานี่!”

“ชุดมันไม่ค่อยเรียบร้อย ฉันขอไปเปลี่ยนก่อน…”

“เอาผ้าขนหนูพันไว้ แล้วก็มานั่งห้อยขาที่ขอบอ่าง” ดูเหมือนเขาจะเตรียมการไว้ให้เธออย่างดี พลอยไพลินจึงไม่อาจปฏิเสธได้ หยิบผ้าเช็ดตัวที่วางใกล้มือมาคลุม ค่อยๆ เยื้องย่างไปนั่งในระยะมือเอื้อมถึง อยู่ให้ห่างจากคนที่กำลังนอนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

กระบวนการสระผมอย่างเป็นทางการจึงเริ่มต้นอย่างเก้ๆ กังๆ คนไม่เคยสระผมให้ใครพยายามวักน้ำที่ไหลลงอ่างมาราดผม หากก็พลาดบ่อยครั้งจนเริ่มมีเสียงโวยวาย

“มันเข้าตาผม เห็นไหม…”

“ก็ฉันไม่ถนัดนี่คะ”

“ก็ทำให้มันถนัดสิ!” กล่าวจบร่างหนาก็ขยับเข้าหา เอาศีรษะฟาดลงบนต้นขาเรียวที่มีผ้าขนหนูพันรอบ พลอยไพลินผวาเฮือก! จะขยับหนีก็โดนวงแขนแข็งแรงตวัดรอบเอวเสียอีก

“จะหนีไปไหน รีบๆ สระเสียที”

“ตะ แต่ว่า…” คนไม่ประสาใจเต้นระส่ำกับความใกล้ชิดที่เกินขอบเขต เขาเปลือยอกไม่พอยังจะมานอนหนุนตักอีก

“แต่อะไรอีกล่ะ อย่าเรื่องมากได้ไหม” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ลืมเรื่องใจเต้นไปเสียสนิท เขากล้าตำหนิเธอได้ยังไง ใครกันแน่ที่เรื่องมาก แทนที่จะไปเข้าร้านทำผมดีๆ กลับมาบีบบังคับ คิดแล้วก็ได้ฮึดฮัดรีบลงมือจัดการให้เร็วที่สุดจะได้ออกไปจากห้องนี้เสียที ยื่นไปหยิบแชมพูมาปั๊บใส่มือ ขยี้แรงๆ ไปบนกลุ่มผมดำที่เปียกชื้น

 “โอ๊ยเจ็บ! เบาๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ผมนะไม่ใช่ผ้าขี้ริ้ว”

“ก็หัวคุณเหนียวซะขนาดนี้ ต้องออกแรงมากหน่อย จะได้สะอาดๆ” พลอยไพลินไม่สนใจคำโวยวาย ยังตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่จำเป็นของตนต่อไปอย่างดี ‘ใส่ทั้งแรง ใส่ทั้งอารมณ์’

“ไม่ไหวแล้ว พอๆ” เพทายคว้าแขนเล็กไว้โดยพลัน จ้องน้องสาวนอกไส้ตาเขียวปั๊ด “เคยสระผมไหมเนี่ย ถามจริง”

“เคยสระให้ตัวเอง ไม่เคยสระให้คนอื่น”

“แต่ผมไม่ใช่คนอื่น…”

“ใช่!”

“ไม่ใช่!”

“ก่อนหน้านี้ฉันอาจจะนับถือคุณเป็นพี่เพราะคุณเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ แต่นับจากวินาทีนี้ไปไม่ใช่! ฉันไม่อยากมีพี่ชายอย่างคุณ!” พลอยไพลินเถียงดังลั่น ตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยใส่ใจยามโดนเขาแกล้งต่างๆ นานา ทว่าวันนี้มันเกินไป ต่อให้เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เธอยังสงสัยว่าจะมีพี่ชายที่ไหนบังคับน้องสาวมาสระผมให้ในสถานที่มิดชิดแบบนี้บ้าง

“ก็ดี! จำคำพูดตัวเองไว้ก็แล้วกัน”

“แน่นอน!” ตอบรับอย่างเย่อหยิ่ง จับศีรษะที่พาดอยู่บนต้นขายกออก “ตั้งแต่ตอนนี้เลย ฉันไม่ใช่น้องสาวของคุณ เพราะฉะนั้นไม่สระผมแล้ว”

มีหรือที่เพทายจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ถือวิสาสะจับมือทั้งสองข้างมากุมไว้แน่น “ไม่ใช่น้อง ยิ่งต้องสระ…”

“ฐานะอะไรไม่ทราบ คุณไม่มีสิทธิ์มาใช้ฉัน!”

“ฐานะแฟนไง สนใจไหม…” อึ้งไปหลายวิกับคำตอบที่ไม่คาดคิดจะได้ยิน “ว่าไงสนใจไหม” สีหน้าและน้ำเสียงแลดูเชื้อเชิญ สองมือที่โดนกุมก็ถูกลูบเบาๆ ราวกับขับกล่อมให้โอนอ่อนตาม

“อย่ามาล้อเล่นบ้าๆ แบบนี้นะ” พยายามดึงมือออกก็ไม่เป็นผล ขยับหนีก็โดนตะครุบไว้เสียอีก จึงเสียหลักล้มลงไปนั่งอยู่บนตักของคนไม่ใส่เสื้อ แถมสองมือของเขาจึงตวัดรอบเอวเธอแน่น

“ปล่อย! อยากล้อเล่นก็ไปหาคนอื่นนู้น” แม้จะด้อยผละกำลังกว่าหากไม่ยอมโดนเอาเปรียบง่ายๆ ทั้งดิ้น ทั้งขัดขืน ซึ่งก็เหมือนโดนกอดแน่นขึ้นไปอีก

 “ไม่ได้ล้อเล่น ผมจริงจัง” น้ำเสียงแผ่วๆ ที่ดังขึ้นข้างหู เล่นเอาพลอยไพลินขนลุกซู่ “ลองพิจารณาก่อนก็ได้ แล้วค่อยตัดสินใจ”

“ไม่! คิดจะมาแกล้งอะไรฉันอีก” คนโดนกอดเบนหน้าออกห่าง หันมองหน้าคนนั่งซ้อนข้างหลังอย่างจับผิด แม้จะเนื้อตัวร้อนผ่านกับความใกล้ชิดแต่เธอก็อยากรู้ความคิดของเขามากกว่า

“ไม่ได้แกล้ง ก็บอกว่าจริงจัง”

“คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ ก็เราเป็นพี่น้องกัน แล้วอยู่ๆ ” ยังพูดไม่ทันจะจบ ก็ถูกมือหนามาแตะเบาๆ บริเวณริมฝีปาก

“เมื่อกี้พลอยบอกเองนี่นา ว่าเราไม่ใช่พี่น้องกัน”

“ถึงยังไงก็…”

“ผมเฝ้ามองคุณมานานเกินไปแล้ว นานจนใกล้บ้าเต็มที” เป็นการตะลึงตะลานไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ของวัน พลอยไพลินแทบหยุดหายใจกับคำสารภาพที่แสนจะตรงไปตรงมา

“ไม่จริง คุณโกหก” แม้จะเห็นความหนักแน่นที่ส่งผ่านสายตามมาหากยังไม่อยากเชื่อ แต่เล็กจนโตเขาไม่เคยมีทีท่าพิเศษอะไรกับเธอเลยนอกจากความมึนตึง แล้วจะให้เชื่อคำพูดของเขาได้ยังไง

“รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก็แล้วกัน” มือหนายื่นไปประคองใบหน้าสวย ให้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเบาๆ ที่ข้างแก้มเนียน “เวลา…นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป”

พลอยไพลินไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธเพราะวินาทีต่อมา ริมฝีปากก็ถูกครอบครองด้วยสัมผัสแผ่วเบา ดั่งหลอกล่อให้ลุ่มหลงไปกับคำเชิญชวนของเขา

อีกมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ ทันทีที่รถแท็กซี่จอดสนิท รตาก็รีบเปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็ว เธออึดอัดและรำคาญเต็มทีที่ต้องทนนั่งรถมาคันเดียวกับอดีตสามี

นิมมานรีบตามลงมารั้งแขนไว้ ก่อนหญิงสาวจะเข้าไปในบ้าน “เดี๋ยวก่อนรตา เรายังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย”

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ปล่อย!”

“แต่ผมมี คุณจะไม่ยกโทษให้ผมเลยเหรอ ไหนบอกว่าเรารักกันไง!”

“เคยรัก! ตอนนี้ฉันเกลียดคุณ ได้ยินไหมว่าฉันเกลียดคุณ!” รตาสะบัดมือออก ขยับถอยหลังสองสามก้าว มองคนที่ทรยศต่อความรักของเธออย่างแค้นเคือง ระหว่างที่นั่งรถมาเขาพร่ำขอโทษเธอมาตลอดทาง เธอก็ใช้ความเงียบเป็นการตอบโต้

“ไม่จริง! คุณไม่ได้เกลียดผมหรอก คุณแค่กำลังโกรธ” นิมมานพูดอย่างเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง “ไม่เอาน่า คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงพวกนั้น เรื่องในวันแต่งงานก็ไม่เห็นมีอะไร ผมไม่ได้นอนกับเธอเสียหน่อย” กล่าวจบใบหน้าหล่อก็สะบัดจนหน้าหันจากแรงตบของฝ่ามือเล็ก

 “ไม่มีอะไรงั้นเหรอ คุณคิดว่าการแต่งงานคืออะไร แล้วความรักคืออะไร จนเดี๋ยวนี้คุณยังไม่คิดว่าตัวเองผิดด้วยซ้ำ”

“มันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย ช่วงที่เราคบกันคุณก็รับได้” แม้ข้างแก้มจะเจ็บจนชา นิมมานยังไม่วายหาเหตุผลมาแย้ง

“ฉันรับไม่ได้หรอก ที่ไม่ไปยุ่งวุ่นวายเพราะคุณรับปากว่าจะเลิกเจ้าชู้ทันทีที่เราแต่งงานกัน คุณบอกเองว่าจะซื่อสัตย์กับฉันแต่ก็ผิดคำพูด ขนาดวันแต่งงานแท้ๆ คุณยังไปยุ่งกับผู้หญิงพวกนั้น” น้ำตาคนพูดไหลพรั่งพรูระบายสิ่งที่กักเก็บในใจออกมาจนหมด

 “ผมไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าที่คุณเห็น ผมแค่…”

“พอเถอะ! คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เราจบกันแล้วไปตามทางของคุณซะ ฉันก็จะไปตามทางของฉันเหมือนกัน” เมื่อจบสิ่งที่พูดรตาหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน พลันสองขาก็ต้องชะงักกับประโยคที่ดังตามหลัง

“ผมรักคุณ…” ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เธออาจจะใจอ่อนยอมให้อภัยในสิ่งที่เขาทำอีกครั้ง แต่หลังจากผ่านเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาเธอก็ไม่อาจทำใจให้เชื่อคำพูดของผู้ชายคนนี้ได้อีก

“คุณไม่ได้รักฉันหรอกคุณนิมมาน คุณรักใครไม่เป็นด้วยซ้ำ”

“ไม่จริง! ผม…”

“รตา ทำไมไม่เข้าบ้าน” บรรยากาศแสนเศร้าถูกขัดขึ้นด้วยประโยคของใครคนหนึ่ง ที่เดินออกมาจากข้างในรั้วบ้านเลิศวรรธน์

นิมมานมองผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้าด้วยความแปลกใจ จะว่าญาติก็ไม่น่าใช่เพราะไม่คุ้นหน้า จะว่าเพื่อนก็ไม่น่ามาดึกๆ ดื่นๆ ที่สำคัญเขาได้ยินมาว่าช่วงสองสามวันนี้พ่อแม่ของรตาไม่อยู่ แล้วทำไมถึงมีผู้ชายคนอื่นมาอยู่ที่นี่ได้

“เฮนรี่! มาได้ไง” ใบหน้าที่เปื้อนเปรอะน้ำตาเมื่อครู่ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้ม เดินเข้าไปกอดคนที่เพิ่งออกมาจากบ้านด้วยความดีใจ

“ผมมาได้สักพักแล้ว ได้ยินเสียงรถมาจอดจึงออกมาดู” มือหนาตบที่แผ่นหลังเล็กเบาๆ อีกมือก็ลูบที่กลุ่มผมยาว สายตาตวัดมองผู้ชายอีกคนอย่างไม่ไว้ใจ

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า คุณโอเคไหม” รตาผละออก เงยมองผู้ชายตรงหน้าพร้อมกับส่ายหัว

“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องไม่เป็นเรื่องนะ เราเข้าบ้านกันเถอะ” พูดจบมือเล็กก็ตวัดรอบเอวคนตัวโตกว่า เอนศีรษะซบไหล่แข็งแรงเดินเคียงคู่กันเข้าบ้านไป ทิ้งไว้เพียงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอดีตสามีให้ยืนอยู่ที่เดิม

กว่านิมมานจะตั้งสติได้ ประตูรั้วบ้านก็ปิดลงไปนาน ภาพความสนิทสนมที่ได้เห็นทำให้หัวใจคล้ายกับถูกบีบรัด เรี่ยวแรงพาลจะหมดเอาดื้อๆ สิ่งที่คิดว่าอยู่ในกำมือมานานเหมือนจะหลุดลอย

‘รตามีคนใหม่ เธอกำลังจะทิ้งเขาไป’

เช้าวันต่อมา

                กองเอกสารที่สุมอยู่เต็มโต๊ะทำให้คนที่เพิ่งมารับตำแหน่งผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการได้ไม่กี่ชั่วโมงต้องหาวแล้วหาวอีก เมื่อคืนกว่าเธอจะได้นอนก็ปาไปดึกดื่น พระพายขับรถมาส่งที่บ้านวชิรวิทย์ตอนสี่ทุ่มกว่า แทนที่จะรีบกลับยังมัวโอ้เอ้ถามนั่นถามนี่จนเธอต้องไล่อยู่หลายรอบ พออาบน้ำเสร็จเตรียมตัวนอนรตาก็โทรมาร้องไห้ฟูมฟายอีกพักใหญ่ ระบายความเสียใจจากคำพูดของอดีตสามีจนต้องปลุกปลอบอยู่นาน นับๆ แล้วจึงได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง พอลงมาชั้นล่างก็เจอคู่ปรับนั่งเสนอหน้ารออยู่อีก เขาบอกว่ามารับเธอไปทำงานพร้อมกันเพราะเมื่อคืนขับรถเธอดลับ พอเห็นใบหน้าที่แสนจะสะลึมสะลือ ใต้ตาที่ดำคล้ำของเธอเท่านั้นเสียงล้อเลียนก็ดังขึ้นทันที 

“เป็นกบอย่างเดียวไม่พอหรือไง ยังอยากจะเป็นหมีแพนด้าอีก” ดูถ้อยคำของหมอนั่น มันน่านั่งรถไปด้วยที่ไหน หากสุดท้ายก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อคุณน้าลงมาสมทบ แล้วร่วมเออออไปกับพระพายโดยบอกว่า ‘ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ก็ดีจะได้เรียนรู้กันไป พอแต่งงานจะได้ไม่มีปัญหา’ เจ้าเอยจึงเดินปึงๆ ขึ้นรถมาอย่างกระเง้ากระงอดยังไม่มีอารมณ์จะโต้แย้งกับใคร ไม่ว่าจะเป็นคุณน้าหรือคนขับรถจำเป็น

                แอร์เย็นๆ บวกกับความเงียบที่ปกคลุมทำให้ทนนั่งนิ่งต่อไปไม่ไหว เจ้าเอยฟุบหน้าลงบนโต๊ะทำงานคิดจะพักผ่อนสายตาสักห้านาทีสิบนาที หลับได้ไม่เท่าไหร่ก็รับรู้ถึงวัตถุบางอย่างที่ลอยมากระทบหัว เงยหน้าขึ้นมองก็เจอกับกระดาษก้อนใหญ่พุ่งมาปะทะใบหน้าแบบพอดิบพอดี

“โอ๊ย! เล่นบ้าอะไรเนี่ย” เจ้าเอยฉุนกึก ตวัดมองคนที่นั่งเยื่องอยู่ทางด้านขวาอย่างแค้นเคือง คุณน้าก็ช่างจัดห้องจริงๆ คิดได้ไงให้หมอนี่มานั่งห้องเดียวกับเธอ

“คิดจะอู้หรือไง อ่านเอกสารหมดแล้วเหรอ” แม้มาดนักธุรกิจที่ไม่ชินตาจะทำให้เขาดูน่ามองไม่น้อย แต่มันก็คนละส่วนกับที่เธอไม่ชอบหน้า

“ไม่ได้อู้! แค่พักผ่อนสายตา”

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

“ไม่เหมือน!”

“เหมือน…”

เจ้าเอยยิ่งฮึดฮัดเมื่อเห็นรอยยิ้มยียวน สายตาที่มองมาก็ราวกับสบประมาท ไม่เชื่อว่าเธอจะรับภาระที่หนักอึ้งนี้ไหว “ฉันบอกว่าไม่เหมือนก็คือไม่เหมือน” มือบางหยิบก้อนกระดาษขว้างกลับคืน พอเห็นอีกฝ่ายหลบหลีกได้ก็ยิ่งโกรธ “แน่จริงอย่าหลบสิ!”

“เรื่องอะไรจะนั่งเป็นเป้านิ่งล่ะ”

“ไม่แน่จริงนี่นา…”

“แน่ไม่แน่! ก็ต้องพิสูจน์เอง” ยักคิ้วลิ่วตาเป็นการตบท้าย คนโมโหเลยปรี๊ดเข้าไปใหญ่

“อี๋! อย่ามาทำตาเล็กตาน้อยใส่ฉันนะ”

“กลัวหลงรักผมหรือไง” โดยย้อนกลับมาอีกก็แทบจะกรี๊ด! ทนนั่งต่อไปไม่ไหวจึงลุกจ้ำพรวดๆ ไปยังประตู ขอออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ไร้คนกวนประสาทข้างนอกสักหน่อยก็ยังดี แต่ยังไม่วายมีเสียงตะโกนตามหลัง

“ชงกาแฟมาให้ผมด้วย”

“ฉันไม่ใช่แม่บ้านนะยะ!” แหวอย่างเหลืออด กล้าดียังไงมาใช้ทายาทมหาเศรษฐีรุ่นต่อไปของบ้านวชิรวิทย์อย่างเธอชงกาแฟ

“รู้ว่าไม่ใช่ ไหนๆ ก็อู้แล้วไหว้วานหน่อยไม่ได้หรือไง ผมต้องอ่านเอกสารอีกเป็นตั้ง” พระพายบุ้ยปากให้ดูหลักฐาน ซึ่งรายละเอียดความสำคัญมีตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ ไหนจะสัญญาคู่ค้าต่างๆ รวมถึงผลประกอบการปีก่อนๆ

“มีแผนการอะไรหรือเปล่า” คนตั้งสมมติฐานยกมือขึ้นกอดอก มองคู่ปรับอย่างประเมินสถานการณ์ ถ้าเธอเดินออกไปอาจจะเสียเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นเขาอาจทำอะไรตุกติก

“อยากให้ฉันไปนานๆ เพราะมีจุดประสงค์อื่นหรือเปล่า หรือว่า…” เจ้าเอยสาวเท้าเข้ามาใกล้ ใช้สองมือเท้าบนโต๊ะ ยื่นหน้าเข้าไปจ้องเขม็งอย่างจับผิด “นัดใครไว้ใช่ไหม จะให้ผู้หญิงขึ้นมาหาล่ะสิ”

ปากกาในมือยื่นไปเคาะหัวเจ้าเอยเสียหนึ่งที จนอีกฝ่ายร้องลั่นยกมือกุมไว้พร้อมกับใบหน้าบึ้งสนิท “มาตีหัวฉันทำไม”

“ช่างจิตนาการจริงๆ แม่คุณ” พระพายยิ้มขำ ใบหน้าก็ส่ายไปมาอย่างระอา

“เรียกว่ารู้ทันจะดีกว่า คนอย่างนายจะมีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องผู้หญิง”

“รู้ดี…”

“อยู่แล้วยะ” เจ้าเอยเชิดหน้า มั่นอกมั่นใจในความคิดของตัวเองที่สุด

 “ไม่ต้องหึงหรอกน่า ผมไม่ได้นัดใครทั้งนั้นแหละ” ประโยคเข้าข้างตัวเองของพระพายเล่นเอาเจ้าเอยชะงัก ก่อนใบหน้าจะขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่รู้

 “บ้า! ใครหึงนาย ไร้สาระจริงๆ” ว่าแล้วก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง โดยมีย้ำดังตามหลัง

“อย่าลืมกาแฟผมนะ”

“รู้แล้วน่า!” แล้วประตูก็ปิดลง พระพายยิ้มกว้าง รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก มิเสียแรงเลยที่ลงทุนทำอะไรตั้งมากมายเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ๆ ‘ยัยตัวแสบ รออีกหน่อยเถอะ ผมจะทำให้คุณหายโกรธให้ได้’

เจ้าเอยเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไปยังแพนทรี่ของชั้นผู้บริหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแม่บ้านประจำอยู่เพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้กับคุณน้าดารินและแขกที่มาติดต่อธุรกิจ จึงคิดจะชิ่งหนีการชงกาแฟโดยไหว้วานให้แม่บ้านจัดการแทน ทว่ากลับไม่มีคนอยู่ สุดท้ายคนที่ไม่ค่อยจะหยิบจับอะไรจึงต้องลงมือเอง

“หมอนั่นดื่มสูตรไหนล่ะเนี่ย” ปากก็บ่นพึมพำ สายตาก็กวาดมองรอบๆ ด้วยความไม่คุ้นชิน “กาแฟ ครีมเทียม” มือเล็กหยิบนั่นจับนี่ มาวางเตรียมพร้อมเพื่อโชว์ฝีมือ “น้ำตาลหมดนี่นา ถุงสำรองอยู่ไหนน๊า” ก้มๆ เงยๆ มองหาเพราะคิดว่าแม่บ้านไม่น่าปล่อยปละละเลยจนไม่มีเผื่อไว้ จนไปเจอในตู้ที่อยู่เหนือหัว

จังหวะที่จะหยิบออกมานั่นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่วางเคียงคู่กัน ดวงตากลมโตวาววับราวกับเจอของถูกใจ หยิบสิ่งที่วางอยู่เคียงข้างถุงน้ำตาลออกมา

“อร่อยแน่ ไอ้เป็ดเหลือง!” กระตุกยิ้มอย่างหมายมั่น กาแฟถ้วยนี้จะทำให้หมอนั่นประทับใจในฝีมือเธอไปตลอดแน่ๆ

เสียงเคาะประตูที่ดังมาก่อนตัว ทำให้คนที่จมอยู่กับเอกสารเงยหน้าขึ้นมองพอเห็นว่าใครเดินถือถาดกาแฟเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก็เผลอยิ้มตามอย่างลืมตัว

“กาแฟมาแล้วค่ะ” น้าน! เสียงยังหวานอีก คำว่า ‘ชื่นใจ’ พระพายเพิ่งเข้าใจความหมายก็ตอนนี้นี่เอง ในถาดมีถ้วยกาแฟพร้อมแก้วน้ำเปล่าและอีกหนึ่งแก้วน้ำส้ม เจ้าเอยหยิบสองแก้วแรกส่งให้คนนั่งรอ ส่วนแก้วน้ำส้มอยู่ที่เดิมเสมือนบ่งบอกว่าแก้วนี้ของตน

“ฉันไม่รู้ว่าคุณชอบทานแบบไหน เลยชงสูตรปกติมาให้ค่ะ กาแฟ 2 น้ำตาล 2 ครีมเทียม 2” พระพายเหลือบมองถ้วยกาแฟที่กลิ่นหอมฟุ้งสลับกับคนทำ

เห็นอีกฝ่ายทำท่าละล้าละลังเจ้าเอยจึงเดินอ้อมมายืนข้างๆ หยิบกาแฟส่งให้ถึงมือ “ลองชิมดูสิคะ ฉันทำสุดฝีมือเลย”

“กินได้แน่นะ” แม้จะดีใจที่อีกฝ่ายทำตามคำสั่ง ก็บอกตรงๆ ว่าไม่ไว้ใจสักนิด

“ถ้าดูถูกกันขนาดนี้ก็อย่าดื่มเลยดีกว่า” น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อในบัดดล ยื่นมือไปหยิบถ้วยกาแฟกลับคืน พระพายจึงรีบเบี่ยงตัวหนี

“ไม่ได้บอกว่าไม่ชิมเสียหน่อย แค่ถามให้มั่นใจ” พูดจบก็ยกขึ้นมาดม สูดความหอมของกาแฟเข้าปอด กลิ่นไว้ใจได้จนเริ่มรู้สึกอยากลิ้มลอง

“งั้นก็ลองดื่มเลยค่ะ รับรองจะติดใจ” หยุดชั่งใจอยู่นิดก่อนจะยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจรดริมฝีปาก เจ้าเอยมองอย่างลุ้นระทึก เมื่อใดที่เขาได้ลิ้มรสเธอจะหัวเราะออกมาให้สุดเสียง กาแฟ 2 ครีมเทียม 2 นะใช่ แต่น้ำตาลเผอิญว่าเธอ (แกล้ง) มองไม่เห็น เลยเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นให้แทน

“แต่ผมว่าเรามาดื่มด้วยกันดีกว่า”

“คะ” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เมื่อกาแฟที่เกือบจะเข้าปากกลับยื่นกลับมาหาตน

“ผมรู้ว่าคุณไม่ค่อยได้ชงดื่มเอง น่าจะชิมหน่อยว่าฝีมือตัวเองเป็นยังไง”

“เอ่อ ฉันไม่ดื่มกาแฟค่ะ” ปฏิเสธเสียงระรัว แค่นึกถึงความเค็มของเกลือสองช้อนที่ใส่มาก็ขยาด

“ก็ไม่ต้องดื่มมากไง แค่ชิม…” พระพายผุดลุกขึ้น เห็นสีหน้าท่าทีของสาวเจ้าก็เดาได้ทันที ‘กาแฟคงไม่ปกติจริงๆ’

“ไม่ค่ะ ฉันไม่ชอบ” เจ้าเอยถอยกรูด เรื่องอะไรเธอต้องหาเรื่องให้ไตทำงานหนักด้วย

“ไม่ชอบหรือว่าใส่อะไรลงไปทำให้กินไม่ได้”

“ใส่อะไรที่ไหน อย่ามามั่วนะ” ทำเสียงแข็งเข้าสู้ แสร้งโมโหโกรธาดึงถ้วยกาแฟกลับคืน “คนอุตส่าห์ชงให้ งั้นก็ไม่ต้องกิน”

“ถ้าบริสุทธิ์ใจก็กินด้วยกัน”

“ก็ฉันไม่ชอบ…”

“แบบนี้ก็ไม่น่าไว้ใจ”

“ก็ไม่ต้องกิน” เจ้าเอยหยิบถ้วยกาแฟไปวางไว้ที่โต๊ะตน ทำเป็นไม่สนใจสายตาที่เหลือบมองมาอย่างจับผิด

คนที่มั่นใจแล้วว่ากาแฟไม่ปลอดภัยแน่ๆ จึงได้แต่ส่ายหน้า เดินกลับโต๊ะแล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแทน พอลิ้นสัมผัสกับน้ำเท่านั้นแหละ ความเค็มก็แล่นผ่านปลายประสาทของลิ้นจนกระจายทั่วทั้งปาก น้ำถูกพ่นพรวดออกมาเปรอะพื้นห้อง

เจ้าเอยหัวเราะเสียงใสๆ ในที่สุดเขาก็หลงกล “คิดว่าฉันจะใส่เกลือมาแค่ในกาแฟหรือไง ในเมื่อคุณฉลาดขนาดนี้ ฉันก็ต้องฉลาดกว่า” มือเล็กทุบโต๊ะด้วยความขำขัน เห็นอีกฝ่ายหน้าดำหน้าแดง ไอค๊อกแค๊ก น้ำหูน้ำตาไหลก็ยิ่งชอบใจ

“เจ้าเอย!” พระพายก้าวฉับๆ ไปหาคนก่อเรื่อง ในระหว่างที่อีกฝ่ายไม่ทันระวัง วงแขนแข็งแรงกอดรัดแน่นรอบเอว ดึงรั้งให้เดินมาทางแก้วน้ำเปล่า

“กรี๊ด! จะทำอะไรนะ ไอ้เป็ดบ้าปล่อยนะ!”

 “ก็คุณพูดซะเยอะ คอคงแห้งแย่…”

“ไม่ดื่ม ไม่เอานะ!” เจ้าเอยเบนหน้าหนี ยามเขาหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจ่อปาก มือทั้งสองแม้จะถูกรวบแต่ก็พยายามบิดออก

“ดื่มเลย เดี๋ยวนี้ จะได้รู้ว่ามันเค็มขนาดไหน”

“ไม่ดื่ม ไอ้เป็ดบ้า ปล่อย!”

“ดื่มซะดีๆ”

“ไม่มีทาง!”

“ไม่มีทางเหรอ…” เจ้าเอยมัวแต่เบี่ยงหน้าหลบจนไม่ทันได้เห็นว่าเขาทำอะไร รู้แต่ว่าอึดใจต่อมาก็โดนมือข้างหนึ่งของเขาเลื่อนขึ้นมากระชับท้ายทอยบังคับให้หันมาหา วินาทีต่อมาริมฝีปากก็ถูกทาบทับ รสชาติเค็มๆ ไหลผ่านเข้ามาในปากอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“เป็นไง เค็มมากไหม” เขาผละออกในเวลาต่อมา ในขณะที่เจ้าเอยยังไอเพราะสำลัก

“ไอ้บ้า! ไอ้เป็ดบ้า!” คนขี้แกล้งยังไม่วายด่าทอ พระพายจึงกล้ำกลืนฝืนอมน้ำแล้วถลาเข้าไปจูบอีกครา

จากที่อยากเอาคืน ชักจะเริ่มเลยเถิดเมื่อความเค็มถูกหารแบ่งคนละครึ่ง มือเล็กที่ผลักไสก็เริ่มไร้แรงต้านทาน ในขณะที่คนจูบก็เริ่มรู้สึกถึงความหวานแทนความเค็ม อาจเป็นได้ว่าเกลือในแก้วน้ำ จะถูกน้ำลายทำปฏิกิริยาจนแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาลไปแล้ว

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น