2

ตอนที่ 2


                ก่อนที่จะหมดลมหายใจไปจริงๆ สติสัมปชัญญะก็พลันหวนคืน รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างล่วงล้ำเข้ามาในปาก ให้ตายสิ! เธอไม่เคยโดนล่วงเกินแบบน่าเกลียดขนาดนี้มาก่อน จากความกลัวเริ่มกลายเป็นโมโหจนก่อให้เกิดแรงฮึดสู้ ไม่มีการดิ้นรนหรือผลักไสอีกเพราะรู้แล้วว่าสู้แรงไม่ได้ แต่มีอย่างหนึ่งที่เธอสามารถทำได้

                “โอ๊ย!” เสียงร้องแผดขึ้นทันทีที่ฟันคมๆ กัดสิ่งที่รุกล้ำแบบเต็มแรง และมันก็ได้ผลเมื่อคนล่วงเกินผงะถอยหลังไป

                “แก! ไอ้โรคจิต ไอ้บ้ากาม กล้าดียังไงมา…” ปากก่นด่าผุดคำผรุสวาทออกมาได้เท่านั้นก็ชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่ล่วงเกินเธอชัดๆ “ไอ้เป็ดเหลือง!” ทั้งตกใจทั้งโกรธขึง นิ้วสั่นระริกยามชี้ไปยังคนที่อยู่ๆ ก็โผล่มา

ชายหนุ่มรูปร่างสูงราว 185 เซนติเมตร ผิวสองสีค่อนไปทางขาว ผมหยักศกย้อมด้วยสีน้ำตาลตามแฟชั่น รูปหน้าเรียว ตาโต จมูกโด่ง ริมฝีปากกระจับ ก่อนหน้านี้ครอบครัวเธอกับเขาสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างดีเนื่องจากน้าสาวกับมารดาของผู้ชายตรงหน้าเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่จู่ๆ เขาก็เงียบหายไปหลายปีโดยไม่บอกไม่กล่าว

“มะ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…”

                “ยัยกบเขียว จะบ้าหรือไงกัดมาได้” คนเจ็บไม่ตอบข้อสงสัย ยกมือกุมปากพร้อมกับบ่นอู้อี้ “ลิ้นจะขาดหรือเปล่าก็ไม่รู้”

                ฉายายามเด็กที่มีเพียงคนคนเดียวเรียกทำให้เจ้าเอยชะงัก ตอนเด็กๆ เธอชอบดูเคโรโร๊ะ เวลาโกรธก็ชอบทำแก้มป่องถลึงตาใส่ผู้คน ‘กบเขียว’ จึงเป็นฉายาที่ผู้ชายตรงหน้าเรียก เหมือนกับเธอที่เรียกผู้ชายบ้าตุ๊กตาซิมสันแถมชอบทำปากยื่นปากยาวว่า ‘เป็ดเหลือง’

                เจ้าเอยเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน จริงสิ! หมอนี่ล่วงเกินเธอ รับไม่ได้ตั้งแต่ประกบปากนี่ยังส่ง ‘ลิ้น’ มาหยามอธิปไตยอีก “ดี! ให้มันขาดไปเลย ไอ้โรคจิต” วีนเหวี่ยงด้วยความโมโหเต็มขั้น

                “โวยวายไปได้ โดนจูบมาตั้งแต่แปดขวบยังไม่ชินอีก” คนได้ฟังตาเบิกโพลง ภาพสมัยเด็กแวะเวียนมาในหัวให้นึกอาย ก็จริงอย่างที่เขาว่าเธอโดนหมอนี่ขโมยจูบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเลยด้วยซ้ำ

                “ผมไม่ได้ตั้งใจจูบคุณเสียหน่อย ก็นึกว่าเป็นสาวที่ควงมาเสียอีก”

                “นี่นายกำลังจะบอกว่า ‘เข้าใจผิด’ เห็นฉันเป็นพวกผู้หญิงตาต่ำที่นายควงมางั้นเหรอ!” ความโกรธขึงแล่นขึ้นหน้าเป็นริ้วๆ อยากอาละวาดเต็มที นี่ถ้าไม่ติดว่ากลัวเสียงจะเล็ดรอดจนคนอื่นได้ยินล่ะก็ คงไม่พูดไปกัดฟันกรอดๆ ไปอยู่แบบนี้หรอก

“ก็ดันใส่ชุดคล้ายกับที่ผมควงมาเองนี่นา ช่วยไม่ได้…”

“ช่วยไม่ได้งั้นเหรอ!”  มือเล็กกำแน่นจนเส้นเลือดปูด ความโกรธขึงที่พยายามระงับขาดผึง เท้าเล็กจ้ำพรวดๆ เข้าหาคนที่ไม่พบเจอกันนานอย่างลืมตัว หมัดเล็กๆ เหวี่ยงเต็มแรงหวังจะให้กระทบกับใบหน้าหล่อ แต่ก็พลาดเพราะคนตั้งรับหลบหลีกอย่างรู้เท่าทัน คนเข้าไปเอาเรื่องจึงเสียหลักเกือบล้มหน้าคว่ำ ยังดีที่วงแขนแข็งแรงตวัดรับไว้ได้ทันท่วงที

. วินาทีนั้นดั่งกับฉากโรแมนติกของพระเอกนางเอกในนิยายสักเรื่อง ตาสบตาใบหน้าก็ใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจ ฉากต่อไปพระเอกนางเอกคงค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าหากันอย่างเผลอไผลจนจบที่จุมพิตแสนหวาน ทว่าไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะเกิดกับคนอย่างเจ้าเอยแน่นอน

“ปล่อยนะไอ้คนบ้า!” พอตั้งหลักได้ก็โวยวายผลักผู้ชายตัวโตให้ออกห่าง แต่เหมือนยันกำแพงก็ไม่ปาน ยักษ์ปักหลั่นไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด

“บอกให้ปล่อย…” มองตาเขียวปั๊ด สองมือทั้งฟาด หยิก ข่วน เท่าที่สภาพจะอำนวย จนคนไม่มีมือปัดป้องต้องกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น เจ้าเอยจึงไม่สามารถขยับได้อีกแม้แต่มือ

“แน่ใจหรือว่าอยากให้ปล่อย…” คนถามเลิกคิ้วสูง รอยยิ้มระรื่นส่งมาพร้อมสายตาแพรวพราวที่เจ้าเอยดูยังไงก็กวนอวัยวะเบื้องล่างสุดๆ

“แน่ใจ! ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย” เจ้าเอยไม่เหลืออาการมึนแม้แต่เพียงนิด สติสัมปชัญญะครบถ้วนเกินกว่าปกติเสียอีก ยิ่งเห็นหน้าคนที่ไม่อยากเจอใกล้ๆ เรื่องราวเก่าๆ ในอดีตก็ยิ่งย้อนกลับมาตอกย้ำ ‘อย่าคิดว่าเธอจะลืมง่ายๆ’ “ปล่อยสิ!” ย้ำเสียงเข้ม ถลึงตาใส่ ประมาณว่าถ้าสายตาเป็นสิ่งของมีคมประเภทมีด ใบหน้าของ ‘พระพาย’ คงได้แหลกเป็นชิ้นๆ

“ปล่อยก็ได้ ดุจริงๆ คนอุตส่าห์ช่วย” คนกอดคลายมือโดยไม่ส่งสัญญาณใดๆ ผลลัพธ์ที่ได้คือ คนไม่ทันตั้งตัวเสียหลัก

เพราะโลกมีแรงโน้มถ่วงเจ้าเอยจึงเดาได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น หากหงายหลังก้นกระแทกพื้นในสภาพนี้คงดูไม่จืดแน่ๆ ด้วยสัญชาตญาณจึงไขว้คว้าสิ่งที่อยู่ใกล้มือที่สุดเป็นหลักยึด ซึ่งก็มีแค่สิ่งเดียวนั่นคือ ผู้ชายตัวโตที่เพิ่งปล่อยมือจากเธอ “ว๊าย…” ปากร้องส่วนมือก็ตวัดคล้องรอบลำคอหมับ

หลับตาปี๋อยู่ครู่จนแน่ใจว่าไม่ล้มลงไปแน่ๆ จึงค่อยหายใจได้ทั่วท้อง ปรือตามองพื้นอย่างใจหายใจคว่ำ “เห้อ เกือบไปแล้ว” โล่งอกได้ไม่นานก็รับรู้ถึงแรงรัดที่อยู่รอบลำตัว จึงเบนสายตาไปทางสิ่งที่ยึดเหนี่ยว ยังไม่ทันได้เห็นหน้าก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ และบางสิ่งบางอย่างสัมผัสข้างแก้ม ตามมาด้วยเสียงสูดลมหายใจอีกฟอดใหญ่

คนโดนหอมแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ รีบปล่อยมือแล้วกระโดดถอยหลังไปสองสาวก้าว “นี่นาย…”

“ถ้าจะกล่าวหาอะไรก็ช่วยคิดก่อน ใครที่บอกให้ปล่อย ใครจะล้ม แล้วใครที่ยกมือมาคล้องคอผม” ปากที่เตรียมอาละวาดถึงกับค้าง เพราะประโยคเหล่านั้นเป็นจริงทุกอย่าง

“แล้วทำไมต้องหอมด้วย สูดลมหายใจเข้าไปทำไมห๊ะ!”

“คนเราก็ต้องหายใจเข้า หายใจออกเป็นธรรมดา ไม่ได้หอมซักหน่อย”

สีหน้ากวนๆ บวกปฏิกิริยายักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ ยิ่งสงผลให้เจ้าเอยปรี๊ดแตก อยากจะฆาตกรรมคนนักแต่ก็รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือวาจา จึงได้แต่กระฟัดกระเฟียด สะบัดบ๊อบใส่ เดินจ้ำพรวดๆ หนีออกมาให้ห่าง

“เดินช้าๆ ก็ได้แม่คุณ เดี๋ยวส้นรองเท้าก็หักพอดี” คำตะโกนตามหลังทำให้เจ้าเอยหันกลับไปถลึงตาใส่ แล้วเดินเข้าไปในลิฟท์ที่หยุดส่งคนชั้นนี้พอดี

คนยืนมองหัวเราะตามหลัง จนประตูลิฟท์ปิดถึงได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงานปาร์ตี้สละโสดของนิมมานต่อ เขาเพิ่งบินกลับมาจากอังกฤษได้ไม่ถึงอาทิตย์ พอทราบข่าวว่าเพื่อนรักที่คบหากันมาตั้งแต่เด็กกำลังจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ก็ตกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าเพลย์บอยตัวพ่อจะด่วนคิดสั้น ในความคิดของเขาผู้ชายอายุ 28  ถือว่าไม่มากยังใช้ชีวิตโสดไม่คุ้มด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่าความรักไม่เข้าใครออกใคร นิมมานบอกเองว่ารักผู้หญิงที่ชื่อ ‘รตา’ สุดหัวใจ นิสัยเจ้าชู้ที่สะสมมาตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มก็อาจจะถูกความรักหลอมละลายจนหายไปแล้วก็เป็นได้ 

“อ้าว! ไอ้พระพาย มายืนหันรีหันขวางทำไมตรงนี้วะ” มัวแต่เดินเหม่อลอยจึงไม่ทันได้เห็นว่าอยู่ๆ เพื่อนโผล่มาจากทางไหน ทว่าพอเห็นสภาพของว่าที่เจ้าบ่าวชัดๆ ก็พอจะบอกได้ มีรอยลิปสติกสีแดงติดอยู่บนปกเสื้อ กับอีกรอยที่เลือนๆ บริเวณซอกคอ

“พอดีเจอเจ้า… เอ่อ คนรู้จักนะ เลยแวะทักทายกันนิดหน่อย ว่าแต่แกมาเดินทำไมเตร่แถวนี้ต้องอยู่ในงานไม่ใช่หรือไง”

“ก็…มาทำธุระนิดหน่อย”

“ธุระ!” พระพายยื่นมือไปจับปกเสื้อให้เจ้าของดู “ดูท่ามึงจะยุ่งมากสินะ แม่ง! มีเสียหลายรอย”  

คนโดนทักสะดุ้ง ยิ้มแหย่ๆ เดินเข้ามากอดคอเพื่อนรัก “เอาน่า กูยังโสดไร้พันธะผูกพัน เถลไถลบ้างจะเป็นไร”

“กล้าพูดว่ายังโสดนะมึง จะแต่งงานอยู่วันนี้ พรุ่งนี้แล้ว” พระพายส่ายหน้าระอา อุตส่าห์หลงชื่นชมว่าเพื่อนจะกลับตัวกลับใจ ที่ไหนได้…

 “ยังโสดได้อีกตั้ง 3 วัน นี่หว่า ขอใช้ให้คุ้มก่อนสิ”

“เออ! ก็แล้วแต่มึง ถ้าคิดจะเปลี่ยนใจยกเลิกงานแต่งไปเลยก็ยังทันนะ กูบอกตรงๆ ว่าสงสารเจ้าสาวมึงวะ” ไม่วายพูดไปตามที่คิด สำหรับเขาถ้าไม่รักจริงๆ ก็ไม่คิดตกล่องปล่องชิ้นกับใครเด็ดขาด ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาแบบนับไม่ถ้วนจึงไม่เคยให้ความหวัง ก่อนคบหาเขาจะบอกกับพวกเธอตรงๆ ว่าไม่มีการผูกมัด จึงครองตัวเป็นโสด ไร้พันธะมาได้ถึงทุกวันนี้

 “เอาน่า กูไม่ทำให้รตาเสียใจหรอก” พระพายเบ้ปาก ด้วยไม่เชื่อน้ำหน้าเพื่อนนัก หากก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเข้าไปยุ่ง เมื่อกล่าวเตือนแล้วก็เป็นอันจบกัน

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เข้าไปเปิดหูเปิดตากับสาวๆ ในงานดีกว่า นี่กูเหมามาทั้งโมเดลลิ่งเลยนะ ไม่รู้ไอ้เพทายกับไอ้ณัฐกวาดเรียบไปหรือยัง” ว่าแล้วเจ้าของงานก็โอบไหล่เพื่อนสนิทเดินหายเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยเสียงเพลง สุราและนารี

 

ฟากคนที่เดินหนีมาอารมณ์ยังคงคุกรุ่น ทั้งโกรธทั้งอายที่อยู่ๆ ก็โดนล่วงเกินจากคนไม่ชอบขี้หน้า นี่ถ้าเธอไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของผู้ใหญ่ละก็ได้ประกาศสงครามกันแน่ๆ “โดนจูบตั้งแต่แปดขวบงั้นเหรอ ไอ้เป็ดบ้า!” กำปั้นเล็กทุบผนังลิฟท์อย่างลืมเจ็บ ก็ประโยคที่เขาพูด มันทำให้เจ็บใจมากกว่า

 

“ไหนล่ะ ของขวัญ…” ทันทีที่รู้จักว่าเด็กชายร่างสูงกว่าตนนิดหน่อยชื่อพระพาย น้ำเสียงหงุดหงิดก็ดังตามมา

“ของขวัญ…” เจ้าของดวงตากลมโตกระพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงของขวัญอะไร จู่ๆ เธอก็ถูกพามางานนี้ทั้งๆ ที่ไม่อยากมา ดวงตายังแดงก่ำจากการร้องไห้งอแง กว่าจะหยุดร้องก็ตอนที่ได้ยินน้าดารินบอกว่าจะพาไปซื้อของเล่นหลังจากทำธุระเสร็จ

“ก็วันนี้วันเกิดของผม คนมางานก็ต้องเอาของขวัญมาให้สิ ไหนล่ะของขวัญ…” ไม่ทวงเปล่า เด็กชายตัวน้อยยังยื่นมือไปหา กระดิกนิ้วเป็นเชิงเร่งเร้า

ในขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยยังคงมึนงงอยู่นั่นเอง คนเป็นน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ย่อตัวนั่งลงด้วยท่าทีตกอกตกใจ “ตายจริง! วันนี้วันเกิดพระพายสินะ” สีหน้าคนพูดบ่งบอกว่าเสียใจ กล่าวโทษความหลงลืมของตัวเอง

เพราะบิดามารดาของเจ้าเอยที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงดูแลกิจการโรงแรมในเครือวชิรวิทย์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อปีก่อน ดารินผู้เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวจึงต้องเข้ามารับช่วงต่อทั้งๆ ที่ไม่เคยจับงานด้านนี้ เวลาทั้งหมดจึงทุ่มเทอยู่กับงานบวกกับต้องดูแลหลานสาวตัวน้อยที่ต้องสูญเสียบุพการี ทำให้หลงลืมของขวัญสำหรับเจ้าของงานไปเสียสนิท คราแรกไม่ได้ตั้งใจมาด้วยซ้ำแต่เพื่อนสนิทผู้เป็นมารดาเจ้าของวันเกิดบังคับแกมขู่เข็ญให้มา โดยไม่บอกรายละเอียดอะไร ดารินจึงคิดว่าเป็นแค่การพบปะสังสรรค์ธรรมดา

 “ไม่เป็นไรหรอกดาริน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ พระพายก็เอาแต่ใจไปอย่างนั้นแหละ” หญิงสาวหน้าตาสลวยอีกคนย่อตัวตามลงมา ยื่นมือมาสัมผัสแก้มป่องของเด็กหญิงเบาๆ “เจ้าเอยอย่าไปสนใจพี่เขาเลยนะลูก” สายตาคู่นั้นอ่อนละมุนสงสารแกมเอ็นดู ก่อนจะตวัดไปทางลูกชายที่ยืนหน้าง้ำอยู่ข้างๆ

“เราก็เหมือนกันพระพาย ได้ของขวัญตั้งเยอะแล้ว ยังไม่พออีกเหรอ”

“แต่มันเป็นวันเกิดผม ทุกคนที่มาก็ต้องมีของขวัญสิ”

“ไม่ได้จากน้องสักคนจะเป็นไรไป”

“ไม่ได้! ผมจะเอาของขวัญ” เด็กชายตัวน้อยโวยวายจนผู้คนเริ่มหันมา เด็กหญิงตัวน้อยจึงขยับไปชิดน้าสาวด้วยความหวาดกลัว

“พระพาย…”

“ก็ผมจะเอา!”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้น้าให้คนเอามาให้นะคะ น้าขอโทษด้วยที่ลืม…”

“ไม่ได้! จะเอาวันนี้”

“พระพาย! ทำไมทำตัวแบบนี้ ไม่น่ารักเลย”

โดนมารดาดุก็ใช่ว่าคนเอาแต่ใจจะสิ้นฤทธิ์ ใบหน้าอ่อนวัยของเด็กชายตวัดไปมองเด็กหญิงแก้มป่องตั้งแต่หัวจรดเท้า สำรวจดูว่าจะเอาอะไรเป็นของขวัญได้บ้าง

มงกุฎอันเล็กๆ ที่ปักอยู่บนผม น่าเกลียดจะตาย เขาชอบหมวกมากกว่า

กระเป๋าสะพายสีชมพูก็ใบเล็ก ไม่น่าสนใจสักนิด เอาไปใส่ของเล่นไม่ได้สักอย่าง

ชุดกระโปรงและรองเท้าสีเดียวกับกระเป๋า ของเห่ยๆ พรรค์นั้นเขาไม่คิดอยากใส่อยู่แล้ว

สองมือน้อยยกขึ้นกอดอกพิศมองไปมาอย่างครุ่นคิด ฉับพลันสองเท้าก็จู่โจมเข้าไปหาจนผู้ใหญ่ทั้งสองคนผวายื่นมือมารั้งตัวด้วยกลัวน้องตัวน้อยจะโดนรังแก แต่เด็กชายก็ถึงก่อน

ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนที่เฝ้ามองพากันเงียบไปอึดใจ วินาทีต่อมาสีหน้าตื่นตระหนกก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม บางคนถึงขั้นหัวเราะด้วยความเอ็นดู

ก็ของขวัญที่เด็กชายช่วงชิงเอามาจากเด็กหญิงนั้น คือการได้สัมผัสเบาๆ ที่ริมฝีปากอิ่มสีชมพู “เอาแค่นี้ก็ได้ ปีหน้าอย่าลืมของขวัญอีกล่ะ”

 

ใบหน้าสวยร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงเรื่องราวสมัยเด็ก คงเพราะฝันบ้าๆ บวกกับบังเอิญไปเจอหมอนั่นเข้ากระมัง ความทรงจำในวัยเยาว์ถึงเด่นชัดขึ้นมา ทั้งๆ ที่อยากจะกลบไว้ให้ลึกที่สุดแท้ๆ “ไอ้เป็ดโรคจิต ไอ้พระพายบ้า!” ก่นด่าด้วยความแค้นเคือง สองเท้ากระทืบเร่าๆ อย่างคนที่ทนความอัดอั้นตันใจต่อไปไม่ไหว โดยไม่รู้เลยว่าลิฟท์ที่สัญจรมาเพียงชั้นเดียวได้หยุดเคลื่อนไหวมาสักพัก นานพอที่ผู้โดยสารซึ่งรออยู่ด้านนอก ทยอยเข้ามาภายในแล้วหลายคน ปฏิกิริยาดังกล่าวจึงตกอยู่ในสายตาแขกของโรงแรมอย่างช่วยไม่ได้

เจ้าเอยลืมตาขึ้นมาอีกทีเมื่อเริ่มผ่อนคลาย สิ่งที่ประจักษ์ตรงหน้าทำให้อยากหายตัวไปเสียเดี๋ยวนั้น แขกของโรงแรมกว่าห้าคนพากันไปยืนเบียดกันอยู่มุมหนึ่ง สายตาสิบคู่ที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเหมือนจะลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเสียสติ

“เอ่อ คือ…ขอโทษค่ะ” กล่าวแค่นั้น ก็ยกกระเป๋าปิดหน้ารีบเร้นพาตัวเองออกมาโดยไม่สบสายตาใคร จ้ำพรวดๆ แบบไม่กลัวว่าส้นสูงจะหัก คิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องไปให้ไกลจากเรื่องน่าอายนี้ให้เร็วที่สุด

จนได้ยินเสียงเรียกชื่อตนดังตามหลังมาถึงได้หยุดชะงัก พอหันไปมองถึงได้รู้ว่าเป็นรตาที่วิ่งตามมา 

“แกจะรีบไปไหน ฉันเรียกตั้งนานไม่ยอมหยุด” เอ่ยถามเสียงหอบ ลิฟท์ที่เธอโดยสารมาเปิดออกตอนเจ้าเอยเดินผ่านพอดีจึงรีบเดินตาม แต่อีกฝ่ายก็จ้ำเอาๆ ตะโกนเรียกก็ไม่หยุดคล้ายกับว่าไม่ได้ยิน

 “ฉันเอ่อ จะรีบมาหาแกนั่นแหละ” ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก ที่รตาไม่เห็นเรื่องหน้าอายของตน “แล้วยัยพลอยล่ะ โดนลากกลับไปจริงๆ เหรอ”

“อือ…พี่เพทายไม่ยอม ยังไงก็จะพากลับให้ได้” คนเล่าหน้ามุ่ยนึกเสียดายที่พลอยไพลินไม่ได้อยู่ร่วมงานด้วย

“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมพี่พระพายต้องอารมณ์เสียขนาดนั้น ถึงยัยพลอยจะแต่งตัวโป๊ก็แค่ในเวลาทำงาน แถมที่นี่ยังเป็นโรงแรมของครอบครัวแก กล้องวงจรปิดก็เยอะแยะใครจะกล้าทำอะไร อีกอย่างฉันได้ยินว่างานเลี้ยงที่ยัยพลอยไปทำ ก็เป็นงานเพื่อนสนิทพี่เพทายแท้ๆ จะโกรธทำไมก็ไม่รู้” รตาบ่นพึมพำตามประสาคนมองโลกในแง่ดี ผิดกับอีกคนที่มองแวบเดียวก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ทำไมถึงโกรธนะเหรอ ก็เพราะ ‘คิดไม่ซื่อนะสิ’

“แกคิดเหมือนฉันไหมเจ้าเอย พี่เพทายทำเกินไปจริงๆ”

“น้อยไปสิ ตอนเห็นคงแทบคลั่งเลยมั้งนั่น” คนรู้เท่าทันยกยิ้มมุมปาก เพทายคงโกรธมากที่เห็นพลอยไพลินในงานปาร์ตี้บวกกับชุดที่ใส่อีก ถึงได้ฉุดกระชากลากถูออกมาแบบไม่สนใจสายตาใคร

 “แกว่าอะไรนะ…”

“เปล๊า ไม่ได้ว่าอะไร ฉันเห็นด้วยกับแกนั้นแหละ” เจ้าเอยร่วมเออออ ขี้เกียจอธิบายความสัมพันธ์อันลึกลับซับซ้อนของพี่ชายกับน้องสาวนอกไส้ แถมเรื่องแบบนี้คนนอกอย่างเธอไม่ควรเข้าไปยุ่ง ปล่อยเป็นเรื่องของคนสองคนจะดีกว่า

“ว่าแต่ วันนี้ว่าที่เจ้าบ่าวแกไปไหน ทำไมไม่มางานด้วย” ย้อนถามเมื่อฉุกคิดขึ้นได้ คนที่เธอเห็นหลังไวๆ ก่อนเจอไอ้เป็ดเหลืองคุ้นสายตาน่าดู

“นี่งานปาร์ตี้สละโสดของฉัน คุณนิมมานจะมาทำไมล่ะยะ” พอหวนพูดถึงว่าที่สามี รตาก็อมยิ้มหวาน หลงลืมเรื่องที่อยากรู้ก่อนหน้าไปเสียสนิท

“แล้วเขาไปไหน แกได้ถามหรือเปล่า” คนขี้สงสัยซักไซ้ต่อ อยากรู้จริงๆ ว่าจะใช่คนเดียวกับคนที่เห็นนัวเนียสาวอยู่หรือเปล่า

“เห็นบอกว่าเพื่อนจัดปาร์ตี้ให้เหมือนกันนะ น่าจะโรงแรมไหนสักแห่งละมั้ง”

“แกไม่ได้ถามเขาเหรอ”

“จะถามทำไม ฉันกับเขายังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย”

“อีกไม่ถึง 3 วัน ก็จะเข้าพิธีอยู่แล้วนี่นะ”

“ก็อีกตั้ง 3 วัน”

เจ้าเอยแทบอยากจะกัดลิ้นตายกับความใจดีของเพื่อนรัก ไม่รู้เลยหรือไงว่าพฤติกรรมของผู้ชายตอนอยู่ต่อหน้ากับลับหลังมันแตกต่างกัน ดูอย่างพ่อของเธอสิ ต่อหน้ามารดาก็ช่างแสนดีเป็นแฟมิลี่แมน พอลับหลังกลับทำตัวเจ้าชู้ไก่แจ้จนเป็นสาเหตุให้จากไปก่อนวัยอันควร

ตอนเด็กๆ เธอได้ยินคนเก่าคนแก่ในบ้านคุยกัน ว่าอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตคนทั้งสองมีสาเหตุมาจากความเจ้าชู้ของบิดา ที่ลักลอบนัดเจอกับหญิงสาวคนหนึ่งแล้วมารดาบังเอิญรู้เข้าจึงตามไป เหตุการณ์ต่อจากนั้นไม่ใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงบันทึกของตำรวจที่บอกว่าทั้งสองเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเพราะรถคว่ำซึ่งนั่งมาด้วยกัน แล้วใช่ว่าโศกนาฏกรรมของครอบครัวจะมีแค่หนเดียว ยังมีเรื่องคู่หมั้นของน้าดารินด้วย ซึ่งเสียชีวิตกะทันหันจากอาการหัวใจวาย ส่วนสาเหตุก็มาจากการพาคู่ขาไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วช็อคตายคาโรงแรม

จากสองเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าเอยอคติกับผู้ชาย ถึงขั้นตั้งปณิธานว่าจะไม่ยอมไว้ใจใครง่ายๆ เด็ดขาด แต่ยิ่งตั้งป้อมมากเท่าไหร่กลับได้ยินเสียงบ่นจากน้าสาวว่าเธอช่างเหมือนบิดาเข้าไปทุกทีๆ ก็คนที่บอกว่าเกลียดคนเจ้าชู้เริ่มทำตัวเป็นคาสโนวี่ควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้าเสียเอง

“แกไม่กลัวเขาไปควงผู้หญิงอื่นหรือไง”

“คุณนิมมานยังมีอิสระอีกตั้งสามวัน เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยไปเถอะ” เจ้าเอยกรอกตาแบบ 360 องศา อยากจะจับรตามาเขย่าๆ เพื่อให้ความใจดีกระเด็นออกมาเสียบ้าง ทว่าในโลกแห่งความเป็นจริงเธอไม่ควรเข้าไปยุ่ง เรื่องของคนสองคนก็ต้องให้จัดการกันเอง จากที่คิดจะบอกในสิ่งที่บังเอิญเห็นก็จำต้องเปลี่ยนใจ

“เอาเถอะๆ แล้วแต่แก ฉันก็ได้แต่หวังว่าเขาจะกลับตัวกลับใจได้จริงๆ ถ้าหลังแต่งงานยังมีเรื่องเจ้าชู้อีกละก็ แกได้ตายทั้งเป็นแน่…”

“ไม่หรอก ก็เขารับปากแล้วนี่นา แกอย่าอคติสิ อดีตไม่ได้บ่งบอกปัจจุบันและอนาคตเสียหน่อย” รตาแอบสอนเพื่อนรักกลายๆ รู้ดีว่าอีกฝ่ายมีปมเรื่องใด

“จ้า แม่คนใจดี ระวังเถอะ! เขาจะพากิ๊กมาสั่งลาในงานแต่งด้วย”

“เอาเป็นว่าถ้าคุณนิมมานพามาจริงๆ ฉันยกเลิกงานแต่งไปเลยดีไหม” รตาร่วมด้วยอย่างนึกสนุก ไม่ได้คิดเลยว่าเหตุที่เพื่อนพูดจะมีโอกาสเป็นจริง

“ให้มันจริงเถอะ ไม่ใช่วิ่งหนีไปร้องให้ขี้มูกโป่งหรือหลับหูหลับตาทำไม่รู้ไม่ชี้ก็แล้วกัน”

“จ้า แกก็คิดมากจริง เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ เข้างานกันดีกว่าออกมาตั้งนานแล้ว” เจ้าเอยหันไปสบตากับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอีกอึดใจ เมื่อเห็นแววอ่อนโยนเต็มไปด้วยความสุขก็เป็นฝ่ายใจอ่อนเสียเอง บางทีเธออาจจะคิดมากไป ผู้ชายที่เห็นอาจไม่ใช่ว่าที่สามีของรตาก็ได้

“ยัยพลอยกลับไปแล้ว คืนนี้แกต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันจนงานเลิกด้วย”

“จ้า แม่ว่าที่เจ้าสาว ฉันจะปล่อยให้แกอยู่คนเดียวได้ยังไงล่ะ”

“ขอบใจมาก รักแกที่สุด” รตาเอนศีรษะซบคนที่ไหลสูงกว่า ซาบซึ้งในความห่วงใยของเพื่อนจนน้ำตาคลอ

ในชีวิตเธอมีเพื่อนที่นับว่าเป็นเพื่อนแท้อยู่แค่สองคน หนึ่งคือพลอยไพลินที่แม้จะเกิดมากำพร้าไม่เคยเห็นหน้าบิดามารดาของตน ก็ไม่เคยโทษโชคชะตา ยังคงความสดใส ร่าเริง เป็นดั่งเสมือนลมเย็นๆ ที่คอยพัดให้คนรอบข้างมีความสุข พลอยไพลินถูกครอบครัวบุษรารับอุปการะมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุสิบขวบ การได้อยู่ในครอบครัวมหาเศรษฐีไม่ได้ทำให้หลงลืมตนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับยิ่งขยันขันแข็งช่วยเหลืองานทุกอย่าง รู้เรื่องจิวเวอร์รี่มากกว่าลูกชายแท้ๆ อย่างเพทายเสียอีก แถมยังมีความสามารถในด้านการออกแบบจนเคยผุดคอลเลกชันเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาวางขายอยู่บ่อยๆ

พลอยไพลินไม่ได้นำเงินที่ครอบครัวบุษราโอนเข้าบัญชีทุกเดือนมาใช้นับตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย เจ้าหล่อนมักหางานพิเศษทำไปตามเรื่องตามราว ดีที่มีหน้าตาสละสลวยความสามารถเพียบพร้อมจึงเตะตาโมเดลลิ่งชั้นนำจึงมีงานไม่ขาดสาย เจ้าตัวบอกอยู่เสมอว่าบ้านบุษราให้ที่อยู่อาศัยแถมส่งเสียจนจบ ม.ปลายก็เป็นบุญคุณจนทดแทนไม่หมดแล้ว

คนที่สองคือเจ้าเอย ที่ใครต่างขนานนามว่าเจ้าหญิงของวงการเซเลบ แม้จะไม่อ่อนโยน ไม่อ่อนหวาน แต่จิตใจก็ดีเลิศ เย่อหยิ่งบ้างบางเวลา ทว่าไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร การที่ต้องอาศัยอยู่กับน้าสาวแค่สองคนจึงโดนตามใจมาตั้งแต่เล็ก นิสัยเอาแต่ใจจึงมากพอสมควร

เจ้าเอยก็เป็นอีกคนที่ทำงานในวงการคล้ายๆ พลอยไพลินแต่เลือกรับงานมากกว่า ด้วยความที่เป็นสาวมั่นไม่ยอมลงให้ใคร จึงมักมีเรื่องกระทบกระทั่งกับผู้ร่วมงานบ่อยครั้งแต่ก็ไม่เคยไร้เหตุผล ถ้างานใดที่มีเรื่องแสดงว่าโดนก่อกวนจนเกินขีดความอดทนแล้วจริงๆ เจ้าเอยเด็ดเดี่ยวจริงจังเสมอทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว

เจ้าเอยและพลอยไพลินจึงเปรียบเสมือนต้นแบบที่รตาอยากเป็น เธอมักพูดเสมอว่าอยากเข้มแข็งให้ได้เหมือนเพื่อนรัก แต่ทั้งสองคนกลับบอกให้เธออ่อนหวานอ่อนโยนแบบนี้แหละดีแล้ว อย่างน้อยก็จะได้คอยเป็นน้ำไว้ยับยั้งลมอย่างพลอยไพลินและไฟอย่างเจ้าเอยให้ฤทธิ์เบาบางลง

 

สามวันต่อมาก็ถึงงานแต่งของรตา เจ้าเอยกับพลอยไพลินกระตือรือร้นในการทำหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวตั้งแต่เช้ามืด พิธีสงฆ์มีแค่คนในครอบครัวจึงค่อนข้างเรียบง่าย แต่ด้วยพิธีกรรมที่หลากหลายขั้นตอนก็ทำให้เพื่อนเจ้าสาวทั้งสองถึงกับหัวหมุน โดยเฉพาะเจ้าเอยที่รีบเร่งเสียจนลืมรองเท้าสำหรับใส่ในงานเลี้ยงฉลองตอนเย็นไว้ที่บ้าน จะไหว้วานให้ใครเอาไปให้ก็กลัวหยิบผิดหยิบถูกเนื่องจากรองเท้าในห้องแต่งตัวมีหลายร้อยคู่ หลังเสร็จสิ้นพิธีสงฆ์จึงต้องกลับมาเอาเอง

ใช้เวลาหยิบจับสิ่งที่ต้องการไม่นาน ก็เดินลงมาจากชั้นสองคิดจะหาอะไรรองท้องก่อนกลับไปแต่งหน้าทำผมกับช่างที่นัดแนะไว้ แต่เพียงแค่เหยียบย่างลงมาถึงชั้นล่างก็รับรู้ถึงบรรยากาศที่ชวนให้เย็นยะเยือก สายตาสองคู่กำลังจ้องมองมายังเธอตั้งแต่ก้าวพ้นบันไดมา สีหน้าถมึงทึงจนเจ้าเอยสัมผัสได้ว่าน้าดารินกับป้าสีนวลกำลัง ‘โกรธจัด’

“ทำไมมองเอยกันแบบนั้นล่ะคะ” เอ่ยถามด้วยความฉงน จะว่าไปก่อเรื่องอะไรมาก็ไม่น่าใช่ ช่วงนี้เธอวุ่นๆ กับงานแต่งของรตาจนไม่ได้ออกเที่ยวเตร่ที่ไหน “มีอะไรกันหรือเปล่า” เพราะแน่ใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิดจึงทำใจดีสู้เสือยุบตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ น้าสาว

“โธ่! คุณหนู ทำไมทำตัวแบบนี้คะ” ป้าศรีนวลตัดพ้อ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ปริ่มจะไหล ปฏิกิริยาบ่งบอกว่าเสียความรู้สึกกับเธอสุดๆ

“อะไรกันคะ ทำไมป้าว่าเอยแบบนี้ล่ะ เอยยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” คนโดนตำหนิแบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุหน้าง้ำ

“ไม่ได้ทำแล้วภาพนี่คืออะไร เจ้าเอย!” เป็นเสียงของน้าสาวที่วีนเหวี่ยงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมกับโยนหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะตรงหน้า

เจ้าเอยผงะด้วยความตกใจ ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยเห็นผู้เป็นน้าเกรี้ยวกราดขนาดนี้เลย ขนาดเธอมีข่าวควงผู้ชายคนนู้นคนนี้ไม่เว้นแต่ละวันน้าดารินยังแค่ส่ายหน้าระอา แต่นี่ทำเหมือนเธอไปฆ่าใครตายมายังไงอย่างนั้น  จึงรีบคว้าหนังสือพิมพ์ที่ยับยู่ยี่มากางดู พาดหัวข่าวตัวใหญ่กับภาพประกอบที่กินพื้นที่กว่าครึ่งหน้ากระดาษก็ทำให้ดวงตากลมโตเบิกโพลง

 

‘เซเลบสาว ‘เจ้าเอย’ จูบดูดดื่มกับชายหนุ่มปริศนาในโรงแรมหรูของครอบครัว’

‘ดูเหมือนว่าเซเลบสาวผู้โด่งดังจะไม่แยแสข่าวคาวของตนเองนัก นอกจากจะควงชายหนุ่มมากหน้าหลายตาจนปาปารัสซี่จับภาพได้บ่อยๆ แล้ว ล่าสุดยังควงหนุ่มใหม่ไปสวีทหวานกันในโรงแรมซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว แหล่งข่าวรายงานว่าทั้งสองนัวเนียถึงเนื้อถึงตัวแบบไม่แคร์สายตาผู้คนเลยทีเดียว

ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้เซเลบสาวจะออกมาปฏิเสธหรือไม่ หนุ่มใหม่ที่ว่านี้เป็นตัวจริงหรือแค่คบหลอกๆ ควงเล่นๆ ตามสไตล์สาวฮอท แต่ที่แน่ๆ คุณน้าคนสวยคงได้ปวดเศียรเวียนเกล้ากับวีรกรรมสุดแซ่บของคุณหลานอีกแน่นอน

 

หนังสือพิมพ์ในมือสั่นระริกยามอ่านจบ รูปแอบถ่ายจากเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนทำให้ความโมโหแล่นขึ้นใบหน้าเป็นริ้วๆ โกรธไปหมดทั้งเจ้าของหนังสือพิมพ์ คนเขียนข่าว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมที่ปล่อยให้บุคคลภายนอกเข้าไปเพ่นพ่านจนมีรูปหลุดออกมา และโกรธที่สุดคือต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องเป็นข่าวเสียหาย ‘ไอ้เป็ดเหลือง!’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น