บทนำ
แสงสายัณห์แห่งฤดูเหมันต์ปกคลุมท้องฟ้า โคมไฟในตำหนักก่วงฝูส่องสว่างเรืองรอง ทว่าเจ้าของห้องบรรทมกลับซุกตัวอยู่ในมุมที่มืดที่สุดภายในห้อง
ดวงตาดำขลับงดงามจ้องไปที่ประตูตำหนักไม่กะพริบ วินาทีที่ประตูบานนั้นแง้มออก เจ้าตัวก็ขดร่างสั่นระริกราวกับกระต่ายตื่นตูม อยากจะมุดตัวลึกเข้าไปในมุมที่มืดมิดยิ่งกว่าเก่า
“เอ๋? ฝ่าบาทเล่า” ฝูจื้อ หัวหน้าขันทีแห่งวังหลวงเดินเข้ามา หลังจากดวงตาคู่สวยปราดมองไปรอบๆ ห้องบรรทม เจ้าตัวก็หัวเราะในลำคอพลางเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ตู้ลิ้นชัก “ฝ่าบาท ได้เวลาเสวยพระกระยาหารแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เอ่ยจบ นางกำนัลที่เดินตามมาด้านหลังก็ทยอยยกพระกระยาหารเย็นเข้ามาด้านในตำหนัก
ลิ่นเส้าเยวียน...ฮ่องเต้พระองค์น้อยที่จะเข้ารับการสถาปนาในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกวันพรุ่งซุกตัวอยู่ข้างๆ ตู้ลิ้นชัก ดวงตาดำขลับจับจ้องฝูจื้อเขม็ง ท่าทางที่ทั้งขลาดกลัวแต่ก็แสร้งสงบนิ่งทำให้ฝูจื้อสั่นสะท้านขึ้นมาในใจ
อู้หู! ไม่ได้เห็นเด็กน้อยที่น่ารักและไร้เดียงสาเยี่ยงนี้มานานแค่ไหนแล้วหนอ
ทุกครั้งที่อีกฝ่ายใช้สายตาเย็นชาที่พยายามสะกดกลั้นความกลัวเอาไว้จ้องมองเขาเพื่อหวังจะข่มขวัญเช่นนี้ ตัวเขาก็ต้องสูดลมหายใจหลายครั้งหลายคราวเพื่อระงับจิตใจไม่ให้บุ่มบ่ามเข้าไปรวบตัวฮ่องเต้พระองค์น้อยเข้ามาไว้ในอ้อมอก อยากจะขยำขยี้ บีบบังคับจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมเผยความกริ่งเกรงที่แท้จริงในดวงตาคู่นั้นออกมา…เฮ้อ ต้องโทษที่ฮ่องเต้พระองค์น้อยน่าเอ็นดูเกินไป ถึงทำให้เขามีความคิดไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรมเยี่ยงนี้ขึ้นมาได้
“ฝูกงกง”
เสียงเล็กๆ ดังขึ้นด้านหลัง ลิ่นเส้าเยวียนเบนสายตามองอย่างระแวดระวังในทันที ก่อนจะเห็นนางกำนัลผละออกจากตำหนักไปจนหมด เหลือแค่เด็กน้อยหน้าตาหมดจดคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
ฝูจื้อยิ้มจนตาหยี ก่อนจะเอ่ยว่า “ซาลาเปา เจ้ารอข้าเดี๋ยว”
“อื้อ” ถังจื่อเจิงรับคำอย่างว่าง่าย
ซาลาเปา? ลิ่นเส้าเยวียนจ้องมองไปยังเจ้าหนูน้อยคนนั้น สีหน้าของอีกฝ่ายดูเป็นปกติ แทบไม่ได้สนใจความโอ่อ่าหรูหราภายในวังหลวงแห่งนี้เลยด้วยซ้ำไป
“เขาเป็นใคร” ลิ่นเส้าเยวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หลุดปากถาม
ฝูจื้อมองฮ่องเต้พระองค์น้อยด้วยสายตาสนอกสนใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ทูลฝ่าบาท ผู้นี้คือบุตรบุญธรรมของ เซ่อเจิ้งอ๋อง (เชิงอรรถ 1) ชื่อ ถังจื่อเจิง วันนี้ได้รับคำสั่งจากเซ่อเจิ้งอ๋องให้มารับใช้ฝ่าบาทโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบก็เห็นความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นในสีหน้าของลิ่นเส้าเยวียน ทำเอาเจ้าตัวลอบหัวเราะในใจอย่างเบิกบาน
(เชิงอรรถ 1 คำเรียกตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ)
เซ่อเจิ้งอ๋องทรงประกาศสละราชบัลลังก์ในเดือนเจ็ดเพื่อสถาปนาตำแหน่งฮ่องเต้ให้แก่ชิ่งอ๋อง ซึ่งเป็นเสด็จพี่ของตนเอง แต่น่าเสียดาย คนที่ไร้วาสนาจะเป็นฮ่องเต้ ถึงต่อให้ได้เป็นก็อายุไม่ยืนนาน ชิ่งอ๋องทรงครองราชย์ได้ไม่เท่าไรก็เสด็จสวรรคตแทบจะในทันที เห็นได้ชัดว่าดวงชะตาของพระองค์ยังไม่แข็งกล้าพอ ด้วยเหตุนี้บุตรชายเพียงคนเดียวของชิ่งอ๋องจึงต้องสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป และจะขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการในศักราชใหม่แห่งรัชศกหยวนซีในวันพรุ่งนี้
ขณะที่เซ่อเจิ้งอ๋องซึ่งสละบัลลังก์ให้แก่เสด็จพี่ของตนก่อนหน้านี้ก็ต้องทำตามพระพินัยกรรมของฮ่องเต้พระองค์ก่อนด้วยการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้พระองค์น้อย ฟังดูแล้วเป็นเรื่องปกติสมเหตุสมผล ทว่าใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าหากฮ่องเต้พระองค์ก่อนไม่ได้พบกับ ตู้เสี่ยวถง ว่าที่พระชายาเซ่อเจิ้งอ๋องเสียก่อน เกรงว่าพระองค์ก็ยังคงประทับบัลลังก์มังกรด้วยสถานะจักรพรรดิทรราชต่อไป และสร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งแผ่นดิน ด้วยความเก่งกาจในการก่อเรื่องเช่นนี้เอง ทำให้ทุกคราที่ชิ่งอ๋องเห็นเขาก็เปรียบประหนึ่งดังหนูเห็นแมว ขลาดกลัวเสียจนไม่กล้าจะประจบสอพลอ ฮ่องเต้พระองค์น้อยเองก็ไม่ต่างไปจากชิ่งอ๋อง…ไม่สิ ฮ่องเต้พระองค์น้อยดูจะได้ความมากกว่า เพราะแม้จะหวาดหวั่นเพียงใด แต่ก็ไม่แสดงออกมา สีหน้าดูเย็นชาเฉยเมย ทว่าภายในนั้นกลับปั่นป่วนปรวนแปร
ที่น่ารักที่สุดก็คือ ฮ่องเต้พระองค์น้อยหวาดระแวงไปเสียทุกเรื่องทุกสิ่ง คิดว่าคนที่จะเข้าหาเขาล้วนแต่มีจุดประสงค์ไม่ดีทั้งสิ้น คนที่เขาเชื่อใจเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ฉู่เหวย ขุนนางที่อยู่รับใช้ข้างกายชิ่งอ๋องไม่ห่าง และวันนี้ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชเลขาธิการ
น่าเสียดายที่ฉู่เหวยกำลังวุ่นวายอยู่กับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ไม่มีเวลามาสนใจฮ่องเต้
พระองค์น้อยเลยด้วยซ้ำ ยามนี้เจ้าตัวเล็กน่ารักผู้นี้ก็เลยต้องต่อสู้อยู่เพียงลำพังอย่างเดียวดาย
หลังจากดื่มด่ำกับภาพตรงหน้าอย่างเต็มที่แล้ว ฝูจื้อถึงได้เอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมทูลลา” แม้ว่าเขายังอยากจะดูเรื่องสนุกๆ ของฮ่องเต้พระองค์น้อยผู้แสนดื้อดึงอีกสักหน่อย แต่น่าเสียดายที่งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันพรุ่งก็ทำให้เขาหัวหมุนด้วยไม่น้อยเช่นกัน
ลิ่นเส้าเยวียนได้ยินเช่นนั้น เดิมทีคิดจะเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ แต่เพราะฝูจื้อก้าวฉับๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ลิ่นเส้าเยวียนรู้สึกว่าหากปริปากเอ่ยออกมาก็ดูว่าตนเองจะขี้ขลาดเกินไปสักนิด ดังนั้นเจ้าตัวจึงหุบปากฉับ สายตาจ้องมองไปยังถังจื่อเจิงที่ยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะชาอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถังจื่อเจิงดูอายุไม่ห่างจากตนเองเท่าไรนัก ซ้ำยังตัวเล็กกว่าเขานิดหน่อย ใบหน้านั้นงดงามกระจ่างใส ยืนหลังตรงแน่ว สายตาคู่นั้นก็จับจ้องมองมาเบื้องหน้า
ถังจื่อเจิงกำลังคิดสิ่งใดอยู่ คิดว่าจะจัดการสังหารเขาเช่นไรอย่างนั้นหรือ
ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะหันขวับมาสบตาเข้าพอดี
วินาทีนั้นหัวใจของลิ่นเส้าเยวียนสั่นระรัว ตอนที่ยังไม่รู้ว่าควรจะหนีไปที่ใดก็ได้ยินน้ำเสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท พวกเราจะเสวยพระกระยาหารได้หรือยัง”
ลิ่นเส้าเยวียนขึงตามองถังจื่อเจิงพลางหัวเราะเยือกขึ้นในใจ ในที่สุดก็เผยธาตุแท้แล้วใช่หรือไม่ คนผู้นี้หวังจะวางยาพิษสังหารเขา! อย่าคิดว่าเขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้สมใจเลย เขาจะต้องเป็นฮ่องเต้ แล้วก็จะต้องจัดการลิ่นจ้งซวินให้ได้ ไม่ปล่อยให้ฝ่ายนั้นมีโอกาสทำร้ายเขาได้อีกเด็ดขาด!
พอไม่ได้ยินคำตอบ ถังจื่อเจิงก็เอียงคอนิดๆ อย่างฉงน ก่อนจะถามอีกครั้งได้ “ฝ่าบาท เสวยพระกระยาหารได้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ” ขณะถาม น้ำเสียงนั้นแฝงความละอายเอาไว้นิดๆ
เฮ้อ เขาหิวจะตายอยู่แล้ว ช่วงนี้เขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเกินไปหน่อย หิ้วท้องสักมื้อก็ไม่ไหวแล้ว โดยเฉพาะวันนี้ที่เขายังไม่ได้ทานข้าวกลางวันมาด้วย ล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้แล้ว หากยังไม่ได้กินข้าวอีก ถ้าอย่างนั้นเขาก็กลับบ้านเลยดีกว่า ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมพี่หนึ่งตำลึงจะต้องให้เขาเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาทด้วย
แม้ว่าฝ่าบาทจะยังเป็นเด็กเหมือนกัน แต่ทั้งคู่ก็เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก แล้วดูท่าทางระแวดระวังนั่นเถอะ อยากจะทำความสนิทสนมคุ้นเคยกับฝ่าบาทก็ดูจะเป็นเรื่องยากเต็มทน ถ้าเทียบกับต้องอยู่ในที่ที่บรรยากาศพิลึกพิลั่นแบบนี้แล้ว เขาสู้ยอมอยู่ในบ้านกับน้องๆ แล้วกินมันเผาอย่างสนุกสนานดีกว่าเป็นไหนๆ
พอคิดถึงมันเผา เจ้าตัวก็อดเม้มปากกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
“เจ้าอยากกินก็กินไปสิ” ถ้าให้ดีก็กินยาพิษจนตายไปเลย!
“ได้จริงๆ หรือ” ถังจื่อเจิงเบิกบานขึ้นมาทันที
ทั้งเนื้อ ทั้งปลา! แม้ว่าตอนอยู่ที่บ้านจะได้กินดีอยู่ดีก็เถอะ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นสำรับอาหารที่วิจิตรตระการตาแบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะหยิบจะคีบอะไรตามอำเภอใจด้วยซ้ำ
แต่ว่าฝ่าบาททรงออกปากแล้ว เขายังจะต้องเกรงใจอีกทำไมกันเล่า
ถังจื่อเจิงทรุดตัวลงนั่งทันที ก่อนจะประคองถ้วยขึ้นมาแล้วเริ่มคีบอาหารในแต่ละจานกิน ทุกคำที่เข้าปากทำให้เจ้าตัวพออกพอใจถึงขั้นยิ้มจนตาหยี แทบจะกลืนลิ้นตัวเองลงไปด้วยซ้ำ
ลิ่นเส้าเยวียนที่ยังคงซุกตัวอยู่ในมุมจ้องมองถังจื่อเจิงดวงตาไม่กะพริบ ถูกท่าทางกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยของอีกฝ่ายดึงดูดเอาไว้โดยไม่รู้ตัวจนท้องร้องโครกครากตามขึ้นมาอีก
คน
ถังจื่อเจิงได้ยินเสียงท้องร้องของอีกฝ่าย แต่จะเอ่ยจี้ใจดำก็ดูจะเป็นการไม่ไว้หน้ากันเกินไป ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็เป็นถึงฮ่องเต้ คิดไปคิดมา เขาก็วางชามกับตะเกียบลง ก่อนมองไปทางลิ่นเส้าเยวียน จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “ฝ่าบาท เสวยสักจานดีหรือไม่”
พี่หนึ่งตำลึงบอกเอาไว้ว่าฝ่าบาทนั้นมีชะตาอาภัพนัก มาถึงเมืองหลวงได้ไม่เท่าไรก็ต้องดำรงตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาท ทว่าพริบตาถัดมาก็กลายเป็นฮ่องเต้เสียเอง เพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสด็จสวรรคต แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้ แต่กลับโดดเดี่ยวเดียวดาย คนข้างกายที่มีสายเลือดเดียวกันก็เหลือเพียงแค่พี่หนึ่งตำลึงผู้เดียวเท่านั้น
พอถามว่า แล้วไฉนพระปิตุลาอย่างพี่หนึ่งตำลึงถึงไม่มาอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาทเสียเอง พี่หนึ่งตำลึงก็เอ่ยอย่างดุดันว่า วันพรุ่งนี้เป็นงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เขาต้องรีบจัดการธุระให้เสร็จสิ้น หลังจากนั้นจะได้กลับบ้านเสียที ไม่มีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนฮ่องเต้พระองค์น้อยหรอก
ด้วยเหตุนี้เอง คนว่างงานอย่างเขาจึงถูกเรียกตัวให้มาแทน หวังว่าฝ่าบาทที่ยังไม่คุ้นเคยกับใครทั้งสิ้นจะทรงเสวยได้มากขึ้นสักนิด ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงจะผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเป็นแน่
แต่เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย อาหารในวังหลวงรสชาติโอชะถึงเพียงนี้ ไฉนฝ่าบาทจึงไม่ยอมเสวยเสียเล่า
ลิ่นเส้าเยวียนเอ่ยขึ้นตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ในใจว่า “คีบอาหารในจานที่เจ้าเพิ่งกินมาใส่ถ้วยเจิ้นอย่างละคำ”
ถังจื่อเจิงก้มหน้าก้มตาคีบอาหารในจานที่เขาเพิ่งทานมาใส่ในถ้วยอย่างละคำตามคำสั่งนั้น ก่อนจะยกมาตรงหน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทางสำรวม จากนั้นก็หันไปคีบแบบนั้นอีกชุดแล้วมาทรุดตัวนั่งลงเบื้องหน้าลิ่นเส้าเยวียนเพื่อทานไปพร้อมๆ กัน
ก็ได้ ฝ่าบาทชอบซุกตัวอยู่ในมุม ถ้าอย่างนั้นเขาก็เข้ามุมกับฝ่าบาทด้วยแล้วกัน ถึงอย่างไรเสียก็ได้บรรยากาศแปลกใหม่ดีเหมือนกัน
ถังจื่อเจิงเคี้ยวกร้วมๆ อย่างเอร็ดอร่อย มองอีกฝ่ายละล้าละลังไม่ยอมหยิบตะเกียบขึ้นมา เจ้าตัวก็อดออกปากเร่งไม่ได้ว่า “ฝ่าบาท รีบเสวยพระกระยาหารเถอะ เดี๋ยวจะได้เวลาบรรทมแล้ว พรุ่งนี้พระองค์ยังต้องตื่นแต่เช้า มีเรื่องให้วุ่นวายอีกมากนะพ่ะย่ะค่ะ”
ลิ่นเส้าเยวียนหัวเราะหยัน “ยุ่งอะไรกัน ยุ่งจะสังหารเจิ้นให้ตายอย่างนั้นหรือ”
ถังจื่อเจิงชะงักไป คิ้วขมวดเข้าหากันนิดๆ ก่อนจะกระซิบต่ำๆ “มีคนคิดไม่ดีต่อฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ” หรือว่าเพราะสาเหตุนี้ที่ทำให้ฝ่าบาททรงกินไม่ได้นอนไม่หลับ?
“เจ้าอย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย คนที่อยากให้เจิ้นตายก็มิใช่พระปิตุลา พ่อบุญธรรมของเจ้าหรือไรกัน!” พอถังจื่อเจิงกระตุ้นปมในใจ ลิ่นเส้าเยวียนก็ขึงตาใส่ถังจื่อเจิงอย่างเคียดแค้นชิงชัง เขาเหวี่ยงชามไปอีกทางจนมันแตกละเอียดลงกับพื้น
ความคิดเห็น |
---|