ตอนที่ 9 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
สตรีวัยกลางคนหุ่นจ้ำม่ำ เดินนวดนาดเข้ามาในห้องโถงใหญ่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ด้านหลังเธอมีนางรับใช้ทั้งคนและยักษ์ ต่างช่วยกันยกหีบอย่างพะรุงพะรัง
“เป็นจะใดพ่อง หลับในคุ้มนางทิพย์ม่วนก่อ” เธอเอ่ยกับทุกคน ก่อนจะหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้สมุนด้านหลังวางข้าวของลง
“ข้าชื่อปิมปา หรือจะฮ้องว่าแม่ปิมปาก่อได้ ข้าและนางรับใช้เหล่านี้จะทำหน้าที่ดูแลหมู่สู เหมือนแม่ เหมือนปี้สาว”
แม้บัวชุมและเหล่าเชลยสาวบ้านดงหลวงจะตกใจ แต่ก็เริ่มยอมรับในชะตากรรมว่าถูกจับตัวมายังดินแดนประหลาด ที่มีทั้งยักษ์และคนอยู่ร่วมกัน
ทหารพาพวกเธอเข้ามาอยู่ในคุ้มนางทิพย์ เป็นตำหนักฝ่ายในที่มีเพียงสตรีและผู้ชายที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่เข้าออกได้ ในคุ้มมีศาลาตรงกลางขนาดใหญ่ ตกแต่งลวดลายวิจิตรศิลปะแบบล้านนาผสมไทใหญ่ รายล้อมด้วยบ้านเรือนของคนในคุ้ม เหล่าเชลยสาวต้องอาศัยอยู่จนกว่าจะได้เข้าพิธีถวายเครื่องบรรณาการในวันที่เจ้าเขี้ยวแก้วกลับมาเยือน
‘มันอาจจะดูโหดร้ายสำหรับสูเจ้าทั้งหลาย ที่ต้องถูกจับตัวมาเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการหื้อเจ้าเขี้ยวแก้ว” เจ้าหลวงบุญเย็นซึ่งเป็นราชาของที่นี่บอกไว้ เป็นที่แน่นอนว่าพวกเธอถูกจับเพื่อมาเป็นเชลยของยักษ์เพื่อตัดสินว่าจะให้เป็นของกินหรือของบำเรอกาม
‘แต่ในความโชคร้าย มันก่อยังมีโอกาส เจ้าเขี้ยวแก้วถ้าหากเปิ้นเปิงใจ เปิ้นก่อบ่ฆ่า แต่ก็จะเลี้ยงไว้เป็นเมีย’
‘โอกาสรอดจากเป็นเหยื่อ กลายเป็นเมีย ข้าว่ามันตกนรกบ่ต่างกันเลย’ ใครจะนึกว่าบัวชุมจะกล้าเถียงเจ้าหลวงแห่งเมืองสาปเสือ
ราชานิ่งหันมามองเธอ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีขัดเคืองแต่อย่างใด ‘เจ้าเขี้ยวแก้ว หากเปิ้นฮักและเอ็นดูไผแล้ว จะคอยดูแลเอาใจใส่เป๋นอย่างดี เงินทองบ่มีหื้อขาด แถมบ่ปออาจจะมอบหมายตำแหน่งสำคัญหื้อ’
‘ถ้าจะอั้น ท่านเจ้าเมืองก่อยังบ่เป๋นเมียเจ้าเขี้ยวแก้วแถมคน ยับข้าเจ้าเขามายะหยัง’
ทุกคนตกใจ แต่บัวชุมก็ไม่กลัว
‘ดักปากได้แล้ว’ หล้าวงศ์รีบปรามอย่างไม่พอใจ นางมนุษย์ปากเสีย ตั้งแต่จับมันมา ไม่มีเลยที่มันจะอยู่นิ่งๆ เหมือนคนอื่น
กำลังคิดเพลินๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น อยู่ๆ คนที่นั่งข้างๆ ก็สะกิด
“บัวชุม แม่ปิมปาถามชื่อสู”
ลูกพ่อหลวงบ้านตื่นจากภวังค์ พบว่าทุกคนต่างกำลังมองเธอ
“มัวแต่คิดอะหยังอยู่กาอีหล้าคนงาม ข้าถามชื่อสามครั้งแล้ว สูก่อเอาแต่นิ่ง” ‘ปิมปา’ เสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนพยายามกล่อมเด็ก
“เอ่อ...ข้าชื่อบัวชุม” รีบตอบ
“บัวชุมอาจจะบ่ได้ยิน ที่ข้าบอกกับหมู่สูทั้งหลาย แม้ว่าสูเจ้าจะเป็นเชลยพลัดถิ่น จากบ้านจากเมือง แต่หื้อฮู้ไว้เน้อว่า เฮาต้องเป็นเชลยที่งามและมีคุณค่าที่สุด จากนี้ไปจนกว่าจะถึงคืนเดือนดับ ข้าจะหื้อหมู่สูงามกว่าเจ้านางเมืองใด เพื่อหื้อเจ้าเขี้ยวแก้วเปิ้นเปิงใจ” แม่บ้านตำหนักในเอ่ย ก่อนจะเม้มริมฝีปาก “ข้าบ่อยากหื้อไผต้องกลายเป๋นเหยื่อ เพราะข้าฮู้ดีว่ามันน่ากลัวเพียงใด”
“ท่านก่ออู้ได้ ท่านบ่ได้โดนจับมาเหมือนข้าเจ้า” บัวชุมสวน
ปิมปาพยักหน้าเบาๆ “สูเข้าใจผิดแล้วบัวชุม เพราะข้าเคยผ่านมันมาก่อนต่างหาก เลยอยากจะช่วยแม่ญิงทุกคนหื้อรอดตาย”
สาวบ้านดงหลวงฮือฮาขึ้นมาทันที ต่างขอร้องให้สาวใหญ่ช่วย
“บ่ต้องห่วง แค่เชื่อฟังตามที่ข้าบอก แล้วทุกคนจะรอด” สิ้นเสียง ปิมปาก็หันไปสั่งให้เหล่าสมุนเปิดหีบออกมา ด้านในมีเสื้อผ้า เครื่องประดับมีค่ามากมาย
“นี่คือผ้าครัวเครื่องใช้ ของหมู่สู อยู่ในคุ้มนางทิพย์ อย่างแรก สูต้องทำตัวหื้องาม ข้าและเหล่านางในจะจับสูมาขัดสีฉวีวรรณหื้อเปิงใจเจ้าเขี้ยวแก้ว ที่นี่มีอาหารดี มีสร้อยแหวนเงินทองหื้อแต่ง มีสอนระบำรำฟ้อน สูเขาต้องเป็นแม่ญิงที่งดงามที่สุด แล้วไผที่คิดว่าพร้อม เดือนดับที่จะถึง ข้าจะเลือกหื้อเข้าพิธีถวายตัว”
“ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าเจ้าว่า เฮาบ่ต้องแต่งตัวหื้องามก่อได้ เขาจะได้บ่เลือก ถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ รอหื้อคนมาช่วยดีกว่า” บัวชุมกระซิบบอกยุวดี
“แต่ไผ ที่บ่ยอมแต่งเนื้อแต่งตัว เพื่อถ่วงเวลาเข้าพิธี” ปิมปาเอ่ยออกมาเหมือนรู้ทันความคิดบัวชุม “อยู่เมินไปก่อจะแก่ บ่งาม เปลืองข้าว เปลืองน้ำ ข้านี่แหละจะยับสูหื้อเหล่าเสือนอกกำแพงกิน” แววตาแม่บ้านดุดัน
ทุกคนเงียบกริบ ปิมปาจึงหัวเราะกลบเกลื่อน
“แค่ทำตามที่ข้าบอก ก่อรอดแล้ว เอาละมาๆ รับหีบไปคนละใบ แล้วไปแต่งเนื้อแต่งตัวเสีย อย่างใดสูเจ้าก่อบ่ตาย หากเจ้าเขี้ยวแก้วเปิ้นพอใจ”
นางรับใช้แต่ละคนนำหีบมาวางตรงหน้า
“กินข้าวงายแล้ว ข้าจะหื้อทุกคนได้อาบน้ำพอกผิว หมักผม และช่วงแลง ข้าจะหื้อหมู่สูฝึกฟ้อนรำ” คนมีอำนาจเอ่ย ใต้รอยยิ้มนั้นซ่อนความลับ
บัวชุมมองปิมปาลงจากศาลาไป ยังไงเธอก็ไม่ไว้ใจคนเมืองนี้...
นางรับใช้ตัวใหญ่ จับเธอขัดผิวจนแสบ ลงพอกด้วยมะขามและขมิ้นจนตัวเหลือง ส่วนผมก็ใช้ขี้เถ้ามาสระให้สะอาด บัวชุมร้องลั่นด้วยไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน คิ้วรกก็ถูกตัดแต่งให้เรียวยาวดั่งคันศร ใบหน้าแต่งแต้มให้มีสีสัน จนแม้แต่ปิมปาเห็นก็ยังแปลกใจ
“สาวบ้านดงหลวงช่างงามแต้” เธอจับคางน้อยบัวชุมขึ้นมาพิศใกล้ๆ ก่อนจะแลไปยังยุวดีที่สวยไม่ต่างกัน “ข้าเลือกบ่ถูกเลย ว่าวันเดือนดับที่จะมาถึง จะส่งไผไปเป็นนางทิพย์บรรณาการ”
“จริงเหรอที่ว่า หากได้เป็นเมียเจ้าเขี้ยวแก้วแล้ว จะรอดตาย” อยู่ๆ ยุวดีก็ถามขึ้นมา
สาวใหญ่ยิ้มเอ็นดู “แม่นแล้ว หากเปิ้นเอ็นดู สูก่อจะได้เป็นเจ้านางที่เปิ้นฮัก” ปิมปาเอ่ยพร้อมกับมองไปยังเนินดอยที่อยู่เหนือนคร
“ดอยม่อนนั้นแหละ ดอยคุ้มม่อนคำ เจ้าเขี้ยวแก้วจะพำนักอยู่ที่บนนั้น ถ้าเปิ้นมาถึงที่เมืองสาปเสือ”
บัวชุมและยุวดีมองตาม
“ยักษ์ตนนี้มักมากในกามเหลือเกิน ไม่เคยรู้จักพอ” สาวน้อยบ่นพึมพำ ยุวดีได้ยินจึงยกมือจุปาก
“บ่นไปก็ไม่ได้อะไรหรอกบัวชุม ฉันว่าในเมื่อเราเหลือเวลาไม่มาก เราก็ควรจะเสวยสุขกับความสุขตรงหน้าไม่ดีกว่าเหรอ ตอนนี้เรามีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ มีอาหารการกินที่ดี หากดื้อดึงไป ก็จะตายเปล่าๆ”
บัวชุมส่ายหัว “มันบ่ต่างจากติดคุกเลยนะคุณยุวดี เกิดเป็นคนตึงเตื้อสิ่งสำคัญที่สุดบ่แม่นข้าวของเงินทอง แต่การมีชีวิตที่เป็นอิสระ”
ยุวดีถอนหายใจ “ฉันรู้ แต่เราเป็นผู้หญิง และกำลังอยู่ในเมืองยักษ์ เมืองเสือ เธอจะจับดาบสู้กับเขาได้ยังไง”
สาวน้อยไม่เข้าใจ “บ่นึกเลยว่าคุณยุวดีจะยอมอะหยังง่ายๆ ทีตอนอยู่บ้านดงหลวง ยังเก่งนักเก่งหนา หรือว่าแต้ๆ แล้วชีวิตของคุณบ่ได้มีอะหยังเลย นอกจากความสบาย”
คนถูกตำหนิหน้าชา แต่ในใจก็ยอมรับกลายๆ
“เราต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน เธอจะทำอะไรก็ทำเถอะ แต่อย่าทำให้ฉันเดือดร้อนละกัน” ยุวดีเตือน ก่อนจะเดินตามกลุ่มไปกลางวิหาร
เสียงดนตรีปี่แนดังขึ้น นางปิมปาสอนจังหวะการฟ้อนรำให้เหล่าเชลย บางคนพอมีพื้นฐานก็ตั้งวงจีบนิ้วได้ ไม่ขัดเขิน โดยเฉพาะช่างฟ้อนบ้านดงหลวง
“ข้าแทบบ่ต้องสอนสูนักเลยบัวชุม” ปิมปายิ้มกริ่ม แถมยังบอกให้คนฟ้อนเก่งไปพักได้ หญิงสาวจึงเดินมาดื่มน้ำจากคันโท เห็นประตูเปิดแง้มจึงแอบออกมา หวังจะมาดูช่องหนีทีไล่
บัวชุมเดินลงบันไดศาลาใหญ่ ได้ยินเสียงคนสู้รบ แต่มองไม่เห็น เดาเอาว่าข้างนอกกำแพงคุ้มนางทิพย์ ทหารเมืองนี้คงซ้อมอาวุธกันอยู่ เกิดความอยากรู้อยากเห็น จึงเดินเลียบเลาะกำแพง เห็นช่องกำแพงขนาดเท่ากำปั้นให้พ่อส่องได้ กำลังจะเดินเข้าไปหา ก็มีเสียงกระแอมดังจากข้างหลัง
บัวชุมชะงัก หันมามองชายที่กำลังทำหน้าตึง
“ยะหยังอยู่” เขาถามเสียงเค้น
“เอ่อ...ข้าก่อเดินเล่น หันกำแพงนี้มันเก่า ก็เลยอยากผ่อใกล้ๆ”
หล้าวงศ์มองเธอเหมือนจับผิด “เกิดมาข้าบ่เคยหัน ไผจะมาสนใจกำแพง ในวิหารแม่ปิมปากำลังสอนฟ้อน สูยังบ่อยู่กันเปิ้น”
“แม่ปิมปาบอกว่าข้าฟ้อนงามอยู่แล้ว เลยหื้อข้าพัก” บัวชุมเถียง
“หึ...หรือแต้ๆ สูกำลังคิดจะหนี”
สาวน้อยพยายามกลบเกลื่อน “จะหนีไปยะหยัง อย่างใดเจ้าเขี้ยวแก้วตึงจะเปิงใจข้า”
“เจ้าเขี้ยวแก้วน่าตาน่าเกลียดน่ากลัว สูบ่กลัวกาที่ต้องได้เป็นเมีย หรือไม่...ก่อได้เป็นแค่เศษอาหาร”
“ก่อถ้าหื้อข้ากลัว แล้วสูจะยับข้ามายะหยัง” เธอไม่ยอมแพ้ “อ้อ เพราะสูมันก่อแค่ขี้ข้าของเปิ้น บ่มีสิทธิ์เลือกเหมือนกับข้า”
หล้าวงศ์กำมือแน่น “สูมันต่ำกว่าข้า นางมนุษย์สกปรก”
“แม่น ข้าคือมนุษย์สกปรก แต่ก่อบ่ได้เป็นเสือผีอย่างสูเขา ที่บ่มีโอกาสได้ชื่นชมความงามของเมื่อคืน”
เมื่อเขาทรามมา เธอก็ไม่สมควรจะเกรงใจ ได้ผล หล้าวงศ์เม้มริมฝีปาก กำมือแน่นจนเส้นเลือดโปนปูน คงจะถูกแทงใจดำไปไม่น้อย...ชายคนนี้ ทำไมเขาจ้องหาเรื่องเธอตลอด
“สูคิดผิดแล้ว ในกำแพงคุ้มเจ้าหลวง บ่มีไผกลายเป็นเสือได้”
บัวชุมแปลกใจ ไม่ทันจะได้ถามต่อ เธอก็ถูกชายหนุ่มฉุดกระชากให้กลับเข้าไปยังวิหาร
พันแสงยังพอมีปลาแห้งเหลืออยู่ในย่าม จึงนำมาเสียบไม้ปิ้ง ส่งกลิ่นหอม ส่วนกล้วยก็นำมาหมกกับขี้เถ้า เตรียมพร้อมเป็นอาหารสำหรับเย็น
“วันนี้หยังมาเตรียมข้าวแลงเวย”สร้อยคำแปลกใจ
“อ้ายกลัวว่า ถ้าน้องแปลงร่างเป๋นเสือไป น้องจะหิวยามดึก”
หญิงสาวอมยิ้ม นึกเอ็นดูที่เขาเป็นห่วงเธอ...แม้ยามไม่ใช่คน
“ถ้าเอ็นดูแต้ๆ ก่อหื้อข้ากินอ้ายก่อได้ลอ” สร้อยคำเลียริมฝีปาก แต่เมื่อเห็นเขาตะลึงจึงรีบถอนคำพูด
“ข้าอู้เล่น ถ้าหากว่าข้าเยียะหื้ออ้าย ฆ่าข้าได้เลยเน้อ”
จู่ๆ ใจก็หาย พันแสงมองหน้าหวาน “อ้ายจะฆ่าน้องได้จะได ถึงบนดอยยอดดาว เฮาก่อจะรู้วิธีแก้คำสาปแล้ว” กล่าวขึงขัง แต่สายตาอ่อนระทวย เพราะไม่อยากให้เธอคิดมาก ความเจ็บปวดใดๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับสร้อยคำ
มีเสียงเหยียบใบไม้แห้งอีกครั้ง ชายหนุ่มหูผึ่ง หันไปมองในป่าทึบ
“ได้ยินแหมละกา” สร้อยคำหันไปมองบ้าง ตลอดทั้งวันที่เดินทาง พันแสงมักจะหันไปมองด้านหลังเป็นระยะ แถมบอกว่ารู้สึกเหมือนมีใครตามมา
แต่ครั้งนี้พันแสงมั่นใจว่ามีบางสิ่งอยู่ใกล้ๆ เขาแกล้งทำเป็นเงียบ กระทั่งเห็นมันอีกครั้ง
คนแก่ตัวเล็ก หน้าตาน่ากลัว…
“มันอยู่หลังต้นไม้ กำลังผ่อมาตางเฮา น้องอย่างเพิ่งหันไป”
ทุกอย่างเงียบกริบ ได้ยินเสียงจักจั่นร้องบนเนินดอย เสียงฝีท้าวย่ำมาใกล้ขึ้น พันแสงเอื้อมมือเข้าไปในย่าม จับดาบคู่ใจไว้ให้มั่น
สร้อยคำตัดสินใจหันไปมอง และเธอก็เห็นคนเฒ่าตัวเล็ก สูงพอๆ กับต้นมะเขือ หน้าตาประหลาดเหมือนพันแสงบอกไว้ แม้จะตกใจแต่หญิงสาวก็แสร้งทำเป็นนิ่ง และเอ่ยถาม
“ป้อเฒ่า มายะใดเจ้า”
“น้องไปเอิ้นมันยะใด” พันแสงท้วง
“จะผีจะคน ถ้ามาดี เฮาก่อควรทักมันก่อนเจ้า”
ร่างเล็กค่อยๆ โผล่ออกมาจากหลังไม้ใหญ่ เป็นชายชราศีรษะล้าน แต่งตัวมอซอ ในมือถืออะไรบางอย่าง ก้าวขาเตาะแตะเหมือนเด็กหัดเดิน ได้สองสามก้าวก็ล้มหัวคะมำ
สร้อยคำตกใจ รีบเข้าไปดู คนแปลกหน้าลุกอย่างอุ้ยอ้าย ปัดเนื้อตัวและมองหาสิ่งที่ทำตก พันแสงคุ้นๆ ว่าเคยเห็นที่ไหน
ใช่...มันคือเครื่องดนตรีที่จันทร์เคยเล่นให้ฟัง พิณเปี๊ยะ...
“ป้อเฒ่าเป๋นอะหยังก่อ” เมื่อหญิงสาวพูดเพราะใส่ คนแก่ประหลาดก็บิดตัวอายจนเกือบจะล้ม แต่คราวนี้สร้อยคำประคองไว้ทัน
“สร้อยคำ อ้ายว่าอย่าไปหยุบไปจับ แมงอะหยังก่อบ่ฮู้” พันแสงยังไม่ปล่อยมือออกจากดาบ
“ข้าเจ้าว่าก่อเป็นคนเฒ่าตั๋วน้อยบะดาย แม่นก่อเจ้าป้อลุง”
“เจ้า” คนแก่ตอบเสียงแหบเหมือนเป็ด สร้อยคำหัวเราะชอบใจ
“ไปตังใดมาเจ้า”
คนประหลาดกระแอม ก่อนจะเอ่ยเป็นลำนำ
“เฒ่าคนเดียว เตียวมาไกล๋ จะไปตังใด ก่อมืดมิด
หันหล้าคนงาม มีคู่ข้างแนบชิด เลยอยากเป็นมิตร ถามต่อ
ท้องไส้มันบิด เหมือนผิดคาบข้าว ขอกินข้าวแลงตวย ได้ก่อหา...”
สร้อยคำยิ้มหวาน “ได้กาป้อลุง แลงนี้อ้ายพันแสง มีของกินนักขนาด เอ๊าะ...เอาปลานี้ไปกิน กล้วยลูกนี้ก่อกำลังสุก” หญิงสาวกลับมาหยิบอาหารยื่นให้ คนชราตาโตรีบตะครุบเอามากินอย่างมูมมาม
ชายหนุ่มหน้าเสีย “อ้ายตั้งใจเอาไว้หื้อน้องกินนา...สร้อยคำ”
“อ้ายพันแสง ของกินเฮามีนัก เผื่อหื้อคนอื่นพ่อง ได้บุญเจ้า”
ที่สุดก็แพ้เสียงหวาน ปล่อยให้เธอทำตามใจ มื้อเย็นนั้นจึงได้แต่นั่งมองหญิงสาวดูแลคนแก่ แถมต้องขัดอารมณ์ที่พออิ่ม คนแก่นั้นดันเรอเสียงดัง
“ขอบคุณจ๊าดนัก ขอบคุณจ๊าดหลาย ขอบคุณบะดาย บ่มีหยังหื้อ” คนแปลกหน้ายิ้มและถามต่อ “นอกจากว่า สูเขาอยากฟังข้าดีดพิณเปี๊ยะ”
“ดีดพิณปี๊ยะ มันคือเครื่องดนตรีกา” สร้อยคำประหลาดใจเพราะไม่เคยเห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้ “ข้าบะเคยฟังซักเตื้อ”
คนแก่หัวเราะเห็นฟันห่าง กำลังจะหยิบพิณคู่ใจมาดีด ก็ถูกพันแสงลุกมาไล่
“เอาละคนเฒ่าน้อย หมดเวลาเล่นแล้ว”
“ฟั่งเตื้อก่าอ้ายพันแสง ข้ายังบ่เคยได้ยินเพลงพิณอันนั้นเลย”
“สร้อยคำ ตะวันจะตกดินแล้ว น้องอยากจะกินคนเฒ่าตุ้ยป้อมที่เล่นพิณเป๋นของหวานกา” พันแสงชูเชือกในมือ หญิงสาวถอนหายใจ “ป้อลุง ถ้าพรุ่งนี้บ่ไปไหน มาเล่นดนตรีหื้อข้าฟังกำเน้อ”
คนแก่พยักหน้า พันแสงรีบมัดตัวสร้อยคำไว้กับต้นไม้
“ถ้าบ่มัดไว้จะอี้ กำเดียวนางก่อจะกินสู ไปไหนก่อไป บ่ต้องตวยข้ามา” พันแสงโบกมือไล่
“อ้ายพันแสง บ่ดีไล่ป้อเฒ่า ข้าอยากฟังเพลงพิณเปี๊ยะของเปิ้น”
น้ำสียงอ้อนวอนทำให้เขาใจอ่อน “ก่อได้ ถ้ามันหันน้องกลายเป็นเสือแล้วบ่ล่นหนีไปไหน อ้ายก่อจะบ่ไล่มัน”
สร้อยคำยิ้มกริ่ม ก่อนที่ร่างจะกระตุกค่อยๆ แปลงร่างเป็นเสือดำ
พันแสงหาผ้ามาคลุมร่างให้เสือสาว หมุนตัวกลับมานั่งที่เดิม หันไปมองหาคนแปลกหน้าก็พบว่าวิ่งจุกตูดหายเข้าไปในดงป่า
“หันก่อ มีแต่อ้ายนี่แหละ ที่ทนน้องได้...สร้อยคำ” ชายหนุ่มยักคิ้วให้เธอ
กองไฟโชนแสงสว่าง พันแสงนั่งมองดาวสลับกับมองหน้าเสือผีเป็นระยะ ความเหงาทำให้คิดถึงหญิงสาวคนเดิมอีกแล้ว
“อ้ายสัญญาเน้อสร้อยคำ อ้ายจะหื้อคำสาปเสือของน้องหายไปหื้อได้”
สัตว์หน้าขนสบตาเขาเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังขู่คำรามในคอ พันแสงได้แต่ส่ายหัว ทันใดนั้นก็เห็นมีเงาดำเคลื่อนไหวอยู่หลังต้นไม้ ชายหนุ่มหันขวับจ้องไปในดงมืด แล้วจึงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
“ยังบ่ไปไหนเตื้อกาคนเฒ่า อยากอยู่หื้อเมียข้ากินกา” พันแสงตะโกนบอก คนชราคนเดิมค่อยๆ โผล่ออกมา สายตาจ้องไปที่สร้อยคำอย่างสงสัย
“ข้าต้องดีดพิณหื้อนางฟังก่อน” ผู้เฒ่าประหลาดเอ่ยเสียงแหบ
พันแสงนิ่งคิด คนเฒ่าคงต้องการจะเล่นดนตรี เพื่อขอบคุณสร้อยคำ ให้มันเล่นจบๆ ก็คงจะดี จะได้ไปไกลๆ
“อั้นก่อดีดพิณเหียเต๊อะ”
พันแสงหันไปสุมไฟให้แรง มองดูคนเฒ่าตัวน้อยเดินงุ่นง่านขึ้นไปบนโขดหิน แล้วตั้งท่าดีดพิณเปี๊ยะ
จู่ๆ ในป่าที่เงียบสงบ ก็เริ่มมีลมพัด และแรงขึ้นเรื่อยๆ เศษฟืนปลิวว่อน เถ้าถ่านฟุ้งกระจาย พันแสงรีบยกมือมันปัดป้อง หันไปมองยังคนดีดพิณ
“ตึง!” เสียงแรกจากการดีดนิ้ว กลับทำให้ลมโหมกระหน่ำ กิ่งไม้สะบัดเหมือนกับมือของปีศาจที่โห่ร้อง เสือดำที่ถูกมัดลืมตาโพลง พร้อมกับคำรามลั่น
“โฮก!”
“สูทำอะหยัง” พันแสงตะโกนแข่งเสียงลมพัดดังหึ่งๆ แต่คนแก่กลับไม่สะทกสะท้าน ตั้งหน้าตั้งตาดีดเพลงพิณ และแล้วพายุประหลาดก็ค่อยๆ จางลง จนได้ยินเพียงเสียงพิณเปี๊ยะนั้นชัดเจน
ทุกอย่างกลับเป็นปกติ พื้นดินเต็มไปด้วยเศษกิ่งไม้ใบหญ้าและกองไฟที่มอดดับ พันแสงก่อไฟขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะรีบลุกเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ เพราะเป็นห่วงสร้อยคำ
ร่างที่ถูกมัดใต้ต้นไม้ดิ้นขลุกขลัก และเมื่อเข้าไปใกล้ก็ใจหายวับ
เสือดำตัวนั้นหายไป กลับกลายเป็นหญิงสาวคนเดิม...
ความคิดเห็น |
---|