หลังจากหวังดีช่วยครอบครัวของรุ่นพี่ไปแล้ว คราวนี้เจ้าเอยก็หันไปเผชิญหน้ากับใครบางคนเพื่อจัดการเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันขอคุยด้วยหน่อย…” จิกสายตาไปยังชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่ยืนทำหน้าระรื่นอยู่ข้างๆ สองสาวสุดแบ๊ว หนึ่งในนั้นคือนักแสดงสาวที่กำลังโด่งดัง ส่วนอีกคนคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นนางแบบที่เพิ่งผ่านการประกวดเวทีระดับประเทศมาเมื่อไม่นาน ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นคนที่เพทายควงมาเพราะเจ้าหล่อนดูจะไม่สนใจการปรากฏตัวของเธอนัก กลับชะเง้อชะแง้มองผ่านไปทางเพทายกับพลอยไพลินที่ยืนคุยกันอยู่ทางด้านหลัง
“ไม่ได้นะคะ คุณมากับเปมี่นะ” เป็นเสียงของนักแสดงสาวที่ออกอาการกระเง้ากระงอด ใช้ใบหน้าพอกเครื่องสำอางอิงซบไปที่ไหล่คนตัวสูงกว่าอย่างออดอ้อน จนคนยืนมองเบ้ปากหมั่นไส้ ‘ไม่กลัวเครื่องสำอางที่พอกมาจะหลุดบ้างหรือไง’
เจ้าเอยเหลือบมองคนต้นเรื่องที่ทำให้ต้องแบกหน้ามาหา ทว่าหมอนั่นกลับทำเฉยราวกับว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง “ขอเวลาแป๊บเดียว ไม่เกินห้านาที”
“ผู้หญิงคนนี้มาหาคุณหรือเปล่าเปมี่ ไปกับเธอหน่อยสิ”
“เปล่านี่คะ เปมี่ไม่รู้จัก” ดูเหมือนแม่ดาราสาวจะยิ่งลำพองใจ ใบหน้าสวยแบ๊วเมื่อครู่ถึงปรายมาหาเธอพร้อมกับ ‘จิก’ ยังกับจงอางหวงไข่
เจ้าเอยกัดฟันกรอดๆ กับประโยคแสนกวนประสาท เธอจะมีธุระกับยัยนักแสดงหน้าแบ๊วไปทำไมไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวสักนิด นี่ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์จ้างก็ไม่ลดตัวลงมาเจรจากับไอ้เป็ดเหลืองแน่ ในสภาวะที่ตกเป็นรองเช่นนี้ย่อมทำอะไรไม่ได้ นอกจากสกัดกลั้นอารมณ์แล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจ
“ฉันมีธุระจะคุยกับคุณค่ะ คุณพระพาย เดชาธร” เอ่ยชื่อออกมาแบบเต็มยศ ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายทำเมินเฉยได้อีก
“ก็ไม่บอกแต่แรก อยู่ๆ ก็มาบอกว่าขอคุยด้วยหน่อย ผมเลยไม่แน่ใจว่าคุณต้องการจะคุยกับใครกันแน่” ชายหนุ่มหนึ่งเดียวยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ปลดมือเล็กที่เกาะแขนออกเพื่อไปคุยธุระ ‘สำคัญ’ แต่มือกาวของนักแสดงสาวกลับเกาะแน่น ไม่ยอมปล่อยแถมยังออดอ้อนเสียงหวาน
“ไม่เอานะคะ เปมี่ไม่ให้คุณไป”
“ฉันคุยไม่นานหรอกค่ะ คุณเปมี่ขา จะรีบนำกลับมาคืนในสภาพไม่บุบสลายนะคะ” เจ้าเอยแสร้งทำเสียงอ่อนเสียงหวานบ้างด้วยความหมั่นไส้ จะอะไรหนักหนาก็แค่ขอคุยธุระ ยังกับเธออยากยุ่งกับหมอนี่นัก
คนโดนเลียนแบบตวัดค้อน ก็กว่าจะขอให้เขาพามางานแต่งระดับประเทศนี้ได้ง่ายเสียที่ไหน แถมยังไม่ได้ถ่ายภาพสักแชะ นักข่าวก็ยังไม่เจอสักคน หากปล่อยไปง่ายๆ คงเสียทั้งเวลาและโอกาส จึงออดอ้อนต่อแบบไม่เลิกล้มความตั้งใจ
“พระพาย อย่าไปเลยนะคะ รอเลิกงานก่อนก็ได้”
เจ้าเอยปรายตามองด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย เงยหน้าไปสบตากับคนเจ้าปัญหาโดยตรง “ฉันขอห้านาที ไม่ได้หรือไง”
“ถ้าไม่ไปล่ะ” พระพายแสร้งยั่วอย่างนึกสนุก ยังไม่เข็ดกับวีรกรรมแสบๆ ของสาวเจ้า
“นั่นสิคะ อย่าไปเลย” บุคคลที่สามหน้าเชิดขึ้นมาทันที เดาได้ว่าชายหนุ่มก็คงไม่อยากเสวนากับหญิงสาวตรงหน้ามากนัก “เราเข้าไปในงานกันดีกว่า” มือเล็กๆ กระชับต้นแขนอิงแอบแนบชิด พาเดินหลบหลีกคนที่เข้ามาขวางซึ่งพระพายก็ยอมเดินตาม เปมิกาจึงยิ่งหน้าบานคิดเข้าข้างตัวเองทันทีว่าเป็นคนสำคัญของเซเลบหนุ่ม
“นี่!” เสมือนเห็นช้างตัวเท่ามด เจ้าเอยไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ เดินตามมาดักหน้า จ้องคนกวนประสาทอย่างเอาเรื่อง “ฉันขอแค่ 5 นาที ไม่ได้หรือไง”
“ก็เขาบอกไม่ไปๆยังจะตามมาวุ่นวายอะไรยะ เคยเป็นคู่ควงเขาสิท่า โดนทิ้ง…”
“หุบปาก!” ยังไม่ทันที่อีกคนจะพูดคำไม่น่าฟังออกมาหมด ก็โดนตวาดซะเงียบเกือบไม่ทัน พอหายตกใจก็หันไปบีบน้ำตาอ้อนคนที่ควงมา
“คุณพระพายขา…”
“บอกให้หุบปาก ไม่ได้ยินหรือไง” เจ้าเอยตวาดขึ้นมาอีก คราวนี้หันไปจ้องยัยนักแสดงหน้าแบ๊วตาเขม็ง “เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร อยากดับอนาคตตัวเองหรือไง!” กล่าวย้ำเสียงแข็ง บ่งบอกว่าทำจริงไม่ใช่แค่ขู่
คนได้ฟังหน้าซีดไปถนัดตา ได้ยินฤทธิ์เดชของอีกฝ่ายมาไม่น้อย ใครที่เป็นศัตรูด้วยไม่เคยเชิดหน้าชูตาในวงการได้ แถมนามสกุลวชิรวิทย์ก็กว้างขวางพอที่จะทำให้เธอหมดที่ยืนได้จริงๆ
“เชิญไปรอข้างนอกก่อนเถอะ ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรผู้ชายคนนี้หรอก” พูดพร้อมกับปรายตาไปมอง ราวกับรังเกียจเดียดฉันท์ “เสร็จธุระแล้ว จะรีบเอาไปปล่อยคืน”
“นี่คุณ! ผมไม่ใช่หมาใช่แมวนะ ใช้คำว่าปล่อยเลยเหรอ เกินไปไหมเนี่ย” หลังจากยืนมองวีรกรรมสาวแสบอยู่นาน พระพายก็อดแทรกขึ้นมาไม่ได้ ยอมรับเลยว่า ‘ยัยกบเขียว’ แสบเข้าเส้นจริงๆ
“เหรอ นึกว่าใช่เห็นเจ้าของหวงนัก”
“ผมไม่มีเจ้าของ…” พระพายยักไหล่แบบไม่เกรงใจสาวที่ควงมาสักนิด เป็นเจ้าเอยเสียอีกที่นึกสงสาร ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบเป็นแค่คู่ควงของใครหรอก ส่วนใหญ่ก็คิดว่าเขาจะจริงจังและจริงใจด้วยทั้งนั้น
“รู้อย่างนี้แล้ว ยังจะตามหวงหมอนี่อีกไหม” ถอนหายใจดั่งเวทนานิดๆ หญิงสาวตรงหน้าดูก็รู้ว่าเด็กกว่า อายุคงพ้นยี่สิบมาได้ไม่นาน “หมอนี่มันไม่เคยรักใครหรอก ถ้าคิดจะจริงจังช่วยคิดใหม่ก็ดี”
“อ้าว! นี่คุณ…”
“ไม่จริงหรือไง”
“จริงหรือไม่จริง มันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”
“ไม่เกี่ยว แต่เห็นแก่อนาคตผู้หญิงด้วยกัน”
“นี่!”
“งั้นเปมี่ไปรอข้างนอกนะคะ” เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้สองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเถียงกันอยู่ชะงัก ฝ่ายชายอมยิ้มส่วนฝ่ายหญิงหน้าตาโคตรบึ้งตึง
“ครับ แล้วผมจะรีบไปหา” พระพายก้มลงหอมแก้มคู่ควง โอบประคองไปส่งที่ลิฟท์ ยืนรอจนประตูปิดถึงได้เดินกลับมา
“คนเราเดี๋ยวนี้ไม่มีสมองกันแล้วหรือไง รู้ทั้งรู้ว่าจะโดนหลอกฟันยังทำไม่รู้ไม่ชี้อีก” เจ้าเอยบ่นดังๆ ตั้งใจให้คนที่เดินลอยหน้าลอยตากลับมาได้ยิน
“ไม่รู้สิ สงสัยผมโปรไฟล์ดี นามสกุลดังจนน่าลงทุนมั้ง” คนฟังทำท่าขย้อนโดยไม่มีเสียง ขัดใจกับคำว่า ‘โปรไฟล์ดี’ สุดๆ
“ใจเย็นๆ สิคุณ แค่ยืนเถียงกันไม่นานก็ท้องแล้วเหรอ ผมยังไม่ได้แตะต้องอะไรเลยนะ เอ! หรือเป็นเพราะจูบ…” เจ้าเอยถลาเข้ามาปิดปากก่อนที่จะมีคำพูดใดหลุดออกมามากกว่านี้ ถึงจะไม่มีใครอื่นเพราะเพทายกับพลอยไพลินยังยืนเถียงกันหน้าดำหน้าแดงอยู่ห่างออกไป ส่วนอีกหนึ่งสาวก็เอาแต่จ้องมองไปทางสองคนนั้นแต่เธอก็ไม่อยากประมาท
“หุบปาก! ถ้าขืนพูดออกมาอีกคำเดียวนายตายแน่” พระพายไม่สนใจสายตาที่มองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ยิ่งเห็นท่าทีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็ยิ่งชอบใจ จับมือเล็กออกจากปากตนแต่แทนที่จะปล่อย กลับยกขึ้นมาจรดริมฝีปากสูดความหอมเสียหนึ่งที
“อือ หอมดี นุ่มด้วย” เคล้นคลึงมือนิ่มอยู่อีกนานจนสาวเจ้าหายตกตะลึง ดึงมือตัวเองกลับ
“แก! ไอ้เป็ดเหลือง ไอ้บ้ากาม อี๋!” เจ้าเอยเช็ดมือกับชุดเดรสราคาแพงแรงๆ หวังจะช่วยลบร่องรอยอุกอาจของ ‘คนบ้ากาม’ เสียให้หมด
“นี่ๆ ผมไม่ได้น่ารังเกียจขนาดนั้นเสียหน่อย รู้ไหมใครๆ ก็อยากได้รับสัมผัสแบบนี้จากผมกันทั้งนั้นแหละ”
“คนพวกนั้น ตาต่ำ ตาบอดหรือไม่ก็รสนิยมห่วยแตก”
“พูดแบบนี้เท่ากับดูถูกผู้หญิงทั้งประเทศ ผมได้อันดับหนึ่งในการโหวตสุดยอดหนุ่มฮอทแห่งปีเชียวนะครับ”
เจ้าเอยเบ้ปาก ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับคนขี้โอ่จึงกลับไปตั้งหน้าตั้งตาเช็ดร่องรอยต่อ จนหลังมือขึ้นสีแดงเป็นปื้น
“พอเสียทีเถอะแม่คุณ เดี๋ยวเลือดออกพอดีถ้ารังเกียจนักจะไปซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อมาให้”
“ดี ช่วยซื้อมาเยอะๆ แถมน้ำยาบ้วนปากด้วยก็ดี”
“แสดงว่ายังจำรสจูบเมื่อคืนได้อยู่”
“นี่นาย!” เจ้าเอยฮึดฮัดอยู่ครู่ ก็ปรับเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มหวานแบบปุบปับ “จะบอกยังไงดีล่ะ…” ดวงตากลมโตเงยขึ้นมองอย่างยั่วยวน จนคนเตรียมรับการโวยวายตั้งตัวแทบไม่ทัน
“คุณ จะทำอะไร” พระพายมองอย่างไม่ไว้ใจ เห็นมือเล็กยื่นมาจับเนคไทช่วยขยับให้เข้าที่เข้าทางก็เผลอกลืนน้ำลาย คาดเดาไม่ได้ในสิ่งที่จะตามมา
“ฉันก็…” มือเล็กลากตามความยาวของเนคไทจนมาถึงปลายสุดซึ่งอยู่แถวหัวเข็มขัด ก่อนที่พระพายจะหัวใจวายตายกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ยัยตัวแสบก็แผลงฤทธิ์
คนตัวสูงแทบหน้าคว่ำเมื่อเนคไทถูกดึงเสียเต็มแรง “โอ๊ย! ยัยกบเขียว จะฆ่ากันหรือไง”
“ใช่! จะฆ่าให้ตายเลย” ไม่พูดเปล่ายังทั้งลากทั้งจูงให้เดินตามโดยไม่สนใจเสียงโอดโอย จนมาถึงทางหนีไฟถึงยอมปล่อยให้เป็นอิสระ
“รุนแรงชะมัด ชอบซาดิสม์หรือไง หรือเป็น คริสเตียน เกรย์ แห่ง fifty shades of grey ภาคผู้หญิงกันแน่ฮึ!” เจ้าเอยอ้าปากค้างกับข้อกล่าวหา คิดได้ไงว่าเธอเป็นพวกชอบ โซ่ แส้ กุญแจมือ
“ไอ้เป็ดบ้า! ใครจะไปดูหนังลามกแบบนั้นกัน”
“นั่น! รู้ด้วยว่าเป็นหนังลามก ไปดูมาสิท่า” ประโยคยอกย้อนทำให้คนโดนรู้ทันหน้าม้าน ทั้งโกรธทั้งอาย ที่โดนจับไต๋ได้ เธอไปดูมาจริงกับเพื่อนสาวทั้งสองคน อยากเปิดหูเปิดตาตามประสาสาวโสดที่อยากรู้อยากเห็น
“อี๊! ผู้หญิงลามก” พระพายได้ทียื่นหน้าเข้าหา หัวเราะขบขันแก้มสีแดงปลั่งที่เคยเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย จนตอนนี้อะไรๆ ก็เริ่มจะไม่เล็ก
“ไม่เห็นจะแปลก ใครๆ เขาก็ดูกัน” เจ้าเอยเชิดหน้าสู้ ถึงจะเขินก็ไม่ยอมเสียฟอร์ม “นายล่ะ ดูมากี่รอบ ทั้งดู ทั้งอ่านเลยมั้ง เผลอๆ ปฏิบัติด้วย”
“ก็ไม่เชิง…”
“ห๊า! นี่นายชอบซาดิสม์เหรอ” สีหน้าคนถามบ่งบอกว่าเชื่อจริง แถมถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างระมัดระวังตัว
“นี่! ยัยเป็ดเขียว ฉันไม่โลดโผนโจนทะยานขนาดนั้นหรอกน่า ถ้าสงสัยนักจะลองก็ได้” เจ้าเอยสตั้นไปอีกหลายวิ เตรียมจะอ้าปากร้องกรี๊ดๆ ก็โดนดักคอเสียก่อน
“เงียบ! ห้ามกรี๊ดมันแสบแก้วหู มีธุระอะไรก็พูดมา” คนโดนขัดคอหุบปาก ตวัดค้อนลมค้อนฟ้าแอบพึมพำว่าทียัยเด็กแอ๊บแตก ยังเอาแต่ร้องกรี๊ดๆ ได้เลย
“บ่นอะไร ได้ยินนะ จะพูดอะไรก็รีบๆ พูดมา งานจะเริ่มอยู่แล้ว” พระพายก้มมองนาฬิกา บ่งบอกว่ากังวลเพราะใกล้จะถึงเวลางานแต่งเริ่มเต็มที
เจ้าเอยจำต้องโยนเรื่องขุ่นข้องหมองใจ เพื่อเคลียร์ปัญหาใหญ่ก่อน “ฉันจะคุยเรื่อง เอ่อ เมื่อวาน” อึกๆ อักๆ ด้วยความกระดากอาย หากอีกฝ่ายกับโพล่งขึ้นมาซะเสียงดัง
“เรื่องจูบ…”
“ใช่! เรื่องนั้นแหละ” ตวัดค้อนไปอีกที ก็เขาพูดราวกับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ทั้งๆ ที่ภาพในหนังสือพิมพ์หน้าอายเสียขนาดนั้น
“จะให้รับผิดชอบ…”
“บ้าสิ! ฉันแค่จะมาบอก ว่าห้ามนายบอกใครเด็ดขาดว่าผู้ชายในภาพคือนาย เข้าใจไหม?” พูดประโยคน่าอึดอัดออกไปก็ค่อยโล่งอก พอเหลือบมองอีกฝ่ายกลับเห็นสีหน้าราวกับไม่พอใจ “ฉันถามว่าเข้าใจไหม”
“ไม่เข้า…” คำพูดของพระพายยังไม่ทันจะหลุดพ้นออกมาจนครบ พลันเจ้าเอยก็อุทานเสียงดัง
“รตา!”
พระพายมองตามจึงเห็นว่าเป็นเจ้าสาวของงานเดินตรงเข้ามาในสภาพเหม่อลอยคล้ายๆ ว่ากำลังช็อคสุดขีด ร่างบอบบางสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียก ใบหน้าที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นเจ้าเอยยืนอยู่ก็ปล่อยโฮ วิ่งเข้ามากอดในทันที
“แกเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” เจ้าเอยละล่ำละลักถาม ใจแกว่งไปกับน้ำตาที่ไหลพลั่งพรู
“เขาโกหก เขาทรยศฉัน…” แม้ไม่ถึงกับเสียสติโวยวายบ้าคลั่ง แต่เจ้าสาวของงานก็ร้องไห้อย่างหนัก สะอึกสะอื้นตัวโยน พร่ำเพ้อประโยคเดิมๆ
“ทำใจดีๆ ไว้ บอกฉันว่าใครทำอะไรแก” เจ้าเอยพยายามปลอบให้เพื่อนสงบสติอารมณ์ก็ไร้ผล รตาไม่ฟังอะไรเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว คนปลอบจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ยอมให้อีกฝ่ายระบายความอัดอั้นผ่านหยดน้ำตาให้เต็มที่ค่อยไต่ถามใหม่ ในระหว่างนั้นก็เหลือบไปมองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ฝ่ายนั่นก็เหมือนจะเดาคำถามจากแววตาได้จึงเอาแต่ส่ายหน้า คาดว่าคงจนปัญญาจะเดาถึงสาเหตุเหมือนกัน
เนิ่นนานจนแรงสะอื้นเบาลงเจ้าเอยถึงผละออก ยื่นมือไปช่วยเช็ดน้ำตา “ใครทำอะไรแก บอกฉันสิ”
“ยัยเอย…” ริมฝีปากบางสั่นระริกยามเงยหน้าขึ้นมา น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นเมื่อต้องเอ่ยถึงสาเหตุของความเสียใจ “เขาโกหกฉัน เขาทรยศ เขาไม่เลิกนิสัยเดิม แม้แต่วันนี้ในแต่งงานของเรา” เจ้าเอยเบิกตากว้าง ถามย้ำให้แน่ใจ
“เขานะใคร คุณนิมมานเหรอ” ไม่จำเป็นต้องรอคำยืนยัน พอจบประโยครตาก็สะอื้นหนักกว่าเดิม โผเข้ามากอดอย่างต้องการที่พึ่งพิง
เจ้าเอยตวัดมองไปทางเพื่อนเจ้าบ่าวจนฝ่ายนั้นสะดุ้ง “เดี๋ยวผมไปดูเอง” ว่าแล้วก็หมุนตัวไปทางที่รตาเดินมา เพื่อหาต้นสายปลายเหตุ ใจก็แอบกลัวไอ้เพื่อนรักมันจะทำเรื่องแย่ๆ
ยังไม่ทันจะก้าวไปได้ไกล ไอ้คนที่คิดว่าเป็นตัวต้นเหตุก็เดินผิวปากเข้ามาพอดี
“ไอ้พระพาย! มาอยู่ตรงนี้นี่เอง ใกล้จะถึงเวลาแล้วนะโว๊ย คนอื่นๆ ล่ะเดี๋ยวก็ไม่ทันได้ซักซ้อมคิวกันพอดี” นิมมานเดินลิ่วเข้ามาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ พระพายเลยบุ้ยใบ้ไปทางด้านหลัง
“อ้าว! รตา คุณเจ้าเอย แต่งตัวเสร็จ…” คำถามชะงักค้าง เมื่อเห็นว่าที่เจ้าสาวคนสวยกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
“เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรเมียฉัน แกเหรอ…” หันมองไปทางพระพายเป็นคนแรก คนโดนหางเลขจึงยกมือปฏิเสธพัลวัน
“เฮ้ย! ฉันไม่ได้ทำอะไรนะโว้ย”
“ไม่ใช่แกแล้วใคร หรือว่า…” นิมมานปรายตาไปยังหญิงสาวอีกคน ถึงจะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็เหลือผู้ต้องสงสัยแค่คนเดียว
“ไอ้บ้า…” พระพายขยับมายืนขนาบ ก่อนเพื่อนจะคาดเดาไปเลยเถิด “ว่าที่เมียแกนั่นแหละ อยู่ๆ ก็เดินเหม่อออกมาเหมือนคนไร้สติ พอเจอเจ้าเอยเข้าก็บ่อน้ำตาแตก” คำบอกเล่าทำให้นิมมานเลิกคิ้วสูง ลมหายใจชักจะติดขัด
“รตา...เดินออกมาจากตรงไหน”
“ก็ทางที่แกเดินมาเมื่อกี้ไง”
ประโยคของพระพายเป็นดั่งเหมือนคำเฉลย นิมมานหน้าซีดเผือดรับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าสาวเสียใจเรื่องอะไร สองขาปรี่เข้าไปหยุดอยู่ไม่ห่างจากคนร้องไห้
“รตา…”
เพียงแค่ได้ยินเสียง คนโดนเรียกก็ปล่อยโฮขยับตัวหนีด้วยท่าทีรังเกียจ นิมมานเห็นก็ยิ่งใจแป้ว ตั้งแต่คบหากันมารตาไม่เคยมีปฏิกิริยาแบบนี้กับเขาสักครั้ง
“ผม…”
“นิมมานขา…” เสียงแหลมที่ดังแทรกเข้ามา ทำให้บุคคลทั้งสี่พากันหันไปมอง เห็นสาวสวยหุ่นนางแบบในชุดเกาะอกสีแดงเพลิงเดินยิ้มหวานเข้ามาสมทบแบบไม่หวั่นเกรงสายตาใคร “เมื่อกี้คุณทำผ้าเช็ดหน้าตกค่ะ นีน่าเลยเอามาคืน…” ไม่พูดเปล่า ยังหยิบผ้าเช็ดหน้าสีชมพูขึ้นไปเหน็บให้บริเวณกระเป๋าเสื้อสูทของเจ้าบ่าว ก่อนจะถอยออกมาดูความเรียบร้อยด้วยความชื่นชม “โอเคค่ะ หล่อมาก…”
ทุกคนตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า รตาสะอื้นหนักซุกหน้ากับไหล่ของเพื่อนรัก ในขณะที่เจ้าเอยอารมณ์ขึ้นถึงขีดสุด
“เกิดอะไรขึ้น…” จังหวะนั้นพลอยไพลินกับเพทายก็เดินกลับมาสมทบเพราะไปที่ห้องพักเจ้าสาวแล้วไม่เจอใคร เจ้าเอยจึงแกะมือรตาออกจากเอวส่งต่อให้พลอยไพลินดูแล ส่วนตัวเองก้าวออกมาเผชิญหน้ากับตัวปัญหาทั้งสอง
“นี่มันอะไรกัน!” เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความกรุ่นโกรธ จิกตามองผู้หญิงที่บังอาจมาสร้างความวุ่นวายตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ก็ไม่มีอะไรนิ” นางแบบสาวยักไหล่ ไม่ยี่หระกับเรื่องราววุ่นๆ ที่ตนเองเป็นคนก่อ
“โกหก!”
“อยากให้ฉันพูดความจริงหรือไง” เพราะคิดว่าถือไพ่เหนือกว่าจึงไม่กลัวเกรง ก็ขนาดในงานแต่งแท้ๆ นิมมานยังยอมให้เธอเข้ามาหา แสดงว่ามีความพิเศษอยู่ไม่น้อย เผลอๆ อาจจะมากกว่าเจ้าสาวด้วยซ้ำ เขาทำรุ่มร่ามกับเธออย่างไม่ไว้หน้าหล่อนเลยซักนิด
“พูดมา!”
“ก็แค่…” ยังไม่ทันที่นางแบบสาวจะได้เอ่ยปาก นิมมานก็ขยับเข้ามาขวางตามด้วยเพื่อนอีกสองคนที่ขยับเข้ามายืนขนาบข้าง “พอเถอะ!” มือหนายื่นมาจับแขนคู่ขาไว้ ส่งสายตาให้รู้ว่าหญิงสาวกำลังล้ำเส้น “คุณกลับไปได้แล้ว”
“แต่พวกเธออยากรู้ความจริงนี่คะ เราก็ควรจะบอก…” คนโดนห้ามไม่สนใจกลับตวัดแขนไปควงชายหนุ่ม อิงซบลงบนไหล่หนา ส่งสายตาดูแคลนมาทางแก๊งค์เจ้าสาว
“นีน่า!” นิมมานส่งเสียงคล้ายจะปรามแต่ไม่มีทีท่าจะลากคนของตัวเองออกไปสักนิด สาวเจ้าเลยยังปากกล้าได้อีก
“ก็เราไม่ได้ทำอะไรผิดนี่คะ ก็แค่…จูบลากันนิดหน่อย ไหนๆ คุณก็จะแต่งงานแล้ว ฉันที่เป็นคู่นอน เอ่อ! ไม่ใช่สิ เป็นเพื่อนกับคุณมาตั้งนานก็ควรมาแสดงความดีใจด้วยไม่ใช่เหรอคะ”
“จูบลานิดหน่อยเหรอ!” เจ้าเอยครางฮือขยับขึ้นหน้ามาอีกหนึ่งก้าว ความโมโหทำให้เห็นช้างตัวเท่ามด นับประสาอะไรกับผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าช้างตั้งเยอะ หมัดเล็กๆ จึงฟาดเปรี้ยงใบยังใบหน้าของเจ้าบ่าวเต็มแรง “เลว!” ไม่รอให้คนอื่นหายตกตะลึง เจ้าเอยซ้ำลงไปอีกทีท่ามกลางเสียงหวีดร้องของนางแบบสาว
“แก! นังป่าเถื่อน กล้าดียังไงมาต่อยคุณนิมมานยะ”
“กล้าดียังไงนะเหรอ ก็กล้าแบบนี้ไง…” พูดจบหมัดเล็กๆ ก็พุ่งเข้าเบ้าตาคนพูดมากแบบเต็มๆ เล่นเอาเจ้าหล่อนหน้าหงายก้นจ้ำเบ้า
“กรี๊ด! นี่แกกล้าต่อยฉันเหรอ” คนโดนหมัดไม่รู้ตัวหวีดร้องโวยวาย ดิ้นเร่าๆ อยู่กับพื้น
“กล้าไม่กล้าก็ต่อยไปแล้ว หรือจะเอาอีก”
“คิดว่าฉันกลัวหรือไง!” นางแบบสาวผุดตัวลุกขึ้น ง้างมือเตรียมกระโจนเข้าใส่แต่ก็โดนนิมมานรั้งแขนไว้ เช่นเดียวกับพระพายที่โผล่พรวดเข้าไปกอดรัดเอวของคนขี้โมโหไว้เหมือนกัน
“ปล่อยนะ ไอ้เป็ดบ้า ฉันจะสั่งสอนยัยนี่” เจ้าเอยทุบตีคนเข้าห้ามปราม หมอนี่ต้องเข้าข้างเพื่อนตัวเองอยู่แล้ว ก็คนมันเจ้าชู้เหมือนกัน
“พอได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก”
“ได้ยินก็ได้ยินไป ฉันจะไม่เห็นจะอาย พวกทำตัวต่ำๆ ไร้สามัญสำนึกต่างหากที่ต้องอาย”
“ยัยกบ มีสติหน่อยได้ไหม”
“ตอนนี้ฉันมีสติกว่าครั้งไหนๆ เสียอีก ไม่ต้องมาห้าม! ถ้าฉันไม่เอาเลือดหัวยัยนี่ออก อย่ามาเรียกว่าฉัน ‘เจ้าเอย’ ”
เพราะห้ามยังไงก็ไม่อยู่ แถมคนโมโหยังมีเรี่ยวแรงมหาศาลจากอารมณ์โกรธ พระพายจึงตัดสินใจอุ้มยัยตัวร้ายขึ้นมา
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้เป็ดบ้า! ฉันจะฆ่าพวกไร้ยางอายสองคนนั้น” สองมือเล็กอาละวาดทั้งหยิกทั้งข่วน จนคนอุ้มเริ่มรับมือไม่ไหว หันบอกให้เพื่อนทั้งสองพาทุกคนเข้าไปเคลียร์กันในห้อง เนื่องจากเสียงที่ดังโวยวายเริ่มเรียกความสนใจจากคนอื่นๆ
ส่วนคนเดินนำพอเข้าไปในห้องได้ก็โยนยัยตัวแสบลงบนเตียงจนหญิงสาวร้องโอดโอยด้วยวคามจุก “จะบ้าหรือไง โยนลงมาได้ เจ็บนะ!”
“คุณเจ็บแล้วผมไม่เจ็บหรือไง” พระพายยกมือชี้หน้าตัวเอง เดาจากความเจ็บแล้วคงมีรอยข่วนมากกว่าสองสามรอย รู้งี้หาอะไรมามัดมือยัยตัวแสบไว้ก่อนอุ้มเข้ามาก็ดี
“สมน้ำหน้า ใครใช้ให้อุ้ม”
“แล้วจะปล่อยให้โหวกเหวกโวยวาย จนคนแห่มาดูกันทั้งโรงแรมหรือไง”
“ดี! เขาจะได้รู้ว่าใครมันเลว” ตวัดสายตามองไปทาง ‘คนเลว’ ทั้งสองที่ยืนอยู่ไม่ไกล รีบลุกขึ้นไปรตาที่ยังคงร้องไห้ โดยมีพลอยไพลินยืนประคองอยู่
“แกจะเอาไงต่อ ยังจะแต่งอีกไหม”
“ถามแบบนั้นได้ยังไง งานจะเริ่มอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้วนะ” เป็นพระพายที่แทรกขึ้นมากลางปล้อง สายตาก็มองไปทางเพื่อนของตนอย่างเห็นใจ แม้นิมมานจะทำผิดแต่คงไม่เจตนา ตามความคิดของไอ้เพื่อนตัวดีคงคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
“จะเริ่มแต่ยังไม่ได้เริ่ม ขนาดไม่แต่งยังออกลายขนาดนี้ ถ้าแต่งไปเพื่อนฉันจะเป็นยังไง”
“เจ้าเอย…” พระพายปราม ไม่อยากให้เธอเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของเพื่อนมากเกินไป ยังไงความรักก็เป็นเรื่องของคนสองคน
“ไม่ต้องมาเรียก!” แหวใส่คนบังอาจมาห้ามเสร็จ ก็หันมาทางเพื่อนรัก “คิดให้ดีรตา ชีวิตแกทั้งชีวิต” เจ้าเอยพูดแค่นั้น ก็ขยับไปยืนด้านหลัง ปล่อยให้รตาได้ตัดสินใจเรื่องที่เกิดขึ้นและอนาคตของตนเอง
เจ้าสาวที่ควรจะมีความสุขที่สุดในวันนี้ เงยหน้ามองผู้ชายที่กำลังจะเป็น ‘สามี’ ด้วยน้ำตานองหน้า เธอกับเขาเพิ่งผ่านพิธีกรรมทางศาสนาและจดทะเบียนสมรสกันเมื่อช่วงเช้า นี่ยังไม่ทันข้ามวันก็ผิดสัญญาที่เคยให้ไว้เสียแล้ว
นิมมานเริ่มใจเสียเมื่อเห็นท่าทีของสาวคนรัก ดวงตาสีน้ำตาลที่เขาเคยชอบหนักหนาเอ่อท้นด้วยหยาดน้ำตาไม่ขาดสาย ใบหน้าที่เจอกันเมื่อใดก็พบเจอแต่รอยยิ้มบ่งบอกว่ากำลังทุกข์หนัก
“รตา…”
“เราหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้เถอะค่ะ” ประโยคสั้นๆ แต่ก็ทำทุกคนตกตะลึงโดยเฉพาะเจ้าบ่าว จะมีก็แค่นางแบบสาวตัวปัญหาคนเดียวที่กระหยิ่มยิ้มย่อง
“ไม่นะ” นิมมานโผเข้าไปจับมือบางมากุม “ผมขอโทษ ผมผิดเอง ผมจะไม่ทำแบบนี้อีก ผมจะเลิกเจ้าชู้ เลิกเที่ยว เลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงทุกคน รตายกโทษให้ผมเถอะ” เจ้าบ่าวถึงขั้นคุกเข่าอ้อนวอน แต่ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดครั้งนี้จะหนักหนาสำหรับเจ้าสาวเกินไป
“วันที่คุณ ขอคบกับฉัน…” แต่ละถ้อยคำหลุดออกจากปากมาอย่างยากเย็น รตาจ้องมองคนที่ขึ้นชื่อว่าสามีด้วยความเจ็บปวด “คุณก็สัญญาแบบนี้ แล้วคุณ...เคยทำได้บ้างไหม นี่ขนาดในงานแต่ง วันสำคัญที่สุดของเรา คุณก็ยัง…”
“แต่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“คุณจูบผู้หญิงคนนั้น จูบในห้องหอ...ของเรา” รตาสะอื้นตัวโยน นี่ถ้าไม่นึกอยากไปดูความเรียบร้อยของเขาก่อนงานเริ่มก็คงไม่รู้ความจริง ขนาดเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไปเขายังไม่ได้ยิน มัวแต่ลุ่มหลงกับรสสัมผัสของผู้หญิงคนอื่นจนเธอเดินออกมาก็ยังไม่รู้ตัวเลย
นิมมานเถียงไม่ออกเพราะเหตุการณ์มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ นีน่าย่องมาหาเขาถึงในห้อง บอกว่าอยากจูบลาครั้งสุดท้ายแล้วจะตัดใจ ตามความคิดของเขาคือไม่มีอะไรเสียหายจึงยอมตอบสนองเจตนารมณ์ จากการสัมผัสบางเบาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงเมื่อเจอความร้อนรุ่มของคนมากประสบการณ์ ต้องพยายามหักห้ามใจฝืนตัวออกมาเพราะใบหน้าของว่าที่ภรรยาคอยวนเวียนย้ำเตือนอยู่ในหัว แต่เหมือนเขาจะรู้สึกตัวช้าไป
นิมมานแทบไม่รู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นรตาได้พูดอะไรอีกหรือเปล่า หรือมีคนอื่นโหวกเหวกโวยวายแทน เพราะสิ่งเดียวที่จำได้ คือภาพของหวานเพชรราคาแพงที่เขาสวมให้เธอเมื่อเช้า ถูกปาลงตรงหน้า
ไม่ถึงชั่วโมงต่อจากนั้นความวุ่นวายก็บังเกิด บ้านเลิศวรรธน์ขอยกเลิกงานแต่งแบบกะทันหัน สื่อทุกแขนงรวมทั้งผู้คนที่ช่วยกันลุ้นช่วยกันเชียร์ต่างพิศวง พากันคาดเดาไปต่างๆ นานา ทั้งเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวไม่สบาย ทั้งเรื่องความเจ้าชู้ของเจ้าบ่าว หรือเรื่องน้ำเน่าสุดคลาสสิกอย่างเจ้าสาวหนีตามคนอื่นไป
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านภายนอก นิมมานขังตัวเองอยู่ในห้องหอพร้อมกับน้ำตาลูกผู้ชายที่รินไหล ในมือกำแหวนแต่งงานที่ไว้แน่น
ไม่มีแล้วคนที่รักและเฝ้ารอ
ไม่มีแล้วอนาคตที่เคยหวาดหวัง
ไม่มีแล้ว ‘รตา’ ผู้หญิงหนึ่งเดียวที่สามารถครอบครองหัวใจ เพราะดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทุกอย่างไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม
ความคิดเห็น |
---|