8

ตอนที่ 8 ความหวัง


ตอนที่ 8 ความหวัง

 

ยุวดีนั่งเหม่อตั้งแต่เช้า ใครชวนคุยอะไรก็ไม่ตอบโต้ เอาแต่ถอนหายใจเป็นพักๆ อาหารเช้าที่วางตรงหน้าเป็นปลาแห้งกับข้าวเหนียว แต่เธอไม่แตะมันด้วยซ้ำ ไม่...แม้แต่จะแลตามอง

“คุณยุวดี กินข้าวกินปลาเหียหน่อยเต๊อะ บ่สบายไปมันจะลำบาก” บัวชุมที่สังเกตอยู่นานต้องเข้ามาคะยั้นคะยอ

“ไม่ต้องมาห่วงฉัน”

บัวชุมถอนหายใจ “ข้าเจ้าบ่ได้ห่วงคุณ ข้าเจ้ากั๋วว่าถ้าคุณบ่สบาย จะมาลำบากข้าเจ้าแหม ข้าเจ้าก้าย”

“อีบัวชุม!”

“ตอนนี้บ่มีไผช่วยไผได้เน้อ ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน” สาวน้อยเอ่ยก่อนจะปัดก้นหนี นึกรำคาญแม่สาวกรุงที่เคยบอกว่าเป็นสาวมั่น สาวแกร่ง แต่ตอนนี้ทำตัวยังกับเด็กอมมือ ดูอีเดือน อีบุญเป็ง ที่โดนจับมาด้วยกัน อีพวกนั้นก็ยังไม่เรื่องมากเท่า

หลังจากเดินทางด้วยเกวียนทั้งวัน ขบวนนั้นเลื่อนมาด้วยความเร็วสูง ถึงเย็นพวกเธอก็ถูกนำตัวมายังสถานที่แห่งนี้เหมือนเป็นวัดร้าง แต่ก็ไม่น่าจะใช่ น่าจะเป็นวิหารคุ้มอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกปล่อยร้างให้ดูซอมซ่อ ลวดลายปูนปั้นเป็นศิลปะโบราณล้านนาผสมวัฒนธรรมไทใหญ่

พวกเธอถูกแก้มัด แต่ยังมีคนคอยระวังคุ้มกันอยู่ด้านนอก 

กินข้าวเสร็จ บัวชุมลองเดินสำรวจในวิหาร จนเจอบานประตูจึงลองผลักออก ด้านนอกมีบันไดลดหลั่นเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำที่เกาะแน่นส่วนหลังคาก็ผุพัง แต่ก็ยังเห็นว่ามีรูปนกประดับอยู่ตรงเหนือจั่ว

“ออกมายะหยัง” 

บัวชุมสะดุ้งโหยง ค่อยๆ หันไปมอง ต้นเสียงมาจากผู้ชายคนที่จับตัวพวกเธอมา 

“ข้าก่อแค่ออกมาเดินดู”

เธอทำใจดีสู้ ชายหนุ่มตัวสูงผู้มีแววตาเกรี้ยวกราด หน้าตาเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ

“อย่าคิดหนีไปไหน เข้ามาในเมืองสาปเสือแล้ว สูหนีไหนบ่รอดหรอก”

“แล้วสูจะพาข้าไปไหน”

“เดียวก่อรู้” หล้าวงศ์ยิ้มมุมปาก ไม่ต่อความกับนางเชลย แต่กลับผลักเธอให้เข้าไปในวิหาร สั่งให้คนปิดประตูให้แน่น ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปที่ประตูใหญ่อีกฝั่ง ตะวันขึ้นแล้ว ถึงเวลาพาพวกเชลยทั้งหมดเข้าไปในปราสาทราชวังเตรียมเป็นเครื่องบรรณาการให้เจ้าเขี้ยวแก้ว

ทหารยามยืนขึงขังอยู่หน้าประตู พวกมันตัวใหญ่กว่าคนปกติ หน้าตาดุร้ายไม่เป็นมิตร แต่เมื่อเห็นหนุ่มน้อยที่กำลังเข้ามาหา พวกมันก็มีท่าทีเกรงกลัว

“ข้าหล้าวงศ์ จะขอนำเชลยมนุษย์หนคนเข้าไปในคุ้มหลวง”

แผ่นไม้บานใหญ่ลั่นเอียดอาดและค่อยๆ เปิดออก ชายหนุ่มเดินเข้าไปอย่างเด็ดเดี่ยว หลังประตูนั้นมีชายชราตัวเล็กยืนรออยู่ ดูจากการแต่งกาย น่าจะมียศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่าใคร

“หล้าวงศ์ ข้าดีใจที่สูกลับมาแล้ว”

ชายหนุ่มยกมือไหว้ “เจ้าหลวง ข้ากลับมาแล้ว พร้อมกับแม่ญิงแหมสิบสามคน และเสบียง”

ชายชราโอบกอดเด็กหนุ่มที่ทำภารกิจสำเร็จ “สูเขาเป็นความน่าภาคภูมิใจของข้า” 

“แต่ก่อมีเรื่องน่าเสียใจ สร้อยคำบ่ได้ปิ๊กมากับเฮาตวย นางน่าจะตายที่บ้านดงหลวงแล้ว”

แววตาเจ้าหลวงสั่นระริก “สร้อยคำจะไปเป็นดาวบนฟ้า เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ได้สละชีพเพื่อบ้านเมืองเฮา”

หล้าวงศ์พยักหน้า หันไปสั่งการ

“เอาเต๊อะ เฮาต้องช่วยเหลือกันไปก่อน ทหารทั้งหลาย เอาอีนางมนุษย์ไปขัดสีฉวีวรรณที่คุ้มนางทิพย์ หื้อมันตุ้ยปีดีงาม แต่งย้องหื้อมันผ่องใส ถ้าเจ้าเขี้ยวแก้วเปิ้นมาถึงจะได้เปิงใจ”

ทหารด้านหลังรับทราบ เดินกรูออกไปนอกรั้วมุ่งตรงไปยังวิหารเก่า เหล่าหญิงสาวเมื่อได้เห็นทหารตัวใหญ่หน้าตาน่ากลัว ต่างกรีดร้องลั่น

 

ครรชิตใช้มือปาดเหงื่อ ก่อนจะถอดหมวกคาวบอยออกมาพัด เวลานี้คงไม่คิดจะเฟี้ยวเหมือนพระเอกหนังเพราะอากาศยามบ่ายช่างร้อนระอุเหลือเกิน พยายามสอดสายตาหาต้นไม้ใหญ่ให้หลบแดด

“ถึงที่ไหนแล้วพรานนก” หันไปถามคนนำทางรอบที่สามแล้ว เดินทางเกือบค่อนวัน ควบม้าจนก้นชา ลูกหาบคนอื่นๆ เดินขาลาก แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบคนหาย หรือทางเข้าถ้ำไปป่าสวรรค์

“กำลังเดินหาถ้ำประตูเข้าป่าสวรรค์ครับ” ชายชราบอก

“ไม่เห็นมีอะไร มีแต่ต้นไม้ ไม่เห็นทั้งเทวดา ทั้งผี”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับนาย เข้าป่าเข้าเขา” ทองรีบปราม กระทั่งได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งมาจากกลุ่มของนายทหาร ทั้งหมดจึงรีบหันไปดู

กลุ่มชายในเครื่องแบบกำลังควบคุมตัวชายร่างใหญ่ เขาหัวล้านและมีสีหน้าหวาดระแวง

“เกิดอะไรขึ้น” นายอำเภอถาม

“ผู้ชายคนนี้ยืนลับๆ ล่อๆ อยู่แถวแนวป่าฟากโน้นครับ” ภาคภูมิรายงาน

ครรชิตเดินเข้าไปใกล้ คนถูกจับตัวสั่น เนื้อตัวมอมแมม 

“มึงเป็นใครวะ มาทำอะไรแถวนี้” นายอำเภอถาม

ชายหัวล้านยังอึกอัก จึงโดนหมวดภาคภูมิถีบล้ม “นายอำเภอถามก็ตอบไปสิวะ”

“ตอบแล้วๆ” เขารีบยกมือไหว้ “ข้าชื่อดีควาย เป็นลูกน้องของอ้ายคำ”

“อ้ายคำ โจรป่านะกา” ทองนึกอะไรบางอย่างออก เคยได้ยินชื่อโจรป่าที่ออกปล้นชาวบ้านแถบนี้

“แม่นแล้ว อย่าทำอะหยังข้าเลย ข้ามอบตัวก่อได้” ดีควายอ้อนวอน

ทองหันมารายงานกับนายอำเภอ “เป็นลูกสมุนของโจรป่าแถวนี้ครับนาย”

ครรชิตมองไปที่ดีควายที่ยกมือไหว้ปลกๆ “ช่วยข้าตวย เอาข้าไปตวย ข้ากลัว”

“ดูท่ามันจะมีอาการไม่ปกตินะ หรือมันจะหลอกล่อให้ลูกพี่มันมาปล้นเรา” นายอำเภอยังระแวง

“ไม่มีหรอกครับ ผมกับลูกน้องสำรวจรอบๆ แล้วไม่เจอใครเลย เจอแต่ไอ้บ้านี่ที่พูดอยู่คนเดียว”

“สูกลัวอะหยัง ไอ่ดีควาย” ทองตัดสินใจถาม

ดีควายแลตาซ้ายขวา เหมือนกลัวว่าใครจะได้ยิน ก่อนพูดเสียงเบา “ข้าหันแม่ญิง แปลงร่างเป็นเสือ” 

คำตอบของเขาทำเอาคนบ้านดงหลวงขนลุก 

เสือผี...จากเมืองสาปเสือแน่ๆ ครรชิต ดีใจที่ได้พบเบาะแสของมัน

 “เจอที่ไหน เจอกี่คน” หวังว่าจะได้ยินข่าวลูกสาว

“เจอคนเดียว แม่ญิงคนนั้นกำลังอาบน้ำ ข้าจับมันมา แต่แล้วมันก่อ...” ดีควายเริ่มรนราน “กลายเป็นเสือ แล้วไล่ขบทุกคน จนหมด”

 “แล้วมันยังบ่ฆ่าสู” ทองสงสัย

“มีคนมาช่วย เป็นป้อจายตัวใหญ่ เก่งขนาด เขายับนางเสือตัวนั้นด้วยมือเปล่า คงมีคาถาอาคมเพราะมีรอยสักเต็มตัว”

“ไอ้พันแสง” พ่อหลวงบ้านขบกรามแน่น

“แน่ใจนะ ว่าไม่เจอใครอีก” นายทหารถามบ้าง

“บ่เจอ มันจับนางเสือเข้าป่า และไล่หื้อข้าหนีไปพ้นๆ ข้ารีบหนีมา จนมาเจอหมู่ท่าน ขอข้าพึ่งบุญไปตวยเต๊อะ” ดีควายยกมือไหว้ขอ เช่นคนหมดหนทาง 

“มันไปทางไหน” นายอำเภอถามต่อ

“เลียบแนวป่าฟากปู้น หมู่มันต้องเป็นเสือเย็นแน่ๆ” โจรป่าเอ่ย

“เฮาจะตวยเสือ กับป้อจายคนนั้นไป สูจะไปตวยก่อ” ทองบอก

ดีควายชะงัก “ตวยมันไปยะใด ข้าบ่ไปละเน้อ”

“มันจับลูกบ้านข้าไป ข้าต้องไปช่วย”

ดีควายสะบัดแขน ถอยร่น “ข้าบ่ไป ข้าบะอยากปะนางเสือผีแหมแล้ว ข้าจะไปทางอื่น” โจรป่าร้องลั่น แถมลุกวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต นายทหารจะวิ่งตามแต่ก็ถูกนายอำเภอสั่งห้าม

“ปล่อยมันไปเถอะหมวด จับมันไว้ก็เป็นภาระของพวกเราเปล่าๆ ดูท่าสติจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

“นายอำเภอเชื่อหรือเปล่าครับว่าไอ้โจรกระจอกนั่น มันเจอไอ้พันแสง” ทองยังไม่ปักใจ

“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะโกหก ดูสภาพก็เหมือนกับไปฟัดกับเสือมาจริงๆ” คนแก่กว่าตอบ

“แสดงว่าเราเดินทางมาถูกแล้ว ไอ้พันแสงมันคงจับเสือได้อย่างที่หลวงปู่บอก แต่ว่าทำไมมันถึงไม่ยอมรอพวกเราหรือว่ามันกับเสือพวกนั้นจะเป็นพวกเดียวกันจริงๆ” ทองเดาตามที่คิด

“ถ้าเป็นพวกเดียวกัน มันก็คงไม่ปล่อยไอ้โจรป่านี้รอดมาหรอกทอง ไอ้โจรมันก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอว่าพันแสงเป็นฝ่ายจับเสือตัวนั้นมากกว่า”

“นายก็ยังเชื่อใจมันอีกนะครับว่ามันเป็นคนดี”

“ถ้าพันแสงเป็นคนไม่ดี ลูกของเราจะตกอยู่ในอันตราย อะไรที่ยังไม่รู้ ให้คิดว่าเป็นเรื่องดีไว้ก่อน แล้วมันก็จะดีเอง” นายอำเภอเอ่ยก่อนจะสั่งให้ทุกคนเดินทางต่อ 

“ว่าที่พ่อตาของนายนี่เจ๋งว่ะ มองโลกในแง่ดีเหลือเกิน” พงษ์ธาดากระซิบกับนิรุต

“ก็ถ้าคิดร้ายแล้วมันทำให้ทุกอย่างดูแย่ จะคิดไปทำไมวะ นายก็เหมือนกันอย่าบ่นให้มันมาก”

“อ้าว ไหงมาลงที่กูวะ” พงษ์ธาดาเกาหัว ก่อนจะเดินตามต้อยๆ ไม่วายที่จะเห็นสายตาของนายทหารที่มองมาที่เขาแล้วยิ้มมุมปาก

ไอ้หมวดบ้านี่ช่างกวนตีนเหลือเกิน

 

“โอ๊ย! โอยๆ เบาหน่อย ข้าเจ็บ” หนุ่มร่างใหญ่ร้องลั่น หลังโดนหญิงสาวโปะสมุนไพรลงบนแผลที่แขน

สร้อยคำส่ายหัว มองอย่างไม่เชื่อเท่าไหร่ “ตัวก่อจ๊าดใหญ่ มาเจ็บอะหยังกับแผลตะอี้”

เขายื่นหน้ามาใกล้ “ที่มันเจ็บ ก่อเพราะมันเป็นแผลที่สูเยียะหื้อข้าน่ากะ สร้อยคำ” ไม่พูดเปล่ายังยิงฟันขาว นัยน์ตาเป็นประกาย

“ข้าฮู้แล้ว ข้าเลยต้องไปหายามาทาหื้อนี่ลอ” สร้อยคำเสียงเบา รู้สึกผิดที่ทำให้พันแสงเจ็บตัว   แม้ว่าเธอจะหาสมุนไพรมาทาให้ตั้งแต่เช้า แต่พอพลบค่ำกลัวว่ามันจะไม่หาย จึงหาหญ้าสาบเสือมาบดตำประคบแผลอีกทีเพื่อให้มันหายเร็ว ทว่าชายหนุ่มก็ร้องโอดโอยทุกครั้ง

“นี่ๆ หลังแขนก่อมีแหมแผล” พันแสงยื่นแขนให้สร้อยคำทายา จังหวะที่เธอกำลังตั้งใจ คงไม่ทันเห็นว่าชายหนุ่มแอบมองใบหน้า แล้วยิ้ม...

‘สร้อยคำเหย...สูจะฮู้อะหยัง ข้าเกือบตายมาแล้ว มีแผลเต็มกลางหลัง อันนี้แผลน้อยนิด ข้าจะเจ็บได้จะได แต่ที่เสียงดังไป ก็เพราะอยากจะแกล้งสูนั่นแล’ชายหนุ่มคิด

“ถ้าคืนนี้สูกลายเป็นเสือแล้วขบข้าแหม พรุ่งนี้ สูก่อต้องใส่ยาหื้อข้าเน้อ ข้าเจ็บ” พันแสงทำเสียงอ้อน

“ได้เจ้า” นางเสือผีตอบเสียงหวานกว่าดอกเอื้องผึ้ง ทำชายหนุ่มหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

“ข้าเจ้าถึงได้ว่า ยามตะวันตกแลงเมื่อใด ท่านขะใจ๋รีบมัดข้าเจ้าไว้เต๊อะ” เธอเอ่ยพร้อมกับแหงนมองตะวันที่กำลังจะลาลับเหลี่ยมดอย

“ก็ได้ๆ” เขาหยิบเชือกมามัดมือและเท้าเธออย่างว่าง่าย สร้อยคำนั่งสงบนิ่งอย่างเด็กน้อย แต่ก็รู้ตัวว่าฝ่ายชายยังจ้องหน้าเธอเช่นนั้น

“ผ่อหน้าข้ายะหยัง”

ชายหนุ่มแกล้งเสไปทางอื่นเสีย “บ่มีหยัง ข้าแค่สงสัย ว่าตัวแต้ของสู ยังบ่สวกเหมือนเสือ” ออกจะเรียบร้อยอ่อนหวาน พันแสงอยากจะบอกไปเช่นนั้น

“คำสาปมันดึงเอาจิตที่มืดมนที่สุดของตัวข้าออกมา”

“นี่ขนาดสูเรียบร้อย ยังสวกได้ขนาดนี้ ถ้าข้าโดนคำสาป บ่ดีกลายเป็นพญาเสือโคร่งปู้นกา”

“ท่านอาจจะเป็นยักษ์” สร้อยคำต่อปาก

หนุ่มหล่ออมยิ้ม “ดี ข้าจะได้สู้กับเจ้าเขี้ยวแก้วได้”

“จะมืดแล้ว รีบก่อไฟเต๊อะอ้าย”

พันแสงลุกขึ้นและเดินหาเศษฟืนรอบๆ ได้เวลาพักผ่อน หลังจากพวกเขาเดินทางขึ้นดอยมาทั้งวัน เป้าหมายคือดอยยอดดาว ที่พักของแม่เฒ่าชาวลัวะ

“สร้อยคำ สูว่าแม่เฒ่าลัวะ หน้าตาจะเป็นจะไดหา” พันแสงยังชวนคุยต่อ ระหว่างที่เธอยังเป็นคน

“ก็คงแต่งตัวเหมือนคนลัวะน่ากะ” 

“แต่ข้าว่า นางอาจจะมีแก่นตาเดียว หน้าตาน่ากลัว หรือไม่ก็อาจจะเป็นใบ้”

“เป็นใบ้แล้วจะทำนายเรื่องของเมืองข้าได้จะได”

พันแสงหัวเราะในลำคอ “เออ แต้” 

เก็บเศษไม้ได้พอหอบ ก็นำมาจุดไฟ 

“และถ้าเกิดว่า แม่เฒ่าลัวะ ขอตัวข้าไปเป็นค่าทำนายล่ะ”

สร้อยคำขมวดคิ้ว “แม่เฒ่าจะเอาอ้ายไปยะหยัง”

พันแสงอมยิ้ม “ก่อบ่แน่ เกิดมันเปิงใจข้า อยากได้ข้าไปเป๋นผัว สูจะยอมก่อ...สร้อยคำ”

ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว พันแสงลองกระแอมอีกครั้งก็เงียบ จึงหันไปมองคนที่ถูกมัด

หญิงสาวกลายร่างเป็นเสือดำแล้ว แถมยังมองเขาตาแป๋ว

“โฮก!” มันขู่เสียด้วย

 “สูนี่นา หนีข้าไปอีกแล้ว” 

แสงสีส้มไล่ต้อนความมืด พันแสงจัดแจงหาที่เหมาะสมเพื่อเอนตัวลงนอน ใช้มือชันแขนมองหน้าเสือดำ โดยมีกองไฟกั้น รู้สึกเป็นสุขที่ได้อยู่ใกล้นางเสือผี ไม่ว่ามันจะเป็นคนหรือสัตว์ร้าย

“ฝันดีเน้อ สร้อยคำ ข้าอู้อะหยังไป สูก่อคงจะจำอะหยังบ่ได้” พันแสงยิ้มหวาน 

ทว่ามันกลับคำรามตอบ... 

 

แสงทองทาบทับผืนป่า ปลุกชีวิตใหม่ให้เริ่มต้น สกุณาหนุ่มสาวเริงร่าเริงบินโฉบหยอกล้อไปมา โผไปเกาะกิ่งนั้นบ้าง ต้นนี้บ้าง จนมาหยุดเหนือไม้ใหญ่เพื่อสะบัดปีกแต่งขน แล้วเสร็จ ก็ยังไม่วายกระโดดดิ้น จนกิ่งไม้สะเทือน น้ำค้างที่เกาะพราวร่วงหล่นตกสู่เบื้องล่าง

นางเสือผีสะดุ้งตื่น รู้สึกตัวว่าน้ำที่เย็นเฉียบหยดลงมากระทบโดนผิวหนัง เธอคืนร่างเป็นคนแล้ว

สร้อยคำขยับตัวก็พบว่าตัวเองไม่ได้ถูกมัด

นึกแปลกใจ หรืออาจจะเป็นเพราะเชือกมันหลวมจึงหลุด หันมองรอบตัวกระทั่งเห็นร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งจมกองเลือด...

“อ้ายพันแสง!” สร้อยคำเบิกตาโพลง ดวงใจเต้นระส่ำ รีบเข้าไปเขย่าร่างเขา “อ้ายพันแสง”

ตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มชุ่มไปด้วยโลหิต หรือว่าคืนที่ผ่านมา เธอเผลอฝังคมเขี้ยวฆ่าเขาเสียแล้ว

ขอบตาร้อนผ่าว เวรกรรมอันใดหนอถึงได้เป็นแบบนี้ ขนาดพันแสงที่มีใจจะช่วยให้พ้นคำสาป อีเสือร้ายในตัวยังสำแดงเดช

“ข้าเจ้าขอสูมาตวย ที่ทำหื้อท่านเป๋นจะอี้” ความผิดถาโถม คิดว่าชีวิตของตัวเองช่างน่ารังเกียจ สร้อยคำยกมือสั่นๆ ขึ้นมาปาดน้ำตา

แต่แล้วร่างที่นอนอยู่ก็สั่นกระเพื่อม และมีเสียงหัวเราะตามมา สร้อยคำรีบหันไปมอง พันแสงทนไม่ไหวหัวเราะจนตัวงอ

“อ้ายพันแสง นี่อ้ายขี้จุ๊ข้ากา”

หนุ่มหลงทางยังไม่หยุด เสียงหัวเราะนั้นแปรเปลี่ยนความเสียใจให้กลายเป็นความโกรธ สร้อยคำหน้าตึง ลุกขึ้นเดินหนี พันแสงเห็นท่าไม่ดี รีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวและเดินตาม

ร่างบางกอดอกอยู่เหนือเนินสูง มองเห็นแนวป่าสวรรค์อยู่ด้านล่างรำไร แต่ยังไม่ใช่ทางที่จะไป เพราะพวกเธอกำลังจะมุ่งสู่ดอยยอดดาว 

หนุ่มจอมอำเดินมาหาสีหน้าจ๋อย

“เลือดไก่ป่าที่ข้าไปล่ามาเป็นข้าวงาย มันเลอะใส่ตัว ข้าก่อเลยเอามาแกล้งสูเล่น” พันแสงสารภาพเสียงอ่อย รู้สึกผิดที่เห็นเธอไม่ตลกด้วย เขาแค่อยากรู้ว่าสร้อยคำจะรู้สึกเช่นไร หากเขาต้องตายเพราะฝีมือเธอจริงๆ

“บ่ดีเล่นหยังอี้แหมเน้อ ข้าใจบ่ดี” เสียงยังสั่น บอกอาการว่าไม่ปกติ

“ข้าขอสูมาตวย”

“เฮาสองคน ต่างเป็นความหวัง อ้ายเป็นความหวังของข้า ส่วนข้าเป็นความหวังของคนทั้งเมือง ถ้าอ้ายต๋ายไป นั่นเท่ากับว่า ความความหวังของข้าก็หมดสิ้นไปตวย” ประโยคท้ายเธอพูดเสียงขาดหาย เหมือนมีอะไรบางอย่างมาจุกที่อก

พันแสงใจคอไม่ดี อยากปลอบแต่ก็ไม่กล้าล่วงเกิน ยิ่งเห็นเธอมีน้ำตาซึมก็อยากจะคว้าตัวมากอด และโทษตัวเองว่าช่างเป็นผู้ชายที่โง่นัก

“หื้ออภัยข้าเต๊อะ สร้อยคำ ข้าจะบ่ทำแหมแล้ว”

“ข้ายอมมากับอ้าย ก่อกลายเป็นคนทรยศต่อเมืองสาปเสือแล้ว เพราะข้าเชื่อในตัวอ้าย เชื่อในความหวัง เพราะฉะนั้น อย่าทำลายความหวังของกันเลยเน้อ”

ที่สุดพันแสงก็เอื้อมแขนไปจับมือน้อย “ข้าสัญญา ข้าจะบ่ทำหื้อสูกลัว เชื่อใจข้า เฮาจะไปดอยยอดดาว ไปเมืองสาปเสือ โดยที่ข้าจะปกป้องสู”

รอยยิ้มปนน้ำตาทำให้พันแสงโล่งใจ

“ข้าขออ้ายแหมเรื่องได้ก่อ”

“สูจะขออะหยัง บอกมาเลย”

“ฮ้องข้าเจ้าว่าน้องบ่ได้กา ข้าอยากเป็นน้องสาวของอ้าย ห้ามฮ้องว่าสูแหม”

หนุ่มฉกรรจ์หน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะระบายยิ้มออกมา “ได้ก่า น้องสร้อยคำ” เขาเองก็เพิ่งรู้ว่า คำๆ นี้มันช่างไพเราะจับใจ

“งั้นน้องก่อต้องฮ้องอ้ายตลอดไป”

“ได้เจ้า อ้ายพันแสง”

เมื่อเข้าใจกันดี ทั้งคู่จึงหันมาเตรียมอาหารเช้า ไก่ป่าที่จับได้ถูกจับถอนขนนำมาย่าง สร้อยคำยังไปเก็บกล้วยมาเป็นเสบียงได้อีก ช่างเป็นมือเช้าที่มีความสุข

พันแสงฉีกขาไก่และส่งให้ และยังแอบมองหญิงสาวป้อนมันเข้าปากอย่างเรียบร้อย

สร้อยคำเอ๋ย...ยามเป็นคน น้องก็ช่างเรียบร้อย ข้าบ่อยากให้ถึงยามกลางคืนเลย

กระทั่งหูของพันแสงได้ยินอะไรบางอย่าง

“แกร๊บ!” เสียงเหมือนฝีเท้าใครย่ำใบไม้แห้ง ชายหนุ่มหันขวับ เห็นเงาเคลื่อนไหวหลังต้นไม้

ถ้าตาไม่ฝาด เขาเห็นคนเฒ่าหัวล้าน หน้าตาน่าเกลียด!



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น