10
ความวายป่วงมาเยือนสาวเลี้ยงแกะ
สำหรับคนอื่น บ้านคงเป็นที่พักพิงให้เย็นใจจากภัยภายนอก แต่สำหรับกลิกา บ้านไม้สองชั้นหลังเก่าที่เธออาศัยอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยงนั้นช่างร้อนราวกับขุมนรกโลกันต์ เปรียบได้กับมหันตภัยร้ายแรงในชีวิตก็มิปาน
หากเป็นไปได้...กลิกาก็อยากจะมีความกล้าพาตัวเองออกไปจากที่นี่ แต่เมื่อได้สบตาอ้อนวอนของพ่อคราใด เธอก็ไม่สามารถหักใจทิ้งท่านไปได้
หญิงสาวระบายความทุกข์ผ่านลมหายใจเฮือกใหญ่ ขณะกำลังตากผ้าอยู่ที่หลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับห้องครัว ก่อนจะย่นคอด้วยความกลัว เมื่อหูได้ยินเสียงฝีเท้าตึงตังของแม่เลี้ยง
“เสร็จหรือยังยายก้อย”
“ใกล้แล้วจ้ะน้าชบา มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
หญิงสูงวัยท่าทางซอมซ่อถลึงตาข่มลูกเลี้ยงจอมอ่อนแอ “เอาเงินมาให้ฉันพันนึงซิ”
“น้าชบาจะเอาไปทำอะไร จะเอาไปซื้อเหล้าเหรอ เงินก้อยจะหมดแล้วนะ” กลิกาดักคออย่างรู้ทันอีกฝ่าย ย่นคิ้วไม่เห็นด้วย เหลือบมองไปยังพ่อที่นั่งกินข้าวเที่ยงอยู่ในครัว ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากท่าน
“ชบา...เพลาๆ เรื่องเหล้าหน่อยดีไหม”
“จะเพลาหรือไม่เพลาก็เรื่องของฉัน!” ชบาแผดเสียงเขียวใส่โกมุท ตวัดตาวาวโรจน์มองทั้งพ่อทั้งลูก “ก็เพราะแกชักช้าอยู่นี่แหละยายก้อย ไม่รีบจับแฟนคนรวยของแกมาทำผัวสักที ฉันกับพ่อแกจะได้สบายเหมือนคนอื่นเขา รู้จักตอบแทนบุญคุณที่ฉันเลี้ยงแกมาบ้าง”
กลิกากลืนความเจ็บช้ำลงในลำคอ...บุญคุณหรือ
เลี้ยงไปใช้งานไป นี่เรียกว่าบุญคุณใช่ไหม...
“ก้อยไม่ได้คิดกับคุณนบเพราะแค่เรื่องเงิน ทำไมเราต้องหวังให้เขามาเลี้ยงเราด้วย เราหาเงินใช้เองดีกว่าน้าชบา”
แม้จะกลัวชบามาก แต่กลิกาก็ลองใจสู้เถียงอีกฝ่าย เกิดอาการกล้าๆ กลัวๆ ด้วยได้แรงบันดาลใจมาจากคำสอนของพริ้งพราว บวกกับการโดนกีดกันทางความรักทำให้เธอประหวั่นพรั่นพรึงว่าปลายทางของความสัมพันธ์จะสวยงามหรือไม่
“โง่ แกอย่ามาดัดจริตรักศักดิ์ศรีเอาตอนนี้ได้ไหม” ชบาแบะปากหมั่นไส้ลูกเลี้ยง เลิกคิ้วสงสัย “ทำไม แกกลัวโดนแม่ผัวเกลียดเหรอ”
กลิกานิ่งงัน ยอมรับกลายๆ ว่ากลัวเช่นนั้น
“แกจะสนใจทำไม นังดาราเก่านั่นจะรู้สึกยังไงกับแกก็เรื่องของมันสิ”
หญิงสูงวัยเหลือกตาเขียวขุ่นเมื่อนึกถึงจารุณี ก่อนจะเดินไปประชิดตัวกลิกา ถือวิสาสะดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงขาสามส่วนของอีกฝ่าย หยิบเงินตามจำนวนที่ตัวเองต้องการ เดินเชิดหน้าออกไปจากบ้าน
เธอสาวเท้าไปยังร้านขายของชำประจำซอย สั่งสุราที่ต้องการ ก่อนจะนิ่วหน้าไม่ชอบใจเมื่อเจ้าของร้านหญิงชราเอ่ยชื่นชมคนในหน้าจอโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่กลางร้าน
“จ๋า จารุณี นางฟ้าของจอแก้ว ตอนเขาสาวๆ นี่ เขาสวยจริงๆ นะ ดูสิชบา”
อีกฝ่ายชี้ชวนให้ชบาดูละครรีรันของจารุณีอย่างอารมณ์ดี โดยไม่สังเกตเห็นเลยว่าคำชวนของตัวเองสร้างความขึ้งโกรธให้ชบาเพียงใด
“ไม่ซื้อแล้ว!”
“อ้าว” เจ้าของร้านทำหน้าเหลองุนงง “อะไรของเอ็งวะชบา”
“พูดไม่เข้าหู ซื้อร้านอื่นดีกว่า!” ชบาสะบัดเสียงเดินหน้าตั้งออกมาจากร้าน นัยน์ตาลุกวาบไปด้วยไฟแห่งความพยาบาท
‘นางฟ้าของจอแก้ว...ถุย! ต่อให้จะไปเป็นดาวเลิศเลออยู่ในสวรรค์วิมานสวยหรูเพียงใด แต่ยังไงก็เคยรับใช้นังชบาคนนี้มาแล้วละว้า’
พริ้งพราวยอมให้จอมทัพเป็นคนพาออกมาจากบ้านจิตรภากรก็ด้วยเข้าใจว่าชายหนุ่มจะพากลับไปส่งที่อะพาร์ตเมนต์ตัวเอง แต่แล้วเธอก็ทำหน้าตื่นเลิ่กลั่ก เพราะพยัคฆ์หน้าหยกดันพามาที่ห้องชุดสุดหรูที่เขาเคยเอ่ยถึง พอเธอจะอาละวาดเอ็ดอึง พ่อคุณก็เอาความเหนื่อยล้าจากการเดินทางของคนตัวน้อยมาอ้าง เธอจึงจำต้องยอมมาอยู่ในห้องชุดของเขาอย่างเสียไม่ได้
“พริกแกงน้อย พ่อขอโทษที่วันนี้สถานการณ์แย่เกินกว่าที่พ่อจะตั้งตัวได้ เอาไว้เดี๋ยวพ่อกลับไปคุยกับคุณย่าใหม่นะคะ”
จอมทัพก้มหอมหน้าผากคนที่กำลังหม่ำนมอยู่ในอ้อมแขนตัวเอง ดวงตาน้อยๆ เริ่มปรือเพราะความง่วง และค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราคาอกชายหนุ่ม
“หลับฝันดีนะคะพริกแกงน้อยของพ่อ” เขาอมยิ้มละมุน ก่อนจะวางคนตัวจ้อยลงบนเตียงกว้าง ลูบศีรษะเล็กด้วยความรัก และหันไปหาคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน สีหน้าเธอฟ้องชัดถึงความหวาดหวั่นระคนลำบากใจจนเขาขมวดคิ้วสงสัย
“เป็นอะไรหรือเปล่าพริ้ง ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“คุณไนท์...ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ” เธอเกริ่นนำ ลุกออกจากเตียง เปิดประตูเดินออกจากห้องนอนมายังโถงกลางห้องชุด
“จะคุยอะไรเหรอพริ้ง เรื่องคุณแม่ใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่เรื่องแม่คุณ” เธอหันไปสบตาคู่คม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างคนใคร่ครวญดีแล้วก่อนบอกว่า “ฉันไม่ใช่เมียคุณ เราไม่เคยมีอะไรกัน”
“นี่คุณ...”
จอมทัพเบิกตากว้าง ในขณะที่คนสารภาพผิดก็หลับตาปี๋ เตรียมโดนเขาสาดความโกรธใส่ไม่ยั้ง
ทว่า...ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ยังไม่ได้ยินคำด่าทอสักคำ ครั้นลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาคู่คมที่กำลังมองกันอย่างตัดพ้อก็ทำเธอหน้าเหลอ
อ้าว...ไม่โกรธเลยเรอะ!
“ไม่อยากเป็นสะใภ้คุณแม่ขนาดว่ายอมโกหกผมเบอร์นี้เลยเหรอพริ้ง”
“ฮะ!”
หญิงสาวอ้าปากหวอ เบิกตาโตด้วยความตกใจระคนไม่คาดคิดว่าเรื่องจะลงอีหรอบนี้
“นะ...นี่คุณ ฉันไม่ได้โกหกนะคะ ที่ผ่านมาต่างหากคือเรื่องโกหก”
“ผมไม่เชื่อ!”
“ฉันกับคุณไม่เคยมีอะไรกันจริงๆ ที่ฉันบอกเรื่องเจ้าถุงน้อยผิวขรุขระกลิ่นสตรอว์เบอร์รี ฉันก็มั่วขึ้นมาเอง แล้วมันดันเฮง มั่วถูกพอดี”
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ผมไม่อยากฟังแล้ว!” จอมทัพเอ่ยต่อต้านด้วยน้ำเสียงกร้าวจัด มองหญิงสาวอย่างดุดัน รวบตัวเธอมากอด เรือนร่างแนบชิดกันจนไม่มีที่ว่างสักเซนติเมตรเดียว ก่อนจะขู่เสียงแตกพร่า พร้อมๆ กับที่ยื่นหน้าไปหา “ถ้าคุณพูดเรื่องบ้าๆ นี่อีก ผมจะจูบปากคุณเดี๋ยวนี้!”
“อย่ามาเล่นบทพิศวาสทางปากกับฉันนะ!” หญิงสาวต่อต้านเสียงหลง พยายามยกมือฟาดหน้าเขาตามฉายาพริ้งตบแหลก แต่ดวงดาวมรณะคงโคจรมาทับชะตาชีวิตเธอ เลยได้ประสบกับคราวซวยครั้งมโหฬาร ถูกเสือร้ายเก็บอาวุธคู่ใจไว้ภายใต้อุ้งมือเขาอย่างง่ายดาย
“ไม่ให้เล่นทางปาก แล้วจะให้เล่นทางอื่นไหมล่ะ”
“ไม่ จะทางไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น!”
“คุณไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ผมไม่เล่นทุกทางก็ดีแค่ไหนแล้วพริ้ง”
ตาคู่สวยวาวโรจน์รับคำขู่ โมโหเมื่อจอมทัพไม่คิดจะเปิดโอกาสให้เธออธิบายอะไรเลย เพราะเคยลองหยั่งเชิงสมมุติเรื่องที่พริกแกงไม่ใช่ลูกเขา แล้วเห็นว่าเขางอแงเป็นบ้าเป็นบอ เธอเลยคิดว่าหากลองเปิดหัวด้วยเรื่องที่ตนเองไม่ใช่เมียเขา อาจจะช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายได้ราบรื่นขึ้น แต่มันดันกลายเป็นหนทางให้เขาได้เปรียบ เปิดโอกาสให้เขารุกประชิดเธอเสียอย่างนั้น
ความจริง พริ้งพราวก็ไม่คิดมาก่อนหรอกว่าจะเผยปฏิบัติการป่วนจารุณีวันนี้ แต่เพราะการปะทะกับจารุณีอย่างถึงพริกถึงขิงจากอารมณ์ส่วนตัวของตนเองที่มันรุนแรงเกินกว่าจะเป็นเรื่องเล่นๆ เธอเลยไม่รู้สึกว่าการเจอกับจารุณีคือความบันเทิงอีกแล้ว
แม้จะยังไม่ได้แผลงฤทธิ์ป่วนหนักๆ ตามที่ตนเคยมุ่งหมายไว้ แต่ใบหน้าซีดเผือดของว่าที่แม่สามีใจร้ายที่เธอได้ยลวันนี้ มันก็เป็นผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจแล้ว
“คุณมาประกาศตัวว่าเป็นเมียผม แล้วอยู่ๆ วันนี้จะมาบอกว่าไม่ใช่ คุณคิดว่าคุณกำลังเล่นอยู่กับใครฮะ!”
พริ้งพราวเม้มปากใส่เจ้าของเสียงเครียดจัด ฟ้องชัดว่าเขากำลังต่อต้านและไม่ยอมรับฟังเรื่องราวทุกอย่างเป็นแน่
ภาพที่เธอลองจินตนาการไว้เมื่อเผยเรื่องราวช่างแตกต่างกับเหตุการณ์จริงจนเธอได้แน่นึกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ได้เตรียมแผนสำรองไว้ คิดแค่เพียงว่าจอมทัพคงจะโกรธจนไม่แม้แต่จะมองหน้า และถ้าเขาจะเอาเรื่องขึ้นมา นักรบก็จะช่วยให้เธอรอดพ้นโพยภัย
หญิงสาวลำพองใจเป็นอย่างยิ่งว่าบทสรุปต้องเป็นความดรามา เขาจะเกลียดและไล่เธอให้ออกไปไกลๆ จากชีวิต แต่ใครจะไปคิดว่าจอมทัพจะไม่ดรามา แถมยังมาทำท่าเป็นเสือนักล่าขู่คำรามจะเล่นบทพิศวาสกับเหยื่อสาวที่ยังเวอร์จินเช่นเธอ
“พริ้งน่าจะมองออกว่าผมอ่อนข้อให้พริ้งมากอย่างที่ปกติผมไม่มีทางยอมใครขนาดนี้ มันไม่ใช่ว่าผมกลัว แต่มันเป็นเพราะผมไม่อยากใช้โหมดดุกับพริ้ง แล้วผมก็ไม่อยากไปถึงจุดนั้นด้วย”
เสือหนุ่มขู่สาวเจ้าด้วยแววตากร้าวกระด้าง ยื่นมือมาจับคางมน บังคับให้เธอสบตากัน
“พริ้งอาจจะโกรธคุณแม่ ที่คุณแม่ตั้งแง่กับพริ้ง แต่พริ้งจะมาแก้ไขปัญหาด้วยการเอาตัวเองกับลูกออกไปจากชีวิตผมไม่ได้ เข้าใจไหม!”
“แล้วมันไม่ดีเหรอ ถ้าฉันกับพริกแกงออกไปจากชีวิตคุณ คุณก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมไง!”
หญิงสาวตอกกลับตามประสาคนหัวแข็ง ความหงุดหงิดที่กำลังเดือดพล่านไปทั้งร่างผลักดันให้เธออยากจะลองดีกับเขา เชิดหน้าโต้กลับด้วยไม้ตายสำคัญ
“คุณรู้ไว้ด้วยนะ คุณไม่ใช่พ่อยายหนู ปะป๊าที่ยายหนูเรียก คือพ่อแท้ๆ ของเขา”
จอมทัพขบกรามดังกรอด กระชับอ้อมแขนให้แนบแน่นกว่าเดิม ดวงตาคมกล้าจ้องนิ่งอยู่ที่เป้าหมาย
“ฉันเป็นเพื่อนกับ...อื๊อๆ”
ชายหนุ่มบดขยี้ปากอวบอิ่มแรงๆ กำราบพริ้งพราวด้วยความช่ำชอง ขบเม้มดูดดึงให้สาสมกับที่สาวเจ้ากล้าเอ่ยวาจาแสลงหู ดุนดันให้เธอเผยอปากออก
“ปะ...ปล่อยฉันนะ...”
หญิงสาวพยายามเบี่ยงหน้าหนี เพราะหากไม่ต่อสู้เสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วปล่อยให้เขาเล่นบทพิศวาสขั้นสูงด้วยการสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปาก ลู่ทางที่จะหลุดพ้นออกจากกรงเล็บพยัคฆ์คงจะยากยิ่งกว่าเดิม
“โอเค คุณไนท์ ฉันจะไม่พูดเรื่องที่คุณไม่อยากฟังแล้วก็ได้”
พริ้งพราวลองยอมอ่อนข้อให้ ทว่าจอมทัพกลับไม่สนใจข้อต่อรองของเธอ ซ้ำยังอาศัยจังหวะที่เธออ้าปากเอ่ยวาจา สอดลิ้นเข้ามาหาความหวานล้ำจนได้
นัยน์ตาเขาฉ่ำเยิ้มไปด้วยความใคร่ระคนพอใจกับรสสัมผัสที่กำลังลิ้มลอง จูบเอาๆ ราวกับคนตายอดตายอยาก เธอเองก็เริ่มครั่นคร้ามว่าเขาจะเลยเถิดไปเล่นบทพิศวาสทางอื่นนอกจากปาก...
ไม่ได้การ...เธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด
สองแขนพยายามออกแรงยันหน้าอกกว้าง พร้อมกับการกระทืบเท้าเขาแรงๆ จนชายหนุ่มสะดุดกึกไปครู่หนึ่ง แต่กระนั้นเขาก็ยังจูบต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน ทำเอาพริ้งพราวงุนงงนัก...ตาลุงนี่หนังเหนียวอะไรอย่างนี้
ในเมื่อหมดหนทางจะต่อต้าน เธอเลยจำต้องปลอบใจตัวเอง คิดเสียว่านี่คือผลกรรมจากการโกหกที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยอมให้เขาจุมพิตอีกครู่ใหญ่ จนเขาพอใจแล้วนั่นแหละ เขาถึงผละออกมามองดวงหน้าหวานล้ำด้วยนัยน์ตาพราวระยับสุขสม
“ขอเตือนไว้อย่าง...” เขากระซิบเสียงพร่า “อย่าพยายามผลักผมออกไปจากพริ้งกับลูกอีก แล้วก็อย่าคิดหอบลูกหนีผมไปไหนด้วย ถ้าหนีแล้วผมจับได้ ผมจะ...”
“ทะ...ทำไม คุณจะทำอะไร”
น้ำเสียงเธอหวาดหวั่นจนเขานึกขัน ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขู่แกมบังคับ “ผมจะรวบคุณกับลูกมาอยู่ด้วยกันที่นี่ โดยที่ไม่ถามความสมัครใจจากคุณสักคำ”
สาวเลี้ยงแกะอึ้งตาค้าง ‘อิ๊บอ๋ายแล้ว ความวายป่วงมาเยือนเข้าอย่างจัง’
คิดจะรวบเธอยังพอว่า แต่คิดจะรวบแก้วตาดวงใจของคนอื่น มันทำไม่ได้!
ครั้นเห็นเสือร้ายยื่นหน้าทำท่าจะจูบเธออีกครั้ง พริ้งพราวก็รีบหาทางรอดให้ตัวเองด้วยการฉวยจังหวะที่เขากำลังชะล่าใจคลายอ้อมกอด ผลักร่างสูงใหญ่ออก วิ่งไปเปิดประตูเข้าไปหาพริกแกง ทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันข้างหาคนตัวน้อย เพราะมั่นใจว่าแกจะเป็นยันต์คุ้มกันภัยให้พรหมจรรย์ของเธอได้
จอมทัพเองก็ตามเข้ามา พลางหัวเราะหึกับหนทางรอดของสาวเจ้า ต่อให้อยาก...เพียงใด แต่เขาก็ไม่ได้ไร้ความอดทนขนาดว่าจะกระทำการตามอำเภอใจ
“ร้ายนักนะ แม่เมียเก่า” เขาอมยิ้มมันเขี้ยวสาวเจ้า ก่อนจะตีมึนทิ้งตัวนอนซ้อนหลังเธอ พาดแขนรั้งเอวบางมาแนบชิดกัน
“อย่ามานอนกอดฉันนะ อยากนอนก็ไปนอนอีกฝั่งสิ”
เธอแหวเสียงแหลม จนพริกแกงสะดุ้งตื่น เงยหน้ามองคนที่กอดตัวเองและคนที่ชะโงกหน้าส่งสายตาอบอุ่นมาให้
“ดูสิพริ้ง คุณเสียงดัง พริกแกงน้อยตื่นเลย”
คนตัวจ้อยยิ้มร่าให้คนพูด เปล่งเสียงตอบกลับ “แอ๊ะ”
“โอ๋ๆ ขอโทษนะคะ นอนต่อนะลูก...” พริ้งพราวละความสนใจในตัวชายหนุ่ม รีบลูบหลังกล่อมเจ้าตัวเล็กที่กำลังเอาหน้ามาซุกซบอกอุ่นของเธอ
ปากน้อยๆ ยิ้มร่าถูกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น...
พริ้งพราวนอนตัวเกร็งให้จอมทัพกอดอยู่พักใหญ่ก็รับรู้ถึงลมหายใจที่รดต้นคอเธออยู่ ครั้นหันหน้าไปมองก็เห็นว่าเขากำลังเคลิ้มหลับ เลยค่อยๆ แกะแขนแข็งแรงออกจากเอวบาง แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งตรงกลางระหว่างเจ้าตัวเล็กกับจอมทัพ
“พริ้งจะไปไหน...”
ชายหนุ่มรู้สึกตัว สะดุ้งตาปรือ ดวงหน้าหล่อเหลาตื่นตกใจอย่างคนหวาดหวั่น
“นอนต่อนะคะ” หญิงสาวยิ้มขำกับความหลอนกลัวเธอจะหนีของเขา ยอมใจดียื่นมือไปลูบหน้าเขาเบาๆ โดยใช้ความรู้สึกแสนอ่อนโยนเดียวกันกับที่กล่อมพริกแกง
“ห้ามหนีผมไปไหนนะ”
“อืม...”
แค่คำเดียวของเธอก็มีพลังมากพอที่จะทำให้จอมทัพคลี่ยิ้ม วางใจในคำมั่น ปิดเปลือกตาเข้าสู่นิทรา หญิงสาวเองก็อมยิ้มเอ็นดูคนสองวัยที่หลับปุ๋ยคู่กัน
“ตาลุงเอ๊ย หลงเด็กจนไม่ยอมรับฟังความจริงอะไรเลยนะ”
เธอบ่นอุบ ส่ายหน้าอ่อนใจในความงอแงของผู้ใหญ่ตัวโต ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนกายลงจากเตียง เดินไปเปิดประตูออกจากห้องนอน ดวงตาคู่สวยกวาดมองสำรวจห้องชุดสุดหรูของเขา
เฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในห้องนี้คุมโทนด้วยสีดำขาว ทั้งยังดูแพงสมฐานะทายาทคนโตของตระกูลจิตรภากร เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงทำหน้าปูเลี่ยนทันทีที่เห็นห้องพักของเธอ
ไม่ว่าจะความอลังการของบ้านจิตรภากร หรือความหรูหราของห้องนี้ ล้วนแสดงถึงช่องว่างของฐานะ จนเธอยิ่งเห็นชัดถึงความแตกต่างระหว่างกัน
ไม่ใช่แค่จารุณีที่คิดว่า ‘จุดที่ทำให้ลูกข้องเกี่ยวกับแม่นี่ มันก็แค่เพราะเรื่องยายจิ๋วน้อยเท่านั้น ลำพังเฉพาะแม่นี่คนเดียว ไม่มีทางที่ลูกจะอยากยุ่งด้วย!’
พริ้งพราวเองก็รู้สึกเหมือนกับหญิงสูงวัย จอมทัพยุ่งกับเธอก็เพราะเขาเข้าใจว่าเธอคือแม่ของลูก
เขาอยากสร้างครอบครัวด้วยกันก็เพราะคิดว่ามันคือการได้ทำหน้าที่พ่อสำหรับพริกแกง และหน้าที่สามีของภรรยาที่เขาเชื่อสนิทใจว่าเธอเคยเป็น
ในเมื่อบอกความจริงไปแล้วทุกอย่างยังไม่จบ เห็นทีคงต้องเรียกให้ไพ่ตายที่จะทำให้ทุกอย่างกระจ่างแจ้งกลับมาชี้แจงด้วยตัวเอง
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างยอมจำนนกับผลกรรมและความวายป่วงที่มาเยือน ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาหนังแท้สีขาว หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าสะพายสีครีม กดต่อสายไปหาพริ้มเพรา
“พริ้ม...อยู่ไหนกัน ฮอตทำอะไรอยู่”
“อยู่ในร้านขายโมเดลตัวการ์ตูนญี่ปุ่นค่ะ พี่ฮอตเลือกโมเดลอยู่”
พริ้มเพราตอบกลับด้วยเสียงกระซิบกระซาบ เดาได้ว่าน้องกำลังระวังการสนทนา กันไม่ให้หฤทธิ์ได้ยิน
“พี่พริ้งขา พริ้มจะรับมือกับพี่ฮอตไม่ไหวแล้วนะคะ หาทางบ่ายเบี่ยงให้พี่ฮอตละความสนใจจากคนที่อ้างว่าเป็นผัวพี่พริ้งทุกทาง จนพริ้มไม่เหลือไม้ตายอะไรแล้วอะ”
“พี่ขอโทษ ไม่ต้องหาไม้ตายอะไรแล้วละ พี่มีเรื่องจะบอก...” พริ้งพราวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครา รวบรวมความกล้าเอ่ยออกไปตามตรง “คนที่ฮอตคุยด้วยชื่อคุณไนท์...จอมทัพ จิตรภากร ประธานบริษัท JPK Entertainment พี่พายายหนูไปป่วนเขากับครอบครัวเขามา”
“ไปป่วนทำไมคะ” เอ่ยถามอย่างสงสัยแล้วน้องสาวก็เงียบไป
พริ้งพราวเดาว่าน้องน่าจะกำลังตกใจกับการกระทำของเธอ แม้จะเห็นว่าควรให้น้องได้มีเวลาตั้งหลักก่อน แต่ด้วยคำขู่ของเสือร้ายสุดโหด อาจจะต้องปัดการตั้งหลักทิ้งไป เพราะต้องรีบใช้เวลาทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์
“คืองี้นะพริ้ม ก้อยเป็นแฟนกับน้องชายเขา โดนแม่เขาเหยียด พี่สงสารก้อย เลยกะว่าจะไปป่วนแม่เขาเอามันเสียหน่อย พี่ไปหลอกคุณไนท์ว่าพี่เป็นเมียเขา ยายหนูคือลูกของเขา เขาเชื่อสนิทใจ พาพี่ไปเจอพ่อแม่เขา พอได้ป่วนแม่เขาแล้ว พี่ก็สารภาพความจริงกับเขาไป แต่เขาก็ไม่เชื่ออะ ตั้งท่าไม่ยอมฟังอะไรเลย แถมยังขู่ด้วยว่าจะรวบพี่กับยายหนูมาอยู่ด้วยกัน...”
เธอหยุดพักหายใจ หลังจากเล่าเรื่องราวโดยร่ายยาวรวดเดียว ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นน้องสาวเงียบไป
“พริ้ม...ฟังอยู่หรือเปล่า ได้ยินพี่ไหม ฮัลโหลๆ พริ้ม...ช็อกไปเลยเหรอ”
“หึ คนที่ช็อกน่ะ ไม่ใช่พริ้มหรอก แต่เป็นผม!”
เสียงห้าวจัดที่แฝงความเกรี้ยวกราดอย่างเต็มเปี่ยมทำพริ้งพราวตาค้าง ตกใจมือไม้สั่นจนแทบจับโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่
“ฮะ...ฮอต!”
“ใช่ ผมเอง!” หฤทธิ์ตอบรับ โวยวายใส่พี่เมียไม่ยั้ง “ป้าพริ้งพาลูกแมวน้อยไปทำอะไรพิลึกๆ อย่างนั้นได้ยังไง ป้าได้เคลียร์กับผมยาวแน่!”
“รู้แล้ว เคลียร์ก็เคลียร์ แต่ก่อนจะเคลียร์ ช่วยมาทวงลูกคืนจากตาลุงนี่ก่อนได้ไหมเล่า”
“ไปทวงแน่ ไม่ต้องห่วง ไอ้ลุงนั่นคงเคลิ้มเพราะความน่ารักของลูกแมวน้อยน่าดู รักลูกสาวผมหัวปักหัวปำแล้วแน่ๆ”
“ใช่ รักมาก ยายหนูก็รู้จักโปรยเสน่ห์ เรียกเขาว่าป้อไม่หยุดปาก”
“อะไรนะ นี่ป้าสอนให้ลูกผมเรียกไอ้ลุงนั่นว่าป้อด้วยเหรอ!”
“เอ่อ...” เธอหัวเราะแหะๆ รับความผิด “ก็เพื่อความสมจริงไงคะคุณน้องเขย”
“ฮึ่ย! ป้าพริ้งรู้ไหมว่าหมอนั่นท้าไฝว้กับผม บอกว่าตัวเองเป็นเทพเหนือเทพด้านการเปย์ มาเกทับผมไม่พอแล้วยังจะมาแบ่งความรักของยายหนูไปจากผมอีก”
“เอ่อ...ในจุดนี้ จริงๆ เขาก็ไม่ผิดหรอกนะ” พริ้งพราวเอ่ยอ่อยๆ แก้ตัวแทนจอมทัพ “ฉันผิดเองที่ทำให้เขาเชื่อว่ายายหนูคือลูก มันก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะรักยายหนู”
“ไม่รู้แหละ ผมไม่ให้รัก!”
เธอทำหน้าเบ้ย่นคอรับน้ำเสียงขุ่นเคืองของคนปลายสาย กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่กับหายนะขนานแท้ที่บังเกิดขึ้น
“ผมเนี่ยสังหรณ์ใจตั้งแต่ได้คุยกันแล้ว นึกตงิดๆ ว่าต้องได้เปิดศึกกัน ที่แท้ก็ต้องมาเปิดศึกแย่งลูกสาวคืนมาจากไอ้ลุงนั่นนี่เอง เฮอะ เดี๋ยวเถอะ ไอ้ลุงนั่นจะได้อึ้งจนหน้าหงาย ป้งป้ออะไรวะ ไม่ต้องมีหรอก มีปะป๊าคนเดียวก็พอแล้ว!”
เธอชะงักกึกเมื่อน้องเขยเหมือนจอมทัพเปี๊ยบ...อีกคนก็มีป้อคนเดียวก็พอแล้ว อีกคนก็มีปะป๊าคนเดียวก็พอแล้ว
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเลยว่า คนที่จะต่อกรกับงอแงแมนเบอร์สองได้ก็ต้องงอแงแมนเบอร์หนึ่งเท่านั้น!
ความคิดเห็น |
---|