ตอน 1
ถังจื่อเจิงเห็นท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่ายก็ยิ่งนิ่วหน้าหนักขึ้น สีหน้าของเด็กน้อยฉายแววขุ่นขึ้งขึ้นมานิดๆ “ฝ่าบาทเสวยทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ ข้าวและอาหารพวกนี้ชาวนาปลูกมาอย่างยากเย็น แค่ข้าวเปลือกก็ต้องใช้เวลาปลูกถึงสี่ห้าเดือน ผักนี่ก็ใช้เวลาอย่างน้อยสองสาม
เดือน กว่าจะส่งเข้าวังมาได้ก็ไม่ใช่ง่าย ผ่านการปรุงจากพ่อครัวจนได้รสชาติโอชะเช่นนี้ พระองค์กลับทำเลอะเทอะไปหมด” จะว่าไปแล้วก็ถือว่าฝ่าบาทโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ถ้าคนที่อยู่ตรงนี้เป็นพี่เสี่ยวถงละก็ มีหวังได้สะบัดฝ่ามือตบกะโหลกฝ่าบาทไปแล้ว
“เจิ้นกำลังจะตายอยู่แล้ว! จะต้องสนใจว่าเลอะเทอะหรือไม่ทำไมอีกเล่า!” ลิ่นเส้าเยวียนโมโหแทบคลั่ง อยากจะกระโจนออกไปเล่นงานอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนั้น
“ฝ่าบาทไม่ตายหรอก พี่หนึ่งตำลึงต้องการชีวิตฝ่าบาทเสียที่ไหนกัน” ถังจื่อเจิงอดถอนใจออกมาไม่ได้ อยากจะถามเหลือเกินว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวโคมลอยพวกนี้
“เจิ้นหมายถึงพระปิตุลา!” ถึงอย่างไรเสียเขาก็ใกล้จะตายอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นก็พูดออกมาให้หมดเปลือกเลยจะเป็นไรไป ถ้าเผยความหวาดกลัวออกมาจนหมด เขาก็จะไม่ต้องกริ่งเกรงอะไรอีกต่อไป!
“พระปิตุลาของฝ่าบาทก็คือพี่หนึ่งตำลึงอย่างไรเล่า” ถังจื่อเจิงถอนใจยาว คิดว่าฝ่าบาทต้องไม่รู้ชื่อเล่นนี้ของพี่หนึ่งตำลึงเป็นแน่ “พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนั้นพี่หนึ่งตำลึงยอมลดตัวเป็นแรงงานระยะยาวก็เพราะต้องการเอาอกเอาใจพี่เสี่ยวถง เพราะเหตุนี้พี่เสี่ยวถงจึงตั้งชื่อให้เขาว่า หนึ่งตำลึง ส่วนพี่เสี่ยวถงก็เป็น...”
“เจิ้นสนใจที่ไหนว่านางคือใคร! เจิ้นรู้แค่ว่าพระปิตุลาจะสังหารเจิ้น!” ลิ่นเส้าเยวียนลุกพรวดขึ้นแล้วตัดบทอีกฝ่ายด้วยความโมโห เขารู้สึกว่าลูกบุญธรรมของพระปิตุลานั้นโง่เขลานัก! ใครอยากให้อีกฝ่ายมาอธิบายเรื่องพรรค์นี้ให้ฟังกัน!
ถังจื่อเจิงเหลือบตามอง พอเห็นสีหน้าโมโหโทโสของอีกฝ่าย เจ้าตัวก็รู้สึกจนใจขึ้นมา “ฝ่าบาท ถ้าพี่หนึ่งตำลึงจะสังหารฝ่าบาท ไฉนตอนนั้นเขาถึงได้สละบัลลังก์มังกรให้แก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนด้วยเล่า”
“นั่นก็เพราะเขาต้องการสังหารเสด็จพ่อของเจิ้น! สังหารเสด็จพ่อของเจิ้นแล้ว ตอนนี้ก็คิดจะสังหารเจิ้นอีก!”
ถังจื่อเจิงเกาแก้มแกรกๆ ในใจก็คิดว่า ถ้าเขาบอกกับพี่หนึ่งตำลึงว่าหลานชายของพี่หนึ่งตำลึงเป็นคนโง่เขลา ไม่รู้ว่าเขาจะถูกเล่นงานหรือเปล่าหนอ
“ฝ่าบาท ทรงคิดว่าพี่หนึ่งตำลึงจะสังหารใครสักคนต้องลงทุนลงแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เขาไม่ใช่คนเฉลียวฉลาดก็จริง แต่นานๆ ครั้งจะเจอคนที่ซื่อบื้อกว่าตนเองสักที ทำเอาอดเวทนาอีกฝ่ายไม่ได้
เท่าที่เขารู้ ก่อนที่พี่หนึ่งตำลึงจะพบกับพี่เสี่ยวถง พี่หนึ่งตำลึงเป็นฮ่องเต้ทรราชมาก่อน ไม่เคยออกว่าราชการ ทำอะไรตามอำเภอใจตนเอง ไม่เห็นกฎเกณฑ์และธรรมเนียมแห่งราชสำนักอยู่ในสายตา ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ สักนิดก็คือ หากเขาหวังจะเอาชีวิตของใครสักคนละก็ แค่สั่งออกมาคำเดียวก็จบเรื่องแล้วมิใช่หรือไรกัน
ลิ่นเส้าเยวียนชะงักไปครู่ แล้วจู่ๆ ก็ราวกับมีอะไรบางอย่างมาปัดเป่าเมฆหมอกสีดำที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งร่างออกไป ขับไล่ความโง่เขลาออกจากใจ ทำให้เขาได้สติขึ้นมาแทบจะในวินาทีนั้น แต่ว่า...
“ใครจะรู้เล่า เมื่อก่อนพระปิตุลาเคยปั่นหัวเสด็จพ่อ เรียกตัวเสด็จพ่อมาจากเมืองซูอิ่ง ทำให้เสด็จพ่อตกพระทัยจนประชวรหนัก บางทีครั้งนี้เขาอาจกำลังเล่นลูกไม้อะไรอยู่อีกก็ได้!”
“ตกใจ? พี่หนึ่งตำลึงทำให้ใครตกใจได้ด้วยหรือ” ถังจื่อเจิงอดเท้าคางใคร่ครวญไม่ได้ “ก็จริง เวลาที่พี่หนึ่งตำลึงไม่เอ่ยวาจาใดๆ ออกมาสักคำ ท่าทางเช่นนั้นก็ชวนให้ตกใจจริงๆ นั่นละ
แต่ปัญหาก็คือ เท่าที่กระหม่อมรู้ พี่หนึ่งตำลึงยอมสละราชบัลลังก์ก็เพื่อพี่เสี่ยวถง แต่ใครจะคิดว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนกลับเสด็จสวรรคต ซ้ำยังต้องให้พี่หนึ่งตำลึงมาเป็นผู้สำเร็จราชการ อันที่จริงพี่หนึ่งตำลึงขุ่นขึ้งเพราะเรื่องนี้มากอยู่”
ลิ่นเส้าเยวียนขึงตาดุใส่เขา คิดถึงเหตุการณ์ก่อนที่เสด็จพ่อจะเสด็จสวรรคตและทรงเป็นคนตรัสขอให้พระปิตุลาเป็นผู้สำเร็จราชการด้วยพระองค์เอง ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดนั้น ครานั้นฉู่เหวยบอกเพียงว่าเสด็จพ่อประชวรหนักจนเลอะเลือน แต่ถึงจะประชวรหนักจนเลอะเลือนก็จริง แต่ใครกันเล่าจะจงใจให้คนที่ตนเองรู้สึกหวาดกลัวกริ่งเกรงมาคอยดูแลบุตรชายแท้ๆ ของตน?
ครานั้นพระปิตุลาสละราชบัลลังก์ ตอนที่มีพระราชโองการสั่งให้เสด็จพ่อเข้าวังเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ เขาก็คิดมาตลอดว่าพระปิตุลากำลังวางแผนการร้าย ผนวกกับที่ฉู่เหวยมักจะกรอกหูเขาอยู่เสมอว่าให้ระแวดระวังพระปิตุลา เพราะเหตุนี้หลังจากเสด็จพ่อขึ้นครองราชย์และสวรรคตไปอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุนั้น ก็ทำให้เขามั่นใจว่าฆาตกรจะต้องเป็นพระปิตุลาแน่นอน
ทว่าก็เหมือนดังคำกล่าวของถังจื่อเจิง หากพระปิตุลามีเจตนาจะทำร้ายเขาจริง เหตุใดจึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้
อีกประการ พระปิตุลาก็สละราชบัลลังก์ไปแล้ว ไฉนยังจะลุ่มหลงในอำนาจลาภยศอีกเล่า
บัดนี้มาใคร่ครวญดูแล้ว เสด็จพ่อก็น่าจะเสด็จสวรรคตเพราะอาการประชวรจริงๆ…จริงด้วย พระปิตุลามีอำนาจบารมีล้นฟ้า คนที่กล้าสบตาด้วยก็แทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ แม้แต่เขาเองก็ทำได้เพียงแค่เหลือบมองตาอีกฝ่ายเท่านั้น จะว่าไปแล้วอาจเป็นเพราะความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในใจทำให้เขาเอาแต่คิดไปในๆ ทั้งสิ้น
“ฝ่าบาท พี่หนึ่งตำลึงไม่ทำร้ายฝ่าบาทแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะตั้งใจส่งกระหม่อมเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนพระองค์ทำไม” ถังจื่อเจิงอดรู้สึกอัดอั้นแทนลิ่นจ้งซวินไม่ได้ “จริงๆ แล้วพี่หนึ่งตำลึงอยากจะอยู่ข้างกายพี่เสี่ยวถงทุกๆ วัน ตอนนี้เขากลับต้องเข้าวังทุกวันแทนเสียนี่ หน้าตาเขาเลยยิ่งบูดบึ้งขึ้นไปทุกทีๆ แล้วพอได้ยินว่าฝ่าบาททรงกินไม่ได้นอนไม่หลับ สีหน้าของพี่หนึ่งตำลึงก็ยิ่งบูดบึ้งจนจะแข็งเป็นหินอยู่แล้ว กระหม่อมเห็นแล้วยังรู้สึกกลัว”
เพราะเหตุนี้เอง เนื่องจากไม่อยากถูกพี่หนึ่งตำลึงถลึงตาดุๆ ใส่ คนว่างงานอย่างเขาก็เลยต้องมาปรากฏตัวที่นี่
“…พระปิตุลาเป็นห่วงข้า?” ลิ่นเส้าเยวียนทรุดตัวนั่งช้าๆ ลืมกระทั่งเรียกขานตัวเองว่าเจิ้น
“อืม พี่หนึ่งตำลึงกังวลว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท เขาก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ฮ่องเต้ แบบนั้นเป็นได้กลุ้มใจตายแน่”
“เป็นฮ่องเต้ไม่ดีหรือไรกัน” ใครๆ ก็อยากจะนั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงส่งเหนือผู้ใดนี้ไม่ใช่หรือไร
“กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ แต่พี่เสี่ยวถงไม่ชอบ และเพราะพี่เสี่ยวถงไม่ชอบ เหตุนี้พี่หนึ่งตำลึงจึงอยากจะตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก” ถังจื่อเจิงเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็นึกอะไรขึ้นได้ “ฝ่าบาท เสวยพระกระยาหารเถอะ กับข้าวจานนี้อร่อยจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ อย่าขว้างทิ้งอีกเลย ถ้าเกิดพี่เสี่ยวถงเห็น นางต้องเดือดดาลเป็นแน่”
“นางเดือดดาลแล้วเกี่ยวอะไรกับเจิ้น” เขาไม่เคยเห็นหน้านางด้วยซ้ำ นางหาได้มีความสำคัญอะไรต่อเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่เกี่ยวกับฝ่าบาท แต่ปัญหาก็คือ กระหม่อมทนดูไม่ได้ นึกถึงครานั้นที่เด็กๆ อย่างพวก
เราติดตามคนในครอบครัวมายังเมืองหลวงเพราะเมืองคุนหยางเกิดภัยแล้ง ระหว่างทางเจอกับโจรป่า พวกมันเข้าเข่นฆ่าสังหารพวกเราจนไร้ทางหนี บางคนก็ตาย บางคนก็บาดเจ็บ สุดท้ายเหลือพวกเราเด็กๆ กันไม่กี่คน หิวขึ้นมาก็ได้แต่แทะดินกินหญ้า พอเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่มีใครเหลียวแล ถ้าไม่ใช่เพราะเจอพี่เสี่ยวถง…พวกเราคงตายกันไปนานแล้ว” พอเอ่ยถึงตรงนี้ ถังจื่อเจิงก็ตาแดงก่ำ “ฝ่าบาท ใต้หล้ามีอาณาประชาราษฎร์มากมายที่ไม่เคยได้กินอิ่มนอนอุ่น ฝ่าบาทอย่าเสวยทิ้งๆ ขว้างๆ เช่นนี้อีกเลย” เดิมทีเขายังอยากจะห่ออาหารที่เหลือพวกนี้กลับไปให้น้องๆ กินด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ฝ่าบาททำแตกไปแล้วชามหนึ่ง
ลิ่นเส้าเยวียนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตกตะลึง เมื่อก่อนเขาหาได้ใส่ใจเลยแม้แต่นิดว่าอาณาประชาราษฎร์จะเป็นเช่นไร เพราะแค่พยายามจะเอาชีวิตรอดให้ได้ในแต่ละวัน เขาก็หมดสิ้นกำลังมากมายไปกับการปกป้องตัวเองแล้ว แต่พอมานึกทบทวนดู ความหวาดกลัวของเขาหาได้มีที่มาเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเทียบกับสถานการณ์ที่ถังจื่อเจิงต้องประสบในวัยเยาว์ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องน่าขบขัน…ทั้งๆ ที่หากใคร่ครวญอย่างละเอียดก็สามารถมองเห็นความจริงได้ชัดแจ้งแท้ๆ แล้วเหตุใดเขาถึงได้ถูกพันธนาการเอาไว้นานถึงเพียงนี้หนอ
“…เสวยพระกระยาหารเถอะพ่ะย่ะค่ะ” แต่สุดท้ายก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดี เพราะเหตุนี้ลิ่นเส้าเยวียนจึงไม่คิดอะไรให้ปวดหัวอีก พอคลายความกังวลลงได้ ท้องของเขาก็ประท้วงขึ้นมาเพราะความหิวโหยแล้วจริงๆ
“อืม กิน” จากนั้นถังจื่อเจิงก็เดินเข้าไปจับมือลิ่นเส้าเยวียนด้วยท่าทางอย่างที่คนเป็นพี่ใหญ่ทำมาตลอด ก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายมาที่โต๊ะเสวย
ลิ่นเส้าเยวียนเบนสายตาไปที่มือของเขาอย่างตะลึงงัน อันที่จริงมือของอีกฝ่ายเล็กกว่าเขาเสียอีก ทว่าฝ่ามือนั้นกลับอบอุ่นมาก…เขาไม่รู้ว่าควรจะบรรยายความรู้สึกนั้นเช่นไรดี อันที่จริงไม่มีใครจับมือเขาแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว
เสด็จแม่จากไปนานแล้ว เสด็จพ่อก็อ่อนแอขี้ขลาด ซ้ำยังไม่ใส่ใจบุตรชายอย่างเขาสักเท่าไร ทิ้งเอาไว้เพียงผู้รับใช้ติดตามล้อมหน้าล้อมหลัง แล้วใครเล่าจะกล้าเข้าถึงตัวเขา
ฝ่ามือของเขาว่างเปล่ามานาน จู่ๆ ก็ถูกกุมเอาไว้แน่นจนไม่อยากจะปล่อยให้หลุดไป
ถังจื่อเจิงมีหรือจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ พอเดินมาถึงโต๊ะเสวยก็ทรุดตัวลงนั่ง จากนั้นก็คีบอาหารให้ทันที ก่อนจะตักน้ำแกงให้อีกถ้วย “ฝ่าบาท เสวยน้ำแกงสักนิด วันนี้อากาศค่อนข้างหนาว”
ลิ่นเส้าเยวียนรับมา ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ทรงวางพระทัยเถิด อาหารพวกนี้อร่อยมาก เสวยเสร็จแล้วก็รีบบรรทม กระหม่อมได้ยินพี่หนึ่งตำลึงบอกว่าพรุ่งนี้ฝ่าบาทยังต้องทรงเหนื่อยหนักอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะไม่แน่ชัดว่างานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของฮ่องเต้นั้นยุ่งยากเพียงใด แต่เขารู้ว่าสีหน้าของพี่หนึ่งตำลึงบูดบึ้งเสียจนหากใครเข้าใกล้ก็อาจถูกสังหารได้ไม่เว้น แค่ดูจากเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังเห็นท่าทีของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ลิ่นเส้าเยวียนดื่มน้ำแกงเงียบๆ หลังจากกลืนกับข้าวลงคอถึงได้รู้ว่าตัวเองหิวแทบไส้ขาด พอกินจนอิ่มหมีพีมัน เขาก็มองไปยังถังจื่อเจิงที่กำลังกินด้วยความเอร็ดอร่อย รู้สึกว่าอาหารที่ส่งเข้าปากอีกฝ่ายดูรสชาติโอชะเป็นพิเศษ ทำเอาลิ่นเส้าเยวียนที่กินอิ่มแล้วถึงกับน้ำลายสอขึ้นมาอีกรอบ
ถังจื่อเจิงก้มหน้าก้มตากิน แต่ขณะเดียวกันก็ยังแอบลอบมองลิ่นเส้าเยวียนไปด้วย จังหวะที่
เหลือบตามองก็พลันสบเข้ากับสายตาของอีกฝ่ายพอดี เจ้าตัวจึงฉีกยิ้มกว้างให้ “อร่อยจริงๆ ใช่หรือไม่ฝ่าบาท แต่ข้ารู้สึกว่าฝีมือทำครัวของพี่เสี่ยวถงก็ไม่แพ้พระกระยาหารในวังหลวงเหมือนกัน โดยเฉพาะข้าวสารที่พี่เสี่ยวถงปลูกเองกับมือเป็นข้าวชั้นหนึ่ง หาใช่เพียงแค่คำคุยไม่ ฝ่าบาทได้เสวยเมื่อใดก็จะรู้เอง”
ลิ่นเส้าเยวียนมองประเมินอีกฝ่ายโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีไปสักนิด แม้ว่าถังจื่อเจิงจะดูกระโดกกระเดก แต่ท่าทางหยิบจับตะเกียบและถ้วยชามนั้นกลับดูสุภาพเรียบร้อยอย่างคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอน
“พี่เสี่ยวถงของเจ้าเป็นชาวนาหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเป็นชาวนา ไฉนถึงสั่งสอนธรรมเนียมมารยาทเช่นนี้ให้เจ้าได้” แม้ว่าถังจื่อเจิงจะนั่งขัดสมาธิ แต่ระหว่างรับประทานอาหาร เขากลับเงยหน้าขึ้น ยืดตัวตรงนิ่งประดุจเข็มนาฬิกา
“เรื่องนี้กระหม่อมก็ไม่ทราบ แต่พี่เสี่ยวถงเป็นคนพิถีพิถัน ยามกินดูมีสง่า ยามนอนดูมีราศี ถึงต่อให้เป็นพี่หนึ่งตำลึง หากไปเยือนที่เรือนพักของเราเมื่อใดก็ต้องปฏิบัติตามกฎของพี่เสี่ยวถง หากทำให้พี่เสี่ยวถงไม่พอใจก็จะไม่ได้กินข้าว พี่หนึ่งตำลึงเคยถูกลงโทษเช่นนี้มาแล้วด้วย”
แม้ว่าสีหน้าของลิ่นเส้าเยวียนจะไม่พอใจ ทว่าในใจกลับนึกแปลกใจเป็นยิ่งนัก หญิงชาวบ้านที่สามารถสยบพระปิตุลาได้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกสงสัยเสียจริง
เอ่ยถึงตรงนี้ จู่ๆ ลิ่นเส้าเยวียนก็สังเกตความผิดปกติบางอย่างขึ้นมาได้ “ฝูกงกงบอกว่าเจ้าเป็นลูกบุญธรรมของพระปิตุลา แต่เจ้ากลับเรียกพระปิตุลาว่าพี่หนึ่งตำลึง เรื่องนี้…”
ถังจื่อเจิงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแดงระเรื่อนิดๆ “อันที่จริงคนที่รับเลี้ยงเราคือพี่เสี่ยวถง พี่หนึ่งตำลึงคิดจะแต่งงานกับพี่เสี่ยวถง เพราะเหตุนี้จึงตั้งใจว่าจะรับพวกเราเป็นลูกบุญธรรม แต่ปัญหาก็คือพี่เสี่ยวถงยังไม่ได้ตอบตกลง พวกเขายังมิได้แต่งงานกัน” เพราะแบบนี้ก็เลยช่วยไม่ได้ ส่วนเขาที่ต้องแบกรับตำแหน่ง ‘ลูกบุญธรรม’ นี้ ก็รู้สึกละอายใจเป็นยิ่งนัก
“พวกเรา? พี่เสี่ยวถงของเจ้ารับเลี้ยงเด็กกี่คน” ลิ่นเส้าเยวียนอดแปลกใจในตัวพี่เสี่ยวถงคนนี้ไม่ได้ จากนั้นก็นึกวาดภาพของอีกฝ่ายขึ้นมาในห้วงความคิดโดยมิอาจห้าม
“บ้านเรามีเด็กทั้งหมดสี่คน ถัดจากกระหม่อมก็มีเจ้าขนมเปี๊ยะกับเจ้าปาท่องโก๋ พวกเขาเป็นฝาแฝด คนที่เด็กสุดก็คือเจ้าเกี๊ยว พวกเราเดินทางมาเมืองหลวงพร้อมกันในปีที่เกิดภัยแล้งในเมืองคุนหยาง เราดูแลกันมาตลอดทาง เพราะกระหม่อมอายุมากที่สุดก็เลยเป็นพี่ใหญ่” ยามที่ถังจื่อเจิงเอ่ยถึงน้องชายของตนเอง สีหน้าของเขาก็ฉายแววอ่อนโยนออกมา
ลิ่นเส้าเยวียนอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ เป็นเพราะว่าเขาไม่มีพี่น้อง ที่ผ่านมาเขาอยู่อย่างเดียวดายมาตลอด
“มีใครกันที่ตั้งชื่อตามอาหาร” เขาเคยได้ยินว่าบางครั้งจะมีการตั้งชื่อที่ฟังดูสามัญธรรมดาให้เด็กๆ เพื่อให้เลี้ยงง่าย แต่ก็ไม่ได้ตั้งชื่อเป็นของกินจำพวกนี้
ถังจื่อเจิงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นั่นเป็นเพราะตอนที่พวกเราถูกพี่เสี่ยวถงเก็บมาเลี้ยง นางถามว่าพวกเราชอบกินอะไร พวกเราก็บอกไปคนละอย่าง ใครจะคิดว่าวันรุ่งขึ้นก็กลายเป็นชื่อเล่นของพวกเราไปเสียแล้ว เมื่อครู่ฝูกงกงบอกแล้วว่าข้าแซ่ถัง ชื่อจื่อเจิง เจ้าขนมเปี๊ยะชื่อทังเสี่ยน เจ้าปาท่องโก๋ชื่อทังหรง เจ้าเกี๊ยวชื่อเสี่ยวเป่า แม้ว่าพวกเราจะคนละแซ่ แต่ก็เหมือนกับพี่น้องสายเลือดเดียวกัน”
พอเห็นสีหน้าพออกพอใจของถังจื่อเจิงยามเอ่ยถึงเรื่องนี้ ลิ่นเส้าเยวียนก็มองจนใจลอย ฟัง
จนเคลิบเคลิ้ม ความตึงเครียดที่มีอยู่แต่เดิมบรรเทาเบาบางลงอย่างประหลาด
เขาฟังถังจื่อเจิงเล่าเรื่องน่าสนใจในยามทำการเกษตรไปเรื่อยๆ รวมถึงเรื่องที่ลิ่นจ้งซวินพาอีกฝ่ายไปล่าสัตว์บนภูเขา ไปจับปลาในแม่น้ำ…ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องราวทั่วๆ ไปในชีวิตของสามัญชนแท้ๆ แต่ลิ่นเส้าเยวียนกลับฟังอย่างออกรสออกชาติ กระทั่งจัดการอาหารบนโต๊ะเสวยด้วยกันจนหมดเกลี้ยง
เมื่อนางกำนัลเก็บถ้วยชามไปจนหมด ลิ่นเส้าเยวียนก็ได้ยินถังจื่อเจิงพึมพำว่า...
“เฮ้อ ลืมไปเลยว่าจะนำกลับไปให้น้องๆ ชิม…”
เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “อีกสองสามวันก็พาพวกเขาเข้าวังมาชิมก็ได้นี่นา?” ด้วยสถานะลูกบุญธรรมของพระปิตุลา หากจะเข้าวังก็มิใช่เรื่องยากเย็น ถังจื่อเจิงสมกับเป็นพี่ชายคนโตที่แสนดี ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็คิดถึงน้องๆ อยู่เสมอ
“ไม่รู้ว่าพี่หนึ่งตำลึงจะยอมหรือไม่”
“ยอมสิ ในเมื่อเป็นลูกบุญธรรมของพระปิตุลาก็ต้องพาเข้าวังมาให้เจิ้นเห็นหน้าค่าตาเสียหน่อย อ้อ แล้วก็พี่เสี่ยวถงด้วย” เขาต้องเจอยอดหญิงที่สามารถกำราบพระปิตุลาจนอยู่หมัดคนนี้ให้ได้
“ถ้าเช่นนั้นก็ได้” หากมีพี่เสี่ยวถงอยู่ด้วย รับรองว่าน้องๆ ต้องได้เข้าวังแน่
ลิ่นเส้าเยวียนยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เรียกนางกำนัลมาผลัดฉลองพระองค์ให้ ก่อนจะเตรียมตัวเข้านอน พอหันกลับมามองถังจื่อเจิง เขาก็ชะงักไป “จื่อเจิง เจ้า…”
“ฝ่าบาท พี่หนึ่งตำลึงบอกไว้ว่า คืนนี้ให้กระหม่อมอยู่กับฝ่าบาท เพราะฉะนั้นกระหม่อมก็จะนอนตรงนี้” ถังจื่อเจิงตบฟูกบนตั่งนอน คิดว่าแค่มีผ้าห่มผืนเดียวก็พอให้นอนหลับฝันหวานแล้ว
“ได้อย่างไรกัน วันนี้หนาวมาก เจ้า…ถ้าอย่างไรก็นอนกับเจิ้นแล้วกัน”
“ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไฉนจะไม่ได้เล่า ห้องบรรทมหลังนี้เป็นของเราสองคน เจิ้นอยากจะทำอะไรก็ได้ ใครเล่าจะกล้าคัดค้าน” แม้ว่าจะยังมีความกริ่งเกรงอยู่ในใจ ทว่าลิ่นเส้าเยวียนก็ตระหนักในสถานะของตนเองดี รังสีแห่งอำนาจบารมีที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านออกมาจากกายของฮ่องเต้พระองค์น้อย
ถังจื่อเจิงฟังแล้วก็เห็นจริงตามนั้น ดังนั้นเจ้าตัวจึงปีนขึ้นแท่นบรรทมอย่างว่าง่าย ก่อนจะพบว่าแท่นบรรทมมังกรนี้ทั้งนุ่มทั้งอุ่น พอล้มตัวลงนอนก็รู้สึกว่า โจวกง (เชิงอรรถ 2) กำลังมาเรียกเขาแล้ว
(เชิงอรรถ 2 ชาวจีนเชื่อว่า โจวกง (บุรุษผู้มีคุณธรรมสูงส่งและเป็นผู้เขียนตำราโจวอี้) เป็นเทพแห่งความฝันผู้นำข่าวสารมาบอกในความฝัน)
“จื่อเจิง เล่าเรื่องสนุกๆ ของเจ้าให้เจิ้นฟังอีกสิ”
ถังจื่อเจิงเปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้น “ฝ่าบาท พระองค์รีบบรรทมเถอะนะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
“…แต่เจิ้นนอนไม่หลับ พอคิดถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก หัวใจก็เต้นรัวไปหมด”
ถังจื่อเจิงรู้ว่าอีกฝ่ายกระวนกระวาย จึงจำใจต้องเอ่ยให้กำลังใจว่า “พี่หนึ่งตำลึงบอกว่าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรเสียพระองค์แค่ทำตามฝูกงกงก็พอแล้ว เมื่อก่อนฝูกงกงก็เป็นผู้ช่วยมือหนึ่งของพี่หนึ่งตำลึง มีเขาอยู่ทั้งคน ฝ่าบาทไม่ต้องวิตกอะไรเลย”
“แต่พรุ่งนี้เจิ้นต้องเผชิญหน้ากับพระปิตุลา…”
“นั่นยิ่งไม่ต้องกลัวเข้าไปใหญ่ ขอเพียงฝ่าบาททรงทำทุกอย่างเรียบร้อยให้พี่หนึ่งตำลึงได้กลับบ้านไปพบหน้าพี่เสี่ยวถงไวๆ เขาก็ดีใจที่สุดแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลจริงๆ พี่หนึ่งตำลึงเป็นคนเข้าถึงง่ายมาก แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฝ่าบาทต้องทรงจำไว้ให้แม่น เวลาสนทนากับเขาจะต้องมองสบตาเขาด้วย”
“…ยากเหลือเกิน” ลิ่นเส้าเยวียนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“ไม่ยาก ฝ่าบาทต้องทำให้ชิน พี่หนึ่งตำลึงบอกไว้แล้วว่า คนที่ไม่กล้าสบตากับเขา หากมิใช่พวกฉุดคร่าก็เป็นพวกปล้นชิง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่กล้ามองตาเขา เขาก็จะไม่สนใจไยดี” แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเหตุผลนั้น แต่ในเมื่อพี่หนึ่งตำลึงกล่าวไว้เช่นนี้ เขาจึงปฏิบัติตามมาตลอด
“อย่างนั้นหรือ” เขาต้องคิดให้รอบคอบว่าทำเช่นไรถึงจะกล้าสบสายตาตรงพระปิตุลาได้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็พบว่าตนเองนั้นออกจะไร้ความกล้าไปสักนิด ตอนที่ตั้งใจว่าจะขอเคล็ดลับจากถังจื่อเจิงสักหน่อย ก็กลับได้ยินเสียงกรนแผ่วๆ ของอีกฝ่ายเสียแล้ว
ไม่ใช่ว่ามาอยู่เป็นเพื่อนเขาหรอกหรือ ไฉนถึงได้หลับไปก่อนที่ฮ่องเต้อย่างเขาจะเข้าบรรทมเสียอย่างนั้นเล่า
ลิ่นเส้าเยวียนมองใบหน้าที่หลับสนิทของถังจื่อเจิง เจ้าตัวครุ่นคิดอยู่เป็นครู่ ก่อนจะขยับกายเข้าไปใกล้อีกนิด ดูเหมือนว่าพอเข้าใกล้อีกฝ่าย ก็จะซึมซับความสงบนิ่งจากฝ่ายนั้นมาได้บ้าง
ไม่ใช่ทุกคนที่เจอหน้าฮ่องเต้แล้วยังมีท่าทีสงบนิ่งได้เยี่ยงนี้ แต่ถังจื่อเจิงกลับเป็นธรรมชาติเช่นนี้ตั้งแต่ต้น
พอสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิจากกายของถังจื่อเจิง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ลิ่นเส้าเยวียนก็รู้สึกง่วงงุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาลืมตามองถังจื่อเจิงอีกครั้ง ในใจก็คิดว่าอาจเป็นเพราะเมื่อก่อนเขาไม่เคยนอนร่วมเตียงเดียวกับใครมาก่อนก็เป็นได้ รู้สึกว่าการได้นอนเคียงข้างกันมันช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน ความอบอุ่นนั้นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายของเขา จนกระทั่งแทรกซึมไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
ความคิดเห็น |
---|