ตอนที่ 10 พิณคลายมนต์
พันแสงแทบไม่เชื่อสายตา... จะเป็นลมหลวงเมื่อครู่ หรือว่าเป็นเพราะเพลงพิณ ทำให้สร้อยคำกลายร่างกลับมาเป็นคน
แสงไฟทำให้หญิงสาวต้องหรี่ตา ก่อนจะขยับริมผีปาก “อ้ายพันแสง”
ชายหนุ่มได้สติ รีบเข้าไปหา “สร้อยคำ น้องกลับมาเป็นคนได้จะได” พูดพร้อมกับแก้เชือกที่มัด เพื่อให้เธอแต่งตัว
“มันเกิดอะหยังขึ้น” หญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน
“คนเฒ่าประหลาดนั้น มันดีดพิณเปี๊ยะ แล้วก่อมีลมหลวงพัดมาห่าใหญ่ จนฝุ่นตลบ พอสงบน้องก่อกลายเป็นคน”
“หรือคำสาปจะหายแล้ว” หญิงสาวยกแขนมองมือ ตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ ไม่ใช่ความฝัน ราตรีนี้เธอกลายเป็นคนจริงๆ
พันแสงยิ้มแฉ่ง ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงดีดพิณอีกครั้ง
“ยังบ่หาย คำสาปฮ้ายมันแกร่ง จะดีดพิณจนหมดแฮง ยามมืดแลง ก่อเป็นเหมือนเดิม” ผู้เฒ่าเอ่ยเป็นทำนอง
สร้อยคำเดินเข้าไปหา “แล้วยะจะไดมันถึงจะหายไปหมด”
“มันหายบ่ได้ เพราะคนสาปบ่ตาย” เฒ่าประหลาดบอก
“แค่นี้ข้าก่อดีใจแล้ว อย่างน้อยเวลาเมื่อคืน นอกเมืองสาปเสือ ข้าก่อจะได้หันดาวหันเดือนตวยเปิ้นพ่อง” สร้อยคำเช็ดขอบตาที่ร้อนผ่าว และเดินไปนั่งยกมือไหว้สาคนแก่
“ยินดีจ๊าดนักเน้อป้อเฒ่า ที่ช่วยข้า”
คนชราท่าทีเขินอาย ”ข้าบ่ได้ช่วยสู สูต่างหากที่ช่วยข้า”
“งั้นก่อดี ได้ทดแทนบุญคุณกันแล้ว บ่มีอะหยังติดค้างกันแหม สูก่อไปทางอื่นเสีย อย่ามายุ่งกับเมียข้าแหม” พันแสงยืนวางท่า สร้อยคำหันขวับ
“เดียวเน้ออ้ายพันแสง ไผเป๋นเมียอ้าย”
ชายหนุ่มตกใจ ทำสีหน้าไม่ถูกแกล้งไอกลบเกลื่อน “คืออ้ายก่อจุ๊ปู่เฒ่านี้ไปก่อน เพราะกลัวว่ามันจะมาวุ่นวายกับน้อง”
“ข้าเจ้าว่าเขาบ่แม่นคนธรรมดาหรอกเจ้า”
พันแสงขมวดคิ้ว “บ่แม่นคน เป็นเทวดากา”
สร้อยคำส่ายหัว “เป๋นผี มันมีผีตนไหนพ่องหาที่ชอบเล่นดนตรี...”
“ผีปกกะโหล้ง[1]” กลับเป็นชายแก่ที่ตอบคำถามเอง
“ผะ...ผีกา แบบนี้ข้าต้อง” ชายหนุ่มกำลังจะชักดาบ สร้อยคำก็จับมือไว้
“บ่ต้อง เขามาดี บ่ได้มาร้าย แถมยังมาช่วยข้าเจ้า”
พันแสงจำต้องหยุด “ข้าถึงว่ามันแปลกๆ”
“คงจะแปลงร่างมาเป็นคนเฒ่า ข้าเคยได้ยินนิทานเรื่องผีโป๊กกะโหล้งเล่นซึงกลางดึก” สร้อยคำตอบพร้อมกับยิ้มหวานไปทางผีป่า “แล้วป้อเฒ่าพอจะช่วยเฮาได้ก่อ”
“สูจะหื้อข้าช่วยอะหยังแถม”
“ต้องยะจะได ข้าถึงจะบ่ต้องกลายเป็นเสือแหม”
เขาพยักหน้าและยิ้มน่าเกลียด “อย่างที่ข้าบอก ราตรีมาเยือน อย่าฟั่งเบือนหนี หื้อเล่นดนตรี ดีดเปี๊ยะ เสือผีได้ฟัง จะถอยลับลี้ อีหล้าคนดี กลายร่างคืนคน”
“หมายความว่าแต่ละคืน หากข้าได้ยินเสียงพิณเปี๊ยะ ข้าจะคืนร่างเป็นคน” สร้อยคำเสียงสั่นด้วยความดีใจ
“แลงมาสูก่อแค่ ฟังข้าดีดพิณเปี๊ยะ” คนเฒ่าตอบแววตาเจ้าเล่ห์
“เดียวๆ นั่นหมายความว่า สูต้องเดินทางไปกับเฮากา” พันแสงรีบขวาง
“ก่อแล้วแต่สู หรือว่าสูดีดพิณเปี๊ยะได้”
ชายหนุ่มพูดไม่ออก แค่ตีกลองให้เข้าจังหวะยังทำไม่ถูก นับประสาอะไรกับเครื่องดนตรีที่จันทร์เคยบอกว่ามันเล่นยากที่สุด
“ข้าเจ้าว่าถ้าป้อเฒ่าไปตวยเฮา อ้ายพันแสงก่อบ่ต้องลำบากที่จะต้องจับข้ามัดทุกคืน” เธอหันมาบอกกับเขา
“สร้อยคำ เฮาจะเอาผีไปตวยบ่ได้”
“ข้าก่อครึ่งคนครึ่งเสือ ยังไปกับอ้ายได้เลย” เธอเถียง ก่อนจะพยายามขอร้อง “อ้ายพันแสง เทวดาหรือเจ้าป่าเจ้าเขา คงมาช่วยหื้อการเดินทางเตื้อนี้มันง่ายขึ้น ข้าบ่ต้องเป๋นเสือ ถ้ามีป้อเฒ่าเปิ้นมาเล่นเพลงพิณหื้อ”
พันแสงหงุดหงิดในใจ เพราะไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายกับการเดินทางของเธอและเขา
“ถ้าข้าดีดพิณเปี๊ยะได้ สร้อยคำก่อจะคืนร่างเป็นคนก่อปู่เฒ่า” เขาหันไปถามผีป่า
“ข้าบ่รู้ ที่รู้คืออีนางน้อย มีอะหยังบางอย่างกับพิณเปี๊ยะ แค่ได้ฟังก็คลายมนต์”
“ถ้าจะอั้น คนที่เมืองสาปเสือ หากได้ยินเสียงพิณเปี๊ยะก็คืนร่างได้หมด แม่นก่อ”
ผีป่าพยักหน้า สร้อยคำดีใจขึ้นไปอีก “ที่เมืองสาปเสือ เฮาบ่เคยหันพิณแบบนี้ และถ้าป้อลุงไปดีดหื้อที่นั้น ทุกคนต้องได้สติ และช่วยกันจัดการเจ้าเขี้ยวแก้วได้แน่”
หญิงสาวคุกเข่าต่อหน้าผีปกกะโหล้ง “ป้อเฒ่าเจ้า เดินทางไปกับข้าเจ้าเต๊อะ ท่านต้องช่วยเมืองข้าได้แน่ๆ”
“บ่ต้องสร้อยคำ เรื่องพิณเปี๊ยะ อ้ายจะดีดหื้อน้องเอง”
ทุกคนต่างเงียบไปชั่วขณะ
“อ้ายอู้อะหยังอ้ายพันแสง เล่นดนตรีบ่ได้เป๋นวันนี้วันพรุ่ง” เธอแย้ง
“อ้ายบ่สน ว่าจะไดปู่เฒ่า ช่วยสอนหื้อข้ากำเต๊อะ” เขาหันมาคุกเข่าต่อหน้าผีป่า
“ยะหยังข้าต้องสอนสู” คนแก่ทำฮึดฮัดเล่นตัว
“อย่างน้อยก่อช่วยสร้อยคำ ที่ใจดีกับสู” พันแสงเอ่ย
“อีนางน้อยดีกับข้า บ่แม่นสู แถมคนสวกคนอย่างสู เป๋นปี ก่อดีดพิณบ่ได้”
จู่ๆ พันแสงก็ตัดสินใจก้มกราบจนผีป่าสะดุ้ง “ที่ผ่านมา ข้าขอสูมาตวยที่อู้จาบ่ดีใส่ แต่ข้าขอร้องเต๊อะ ข้าต้องช่วยเมืองสาปเสือ ใช่ว่าข้าจะขอบะดาย ข้ามีของตอบแทน” พันแสงล้วงเข้าไปในย่าม ยื่นบางอย่างมาส่งให้ มันสะท้อนแสงไฟวับแวม
ผีปกกะโหล้ง กะพริบตาปริบๆ และเอื้อมมือไปรับโลหะด้ามยาว สร้อยคำมองด้วยความสงสัย
“หัวพิณเปี๊ยะ ข้ายินดีมอบเป็นค่าครู ที่ช่วยสอนข้าดีดพิณ”
ระหว่างที่ชายหนุ่มกับผีป่ากำลังตกลงกัน สร้อยคำนั่งพิงไม้ใหญ่ แหงนมองจันทร์ไม่เต็มดวง ช่างงดงามกว่ามองผ่านฟ้าเมืองสาปเสือ หญิงสาวระบายยิ้ม สูดอากาศสดชื่นเต็มปอด ฟังเสียงหริ่งเรไรให้เต็มสองหู
“บ่ต้องห่วงเน้อสร้อยคำ จากนี้ไป น้องจะได้หันดาวหันเดือนทุกคืนแน่ๆ” เสียงพันแสงดังขึ้นจนเธอต้องหันไปมอง
“ป้อเฒ่ายอมสอนพิณเปี๊ยะหื้ออ้ายแล้วกา”
พันแสงพยักหน้า “ตั้งแต่คืนนี้ และเวลานี้...”
พูดจบ เธอก็เห็นคนกับผี เริ่มตั้งท่าสอนกันดีดเพลงพิณ สร้อยคำกอดอก พันแสงดูตั้งใจ ไม่หวั่นไหว จนได้ยินเสียง ตุ่ง...ตวง
นานพอสมควรที่เสียงเพลงจากนักดนตรีมือใหม่ กล่อมเธอหลับใหลเพลินนิทรา
ดึกร้างน้ำค้างวาดฟ้า เสียงร้องของช้างป่า ทำสร้อยคำสะดุ้งตื่น กองไฟมีแสงเรื่อใกล้มอดดับ สร้อยคำหยิบฟืนเติมสุม เป็นรอบที่สามแล้วที่เธอตื่น แต่ยังได้ยินเสียงพิณเปี๊ยะอยู่ตลอด หญิงสาวลุกขึ้นและเดินเข้าไปหา พันแสงกำลังตั้งใจดีดสายพิณให้มันกังวานเพราะ โดยมีคนแก่จำแลงนอนกรนดัง
“อย่าบอกเน้อ ว่าอ้ายพันแสงยังบ่ได้หลับ”
ชายหนุ่มหยุดดีดนิ้วและหันมายิ้มให้ “พิณเปี๊ยะมันใช้เวลาฝึกเมิน จะมัวช้าบ่ได้”
“จ๋นคนสอนก้านไปเลยแม่นก่อ” สร้อยคำแลตาไปยังคนแก่ที่หลับเป็นตาย
“แม่นล่ะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็เขย่าร่างผีป่า “ตื่นได้แล้วป้อครู มาสอนท่อนต่อไปเลย ห้ามอู้”
“คิงก่อปอบ่หลับบ่นอน บ่ฮ่าน้อย” ผีป่าบ่นขี้เซา
“อย่าเสียเวลา สอนต่อๆ ข้าจะต้องเล่นเพลงนี้หื้อจบ เวยๆ” เขาเซ้าซี้จนครูดนตรีต้องบิดขี้เกียจลุกขึ้นมาสอน สร้อยคำมองภาพนั้นอย่างชื่นใจ ชายหนุ่มตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเธอจริงๆ
อีกฟากของป่า แม้จะเป็นหน้าแล้ง แต่ยามดึกค่อนคืนก็ชวนให้เหน็บหนาวไม่น้อย เสียงแห่งความวิเวกในราตรีกาล ทำคนบ้านไกลใจหาย
พงษ์ธาดานอนพลิกตัวเป็นรอบที่สิบ ข่มตาก็แล้ว นับดาวก็แล้ว แต่หัวใจก็มิอาจสงบจนถึงห้วงนิทรา หันไปมองเพื่อนรัก ก็หลับสนิทมีเพียงลมหายใจทอดยาว ที่สุดจึงตัดสินใจลุกขึ้นนั่ง เพราะอาการปวดหน่วงที่ท้องน้อย
ค่ายค้างแรมเงียบ กองไฟสีส้มลุกโชนลูกหาบที่ผลัดเวรกันอยู่ยามคอยเติมเชื้อเพลิง พงษ์ธาดามองไปยังแนวป่า ในม่านอันมืดมิดไม่สามารถเดาได้เลยว่ามีอะไรซุกซ่อนอยู่
“ไอ้รุต” เขากระซิบปลุกเพื่อน แต่คนที่หลับสนิทไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง พงษ์ธาดาจึงเขย่าที่ร่าง “ไอ้รุต กูปวดเยี่ยว ไปส่งกูหน่อย”
ร่างของเพื่อนรักขยับ และบ่นพึมพำ “ยุวดีรอผมก่อนนะ ผมกำลังไปช่วยคุณ”
พงษ์ธาดาชะงัก ถอนหายใจเบาๆ หันไปหยิบผ้ามาห่มให้เพื่อนเพื่อกันน้ำค้าง ก่อนจะรวบรวมความกล้าลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวคนเดียว ยามดึกในป่าทำให้ผิวกายหนาว เขาห่อไหล่ ค่อยๆ เดินอย่างระวัง แต่ก็ยังพลาดท่าตกหลุมจนเผลอร้องดัง
“เหี้ย!” ยกมือขึ้นลูบหน้าอกเพื่อปลอบตัวเอง ตั้งสติเดินไปต่อ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมีมือเย็นมาจับ
“เฮ้ย!” พงษ์ธาดาหันไปมอง จึงพบว่าเป็นนายทหารคู่ปรับ
“ไอ้หมวดบ้า ตกใจหมด” พงษ์ธาดาตัวสั่น จนอีกฝ่ายหัวเราะร่วน
“ตกใจเป็นผู้หญิงเชียว จะไปไหนเหรอ” ภาคภูมิมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ปวดเยี่ยว” คนตอบพยายามทำตัวให้เข้มแข็ง
“ดีเหมือนกัน ผมก็ปวด ไปด้วยกันดีกว่า” ข้อมือแข็งของนายทหารฉุดพงษ์ธาดาเข้าป่าทันที
“ดะ....เดี๋ยวสิ ฉี่ตรงนี้ก็ได้ ทำไมต้องเดินเข้าป่าลึกขนาดนี้” ตอนนี้ภาคภูมิพาเขามาไกลจากที่พักเกือบจะร้อยเมตรแล้ว
“ฉี่ใกล้ที่นอน ตื่นเช้ามามันก็เหม็นสิ แบบนี้แหละดี ไม่มีใครเห็น เอ๊ะ! หรือว่าคุณกลัว” นายทหารยิ้มดีใจที่ได้แกล้ง
“ใครบอกว่าผมกลัว” พงษ์ธาดาสะบัดแขน หันหลังให้เพื่อปลดซิบกางเกง ปลดปล่อยปัสสาวะออกมาเป็นสาย ระหว่างนั้นก็แกล้งฮัมเพลงให้ภาคภูมิรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นเหมือนที่พูด
“อารมณ์ดี เหมือนได้นอนกันแฟนเลยนะ” อีกฝ่ายโพล่งถามจนพงษ์ธาดาหันขวับ
“หมายความว่าไง”
นายทหารยังไม่ตอบ หันไปทำธุระของตนบ้าง ใต้แสงจันทร์เขาแลตามองหน้าพงษ์ธาดาอย่างกวนๆ
“ก็บังเอิญว่าผมเห็นคุณห่มผ้าให้เพื่อนรัก แถมยังมองกับยังกับแฟน”
หนุ่มกรุงรูดซิบกางเกง เริ่มรู้สึกชาไปทั้งตัว “นี่คุณแอบมองผมเหรอ”
เสียงปัสสาวะของอีกฝ่ายยังกระทบพื้นไม่หยุด ภาคภูมิยิ้มมุมปาก “ก็ผมนอนใกล้ๆ ไม่เห็นก็แปลกแล้ว ความจริงพวกคุณก็ดูรักกันดี ถึงจะดูเกินเพื่อนไปหน่อย” นายทหารหนุ่มรูดซิบกางเกงกลับตามเดิม
“อย่ามาหาเรื่อง”
“ผมไม่ได้หาเรื่อง” ภาคภูมิเสียงสูง พร้อมกับเดินเข้าใกล้ พงษ์ธาดาใจเต้นโครมคราม
“แต่เท่าที่สังเกต ผมว่าคุณจะคิดกับคุณนิรุตเกินเพื่อนนะ”
อาจจะเป็นเพราะความโกรธ...เขาจึงผลักตัวนายทหารออกทันที
“อย่ามาปรักปรำคนอื่น”
หมวดภูมิเซเล็กน้อย นึกคึกจึงผลักพงษ์ธาดาตอบ
“คนกรุงเทพฯ อย่างคุณน่าจะเข้าใจดีว่าผมหมายถึงอะไร คุณยอมลำบากเพื่อมาช่วยแฟนเพื่อน พยายามทำตัวให้เข้มแข็งแม้ว่าจะไม่เคยแม้จะเดินป่า คอยดูแลปกป้อง หรือว่าแท้จริงแล้ว คุณเป็นพวกชอบเพศเดียวกัน”
พงษ์ธาดาแม้จะตัวเล็กกว่า แต่เวลานี้ความโกรธกลับสูบฉีดไปทั่วร่าง ที่สุดก็ตัดสินใจเหวี่ยงมือไปชกหน้านายทหาร
“ผัวะ!” ภาคภูมิหน้าหัน แต่กลับหัวเราะลั่นและไม่พูดพร่ำทำเพลง ถีบร่างหนุ่มกรุงจนล้มกลิ้ง พงษ์ธาดาไม่ทันตั้งหลัก ร่างใหญ่ก็กระโดดเข้ามาคร่อมและจะชกเข้าที่ใบหน้า ทว่าเขายื่นมือไปรับทัน
“หน้าอ่อนๆ อย่างพวกคุณ อย่าคิดว่าเก่ง อย่าคิดว่าวิเศษวิโส” ภาคภูมิยื่นมืออีกข้างไปบีบคอจนพงษ์ธาดาหายใจไม่ออก เขาดิ้นสะบัดตัวจนทั้งคู่กลิ้งไปตามพื้น และตกลงไปในตลิ่งดอย
ร่างของทั้งคู่แยกจากกัน ทันทีที่ตั้งหลักได้ พงษ์ธาดาก็ลุกขึ้นถีบเข้าที่ตัวนายทหารจนเขาล้มคว่ำ
“อย่าคิดว่าคนอื่นไม่มีมือ ไม่มีตีน” คนตัวเล็กกว่าสั่นสู้ ภาคภูมิลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ยกมือเช็ดริมฝีปากแตกมีเลือดไหล
“สู้ดีเหมือนกันนะ” เขายังยิ้มยั่ว
ยังไม่ทันได้ปะทะกันต่อ ที่รอบตัวก็มีแสงไฟวูบวาบ พงษ์ธาดาหันไปมอง คิดว่าอาจจะเป็นคนข้างบนได้ยินเสียงดังจึงตามลงมา ทว่าเมื่อเข้ามาใกล้ แสงนั้นกลับมีมากขึ้น พวกเขาคือคนแปลกหน้า แถมมีอาวุธครบมือ พูดจาเสียงดังไม่ใช่ภาษาไทย สองหนุ่มจำต้องยอมยกมือขึ้นอย่างจำนนท์
ทั่งคู่ถูกต้อนให้มานั่งข้างๆ กัน จากประสบการณ์ของการเป็นทหาร ภาคภูมิรู้ได้ทันทีว่ากำลังถูกกองกำลังต่างถิ่น จับกุมตัว
ลูกหาบที่อยู่ยามได้ยินเสียงแปลกๆ และเห็นไฟวูบวาบจากด้านล่างเขา จึงรีบมารายงานให้นายอำเภอรับทราบทันที ทองและครรชิตรีบจับอาวุธและรุดออกมาจากเต็นท์
“คิงเขาหันตรงไหน” กำลังจะไล่ถามหาความ ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด
“เปรี้ยงๆ!”
นายอำเภอเบิกตาโพลง คนจำนวนมากกำลังเดินเข้ามาหาที่พักแรม เขายังจับปืนไว้แน่น แต่ก็สงวนท่าทีเพราะอีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่า ชาวบ้านที่เหลือเริ่มแตกตื่น ถอยมากระจุกอยู่ตรงกลางใกล้กองไฟ ฝ่ายที่มากกว่า เดินออกมาจากป่า พวกเขามีอาวุธ ตะเกียง คบเพลิง หน้าตามิได้เป็นมิตร
“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกแกเป็นใคร นี่คือขบวนของนายอำเภอ” ทองตะโกนขู่ ก่อนจะเห็นว่าในกลุ่มของคนแปลกหน้า มีหมวดภูมิและพงษ์ธาดาถูกจับรวมอยู่ด้วย
“พวกเราถูกจับแล้วครับนายอำเภอ เราหลงเดินเข้ามาในเขตแดนของชนกลุ่มน้อยไม่ทราบฝ่าย” ภาคภูมิเอ่ย
ครรชิตกลืนน้ำลายฝืด ก่อนจะหันไปสั่งให้ทั้งหมดวางอาวุธ และชูมือขึ้นอย่างจำยอม
สร้อยคำลืมตาในวันใหม่ เธอขยับผ้าคลุมก่อนจะบิดขี้เกียจขยับเส้นสาย กลิ่นของยามเช้าแสนสดชื่น เห็นสายหมอกจางๆ คลี่คลุมดอยสีน้ำเงิน การได้หลับในร่างคนทั้งคืนช่างแสนสุขเสียนี่กะไร จากนี้ไปต่อให้หนทางไกลแค่ไหนเธอก็ไม่หวั่น อีกไม่กี่คืนก็คงถึงดอยยอดดาว เป้าหมายคือแม่เฒ่าหมอดูชาวลัวะที่อยู่บนนั้น จะช่วยทำนายให้เมืองของเธอรอดพ้นจากคำสาป ที่พวกเธอต้องทนมานานกว่าร้อยปี
แสงทองของยามเช้าฉายชัด เช่นเดียวกับความหวัง หญิงสาวลุกขึ้นหันไปมองชายหนุ่มผู้ร่วมเดินทาง เขานอนแผ่หลามีเครื่องดนตรีวางคาอก โดยที่คนสอนก็มีสภาพไม่ต่างกัน
“อ้ายพันแสง” เธอเรียกชื่อเขาเสียงเบา
พันแสงดีดตัวลุกขึ้นนั่ง แถมยังหยิบพิณเปี๊ยะเอามาตั้งท่าเป็นดาบ
“ข้าเจ้าเอง” สร้อยคำส่งยิ้มเรียกสติ “แจ้งแล้ว” การเดินทางยังอีกยาวไกล เธอคิดเช่นนั้น
ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“แล้ว...อ้ายเล่นดนตรีไปถึงไหนละเจ้า”
เขาก้มหน้าอย่างอายๆ “ก็ยังบ่ถึงไหนเลย แต่อ้ายจะเล่นมันหื้อได้”
“ลองดีดหื้อข้าฟังซักหน่อยลอ” เธอสนใจ
“เอ่อ...” เขาอ้ำอึ้ง แต่ก็ยกพิณเปี๊ยะออกมาจับวางท่า ก่อนจะดีดสายเสียงเบา สร้อยคำสังเกตที่นิ้วของเขาแล้วก็ตกใจไม่น้อย
“อ้ายพันแสง ที่นิ้วของอ้ายมันมีเลือด!”
ชายหนุ่มหาได้ตกใจ “ตะคืนมันมืด ข้าบ่ได้หัน”
“อ้ายดีดจนสายพิณมันบาดนิ้ว ข้าว่าย้างเต๊อะ”
“แค่สายพิณเปี๊ยะบาด บ่แม่นมีดยาววาฟันคอสักหน่อย”
“แต่ว่า...”
“ลูกป้อจายควายหงาน แผลมอกอี้มันน้อยเดียว ตราบใดที่อ้ายยังเล่นบ่ได้ อ้ายตึงบ่ย้าง” เขายิ้ม แววตามุ่งมั่น บางเวลาเหมือนนักรบ แต่บางเวลาก็เหมือนเด็กดื้อ
“มานี่ก่อน” เธอจับแขนเด็กเกเรให้ลุกขึ้น พันแสงใจเต้นตึกตักเมื่อถูกมือนุ่มสัมผัส สร้อยคำฉีกเศษผ้าออกมาเป็นชิ้นเล็ก พันแผลที่ปลายนิ้วของชายหนุ่ม
“ดีดไปเรื่อยๆ กำเดียวนิ้วจะปุดเน้อ” เธอขู่ โดยไม่ทันสังเกตว่าคนฟังมีใบหน้าแดง
“อ้ายว่าระหว่างเดินทาง ก่อจะฝึกเล่นพิณเปี๊ยะไปเรื่อยๆ” พูดจบก็หันไปสะกิดคนชราข้างๆ เป็นการแก้เขิน
“ป้อครู ตื่นได้แล้ว มาสอนข้าต่อ”
คนเฒ่าจำแลงตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย พันแสงทนไม่ไหว จับเขามาอุ้มแล้วโยนขึ้นรับกลางอากาศเหมือนเด็กน้อย ผิดแต่คนชรากลับร้องเสียงหลงเพราะความหวาดเสียว
สร้อยคำหัวเราะ แต่ก็แอบปาดน้ำตาที่คลอเบ้า
กินข้าวเช้าเสร็จ ทั้งหมดก็เตรียมเดินทางต่อ จักจั่นขับขานดังก้อง รับต่อกันเป็นช่วงๆ ราวกับกลัวว่าพื้นพนาจะเปลี่ยวเหงา ลิงค่างบ่างชะนีร้องโหยหวน บางเวลามันกระโดดเหนือยอดไม้จากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง ทำกิ่งใบร่วงหล่นรายทาง
ชายหนุ่มที่เดินป่าไม่ได้สนใจ ยังตั้งหน้าตั้งตาดีดพิณอย่างแน่วแน่ อย่างน้อยแค่เพลงเดียวก็คงทำให้สร้อยคำคืนร่างได้แล้ว ในเมื่อผีปกกะโหล้งทำได้ เขาก็ต้องทำได้...
สร้อยคำแลตามองเป็นระยะ ก่อนจะเดินมากระซิบถามผีป่า
“ป้อเฒ่าว่าอ้ายพันแสงจะเล่นเพลงพิณได้ก่อเจ้า”
คนแก่แสยะยิ้ม “หัวมันเวย มือมันอ่อน แหมบ่กี่ตอน คงเล่นเป็นเพลง”
ตลอดทั้งวันเสียงดีดพิณเปี๊ยะจึงดังล่องป่า แม้จะยังไม่ไพเราะ แต่สร้อยคำก็ไม่รู้สึกเบื่อ
เมื่อเดินมาเจอต้นจามจุรีต้นใหญ่เหมาะแก่การนั่งพัก หญิงสาวจึงตะโกนบอกนักดนตรีมือใหม่ “อ้ายพันแสง ข้าเจ้าว่าพักก่อนก่อได้เจ้า”
สร้อยคำไม่รอคำตอบ หากแต่นั่งปาดเหงื่อในเงาไม้ พันแสงนั่งไม่ห่างจากเธอ ยังมุ่งมั่นกับการดีดพิณเปี๊ยะให้เป็นเพลง เขาบอกกับเธอว่าเวลามีน้อยนิดต้องทำทุกอย่างให้เต็มที่ และเขาทนได้
ส่วนคนแก่เดินโยกเยกมานั่งข้างหญิงสาว แถมมีแก่ใจเอาใบตองตึงมาพัดวีให้เธอดับร้อน
“ยินดีเจ้าป้อลุง อากาศมันฮ้อน บนดอยก่อปอบ่มีลมพัดมาหื้อข้าชื่นใจเลย” เธอเอ่ยสิ่งที่ปรารถนา คนแก่ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
ทันใดนั้น ท้องฟ้าที่โล่งสว่างก็เริ่มมีเมฆมาบังพระอาทิตย์ ใบไม้เริ่มกระดิกเอนไหว ลมโชยพัดขึ้นมาทันที
“กองหาลม ลมก่อมาเลย” สร้อยคำยิ้ม หลับตาให้ลมเย็นคลอเคลียแก้ม พลันก็นึกอะไรบางอย่างออก รีบหันไปมองคนเฒ่าจำแลง
“ป้อเฒ่าเป๋นผีปกกะโหล้ง มีฤทธิ์จำแลงบรรยากาศได้”
ผีป่ายิ้มเจื่อนที่ถูกจับผิด
“แต่ข้าเจ้าก่อยินดีจ๊าดนักเน้อ ที่อยากหื้อข้าเจ้าหายฮ้อน”
“สูจะเอาฝนตวยก่อ ข้าแป๋งหื้อได้”
สร้อยคำส่ายหัว “บ่ต้องก่อได้เจ้า ขอแค่ระหว่างที่เดินทางไปตวยกัน มันบ่มีอุปสรรค์อะหยังก่อพอแล้วเจ้า”
พูดแล้วก็ชำเลืองมองนักดนตรี จะทันได้ฟังเขาบรรเลงคืนนี้ไหมหนอ
จนเวลาล่วงเลยมาถึงพลบค่ำ...แสงสุดท้ายของดวงทิวาดับลง พันแสงบอกกับทุกคนว่า ค่ำนี้เขาจะเป็นคนดีดพิณแก้คำสาป สร้อยคำยินดี เมื่อถูกมัดก็ตั้งตารอให้ตัวเองกลายเป็นเสือ เมื่อคืนร่าง ผีปกกะโหล้งรีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ มองดูการเผชิญหน้ากันระหว่างเสือผี กับนักดนตรีฝึกหัด
นางเสือผีก็คำรามขู่ในคอ ฟากพันแสงตั้งท่าดีดอย่างงกๆ เงิ่นๆ
“ดีดเสีย ถ้าดีดบ่ได้ ข้าจะได้ดีดแทน” ผีป่าลุ้นจนเหงื่อตก
“อย่าใจฮ้อนไป ป้อครู ข้าดีดได้อยู่แล้ว” พันแสงพยายามตั้งสติ ก่อนจะเงยหน้ามองดูเสือดำ ฝึกพิณเปี๊ยะได้คืนหนึ่งกับอีกวันเต็ม แต่ข้าจะต้องล้างคำสาปให้ได้ สร้อยคำ...
“ตึง” เสียงจากปลายนิ้วไม่แจ่มใส ทุกอย่างรอบตัวไม่มีอะไรผิดปกติ
“ตั้งสติ สูบ่ดีตื่นเต้น อย่านึกว่าเล่นแก้คำสาป นึกแค่ว่า อยากดีดเพลงหื้อคนที่สูฮักที่สุดฟัง”
ผีป่าพูดดีจนชายหนุ่มรู้สึก เขาขยับนิ้วที่เจ็บ กรีดสายพิณลงอีกครั้งด้วยดวงใจ ที่อยากให้สร้อยคำได้ฟังแล้วมีความสุขคืนร่างเป็นคน แลกด้วยอะไรเขาก็ยอม...
พิณเปี๊ยะเกิดเสียงดังกังวาน ครานี้หริ่งเรไรที่บรรเลงต่างหยุดนิ่ง เหมือนรับรู้ถึงเสียงดนตรี พันแสงไม่รอช้าร่ายเพลงพิณต่อ ใบไม้เริ่มไหวโยก เกิดเป็นลมพัดชั่วขณะ ทุกอย่างปลิวว่อน ก่อนที่นางเสือผีจะตัวสั่นเกร็งและร้องลั่น
“เล่นต่อไปเรื่อยๆ” ผีป่าตะโกน
พันแสงมือสั่น เริ่มหวั่นไหว อยากให้เพลงพิณสะกดเสือผีสำเร็จ จนทำให้สมาธิเริ่มแตก สัตว์ร้ายคำราม ราวกับไม่ยอมรับเสียงดนตรี ทว่าใบหน้าก็เริ่มเปลี่ยน เห็นเป็นเงาของสร้อยคำซ่อนอยู่
“สร้อยคำ!” พันแสงชะงัก คิดว่าทำสำเร็จ เสือร้ายจึงตะโกนขู่ก้องป่า
“มันยังบ่สำเร็จเตื้อ ตั้งสติพันแสง อย่าวอกแวก ต้องเล่นเพลงหื้อจบ” ผีป่าเห็นท่าไม่ดี จะเข้าไปช่วย พันแสงตัดสินใจหลับตา และเริ่มดีดพิณเปี๊ยะอีกครั้ง
เสียงคำรามผสานกับเสียงเพลง ลมหลวงยังพัดไม่หยุด ฝุ่นดิน ใบไม้ปลิวว่อน จนคนแก่จำแลงต้องยกมือมาบังหน้า นานพอสมควรที่ลมหลวงนั้นสงบจนเหลือเพียงทำนองไพเราะ
เพลงจบแล้ว ผีปกกะโหล้งค่อยๆ ลดมือลง สอดสายตาไปยังเสือร้ายที่ถูกมัด ที่ตอนนี้มันกลายเป็นสตรีคนเดิม...
“สูทำได้ อีนางน้อยมันฟังเพลงพิณสูแล้วคืนร่างได้” คนเฒ่าน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ รีบเข้าปล่อยแก้มัดเชือก
สร้อยคำรู้สึกตัว เหมือนเห็นว่ากลายร่างคืนคนก็ดีใจที่สุด “ฝีมือดีดพิณอ้ายพันแสงแม่นก่อป้อลุง”
พันแสงหยุดบรรเลงเพลง และเดินเข้ามาใกล้ “แม่นแล้ว เพลงพิณของอ้ายเอง”
หญิงสาวยิ้มหวาน ปาดน้ำตาแห่งความตื้นตัน เธอจับมือผีปกกะโหล้งเพื่อขอบคุณ “ถ้าบ่มีป้อลุง ข้าเจ้ากับอ้ายพันแสงคงลำบากแน่ๆ”
คนเฒ่าเขินหน้าแดง
“ข้าอยากฟังเพลงของอ้าย” เธอเอ่ย
“อ้ายเล่นจบไปแล้ว”
“แต่ข้ายังบ่ได้ฟัง เล่นหื้อข้าเจ้าฟังแหมกำเต๊อะ” หญิงสาวออดอ้อน
“ถ้าจะอั้น น้องก่อต้องฟ้อนหื้ออ้ายผ่อตวย” เขาร้องขอ
สร้อยคำเอียงอาย “ข้าเจ้าฟ้อนบ่จ๊าง”
ชายหนุ่มส่งสายตาเว้าวอน “โธ่ สร้อยคำ ขนาดพิณเปี๊ยะที่ว่าเล่นยากขนาด อ้ายยังเล่นหื้อน้องได้ น้องจะฟ้อนหื้ออ้ายบ่ได้กา”
สร้อยคำจำเป็นต้องลุกขึ้น และยิ้มอายๆ “ถ้าจะอั้นก่อดีดพิณมาเลย ข้าบ่กลัวอะหยังซักอย่างแล้ว”
พันแสงอมยิ้ม หัวใจพองโต รีบจับเครื่องดนตรีแล้วดีดมันต่อ เสียงเพลงกังวานอีกครั้ง สร้อยคำกรีดนิ้วอ่อนช้อย ตวัดข้อ หมุนแขน เคลื่อนร่างไปตามทำนอง สายตาก็ชม้อยชม้ายให้นักดนตรี คนเฒ่าน้อยเห็นแล้วรู้สึกหึง รีบเดินโยกเยกเพื่อมาฟ้อนคู่กับหญิงสาว
บนฟ้าสว่างใส ดวงดาวเปล่งแสงเหมือนเอาเพชรนับร้อยปักสอยบนผ้าไหมสีดำ ดวงจันทร์เริ่มโผล่พ้นดอย พันแสงมองดูคนงามฟ้อนกับคนเฒ่า มีกลิ่นดอกไม้ป่าหอมโชยมากับลมเย็น หิ่งห้อยระยิบระยับ บินวนรอบสวยงามเหมือนแดนสวรรค์
สร้อยคำรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของผีปกกะโหล้งที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้สวยงาม คงมีแต่เสียงดีดพิณเปี๊ยะของพันแสงที่ไม่เพราะเสนาะหู และท่าฟ้อนของเธอก็ไม่งาม แต่ทุกอย่างก็เกิดจากความตั้งใจจริงๆ
เสียงพิณเงียบลงแล้ว แมลงกลางคืนจึงกลับมาร้องระงมอีกครั้ง ฝูงช้างป่าร้องไกลๆ สะท้อนผาดอยได้ยินไปทั่ว สร้อยคำทิ้งตัวลงนั่งมองทิวทัศน์ด้านล่างที่อาบแสงเดือน
ชายหนุ่มวางเครื่องดนตรีลงข้างๆ คนเฒ่าตัวน้อยหลับไปแล้ว แถมยังกรนเสียงดังแข่งกับนกเค้าแมวบนต้นไม้
“บ่หลับเตื้อกาสร้อยคำ” ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ หญิงสาว
“ข้าขอผ่อดาว ผ่อเดือนแหมซักกำก่อน” เธอหันมายิ้ม
พันแสงหลบตา เอนกายพิงขอนไม้ใหญ่ “อั้นอ้ายจะนั่งเฝ้าข้างๆ นี่เน้อ”
สร้อยคำพยักหน้า ก่อนจะนั่งชมบรรยากาศไปครู่ใหญ่
“แล้วนิ้วของอ้ายเป๋นจะไดพ่อง” เธอเป็นห่วงแผลที่นิ้ว พันแสงไม่ตอบ หันมาก็พบว่าชายหนุ่มนอนหลับไปเสียแล้ว
เขาคงเพลีย เพราะฝึกดีดพิณเปี๊ยะมาทั้งวันทั้งคืน สร้อยคำไม่ปลุก หากแต่จับนิ้วเขามาดู ที่ปลายนิ้วมีเลือดซึมออกมาจากผ้าพันแผล สร้อยคำตื้นตันใจ เแอบปาดน้ำตาที่รินไหล ก่อนจะแกะผ้าพันแผลอันเก่าและพันเสียใหม่ ชายหนุ่มยังนอนนิ่งไม่รู้สึกตัว
หลับเหียเต๊อะอ้ายพันแสง คืนนี้ข้าเจ้าจะผ่อกอยหื้ออ้ายหลับฝันดี...
กลิ่นของกล้วยหมกหอยโชยมาแตะจมูก จนท้องที่หิวลั่นโครกคราก ส่งผลให้ต้องลืมตาตื่นในทันที พันแสงดีดตัวลุกขึ้นนั่ง กะพริบตาปริบๆ ตรงหน้าสร้อยคำกับผีปกกะโหล้งกำลังสนุกสนานกับการทำอาหารเช้า
“ตื่นละกาเจ้า อ้ายพันแสง” รอยยิ้มของเธอสดใสยิ่งกว่าดวงตะวันทอแสง
“อ้ายหลับไปเมินกว่าคนอื่นเลยกา” เขายิ้มแห้งและลุกขึ้นยืน รู้สึกอายที่ตัวเองเป็นคนที่ตื่นหลังสุด
“อ้ายฝึกเล่นพิณเปี๊ยะมาสุดวันสุดคืน ก่อต้องมีอิดอ่อนเป็นธรรมดา มาเต๊อะ ล้างหน้าล้างตาแล้วมากินข้าวงายกัน” สร้อยคำเอ่ย แววตาของเธอเป็นประกายอย่างที่พันแสงเองก็ไม่เคยเห็น
“ดูน้องอารมณ์ดีเนาะ” เขาถามพร้อมกับหาน้ำมาล้างหน้าตาให้สดชื่น
"การได้เป๋นคนอย่างสมบูรณ์แบบ ก่อทำหื้อทุกอย่างมันงดงามหมด เช้านี้ข้าเจ้าตื่นเช้า ชวนป้อเฒ่าไปหาหน่วยไม้มากินกัน”
คนเฒ่าน้อยพยักหน้าอวด สร้อยคำจึงบีบแก้มเขาเบาๆ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ เห็นภาพตรงหน้า พันแสงก็รู้สึกอุ่นใจ อยากให้หญิงสาวมีความสุขเช่นนี้ตลอดไป
“ตกลงป้อเฒ่าจะเดินทางไปกับเฮาก่อ” อยู่ๆ พันแสงก็ถาม
หญิงสาวแลมองด้วยความสงสัย เขาเองไม่ใช่หรือที่ไม่อยากให้เฒ่าประหลาดไปด้วย
“คือข้าคิดว่า ป้อเฒ่าแม้ว่าจะเป็นผีป่า แต่กลับช่วยสร้อยคำได้มากกว่าข้า ข้าอยากหื้อท่านเดินทางไปกับเฮาเน้อ”
“แต้กา อ้ายพันแสง ข้าเจ้าดีใจขนาดเลย” สร้อยคำกระโดดตัวโยน
คนเฒ่าน้อยกลับนิ่งเงียบ ก่อนจะยิ้มแห้งๆ “หนตางยังไกล ข้าไปบ่ถึง สูต้องหวังพึ่ง เสียงพิณของเจ้า ส่วนผีหยั่งข้า วาสนามีน้อย ได้อยู่ผ่อกอย ก่อบุญเช่นล้ำ ก่อบุญเช่นล้ำ”
“ป้อเฒ่าไปตวยบ่ได้กา”
“แม่นแล้ว ข้าต้องอยู่ที่ระหว่างทางขึ้นดอยยอดดาว ขอหมู่สูเจ้าทั้งหลาย เดินทางหื้อปลอดภัย บ่ต้องห่วงอะหยังแล้วอี่หล้า ข้ายกพิณเปี๊ยะหลังนั้นหื้อพันแสง และหื้อเขาดีดหื้อสูทุกคืนเน้ออี่หล้า”
สร้อยคำตื้นตันใจเธอ ยกมือไหว้ขอบคุณผีป่าด้วยเสียงสั่นเครือ “ถ้าเมืองของข้าพ้นจากคำสาป ข้าจะปิ๊กมาหาท่านเน้อ ป้อเฒ่า”
“กินข้าวงายตวยกันแล้ว ข้าคงต้องลาไปก่อน”
พันแสงพูดไม่ออก ครั้งแรกที่เจอผีตนนี้ก็ไม่ได้ถูกชะตา แต่มิตรไมตรีที่เขายื่นให้ ก็ทำให้รู้สึกถึงความดีนั้น ระหว่างนั้นสร้อยคำก็ยื่นอะไรบางอย่างให้พันแสง มันคือกรวยดอกไม้จากใบตอง ข้างในมีดอกไม้สีสด
“ข้ากะว่าจะเอามาหื้ออ้ายไหว้ครูพอดี บ่นึกว่าจะได้ลวดไหว้ลา”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ผีปกกะโหล้ง แล้วจึงยกมือวันทา “ข้าขอสูมาที่เคยได้ล่วงเกิน เคยสบประมาทท่าน แต่ตอนนี้ข้าฮู้แล้วว่า อย่าได้มองไผแค่ภายนอก แม้แต่ผีป่ายังช่วยเหลือสร้อยคำได้ ยินดีจ๊าดนักที่ฮับข้าเป็นลูกศิษย์ลูกหาเน้อ ป้อครู”
สร้อยคำแอบเช็ดน้ำตาด้วยความตื้นตัน ภูมิใจเหลือเกินที่แม้จะพลัดหลงจากคนเมืองสาปเสือ แต่ก็ทำให้เจอแต่คนดีๆ ทั้งผีและคน...
[1] ผีโป๊กกะโหล้งเป็นผีล้านนาโบราณ ตระกูลผีป่า มีหน้าตาประหลาด บางตัวมีตาเดียว ขาเดียว สองแขน วิ่งได้ไวมาก แต่แปลงกายได้ อาศัยในป่าเขาหรือทุ่งนา ส่งเสียงร้อง โป๊กกะโหล้งๆๆ ผีชนิดนี้สามารถสร้างฟ้า ฝน ลม ในป่าได้
ความคิดเห็น |
---|