หมู่บ้านดงหลวง จ.เชียงใหม่
ทางเนินเขา มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มมาแต่ไกล ก่อนจะปรากฏรถคันหนึ่ง มุ่งหน้าผ่านซุ้มประตูทางเข้าจนฝุ่นดินฟุ้งกระจาย ชาวบ้านที่ยืนรอ ต่างชะเง้อชูคอกันสลอน เพราะนานๆ ทีจะมีรถยนต์เข้ามาถึงที่นี่
‘ทอง’ ผู้ใหญ่บ้านวัยสี่สิบตอนปลายยืนยิ้มร่าอยู่ที่หัวบันไดบ้าน ตะโกนเรียก ‘คำแก้ว’ ศรีภรรยาและ ‘บัวชุม’ ลูกสาวให้ลงจากเรือน หันไปสั่งไอ้อินลูกน้องคนสนิทให้เดินตาม
รถจิ๊บรุ่นปีหนึ่งเก้าเจ็ดศูนย์ จอดนิ่งจนเครื่องดับสนิท พอฝุ่นควันจางหายประตูด้านคนขับก็เปิดออก พลขับร่างผอมวิ่งปรี่ไปเปิดประตูผู้โดยสารฝั่งซ้ายมือ ผู้ที่โผล่ตัวออกมาจากรถ เป็นชายวัยห้าสิบปีรูปร่างสันทัด แต่งตัวด้วยเสื้อยืดคอปก กางเกงยีนดูสะอาด แถมยังสวมหมวกคาวบอย โก้อย่างกับพระเอกหนัง
“ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านดงหลวงครับ” ผู้ใหญ่บ้านดัดเสียงเป็นสำเนียงคนสยาม ทำเอาชาวบ้านขมวดคิ้ว เพราะไม่ค่อยจะได้ยิน ‘พ่อหลวงทอง’ พูดแบบนี้กับใคร
ทองไม่เคอะเขิน ถึงไม่อยากพูด ก็จำเป็นต้องพูด เพราะแขกที่มาหา เป็นถึงข้าราชการที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอ
นายอำเภอ ‘ครรชิต’
“นั่งรถนานจนเมื่อย ไม่นึกว่าจะไกลขนาดนี้” แขกมาเยือนบ่นพร้อมถอดหมวกคาวบอยออกมาพัด “ยิ่งตอนข้ามสะพานแม่น้ำ ฉันลุ้นแทบตายกลัวว่ารถจะตกลงไป ฉันว่าคงต้องหางบมาสร้างสะพานดีๆ ให้แล้ว” เขาเอ่ยเจือเสียงหัวเราะถึงการเดินทางอันทรหดและยาวนาน
พ่อหลวงทองขยิบตาให้บัวชุมลูกสาว นำน้ำเย็นในขันมาส่งให้ นายอำเภอรับมาดื่มด้วยความสดชื่น
ประตูฝั่งผู้โดยสาร มีคนด้านในออกมาอีกคน เผยให้เห็นว่าเธอเป็นสตรีอายุราวยี่สิบกว่า ใบหน้าถูกแต่งแต้มให้สวยด้วยเครื่องสำอาง ดวงตาถูกปิดบังด้วยแว่นตากันแดดเก๋ไก๋ หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตสีแดงแปร๊ด กางเกงขายาวเข้ารูปลายตารางตามสมัยนิยม ชาวบ้านที่ได้เห็นต่างตาโตอ้าปากค้าง
เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างมอง นายอำเภอจึงได้เวลาแนะนำ
“ผู้ใหญ่ทอง นี่ยุวดี ลูกสาวฉันเอง เธอเพิ่งมาจากกรุงเทพฯ ก็เลยชวนมาเที่ยวที่บ้านดงหลวงด้วย” ครรชิตแนะนำพร้อมกับส่งขันน้ำให้
สาวชุดแดงส่ายหัว “ไม่หรอกค่ะคุณพ่อ หนูไม่หิว” ปากบอก แต่สายตากลับมองคนรอบตัวอย่างดูแคลน
“ยินดีเลยครับท่าน งั้นเชิญนายอำเภอและคุณยุวดีพักผ่อนบนเรือนกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวเย็นนี้หมู่เราจะมีงานเลี้ยงต้อนรับท่านและลูกสาวที่ศาลาวัดนะครับ”
“อะไรนะ! จะเลี้ยงต้อนรับที่ศาลาวัด”
‘ยุวดี’ เสียงสูงยกมือทาบอก “จะจัดงานศพหรือไง”
คำแย้งของบุตรสาวทำเอานายอำเภอสะดุ้งโหยง
“เป็นศาลาเอนกประสงค์ที่เราสร้างเสร็จและกำลังจะมีงานเฉลิมฉลองไงครับคุณยุวดี” ทองรีบไขความกระจ่าง “อีกอย่างงานศพคนบ้านดงหลวงเราจัดกันที่บ้าน ไม่ใช่จัดกันที่วัดครับ” เจ้าของบ้านอธิบายต่อ คนล้านนานิยมจัดงานศพที่บ้านมากกว่าที่วัดต่างจากทางภาคกลาง
ยุวดีพยักหน้าเหมือนเข้าใจ ก่อนจะยิ้มมุมปากให้กับทุกคนที่มามุงดู พ่อหลวงทองจึงเดินนำพาแขกสำคัญขึ้นเรือน
ตะวันลอยลับหลังดอย เสียงนกกาใหญ่น้อยร้องประสานบนยอดไม้ รอบตัวค่อยๆ มืด เดือนดวงใหญ่เหินขึ้นฟ้า แจ่มใส งดงามราวกับสาวน้อยที่กำลังจะได้อวดโฉมกับบุรุษ
อีกสองวันจะเป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ แถมยังเป็นงานบุญปอยหลวง....ค่ำนี้บ้านดงหลวงคึกคัก ศาลาเอนกประสงค์แห่งใหม่ถูกจัดแจงแต่งดา ให้เป็นงานขันโตกต้อนรับนายอำเภอ
“ปีนี้หมู่บ้านเฮาโชคดี ท่านนายอำเภอมาร่วมเป็นเกียรติในงานบุญศาลาใหม่ ดูแลเปิ้นดีๆ เน้อ บ้านดงหลวงเฮาจะได้พัฒนา” ทองบอกกับชาวบ้าน เขาเองเพิ่งรับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านจากหนานเป็งได้เพียงสามปี ชาวบ้านไว้วางใจให้ตระกูลของเขาสืบทอดตำแหน่งมาตั้งแต่บรรพบุรุษรุ่นทวด จนเมื่อได้เดินทางไปติดต่อราชการในตัวอำเภอ เกิดถูกชะตากับนายอำเภอที่เพิ่งย้ายมาใหม่ คุยกันมาคุยกันไปก็สนิท สบโอกาสสำคัญที่บ้านดงหลวงจะมีงานบุญ ทองจึงไม่พลาดที่จะชวนเจ้านายมาเที่ยว
นายอำเภอและลูกสาว พร้อมด้วยผู้ติดตามสองคน เดินทางลงจากเรือนของพ่อหลวงทองซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ วัด ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ที่ตอนนี้ตามถนนเรื่อยไปจนถึงศาลาแห่งใหม่ ตกแต่งด้วยโคมหลากสี เทียนและผางประทีปถูกจุดตามทางส่องแสงวิบวับ ตุงสัญลักษณ์ของงานปอยปักเป็นแนวยาวไปจนถึงซุ้มประตูหมู่บ้าน
นักดนตรีเข้ามาในศาลาครบแล้ว จึงเริ่มบรรเลงดนตรี สร้างบรรยากาศให้ม่วนงัน แขกบ้านไกลนั่งล้อมวงบนเสื่อ ทองในฐานะเจ้าบ้านเทสุราลงจอกให้เจ้านาย ครรชิตยกดื่มและหัวเราะชอบใจ ไม่นานเหล่าสาวน้อยคนงามก็ช่วยกันยกขันโตกอาหารมาวางตรงหน้า
“กินเต็มที่เลยนะครับนาย วันนี้พวกผมล้มวัว ล้มหมู เพื่อต้อนรับท่านโดยเฉพาะ มีทั้งลาบ ทั้งแกง” ทองยิ้มตาหยี ด้วยนิสัยนักเลง ใครถึงเรือนชานก็ต้องเลี้ยงดูไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ครรชิตกล่าวขอบใจ ก่อนจะหันไปทางลูกสาวที่นั่งข้างๆ
“ยุวดี พอกินได้ไหมลูก”
ลูกสาวแลตามองอาหาร “ลาบดิบแบบนี้หนูกินไม่ลงหรอกค่ะ แล้วข้าวเหนียวนั่นก็ดูสกปรก”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณยุวดี คำแก้วเมียผมเตรียมข้าวจ้าวกับผัดผักให้แล้ว เดี๋ยวมีลาบคั่วด้วย” ทองตอบเพราะคิดไว้แล้วว่าอย่างยุวดีคงกินอาหารพื้นเมืองไม่ได้แน่
“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบ
“ลาบทางเหนือรสชาติเข้มข้นด้วยเครื่องเทศ ต่างจากลาบทางอีสาน” คนเป็นพ่ออธิบาย หันมาชวนทองซดสุราพื้นถิ่นต่อ กระทั่งดนตรีพื้นเมืองเปลี่ยนเป็นจังหวะฟ้อนรำ สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มหกคนก็เดินนวดนาดออกมา ทุกคนสวมชุดช่างฟ้อนสีสดใสกับซิ่นตีนจก ร่ายรำฟ้อนเล็บตามจังหวะ ต้อนรับบุคคลสำคัญที่มาเยือนหมู่บ้าน
“ฟ้อนเล็บของสาวๆ ในหมู่บ้านครับ คนหน้าสุดจำได้หรือเปล่า บัวชุมลูกสาวผมเอง” ทองกระซิบ
พอเห็นว่าเป็นเป็นลูกสาวผู้ใหญ่ ครรชิตก็หัวเราะชอบใจ “ขอบคุณมากนะทองที่ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี แม้ว่าจะเป็นการมาเยี่ยมที่ไม่เป็นทางการเท่าไหร่นักก็ตาม”
ตัวอำเภอที่ครรชิตทำงานอยู่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่สองร้อยกว่ากิโลเมตร ทว่าบ้านดงหลวงยังไกลกว่า เพราะห่างจากตัวอำเภอไปอีก ต้องเดินทางเกือบเป็นวัน บ้านดงหลวง ผ่านดงหลวงสมชื่อ มีทั้งป่าใหญ่ แม่น้ำกว้าง อยู่ติดชายแดนพม่า ร่ำลือว่าไม่ค่อยมีใครไปถึง ครรชิตเองก็อยากพิสูจน์ ขนาดเดินทางด้วยรถจิ๊บแรงดี ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ มาถึงที่นี่ก็เกือบค่ำ
“แค่ท่านคิดจะมาเยี่ยมหมู่บ้านไกลๆ พวกเราก็ดีใจแล้วครับ”
นายอำเภอยิ้ม ก่อนจะคดข้าวเหนียวมาจิ้มกับลาบวัว หันไปมองดูลูกสาวที่เอาแต่จ้องดูช่างฟ้อนจึงเอ่ยถาม
“ชอบไหมลูก”
“ก็...” มีเสียงหัวเราะในลำคอ “สวยดีค่ะ เหมือนในหนังเรื่องสาวเครือฟ้าเลย นี่ถ้าพ่อเป็นร้อยตรีพร้อม คืนนี้คงได้ช่างฟ้อนเป็นเมียแน่ๆ”
นายอำเภอสะดุ้งโหยง เหลียวซ้ายแลขวาเกรงว่าจะมีใครได้ยิน “พูดอะไรอย่างนั้นลูก เดี๋ยวลุงทองก็ได้ยินหรอก”
“หนูพูดจริงนี่คะ ลุงทองเองก็คงจะอยากให้พ่อได้เมียเป็นผู้หญิงแถวนี้ซักคน หรือไม่ก็คงอยากยกลูกสาวให้”
“ยุวดี!” บิดาเริ่มเสียงแข็ง ทว่าลูกสาวก็ยังตีหน้าซื่อ
“คุณพ่ออย่าแกล้งทำเป็นเห็นใจพวกเขาเลยค่ะ คุณพ่อก็คิดไม่ต่างจากหนูหรอก คนที่นี่ก็แค่คนโง่ ป่าเถื่อน พวกเรามีหน้าที่แค่มาหาผลประโยชน์เท่านั้น” ลูกสาวเอ่ย พร้อมกับลุกจากวงขันโตกไป
“มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่าคุณยุวดีไม่ชอบอาหารที่เราเตรียมให้” เจ้าของบ้านเอ่ยถาม
“ขอโทษที ยุวดีถูกตามใจจนเคยตัว อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้าง” ครรชิตเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจ บางครั้งเขาเองก็รู้สึก...ว่าตัวเองนั่นแหละ ที่ทำให้ลูกสาวกลายเป็นคนแบบนี้
สิบปีก่อนที่กรุงเทพฯ หลังจากครรชิตและนรีนุชภรรยา มีเหตุให้ต้องหย่าร้างกัน ยุวดีไปอยู่กับฝ่ายแม่ซึ่งมีครอบครัวใหม่เป็นนายทหารใหญ่ ในขณะที่เขาเองเป็นเพียงข้าราชการต๊อกต๋อยและถูกกีดกันไม่ให้พบหน้าลูกสาว ยุวดีโดนเลี้ยงมาอย่างตามใจและถูกสอนให้เกลียดพ่อ แถมพ่อใหม่ก็ปลูกฝังให้เธอรู้จักคำว่าแพ้ไม่เป็น เด็กหญิงจึงกลายเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ มองว่าเขาเป็นเพียงพ่อที่ไม่เอาไหนในสายตา
ห้าปีต่อมา ครรชิตสอบได้เป็นนายอำเภอ มารับราชการไกลถึงเมืองเหนือ พ่อลูกแทบไม่ได้เจอหน้ากันอีก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มห่างหาย
แต่แล้วเมื่อวาน วันที่อากาศสดใส ยุวดีก็ปรากฏตัว ณ ที่ว่าการอำเภอ ครรชิตดีใจมาก ที่ลูกสาวอุตส่าห์ดั้นด้นมาหาถึงที่ทำงาน ซึ่งเป็นอำเภอไกลปืนเที่ยงของเชียงใหม่ เมื่อถามถึงความเป็นมา ลูกสาวก็ตอบด้วยสีหน้าหยิ่งยโส
‘ประเทศไทยหนูไปได้หมดทุกที่แหละ หนูไม่ได้ขี้ขลาดเหมือนคุณพ่อนี่คะ’
ครรชิตรู้แล้วว่า เด็กสาวใสซื่อที่เคยประคองกอดได้เปลี่ยนไปแล้ว…
เมื่อรู้ว่าบิดากำลังมีแผนการจะเดินทางไปบ้านดงหลวง ลูกสาวเมืองกรุงก็ยิ่งสนใจ ยืนยันว่าจะขอตามไปด้วย ครรชิตจึงไม่อยากขัดใจ เพราะบางทีครรชิตก็อยากจะให้ยุวดีรู้ว่า เขาก็เป็นพ่อที่พร้อมปกป้องลูกตัวเองได้เช่นเดียวกัน
ตลอดการเดินทางสู่บ้านดงหลวง ต้องใช้ความอดทนสูง หนทางไกล กันดาร แถมยังคดโค้งและเต็มไปด้วยเหวลึกอันตราย ยุวดีเองก็แทบทนไม่ได้ บ่นเอาแต่ใจตลอดทาง
‘อดทนหน่อยลูก เดี๋ยวก็ถึงแล้ว’ ครรชิตพยายามปลอบ
‘หนูไม่คิดว่ามันจะลำบากขนาดนี้ พ่อไม่เคยทำให้ชีวิตหนูสบายเลย’
ลูกสาวคงไม่รู้ ว่าประโยคนั้นทำคนเป็นพ่อเจ็บช้ำยิ่งกว่าถูกมีดคมฟันแสกหน้า
ยุวดีเป็นคนพูดอะไรไม่คิด ทุกถ้อยคำ เต็มไปด้วยคำหยามเหยียด เธอหัวเราะที่เห็นชาวเขาตัวมอมแมม รังเกียจเมื่อเห็นคนเป็นโรคคอพอก สรรเสริญแต่คนกรุง คุยโวถึงโลกตะวันตกจนครรชิตเองรู้สึกอึดอัด
อย่างเมื่อตอนเย็น บนเรือนไม้สัก เจ้าของบ้านจัดพิธีรับขวัญมัดมือตามธรรมเนียม เป็นการกับบอกกับเทวดาฟ้าดินและผีบรรพบุรุษว่าผู้มาเยือนไม่ใช่คนแปลกหน้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้คุ้มครอง ตอนผู้เฒ่าชรากำลังหยิบเส้นฝ้ายมาผูกแขน ยุวดีก็หลุดหัวเราะ แถมยังกระซิบบอกบิดา
“ปัญญาอ่อนสิ้นดี คนที่นี่กำลังจะขอให้ผียอมให้เราเข้าหมู่บ้าน หนูว่าคนที่มีสิทธิ์อนุญาตคือคุณพ่อนะคะ ไม่ใช่ผีปู่ย่า’
ครรชิตส่ายหัวด้วยความหนักใจ บางทีเขาอาจจะเลื่อนการกำหนดกลับให้เร็วขึ้น
ร่างบางก้าวออกจากศาลา เดินไปบริเวณลานโล่งข้างวัด เสียงสะล้อซอซึงที่อยู่ด้านหลังเสียงเบาลง ยุวดีหยิบบุหรี่จากกระเป๋าออกมาสูบ แลตามองหญิงชราที่นั่งสูบยามวน ก่อนจะยิ้มเหยียดใส่และหันไปมองจันทร์บนฟ้า
หวนนึกถึงใครบางคน ที่ตอนนี้คงตามหาเธอทั่วเมืองเชียงใหม่ แต่ยังไงก็คงไม่มีทางหาเจอ เพราตอนนี้เธอหนีมาไกลถึงบ้านดงหลวงแล้ว สมน้ำหน้า...
ริมฝีปากอิ่มพ่นควันออกมาเป็นสาย ลอยวนเลื้อยเป็นงูก่อนจะหายไปในอากาศ สาวสวยหมุนตัวลองเดินเล่นชมบรรยากาศรอบๆ หมู่บ้านแห่งนี้ช่างบ้านนอกคอกนา ทั้งไฟฟ้า น้ำประปา หรือสาธารณสุขพื้นฐานยังมาไม่ถึง ที่นี่เป็นดั่งเมืองลับแลไร้ความเจริญ ถ้าไม่มีเหตุทะเลาะกับ ‘นิรุต’ ไม่มีทาง...ที่เธอจะย่างกลายมาเยือน
เดินไปตามแนวรั้วอิฐเก่าๆ ของวัด เจอรูปปั้นสิงห์สองตัวที่ซุ้มประตู เดินเข้าไปด้านใน จึงเห็นวิหารขนาดเล็กตั้งตระหง่าน รูปปั้นพญานาคเลื้อยลงมาตามขั้นบันได ดูทรุดโทรม ไม่สวยงามเหมือนวัดในตัวเมืองเชียงใหม่สักนิด
มัวแต่มองรอบตัวเสียเพลิน ยุวดีต้องสะดุ้งโหยง เพราะเพิ่งเห็นว่ามีบุรุษร่างใหญ่ ยืนจ้องเธอด้วยระยะห่างไม่ถึงสามเมตร!
ในมือเขาถือคบไฟส่องเห็นใบหน้าชัด ชายหนุ่มไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าเค็ตม่าม มีรอยสักตั้งแต่สะโพกจนถึงหัวเข่าทั้งสองข้าง และสายตาที่จ้องมากำลังทำให้ยุวดีใจสั่น
“มองอะไร!” ใช้เสียงข่มไม่อยากแสดงอาการ แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่สะทกสะท้าน ยังคงจ้องเธอด้วยสายตาที่เดาไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่ หึ...ไม่แน่ ไอ้หนุ่มบ้านนอกคนนี้อาจกำลังตะลึงในความงามของเธอ
ดวงตาชั้นเดียวยังนิ่งเหมือนรูปปั้น คิ้วเข้มพาดเฉียง จมูกโด่งเป็นสัน กล้ามเนื้อหน้าอก แขน ขา เป็นมัดแน่น โดยรวมแล้วหล่อเกินที่จะมาหมกตัวอยู่ที่นี่ แต่ดูการแต่งกายก็แสนแปลก ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป
“เสียมารยาท จ้องหน้าฉันอยู่ได้” เธอพยายามจ้องตอบ แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังจมในบ่อน้ำลึกในแววตาคู่นั้น
ในที่สุด คนแปลกหน้าก็หมุนตัวเดินหนี
“นี่หยุดนะ จะหนีไปอย่างนี้น่ะเหรอ” เธอตะโกน ร่างใหญ่หยุดกึก ยุวดีเห็นว่าแผ่นหลังกว้างของเขามีรอยแผลเป็นเป็นทางยาว
เขาหันมามองหน้าอีกครั้ง แต่แล้วก็ตัดสินใจเดินต่อ
สาวกรุงเม้มริมฝีปาก คนสวยอย่างเธอ ไม่ชอบให้ใครมาเดินหนี ถ้าเธอไม่ได้เป็นคนสั่ง แล้วไอ้บ้านนอกนี่มันเป็นใคร…
“ฉันบอกให้หยุด!”
ไม่เป็นผล คนถือคบไฟเดินต่อไปทางประตูวัด ร่างใหญ่เดินเร็วผิดมนุษย์มนา...
“คุณยุวดีเจ้า” เสียงเรียกชื่อสะกิดให้เธอได้สติ หันไปมองก็พบเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้าน
“บัวชุม”
“ข้าเจ้าฮ้องคุณยุวดีตั้งหลายรอบ แต่คุณยุวดีก็บ่สนใจ” สาวน้อยถูกบิดาสั่งให้ออกมาตามหาหญิงสาวที่หายตัวจากงานเลี้ยงต้อนรับ
“ฉันกำลังคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เธอรู้จักเขาไหม”
“ไผกาเจ้า ข้าเจ้าบ่ทันหัน”
ยุวดีทำหน้านึก “คนที่หน้าตาก็พอดูได้ ไม่ใส่เสื้อและมีรอยสักที่ขา อ้อ เหมือนจะมีแผลเป็นที่ด้านหลังเป็นทางยาว” ในใจยังไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นผี สาวสมัยใหม่เช่นเธอเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้เท่านั้น
“บ่หันลอเจ้า คุณยุวดีปิ๊กไปที่งานดีกว่า คนอื่นเป็นห่วง” คนอ่อนกว่าเอ่ยประโยคหลังช้าๆ เพื่อให้ยุวดีรู้สึกว่าควรเกรงใจ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
ยุวดีแบะปากมองตามหลัง เชอะ....ทำมาเป็นประชดประชัน คนอย่างฉัน ไม่จำเป็นต้องแคร์ใครทั้งนั้นย่ะ
บัวชุมเดินจากมาด้วยสีหน้าจะเรียบเฉย แต่ในใจกลับว้าวุ่น ถึงเรื่องที่แม่หญิงเมืองกรุงถาม
ผู้ชายคนหนึ่งในวัด คนที่มีรอยสักที่ขา หวังว่าคงบ่ใช่...อ้ายพันแสง...
ความคิดเห็น |
---|