บทนำ
พรรณวษาในวัยยี่สิบหกปีไม่คิดอยากมีสามีและลูก...
ความต้องการนี้ผุดขึ้นหลังเลิกรากับแฟนคนที่สี่เมื่อหนึ่งปีก่อน หญิงสาวมั่นใจว่าการอยู่ตัวคนเดียวคือนิพพานที่แท้จริง ช่วงเวลาที่ยังแข็งแรงก็ขยันทำงานเก็บเงินต่อไปให้รวยล้นฟ้า แก่ตัวเมื่อไรค่อยเอาเงินที่หามาไปจ้างคนดูแล เพราะคนรวยไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลอยู่แล้ว
ใช่ เธอเป็นคนรวย ครอบครัวก็รวย เพื่อนก็รวย ชีวิตนี้ไม่ร้องขออะไรอีก
แต่...
ในวินาทีที่เด็กชายตัวกลมอายุหนึ่งขวบเศษถูกอุ้มมาไว้บนตักของเธอ เสียงร้องไห้ก็ดังลั่น ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในห้องไพรเวตของร้านอาหารหรูที่มีสมาชิกรวมกันอยู่สี่ชีวิต หญิงสาวคงอายสายตาลูกค้าคนอื่นจนต้องมุดโต๊ะ
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ของคนตรงหน้าปรายมองเธอกับเด็กชายเพียงเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารซึ่งเป็นหลักฐานรับเงินต่อ ใบหน้าราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใส่ใจกับสิ่งใด ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงร้องของเด็กน้อยที่เพิ่งเข้าสู่อ้อมกอดอันไม่คุ้นเคย
“แง้ ฮึก...แง้!!”
พรรณวษากำลังตกใจเสียงเด็ก พอตั้งสติได้ก็เริ่มครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้เด็กหยุดร้อง
“เอ่อ คุณเพ้นท์ลองกล่อมน้องหน่อยสิคะ”
ณัชชา ผู้ช่วยสาวซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจ้านายให้คำแนะนำด้วยสีหน้าหนักใจ คนที่เพิ่งรับเด็กมาหมาดๆ อ้าปากค้างเพราะไม่เคยกล่อมเด็ก สุดท้ายจึงลองทำตามวิธีที่เคยเห็นพี่สาวทำตอนเลี้ยงลูก
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคะน้อง...”
“แง้ อือ...ฮือ” เด็กชายร้องแทรกขึ้นมา ยื่นมือเล็กไปหาชายหนุ่มตรงข้ามเธอที่ยังไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างสงบ “ป้อ!”
เพียงแค่เสียงเล็กร้องหาพ่อ เดือนธันวาก็ตวัดปลายปากกา เซ็นรับเงินจำนวนสามแสนบาทถ้วนทันที
“ขอบคุณนะครับคุณพรรณวษา อีกหกเดือนเจอกันที่อำเภอ หวังว่าจะไม่มีการยกเลิกสัญญา”
เขายื่นหลักฐานการรับเงินอีกฉบับให้เธอเก็บเอาไว้ นับจากวันนี้ไปอีกหกถึงเจ็ดเดือนเธอกับเขาจะกลับมาพบกันอีกครั้งในวันจดทะเบียนรับอุปการะบุตร ขั้นตอนต่างๆ ตามกฎหมายหญิงสาวจะให้ณัชชาช่วยดูแลให้ ซึ่งผู้ช่วยของเธอก็คือหนึ่งในเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของเขา
ในแรกเริ่มทั้งสองยังไม่ต้องทำอะไรมาก พรรณวษาเพียงแค่เลี้ยงน้องเสือในระยะหนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าเข้ากันได้ จากนั้นถึงค่อยไปยื่นเรื่องทดลองเลี้ยงเด็กหกเดือน หากเธอมีคุณสมบัติเหมาะสมในการเลี้ยงดูต่อก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรม
“เอ่อ น้องเสือเขาไม่หยุดร้องเลยค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเครียดขณะที่เด็กน้อยพยายามใช้แรงถีบและดันเธอออก แสดงถึงความไม่เป็นมิตรแต่แรกพบ
“ไม่แปลกหรอกครับ คุณเพิ่งอุ้มครั้งแรกนี่”
วันแรกที่พรรณวษาพบน้องเสือกับเดือนธันวา คนเป็นพ่ออุ้มลูกไว้ตลอด วันนั้นเธอเห็นหน้าเด็กก็นึกเอ็นดู ตอบตกลงอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังเห็นว่าเขาพร้อมยกเด็กให้โดยไม่ต่อรองอะไรมาก เพียงแค่ได้เงินสามแสนบาท ลูกคนเดียวของเขาก็จะตกเป็นสิทธิ์ของเธอ
อันที่จริงหญิงสาวก็ค่อนข้างแปลกใจว่าทำไมเขาถึงเป็นพ่อที่ไม่สนใจไยดีลูกเลย แต่บนโลกนี้มีคนหลายประเภท ผู้ชายคนนี้อาจจะเดือดร้อนเรื่องเงินและไม่พร้อมเลี้ยงลูกจริงๆ เธอไม่ควรตัดสินเขาเพียงแค่ท่าทีเฉยเมยที่เจ้าตัวแสดงออกมา
แม้แต่ณัชชาที่ติดต่อเขาให้รู้จักเธอก็ไม่ทราบว่าเหตุใดเขาถึงไม่ต้องการเลี้ยงเอง สองเจ้านายลูกน้องเลยพากันเดาไปเรื่อยจนขี้เกียจจะเดาต่อ ครั้นจะถามหาเหตุผลตรงๆ ก็เกรงใจ อีกอย่างที่รู้มาคือแม่ของเด็กเสียชีวิตไปแล้วเมื่อประมาณสามเดือนก่อน นี่อาจจะเป็นหนึ่งสาเหตุของการตัดสินใจครั้งนี้
ประมาณว่าทำใจไม่ได้...
“แสดงว่าต่อไปเพ้นท์กับน้องเสือจะเข้ากันได้ใช่ไหมคะ”
“ไม่มีอะไรยากเกินความพยายามของคุณหรอก ถ้าคุณรักเด็กคนนี้จริง”
เขาเรียกลูกตัวเองว่า ‘เด็กคนนี้’ ไปเสียแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งพรรณวษาละความสนใจจากน้องเสือที่ยังดิ้นแรงไม่ตก เพียงแค่กอดร่างเล็กไว้ไม่ให้หล่น แล้วพินิจพิเคราะห์ชายตรงหน้าที่อายุเท่ากันกับเธอ เริ่มตั้งแต่คิ้วเรียวยาวสีเข้ม ดวงตาคมสองชั้นซึ่งล้อมด้วยแพขนตายาวจนน่าอิจฉา จมูกโด่งอย่างพอดี จนถึงริมฝีปากหยักสีธรรมชาติ น่าแปลกที่รูปหน้าดูดีหาตัวจับยากเช่นนี้ไม่มีส่วนใดส่งต่อให้ลูกชายเลย
น้องเสือก็น่ารัก แต่น่ารักคนละแบบ เอาเถอะ อาจจะได้แม่มาเยอะ
เขายังวางท่าสงบนิ่งยามเมื่อมองลูกชายในอ้อมกอดคนอื่น วันนี้ตอนมาถึงสถานที่นัดเขาก็ส่งลูกให้ณัชชาอุ้มเพื่อเจรจากับเธออย่างสะดวก หลังจากนั้นก็ไม่แตะลูกอีก ไม่แม้แต่จะชายตามองไปทางณัชชาตอนที่น้องเสือร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ว่าที่คุณแม่คนใหม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเขาต้องการตัดใจให้ขาดจึงไม่ทักสักคำ เพียงแค่ชวนคุยเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับเด็กที่ควรรู้ไว้เป็นข้อมูล
“ถ้าอย่างนั้นเพ้นท์ก็เบาใจ เพราะว่าเพ้นท์รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้มากๆ” หญิงสาวว่าพลางหยิบทิชชูมาซับน้ำตาให้เด็กที่เริ่มหมดแรง แสดงความรักเด็กยิ่งกว่านางงามจักรวาลให้อีกฝ่ายเห็น กลับบ้านไปเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง...อันที่จริงตอนนี้เขาก็ดูไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไร
“ดีแล้วครับ”
“ถามได้ไหมคะเนี่ย ทำไมถึงตั้งชื่อว่าเสือ”
“เกิดปีขาลน่ะครับ”
“อ๋อ” พรรณวษาพยักหน้า แอบคิดว่าคู่สนทนาช่างเย็นชา น้ำเสียงโมโนโทนไม่มีขึ้นลงใดๆ ไปทางเดียวกับสีหน้าซึ่งไร้ความรู้สึก ถ้ากำลังปกปิดความเจ็บปวดใจอยู่ ขอบอกเลยว่าเนียนมาก
“ผมจะอยู่กรุงเทพฯ อีกสักพักแล้วจะกลับเชียงราย มีข้อสงสัยอะไรโทร. มาถามได้นะครับ”
อีกข้อมูลหนึ่งที่รู้มาจากณัชชาคือเดือนธันวาเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ย้ายไปอยู่เชียงรายหลังแต่งงานและคงอยู่ที่นั่นถาวร ความจริงมีหลายคำถามที่คนช่างซักอย่างเธออยากรู้ แต่ต้องยับยั้งชั่งใจไม่ถามเนื่องจากท่าทีของเขาดูห่างเหินกับทุกคน เจ้าตัวคงไม่อยากพูดเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณเดือนธันวา ต่อไปนี้ ‘เด็กชายพยัคฆ์’ จะเป็นผู้สืบสกุลของกวินทร์เทวาแต่เพียงผู้เดียว”
พรรณวษายิ้มกว้างให้ทั้งเขาและเด็กที่เริ่มจะมีแรงดิ้นอีกครั้ง มือเล็กอูมดันหน้าท้องเธอไม่ยั้งจนชักจะเริ่มจุก ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มตอบให้เป็นมารยาทก่อนจะเอ่ยขอตัวกลับเมื่อหมดธุระ
ในที่สุดเขาก็เดินจากไป ทิ้งลูกชายคนเดียวไว้โดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมา ไม่ฟังเสียงร้องไห้ของเด็กหนึ่งขวบกว่าที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้าถึงสองคน
ความคิดเห็น |
---|