3

ตอนที่ 3

 บรรยากาศยามสายของบ้านวชิรวิทย์เหมือนดั่งโดนระเบิดลง แม้เจ้าเอยจะไม่กรีดร้องบ้าคลั่งดังนางร้ายในละครหลังข่าว แต่สภาพของหนังสือพิมพ์ที่ขาดกระจุยด้วยกรงเล็บจนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก็บ่งบอกได้อย่างดีว่ากรุ่นโกรธขนาดไหน

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณน้าเข้าใจนะคะ” ‘บุคคลในข่าว’ หันมาทางผู้ปกครองด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจ เห็นสีหน้านิ่งๆ ดวงตาแวววับก็อดหวั่นเกรงไม่ได้ ถึงน้าสาวจะใจดีมาตลอดแต่เจ้าเอยก็รู้ดีว่าถ้าโกรธเมื่อไหร่ คุณหนูขี้วีนอย่างเธอยังต้องชิดซ้าย

 “จะบอกว่าไม่ใช่ตัวเองหรือไง” ดารินดักคอด้วยความฉุนเฉียว ยอมรับว่าผิดหวังกับการกระทำของหลานสาวคนเดียวมาก เธอเฝ้ารัก เฝ้าตามใจเจ้าเอย มีข่าวซุบซิบ ข่าวเสียหายก็พยายามเมินเฉยเสีย ทว่าครั้งนี้มันมากเกินไป

“ภาพในหนังสือพิมพ์ คือเอยเองค่ะ” เพียงแค่ได้ยินคำยืนยันจากปาก ผู้สูงวัยทั้งสองก็แทบจะเป็นลม “แต่เอยไม่ได้นัดใครขึ้นไปพลอดรักนะคะ มันเป็นอุบัติเหตุ เป็นเรื่องสุดวิสัย”

“ภาพชัดเจนขนาดนี้นี่นะคะ อุบัติเหตุ…” ป้าศรีนวลแทรกขึ้นกลางป้อง คนคิดหาคำอธิบายจึงยิ่งอึกอัก ถ้าดูแค่รูปมันก็ฟังไม่ขึ้นจริงๆ นั่นแหละ เหตุการณ์จริงๆ แค่ไม่กี่นาทีแต่ภาพที่ปรากฏหรานี่ชวนให้จินตนาการไปถึงไหนต่อไหน ‘หนึ่งภาพสื่อความหมายได้ล้านคำพูดจริงๆ’

“เป็นอุบัติเหตุจริงๆ นะคะ คือหนูกำลังจะล้ม ไอ้เป็ดเหลืองก็เลยเข้ามาช่วย”

“ไอ้เป็ดเหลือง…” ป้าศรีนวลทวนคำ รู้สึกๆ เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “ใครกันคะ ชื่อคุ้นๆ”

เจ้าเอยอึกอักด้วยไม่อยากเอ่ยถึงบุคคลที่ไม่ชอบขี้หน้า ขืนน้าดารินรู้ว่าคนในภาพคือใครมีหวังไม่จบง่ายๆ แน่ ขนาดตอนแปดขวบที่เธอโดนหมอนั่นขโมยจุ๊บ พวกผู้ใหญ่ยังพูดกันให้แซดว่าเขาต้องรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับเธอ  ขืนรู้ว่าเรื่องเดิมๆ เกิดขึ้นอีกแถมยังเป็นข่าวใหญ่โต มีหวัง

แค่คิดอนาคตก็ดูมืดมน เจ้าเอยพยายามนึกหาข้อแก้ตัวที่ดีที่สุด และวิธีเดียวที่คิดออกคือหาใครสักคนมาแอบอ้างเพื่อปัดเรื่องให้พ้นตัว ตรึกตรองอยู่ครู่ชื่อของ ‘นนท์ หรือ ชานนท์’ เพื่อนชายสมัยมหาวิทยาลัยก็ปิ๊งขึ้นมาในหัว แม้ไม่ได้สนิทกันมากนักแถมไม่ได้เจอมาพักใหญ่ แต่น่าจะเป็นบุคคลเดียวที่ช่วยเธอได้ในตอนนี้ เพราะชานนท์เคยมาที่บ้านตอนทำงานกลุ่มรวมทั้งงานวันเกิดของเธอ น้าดารินและป้าศรีนวลต่างเคยเห็นหน้าเห็นตา ที่สำคัญน้าดารินคงไม่จริงจังถึงขั้นไปตามหมอนั่นมาสอบถามเอาความจริงแน่ๆ

แผนการรัดกุมไม่มีที่ติจนเจ้าเอยอดชื่นชมความฉลาดของตัวเองไม่ได้ รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้า อ้าปากจัดแจงจะอธิบายแต่เสียงสมาร์ทโฟนที่วางอยู่ข้างกายน้าสาวก็ดังขึ้นเสียก่อน

คนก่อปัญหารู้สึกขัดใจเล็กๆ ที่โดนขัดจังหวะ แต่ก็ลุ้นให้น้าสาวรับสาย อย่างน้อยเธอจะได้ไม่บาปด้วยการทำผิดศีลห้าข้อมุสา ทว่าน้าดารินเพียงหยิบโทรศัพท์มากดปิดแล้ววางลงที่เดิม คนลุ้นจึงเหงื่อตก ถึงขั้นปฏิเสธสายแสดงว่าตั้งใจเล่นงานเธอเต็มที่

“อธิบายมา!”

 ‘คนเป็นข่าว’ กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ มือไม้เย็นเฉียบจนต้องกำเข้าหากัน ดวงตากลมโตเสมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เผลอพิรุธยามเอ่ยเรื่องที่เพิ่งแต่งขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ “ผู้ชายคนนั้น คือ นนท์ค่ะ” ชื่อเพื่อนเก่าดังออกมาแทบไม่พ้นริมฝีปาก คนรอฟังไม่ได้ยินสักนิด

“ใครนะ พูดออกมาชัดๆ ดังๆ”

“เอยบอกไปแล้วนี่คะ” เจ้าเอยอ้อมแอ้มเถียง เธอไม่ถนัดเรื่องโกหกเท่าไหร่ แถมละอายที่ต้องลากคนอื่นมาเกี่ยวด้วย

“แต่น้าไม่ได้ยิน ป้าศรีนวลได้ยินหรือเปล่า” บุคคลที่สามส่ายหน้าหวือ ไม่สนใจสายตาปรอยๆ ของหญิงสาวที่แอบส่งไปขอความช่วยเหลือ

“คุณหนูไม่ต้องมาอ้อนป้าเลยค่ะ ครั้งนี้ป้าขออยู่ข้างคุณดาริน” นอกจากจะไม่เข้าข้างแล้ว คนสูงวัยยังแสดงจุดยืนชัดเจน คนก่อเรื่องจึงม่อยอีกครั้ง

“ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้า ถ้าไม่บอกมาว่าผู้ชายในภาพเป็นใคร ก็อย่าหวังจะได้ออกไปไหน งานของรตาก็ไม่ต้องไป!”

“คุณน้า…”

“ไม่ต้องมาเรียก ที่ผ่านมาทำให้น้าปวดหัวไม่พอใช่ไหม ไอ้ข่าวซุบซิบๆ บนหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นวันน้ายังพอทนแต่หนนี้มันมากเกินไป กล้าทำขนาดนี้ได้ยังไง แถมสถานที่ยังเป็น…” คำว่าโรงแรมไม่อาจกลั่นออกมาจากปาก ดารินกล่ำกลืนฝืนความผิดหวัง สายตาก็มองไปยังหลานสาวที่เฝ้ารัก เฝ้าทะนุถนอม “รู้ไหมว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไง ภาพเพียงภาพเดียว มันทำลายชีวิตเราได้ทั้งชีวิตได้เลยนะเจ้าเอย”

“แต่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ นะคะ” คนมีความผิดอ้อนวอนขอความเห็นใจ รู้ดีว่าคนอื่นๆ คงคิดไกลไปถึงไหนต่อไหนแต่เธอไม่สนใจ ขอแค่น้าสาวเข้าใจก็พอ

“ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็บอกมาว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร น้าจะคุยกับเขาเอง ถ้าเขายืนยันว่าไม่ได้มีอะไรเกินเลย ภาพในข่าวเป็นแค่มุมกล้องหรือภาพที่ผ่านการตัดต่อมา น้าจะได้แถลงข่าว อธิบายให้คนอื่นๆ ได้รับรู้กัน”

คนต้นเรื่องหายใจติดขัดขึ้นมาทันที สีหนาแววตาเต็มไปด้วยความสับสน กลับมานั่งคิดเรื่องคนในภาพใหม่ ขืนน้าดารินไปถามชานนท์แล้วฝ่ายนั้นปฏิเสธ เรื่องยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมแน่

 “ว่ายังไง! จะบอกได้หรือยังหรือต้องให้น้าสืบเอง”

“ไม่นะคะ!” รีบแย้งเสียงหลง ขืนให้สืบเองมีหวังจบเห่ “คือ ผู้ชายคนนั้น” คนจนแต้มหน้าซีดปากสั่นยังคิดหาตัวละครใหม่ไม่ทัน ในจังหวะที่กำลังร้อนรนอยู่นั่นเองพลันสมาร์ทโฟนก็ส่งเสียงดังขึ้นมาช่วยชีวิตอีกครั้ง เจ้าเอยเผลอถอนหายใจแล้วทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างโล่งอก แต่พอเห็นสายตาคาดโทษก็เด้งลุกขึ้นมานั่งตัวตรง

“คุณน้ารับโทรศัพท์ก่อนเถอะค่ะ คนโทรมาคงมีธุระด่วน เรื่องของเอยเดี๋ยวค่อยเคลียร์ก็ได้” ดารินลังเลอยู่เพียงครู่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู คิ้วบางขมวดหากันก่อนจะกดรับ สายตาก็จับจ้องหลานสาวแบบไม่กระพริบ เป็นเชิงเตือนว่าห้ามหนีไปไหน

“ว่าไงจ๊ะ มีธุระอะไรหรือเปล่าพอดีฉันกำลังยุ่งๆ อยู่”

“อือ เห็นแล้ว…” ใบหน้าถมึงทึงของผู้เป็นน้าทำให้เจ้าเอยนึกหวั่นใจ สงสัยคนที่โทรมาคงไม่พ้นเรื่องเธอเป็นแน่

“อย่างนั้นเหรอ กลับมาแล้วสินะ” พลันสีหน้ากรุ่นโกรธเมื่อครู่ก็ผ่อนคลาย จนคนเฝ้ามองอดแปลกใจไม่ได้ สายตาเอาเรื่องก็คล้ายจะเกิดประกายวิบวับ  “ถ้าเธอมั่นใจว่าใช่ เราคงต้องคุยกันยาว โอเคแล้วฉันจะไปหา” เมื่อวางโทรศัพท์อารมณ์ของน้าสาวก็ดีขึ้นกว่าก่อนหน้า ดูยินดีจนเจ้าเอยนึกหวั่นใจ

“คุณน้าพร้อมจะฟังคำอธิบายแล้วใช่ไหมค่ะ คือเอย…” ออกตัวแรงเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ หากคนที่เคยคาดคั้นกลับปฏิเสธ

“ไม่ต้องแล้วล่ะ จะรีบไปเตรียมตัวไม่ใช่เหรอ ไปเถอะเดี๋ยวไม่ทัน”

“คะ”

“ไปสิ ให้คนขับรถไปส่งก็ได้” กล่าวจบดารินก็ผุดลุกขึ้นโดยมีป้าศรีนวลวิ่งตามไปติดๆ ได้ยินเสียงไถ่ถามแว่วดังมาคงใคร่รู้ไม่ต่างจากเธอ

คนก่อเรื่องรู้สึกเสียวสันหลัง จะตามไปถามให้รู้เรื่องว่าเมื่อกี้ใครโทรมาหรือเกิดอะไรขึ้นทำไมน้าสาวถึงเปลี่ยนใจก็กลัวจะเป็นการต่อความยาวสาวความยืด “ช่างเถอะ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ไปหายัยรตากับยัยพลอยก่อนดีกว่า” คิดดังนั้นก็คว้ากระเป๋า เดินมุ่งตรงไปหน้าบ้านที่มีรถจอดรออยู่ เรื่องน่าปวดหัวที่เกิดขึ้นทำให้เธอลืมหิวไปเสียสนิท

ลับหลังของคนก่อปัญหา ผู้สูงวัยทั้งสองที่ยืนมองอยู่บริเวณหน้าต่างก็พากันถอนหายใจ “เกิดเรื่องแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ใช่ไหมป้าศรีนวล...”

“ถ้าใช่คนนั้นจริงๆ ก็คงดีค่ะ” แม่บ้านเก่าแก่ยิ้มได้ไม่เต็มที่นักเพราะหลายอย่างยังกำกวม ดีหน่อยก็ตรงที่ผู้ชายในภาพไม่ใช่คนอื่นไกล “แต่คราวหน้าไม่เอาแล้วนะ ป้าหัวใจจะวาย”

“ไม่มีอีกแล้วล่ะค่ะ ก็ฉันมีหลานแค่คนเดียวนี่นา” ผู้สูงวัยยืนมองรถคันหรูแล่นออกไปตามถนนจนลับหายจากสายตา ค่อยเบาใจที่เรื่องร้ายแรงจะกลับกลายเป็นเรื่องดีๆ

 

งานแต่งของนิมมานกับรตานับเป็นงานใหญ่ที่ทุกคนจับตามอง ทั้งสองตระกูลต่างมีชื่อเสียงในแวววงสังคม สื่อทุกสำนักพิมพ์จึงไม่พลาดที่จะมาคอยทำข่าวและเก็บภาพสำคัญในงาน บุคคลที่ได้รับเชิญต่างเป็นเซเลบที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้าของงาน หนึ่งในบรรดาเซเลบทั่วฟ้าเมืองไทยที่ทยอยกันมามีเพียงหนึ่งเดียวที่บรรดานักข่าวให้ความสนใจและต้องการตัวมาสัมภาษณ์มากที่สุด นั่นคือเซเลบสาวที่เพิ่งยึดครองพื้นที่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เช้าวันนี้

“โอ๊ย! อึดอัด จะเดินไปไหนบ้างก็ไม่ได้” คนที่ตกเป็นหัวข้อข่าวกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยความเซ็ง หลังจากฝ่าบรรดานักข่าวเข้ามาในโรงแรมได้ก็แทบไม่กล้าย่างเท้าออกไปไหนจึงรู้สึกเหมือนโดนจับขังก็ไม่ปาน แม้พื้นที่จัดงานกับห้องแต่งตัวจะถูกกั้นไม่ให้คนภายนอกเข้ามาเพ่นพ่าน แต่ลองเดินดุ่มๆ ออกไปสิ รับรองว่าไม่มีใครสนใจข้อห้ามใดๆ ต่างก็อยากได้ ‘ข่าวคาว’ กันทั้งนั้น ส่วนคำถามก็คงไม่พ้น ‘ใครคือเจ้าของแผ่นหลังที่อยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์กับเธอ’

“ก็แกเล่นโชว์หน้าหราขนาดนั้น ใครๆ ก็ต้องการตัวเป็นธรรมดา” พลอยไพลินพึมพำด้วยความแง่งอนนิด ๆ ถึงจะได้ฟังความจริงจนรู้ว่าเป็นอุบัติเหตุ ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าเอยถึงไม่ยอมบอกชื่อเจ้าของแผ่นหลังปริศนานั่น คาดคั้นเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ แบบนี้มีเงื่อนงำชัดๆ

 “ฉันตั้งใจหรือไง เป็นเพราะไอ้เป็ดเหลืองตัวแสบนั่นต่างหาก” เจ้าเอยพาลนึกไปถึงตัวต้นเรื่อง ขนาดเดินสวนกันแวบๆ เมื่อสักครู่ยังไม่วายทำหน้าทะเล้นส่งมาให้ เห็นแล้วอยากจะฆ่าคนนัก

พอเห็นเพื่อนเผลอหลุดปาก พลอยไพลินจึงถลาเข้าไปนั่งใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เป็ดเหลืองเป็นชื่อของผู้ชายคนนั้นเหรอ น่ารักเชียว”

“น่ารักตายล่ะ หน้าตาก็งั้นๆ นิสัยก็ไม่ดี นี่ถ้าไม่ใช่…” อยู่ๆ ประโยคบอกเล่าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวก็หยุดชะงัก เจ้าเอยเบนหน้ามาทางคนฟัง เห็นสีหน้าที่แสนตั้งแกตั้งใจก็รู้ตัวทันทีว่าเผลอพูดมากไปแล้ว จึงขยับลุกขึ้นเตรียมชิ่งหนี

 “จะไปไหน” พลอยไพลินรีบตะครุบแขน เขย่ายิกๆ เป็นเชิงเร่งเร้า “ไม่ใช่อะไร เล่าต่อสิฉันอยากรู้…”

“อยากรู้อะไรยะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไปหายัยรตาดีกว่าป่านนี้คงแต่งตัวเสร็จแล้ว”

“ยัยเอย…” คนรอฟังหน้ามุ่ย ต่อมเผือกยังคงทำงานอยู่

“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ไปได้แล้ว…” เจ้าเอยฉุดมือเพื่อนให้ลุกขึ้น จับจูงไปยังประตู ไม่ลืมที่จะโผล่หน้าไปสำรวจก่อนว่ามีใครป้วนเปี้ยนอยู่หรือเปล่า พอเห็นว่าปลอดโปร่งไร้ผู้คนตลอดทางเดินจึงพากันก้าวฉับๆ ตรงไปยังบันไดหนีไฟ เพราะห้องของรตาอยู่ชั้นบน

“นี่ถ้าไม่เป็นเพราะข่าวบ้าๆ นั่น ฉันคงไม่ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ในโรงแรมของตัวเองแบบนี้หรอก เสียชื่อชะมัด” เจ้าเอยไม่วายบ่นกระปอดกระแปดในขณะที่สายตายังคอยระแวดระวังผู้คน “เป็นเพราะไอ้เป็ดบ้าคนเดียว”

“ทำบ่นไปได้ งั้นเอางี้! แกก็ให้ข่าวไปสิว่าหมอนั่นเป็นโรคจิตที่เข้ามาลวนลาม ปิดท้ายด้วยแจ้งความจับเสียเลย” คนเสนอไม่คิดอะไรมาก แต่คนฟังกลับตาลุกวาว

“จริงสิ! ต้องแจ้งความจับซะให้เข็ด”

“เอาจริงเหรอ…” คนเสนอชะงักไม่คิดว่าความคิดชั่ววูบของตนจะเป็นการชี้ช่องทาง เพราะเท่าที่ฟังเรื่องราวยังคิดว่าผู้ชายปริศนาอาจเป็นบุคคลที่เจ้าเอยรู้จักมักคุ้นดี

 “ก็อยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่…” ประโยคหลังได้แต่ต่อเองในใจ ว่าถ้าหมอนั่นไม่ใช่เป็นลูกของน้าลัลนาเพื่อนสนิทน้าดาริน เธอคงไม่ยอมปล่อยตัวเองเสียหายอยู่ฝ่ายเดียวหรอก

“ไม่ใช่อะไร แกก็อมพะนำอยู่นั่น ยิ่งปิดฉันยิ่งอยากรู้…”

“เอาเถอะน่า ไว้เรื่องเงียบจะเล่าให้ฟัง”

“แกสนิทกับเขาใช่ไหม”

“ไม่สนิทแม้แต่นิดเดียว!” เจ้าเอยสวนกลับแบบไม่เสียเวลาคิด ‘สนิท’ งั้นเหรอ ถ้าสนิทกับหมอนั่นโลกคงใกล้แตกเต็มที

“แล้วเขาไว้ใจได้ไหม คงไม่ไปอ้างกับสื่อว่าเป็นแฟนแกให้เกิดเรื่องเสียหายหรอกนะ” ประโยคของเพื่อนรักทำให้เจ้าเอยชะงักฝีเท้า จริงสิ! ลืมคิดไป มัวแต่หาทางปิดไม่ให้น้าสาวรู้ ลืมไปเลยว่าคนอื่นๆ โดยเฉพาะสื่อก็ห้ามรู้เด็ดขาด ‘ต้องไปคุยกับหมอนั่นให้รู้เรื่อง’ เจ้าเอยบอกตัวเอง และเหมือนฟ้าจะเป็นใจเมื่อเหลือบไปเห็นกลุ่มบุคคลที่เดินออกมาจากลิฟท์ หนึ่งในนั้นคือคนที่ต้องการเจอ

“แกจะไปไหน” มือเล็กรีบคว้าแขนคนที่ตั้งท่าจะก้าวเข้าไปหาคนกลุ่มใหญ่ พลอยไพลินตาไวพอที่จะเห็นว่ามีใครบ้าง จึงไม่อยากเผชิญหน้าโดยเฉพาะกับหนึ่งในนั้นที่ยังโกรธเขาจากเรื่องเมื่อคืนไม่หาย

“จัดการเรื่องสำคัญ!”

“เรื่องสำคัญอะไรของแก ไม่ได้นะ” ออกแรงรั้งเมื่อเพื่อนรักเหมือนจะสวมวิญญาณนางร้าย เตรียมวีนเหวี่ยงเต็มที่

 “แกรออยู่ตรงนี้แหละ ฉันมีธุระต้องจัดการ”

“แต่ฉันว่า เรารีบไปหารตาก่อนดีกว่า”

 “ขอเวลาแป๊บเดียว”

“อย่าก่อเรื่องน่ายัยเอย เดี๋ยวได้เป็นข่าวอีกหรอก” สองเพื่อนซี้มัวแต่ดึงรั้งกัน จึงไม่รู้เลยว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา และหนึ่งในนั้นก็ปลีกตัวเดินออกมาหยุดยืนอยู่ไม่ไกล

“ทำอะไรกัน” เป็นพลอยไพลินที่สะดุ้ง จำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร ‘พี่ชายนอกไส้ของเธอ’

“เปล่า! ไม่ได้ทำอะไร” ตอบเสียงห้วนแบบไม่คิดไว้หน้า รีบกระตุกมือเจ้าเอยให้ออกห่างแต่อีกฝ่ายสนใจที่ไหน กลับสะบัดมือแล้วเดินหนี้ไปเฉย

“เจ้าเอย!”

“แกไปหารตาก่อน เดี๋ยวฉันตามไป” พูดจบก็เดินดุ่มๆ เข้าไปหาคนที่ยืนมองอยู่ทางด้านหลัง ทิ้งให้พลอยไพลินยืนอยู่กับคนที่ไม่อยากเจอ

แค่เห็นหน้าก็หงุดหงิดจึงหมุนตัวเตรียมชิ่งไปหารตา เมื่อคืนหลังโดนลากออกจากงาน ถึงบ้านได้เธอก็วิ่งขึ้นห้องโดยทันที ไม่สนใจท่าทีโกรธเกรี้ยวของพี่ชายนอกไส้แม้แต่น้อย พอเช้าก็รีบหลบออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะตื่น เมินถ้อยคำคะยั้นคะยอของมารดาที่บอกให้รอมาพร้อมกัน โดยให้เหตุผลสั้นๆ ว่าต้องใช้เวลาแต่งหน้าทำผม

 “จะไปไหน” ไม่พูดเปล่า ยังยื่นไปจับข้อมือไว้กันอีกฝ่ายเดินหนี

“ปล่อยนะ! อย่ามาจับ”

“อยากจับตายล่ะ”

“ก็ปล่อยสิ”

“ไม่ปล่อย มีธุระจะคุย” เพทายตอบเสียงห้วน สีหน้าแม้จะดูขมวดขึงแต่แววตากลับแวววาว ราวกับเด็กได้ของเล่นถูกใจ

“แต่ฉันไม่มี ถ้าธุระสำคัญก็กลับไปคุยกันที่บ้าน” ประโยคตอบกลับดูเชือดเฉือน แต่คนฟังอมยิ้ม

“พูดเหมือนสามีภรรยาที่ทะเลาะกันเลยเนาะ เอะอะอะไรก็ไปคุยกันที่บ้าน” คนฟังสะดุ้ง ใบหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ทั้งโกรธทั้งอายปะปนกัน

“พูดบ้าๆ ฉันเป็นน้องนะ” กัดฟันเถียงออกไป แม้จะรู้ดีกว่าอะไรเป็นอะไร

“งั้นเหรอ แต่ผมจำได้ว่าเป็นลูกคนเดียว”

“คุณเพทาย!” แหวเสียงแหลมอย่างอดรนทนไม่ไหว เธอไม่ได้คิดว่าตัวเองต่ำต้อยหรือโทษโชคชะตา แค่ไม่ชอบกิริยาที่เขาทำ ก็ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเธอไม่ใช่น้องแท้ๆ จะตามมาวุ่นวายราวกับพี่ชายหวงน้องสาวทำไม

“จะเสียงดังทำไมยืนใกล้กันแค่นี้” เพทายยกมือแคะหูด้วยท่าทีกวนประสาท พลอยไพลินจึงยิ่งหน้างอสะบัดมือออกพร้อมกับจ้ำหนี แต่ก็โดนตามไปคว้ามือไว้อีกอยู่ดี

“ปล่อย…”

“ตามผมมา”

“ก็บอกว่าไม่ไป!”

“ถ้าไม่อยากให้เรื่องเมื่อคืน ถึงหูคุณแม่ก็ตามมาซะดีๆ” โดนคำขู่เข้าไปพลอยไพลินก็ถึงกับสะอึก แม้เรื่องการรับจ๊อบทำงานคุณแม่ไพลินทราบดีแต่ก็คอยคัดค้านเสมอ ถ้าขืนรู้ว่าเธอมาเดินแบบในชุดที่ไม่เรียบร้อยนัก ท่านคงไม่พอใจ

“อย่าเอาคุณแม่มาขู่…” ทำใจดีสู้เสือสวนกลับไป สะบัดมือออกอีกหน ก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักอีกเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยบางประโยคขึ้นมา

“คุณแม่หรือครับ” พลอยไพลินหันขวับ เห็นอีกฝ่ายยืนยิ้มเจ้าเล่ห์โดยมีสมาร์ทโฟนเครื่องหรูแนบหูอยู่ “ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ พอดีผมมีเรื่องจะบอก…” ไม่รอให้เพทายได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ พลอยไพลินก็โผเข้าไปดึงโทรศัพท์มาแนบหูตัวเอง พูดระรัวอย่างร้อนรน

“คุณแม่ พลอยนะคะ” เสียงอีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างฉงนสนเท่ห์ คงคิดไม่ถึงว่าสองพี่น้อง (นอกไส้) จะอยู่ด้วยกัน

“พี่เพทายอยากรู้ว่าคุณแม่จะมาถึงตอนกี่โมงน่ะค่ะ” พูดพลางเหลือบแลไปทางคนช่างฟ้อง ที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆ ไม่สนใจซักนิดว่ากำลังสร้างเรื่องเดือดร้อนให้เธอขนาดไหน “ได้ค่ะ แล้วเจอกันค่ะ” พออีกปลายสายตัดสัญญาณไป พลอยไพลินจึงหันมาหาคนก่อเรื่อง คิดจะตำหนิที่เขาทำตัวไม่สมเป็นพี่ชายเอะอะอะไรก็ฟ้องมารดา ทว่าโดนดักคอเสียก่อน

“มุสา ทำไมเป็นคนขี้โกหกแบบนี้”

“ก็ใครที่ทำให้ต้องโกหก”

“ถ้ายอมคุยดีๆ แต่แรกก็หมดเรื่อง”

“ก็ได้ จะคุยอะไร” ฮึดฮัดอย่างเสียไม่ได้ เจ็บใจที่ต้องเป็นฝ่ายยอมอยู่เรื่อยไป

“มานี่…” มือหนาคว้าไปที่ข้อมือเล็ก ออกแรงดึงรั้งให้เดินตาม พลอยไพลินพยายามฝืนไว้เลยโดนตวัดมองอย่างเอาเรื่อง “อะไรอีก!”

บุ้ยปากไปทางคนที่ยืนหน้าง้ำอยู่ทางด้านหลัง เธอไม่รู้ว่าเจ้าเอยกับคนอื่นๆ หายไปตั้งแต่ตอนไหน ถึงได้เหลือนางแบบสาวที่พี่ชายนอกไส้ควงมาเพียงลำพัง

เพทายเหมือนเพิ่งนึกได้จึงคลายมือหมุนตัวกลับไปหาคนของตน พลอยไพลินจึงใช้โอกาสนี้ชิ่งหนี ยังไม่ทันจะก้าวเท้า เสียงเข้มๆ ก็ดังขึ้น “อย่าคิดหนีไปไหนเชียว รออยู่ตรงนี้เดี๋ยวมา” กล่าวจบขายาวๆ ก็ก้าวไปหานางแบบสาว คุยกันสองสามคำก่อนฝ่ายหญิงจะพยักหน้ารับด้วยท่าทีเศร้าๆ ปิดท้ายด้วยการเขย่งเท้าขึ้นมาจูบริมฝีปากคนตัวโตอยู่หลายวิ

บุคคลที่สามยืนมองภาพนั้นด้วยใบหน้าแดงเห่อ ถึงไม่ใช่สาวใสไร้เดียงสาจนไม่เคยเห็นภาพกอดจูบหรืออะไรที่มากกว่านั้น แต่เธอเพิ่งเคยเห็น ‘ของจริง’ กับตาเป็นครั้งแรกต่างหาก

“ไปได้แล้ว” ไม่รู้ว่ายืนตะลึงไปนานเท่าไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ใบหน้าของพี่ชายโน้มลงมาใกล้ซะจนน่าหวาดเสียว พลอยไพลินจึงผงะหนีโดยอัตโนมัติ “เป็นอะไรไปอีก” เพทายแสร้งดุเสียงเข้ม สองมือยกเท้าสะเอวดั่งเตรียมเอาเรื่อง

 “ปะ…เปล่านิ ไม่ได้เป็นอะไร”

“ไม่เป็นอะไรก็ไป” เพทายเดินเข้าหาแต่อีกฝ่ายก็ถอยหลังกรูด “นี่! ผมไม่ทำอะไรหรอกน่า กลัวอะไรหนักหนาหรือว่ากลัวโดนจูบ” พลอยไพลินอ้าปากค้าง ตั้งตัวไม่ทันไปชั่วขณะ “ไม่เคยโดนจูบหรือไง”

เขินก็เขินที่จู่ๆ เขาก็พูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอย่างไม่อายปาก หากความโมโหมีมากกว่าโดยเฉพาะท่าทางข่มขู่ที่ทำดั่งกับเธอเป็นลูกแกะในกำมือ พี่ก็พี่เถอะกลัวที่ไหนไม่ใช่สายเหลือเดียวกันเสียหน่อย “ใครจะไม่เคย แต่มันใช่เรื่องไหมที่คุณมาทำตัวประเจิดประเจ่อแบบนี้”

เพทายแทบไม่ได้ยินว่าหญิงสาวพูดอะไรอีกยืดยาว สมองตัดขาดจากสิ่งแวดล้อมภายนอกตั้งแต่ประโยคแรกที่เอ่ยออกมา ‘ใครจะไม่เคย’ แสดงว่าเธอเคยโดนจูบอย่างนั้นเหรอ

“ว๊าย!” พลอยไพลินหวีดร้องเสียงหลง เมื่ออยู่ๆ ก็โดนสองมือแข็งแรงกระชับที่หัวไหล่ดันให้ถอยหลังไปจนติดผนัง “จะทำอะไร ปล่อยนะ”

“เมื่อไหร่! กับใคร!”

“อะไร ใครไหน…” สีหน้าคนโดนถามเต็มไปด้วยความแตกตื่น สับสน มึนงง

“ก็คนที่จูบเธอไง มันเป็นใคร” พลอยไพลินอึ้ง ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ความตกใจเลือนหายไปเมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แผ่ซ่านมากับคำถาม ความรู้สึกที่เหมือน ‘โดนหวง’  

“ตอบมา!”

“ก็…เปล่า...ไม่มี”

“จะไม่ยอมบอกงั้นสิ รักมันมากเหรอไง” ยิ่งพูด น้ำเสียงเพทายก็เหมือนยิ่งใส่อารมณ์จนเกือบกลายเป็นตะคอก

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วมันอย่างไหน บอกมาเร็วๆ อย่าอ้ำอึ้ง” มาถึงตอนนี้กลับเป็นพลอยไพลินที่อารมณ์ดีขึ้น ปฏิกิริยาเกรี้ยวกราดของเขาชวนให้จักจี้หัวใจแปลกๆ แทบหลงลืมไปเลยว่าคนตรงหน้าคือพี่ชาย

“ไม่เคยจูบ…” อ้อมแอ้มเสียงเบา เมินสายตาไปทางอื่น

“ว่าไงนะ ไมได้ยิน”

“ก็บอกว่าไม่เคยจูบไงเล่า” ประโยคสั้นๆ เหมือนดับความร้อนรุ่มในจิตใจได้หมด เพทายลดมือลงเสหันหน้าไปอีกทาง เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอแสดงปฏิกิริยาที่ไม่สมควรออกไป ปฏิกิริยาที่ที่ดูจะมากกว่าความรู้สึกใน ‘สถานะพี่ชาย’

“ไม่เคยจริงๆ เหรอ แล้วเมื่อกี้”

“ก็ตกใจ เลยเผลอพูดออกไป” เพทายเผลอหายใจด้วยความโล่งอก แต่พอโดนสายตาที่มองด้วยคำถามก็รีบเก๊กขรึม

“ก็ดีเป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าเพิ่งยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้”

“ทีตัวเองยัง…”

“ผมโตแล้วแถมเป็นผู้ชาย เมื่อกี้ก็ไม่ได้จูบสักหน่อย ก็แค่แตะๆ ” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องอธิบาย แค่รู้สึกว่าไม่อยากให้ยัยน้องสาวนอกไส้เข้าใจผิด “ไปได้แล้ว จะพาไปส่งห้องรตา”

“แล้วธุระที่จะพูด…”

“แค่จะบอกว่า คืนนี้ต้องไปนั่งโต๊ะเดียวกับคุณแม่”

“แค่นี้…” พลอยไพลินกระพริบตาปริบๆ กับเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น

“ก็แค่นี้แหละ ไปได้แล้วจะเดินไปส่ง” เพทายออกเดินนำ ไม่อยากให้คนหัวไวจับความรู้สึกอะไรได้อีก

“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องมาย้ำ”

“บ่นอะไร หรือว่าอยากให้พูดเรื่องเมื่อคืน”

“ปะ เปล่าค่ะ ไม่อยาก” คนเป็นน้องรีบสาวเท้าตาม พอทันก็หันไปยิ้มประจบจนตาหยี รีบจ้ำอ้าวไปยังห้องรตาโดยไม่รอ จึงไม่ทันได้เห็นสายตาคนมองตาม ‘สายตาที่นับวันจะเปลี่ยนจากความเอ็นดูตามประสาพี่น้อง เป็นความรู้สึกแบบอื่น…’

 

ฟากเจ้าเอยเมื่อปลีกตัวจากพลอยไพลินก็ตรงดิ่งเข้าไปหยุดต่อหน้าหนุ่มสาวที่เหลือด้วยสายตาเอาเรื่อง เธอกราดมองคนที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นอันดับแรก บุคคลที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อแต่ได้ยินชื่อบ่อยครั้ง

“สวัสดีค่ะ คุณณัฐ พี่มินไม่มาเหรอคะ ถึงได้หนีบ ‘คนอื่น’ มาด้วย” วาจาเชือดเฉือนดังขึ้นโดยไม่ไว้หน้าใคร ณัฐเป็นสามีของมินตราเจ้าของเอเจนซี่ที่ดูแลงานในวงการบันเทิงให้เธอ อดีตนางแบบชื่อดังที่หันหลังให้วงการเพราะอยากสร้างครอบครัว แต่สามีที่เลือกกลับไม่ได้เรื่อง นอกจากจะเด็กกว่ายังเจ้าชู้ระดับตัวพ่อ

“มะ…มาสิครับ นี่ผมกำลังจะไปหาเธออยู่พอดี ขอตัวนะครับ” ณัฐสะบัดแขนออกจากนางแบบที่ควงมา รีบหลบเร้นโดยไม่หันมองใคร โดยเฉพาะคนที่เพิ่งมาใหม่เพราะรู้ฤทธิ์เดชเป็นอย่างดี

“คุณณัฐ เดี๋ยวสิคะ…” ดูเหมือนนางแบบมือใหม่จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ทำท่าจะเดินตามบุคคลที่หวังฝากอนาคตในวงการไว้ในอุ้งมือ จึงโดนเจ้าเอยขวางไว้อีก

“นี่เธอ! หลบไป” ขึ้นเสียงใส่รุ่นพี่อย่างไม่ไว้หน้า ทำให้คนฟังยิ่งโกรธ

“นี่เธอ!” เจ้าเอยขึ้นเสียงเลียนแบบ แถมยังเท้าสะเอวเตรียมเอาเรื่อง “อยู่ในกะลาหรือไงถึงไม่รู้ว่าเขามีครอบครัวแล้ว ทำตัวเป็นเหลือบไรเกาะคนอื่นอยู่ได้ หวังอะไรล่ะ งานในวงการ ชื่อเสียง เงินทอง ฉันจะบอกอะไรให้นะ หมอนั่นผลักดันเธอไม่ได้หรอก ถ้าไม่อยากเปลืองเนื้อเปลืองตัวฟรีๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานซะ อย่ามาใช้เต้าไต่แบบนี้ ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย”

“นี่แกว่าฉันเหรอ!” คนโดนด่าตัวสั่นระริกด้วยความโกรธ หากออกอาการมากไม่ได้เพราะยังมีอีกหลายคนมองอยู่ กลัวภาพลักษณ์ใสซื่อแสนดีที่อุตส่าห์สั่งสมมาจะหายวับไปกับตา

“ฉันพูดต่อหน้าขนาดนี้ ยังไม่รู้ตัวอีก” เจ้าเอยเบ้หน้าแกมเหนื่อยหน่าย ก็ไอ้อากัปกริยาดั่งนางเอกละครหลังข่าว ใสซื่อ อินโนเซ้นท์ ตามคนอื่นไม่ทัน นี่มันเสแสร้งชัดๆ

“อะๆ ห้ามกรี๊ด ห้ามกระทืบเท้าด้วย” ชี้นิ้วไปยังคนตั่งท่าจะอาละวาด เธอไม่ได้กลัวการเป็นข่าวหรอก กลัวพื้นพรมราคาแพงของโรงแรมจะขาดต่างหาก เสียดายเงินแย่ถ้าต้องเปลี่ยนใหม่n“รีบไปเสียดีก่อนกว่า ไม่งั้นฉันจะโทรไปฟ้องต้นสังกัดของเธอ ว่าเธอออกมาเดินเพ่นพ่านหาลำไพ่พิเศษอยู่แถวนี้ คงไม่อยากหมดอนาคตตอนนี้หรอกจริงไหม” เจ้าเอยรู้ดีว่าเอเจนซี่ส่วนใหญ่ไม่ได้สนับสนุนให้เด็กในสังกัดใช้ทางลัดหรือทำตัวเป็นข่าวฉาวเนื่องจากส่งผลเสียต่อชื่อเสียง จึงยกข้อดีส่วนนี้ขึ้นมาขู่ ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลเมื่อฝ่ายนางแบบหน้าซีดเผือดทันที สุดท้ายจึงสะบัดหน้าหนี เดินจ้ำพรวดๆ จากไป     “ค่อยๆ เดินนะคะ เดี๋ยวเท้าจะแพลง” ไม่ลืมตะโกนตามหลังด้วยความเป็นห่วงเป็นใย อย่างน้อยนางแบบวัยละอ่อนคนนี้ก็ยังมีข้อดีตรงที่ไม่ดื้อดึง เพราะเธอก็ไม่ชอบดับอนาคตของใคร ‘ถ้าไม่จำเป็น’

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น