8

พ่อคนช่างดุ

พ่อคนช่างดุ

 

การทำงานของพรรณวษาไม่ค่อยราบรื่นเพราะเธอมีเรื่องให้คิดถึงสองเรื่อง เรื่องแรกหนีไม่พ้นคิดถึงลูกที่ฝากไว้กับผู้เป็นป้า ต้องคอยโทร. ถามแจ่มเป็นระยะๆ ว่าทุกอย่างเรียบร้อยอยู่ไหม สาวใช้บ้านนั้นรายงานว่าน้องเสือไม่ร้องไห้งอแงเพราะมีคุณพ่ออยู่ด้วย แต่กว่าจะนอนกลางวันก็ปาไปบ่ายสองโมงเพราะมัวแต่เล่นเพลิน 

เรื่องที่สองก็คุณพ่อตัวดีนั่นแหละ เมื่อเช้าเธอเพิ่งมีโอกาสถามบิดามารดาเรื่องที่เสาวนีย์พูดถึง ทั้งสองยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นเดือนธันวาปฏิบัติต่อเด็กชายเช่นนั้นจริง พอไปถามแตนกับอ้อยก็เล่าแบบเดียวกัน เธอจึงค่อนข้างเสียดายที่ไม่ได้เห็นฉากนั้นด้วยตาตนเอง ต้องมานั่งจินตนาการเอาจนไม่ค่อยสนใจการงานเท่าที่ควร

ศุกลและอัมพิการู้เรื่องที่เดือนธันวาอยู่บ้านเสาวนีย์จากปากเจ้าของบ้านเอง เมื่อคืนสองพี่น้องมากวัยโทร. คุยกัน คนเป็นพี่บอกความประสงค์อย่างชัดเจนว่าอยากรู้จักพ่อของน้องเสือสักหน่อย แม้ศุกลจะแย้งว่าพ่อแบบนั้นไม่ควรมาเจอลูกอีก เสาวนีย์ก็ยังยืนยันจะให้เขามา

“เพ้นท์กลับก่อนนะคุณณัชชา พรุ่งนี้เจอกันค่ะ”

ก่อนกลับบ้านพรรณวษาไม่ลืมบอกลาผู้ช่วยสาว อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ

“ไว้ณัชจะไปเยี่ยมน้องเสือนะคะ”

“ได้เลยค่ะ”

บอกลาเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็เดินไปขึ้นรถ ตอนนั้นเองที่เพิ่งนึกออกว่าลืมถามณัชชาเรื่องอุปนิสัยของเดือนธันวา คนเป็นเพื่อนกันน่าจะรู้นิสัยกันดีกว่าคนที่เพิ่งรู้จักอย่างเธอ แต่เอาเถอะ ไปเจอเขาเลยดีกว่า

เธอรีบขับรถไปที่บ้านของเสาวนีย์ ระหว่างทางแวะเอาอาหารจากภัตตาคารที่สั่งล่วงหน้าไว้เพื่อไปรับประทานเป็นมื้อเย็นที่บ้านหลังนั้น ก่อนจะถึงเธอโทร. บอกแจ่มให้เปิดรั้วเอาไว้ เมื่อมาถึงจึงสามารถขับรถผ่านเข้าบ้านได้เลย

“เป็นยังไงบ้างแจ่ม” เธอถามหลังลงจากรถและเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาอาหารออกมาให้สาวใช้ช่วยถือ

“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลยค่ะ ตอนนี้น้องเสือดูการ์ตูนอยู่ ส่วนคุณเดือนธันวาคุยอยู่กับคุณนี”

“เขาอยู่นี่ทั้งวัน เบื่อบ้างไหม”

“หมายถึงน้องเสือหรือคุณเดือนธันวาคะ”

“คุณเดือนธันวา”

“ไม่น่าจะนะคะ คุณนีชวนคุยตลอด”

“แล้ว...เขาทำอะไรไม่ดีกับน้องเสือหรือเปล่า”

คำถามของพรรณวษาทำให้แจ่มชะงัก คล้ายกับกำลังครุ่นคิดหาคำตอบดีๆ พาให้ใจคนรอฟังเต้นไม่เป็นจังหวะ

“ว่าไง” เธอเร่งถาม อีกฝ่ายจึงยอมเอ่ยปาก

“ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีหรอกค่ะ นั่งดูตลอด แค่ไม่แตะตัวเฉยๆ ถ้าน้องเริ่มเดินซนจะขึ้นเสียงดุหน่อยๆ แต่ไม่ถึงกับเอาอะไรมาตี”

“ขึ้นเสียงดุเหรอ...” พรรณวษาทวนคำหน้าซีด “ละ...แล้วน้องเสือฟังไหม”

“ฟังบ้างไม่ฟังบ้างค่ะ ถ้าเห็นไม่ฟังแจ่มจะเข้าไปช่วยอุ้มกลับมาที่เดิม”

“เขา...โมโหหรือเปล่า”

“ไม่หรอกค่ะ อาจจะเกรงใจคุณนีเลยไม่อยากให้น้องซน แจ่มว่าเราเข้าบ้านกันเถอะค่ะ” สาวใช้รีบตัดบทก่อนที่หลานสาวเจ้านายจะเครียดขึ้นสมอง ตั้งใจจะเดินนำเข้าไปในบ้าน แต่กลับถูกคุณแม่มือใหม่วิ่งแซงเพื่อจะเจอลูกให้เร็วที่สุด

“น้องเสือคะ อยู่ไหนเอ่ยยยย”

“อ้ามมม”

เจ้าตัวเล็กวิ่งเข้ามาเกาะขาเธออย่างน่ารักน่าชัง หญิงสาวรีบอุ้มขึ้น จากนั้นก็เอ่ยสวัสดีเสาวนีย์ที่นั่งอยู่ที่โซฟา พลันสายตาแลเห็นเดือนธันวาเดินออกมาจากครัวพร้อมขวดนมก็นึกขึ้นได้

“ตายจริง เพ้นท์ลืมเอานมผงมาให้เลย”

“ก็ใช่น่ะสิ แต่คุณเดือนธันวาเขาออกไปซื้อให้แล้ว”

เจ้าของบ้านตอบ เธอจึงผงกหัวให้คนมีน้ำใจ

“ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวคุณคิดเงินกับเพ้นท์ได้เลยนะ อ้อ เพ้นท์ซื้ออาหารมาฝากทุกคนด้วยนะคะ เรากินข้าวเย็นด้วยกันนะ”

“ถ้าอย่างนั้นแจ่มไปจัดใส่จานให้นะคะ เชิญที่โต๊ะได้เลยค่ะ” สาวใช้ประจำบ้านนำถุงอาหารเดินผ่านหน้าร่างสูงเข้าไปในครัวก่อนที่น้องเสือจะร้องซ้ำคำเดิม

“อ้ำๆๆๆ”

“หิวแล้วใช่ไหมคะ เดี๋ยวเรากินข้าวกันเนอะ” พรรณวษาพูดคุยเล่นกับลูก เธอจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าคนตัวสูงเอาแต่ยืนนิ่งมองเธออยู่อย่างนั้นโดยไม่กะพริบตา แม้ร่างบางจะเดินไปทางโต๊ะกินข้าวก็มองตามอยู่ตลอด

“เชิญเลยนะคะคุณเดือนธันวา” เสาวนีย์เดินเข้ามาบอกเขา ก่อนจะเดินนำไปหาหลานสาวที่เพิ่งวางเด็กชายลงบนเก้าอี้ “แกเรียกแม่ได้หรือยัง”

“ยังเลยค่ะ ไหนเรียกแม่ซิคะ” พรรณวษาลองสอน แต่น้องเสือไม่สนใจ หญิงสูงวัยจึงลองให้คำแนะนำ

“ป้าว่าต้องมีอะไรมาล่อนะ เมื่อเช้าสอนให้พูดคำว่าช้าง ป้าบอกว่าถ้าพูดจะได้เจอคุณพ่อ แกก็พูด”

“จริงเหรอคะ” ได้ยินอย่างนั้นเธอก็ยิ้มกว้างและลองใช้ทริกนี้ดูบ้าง “น้องเสือเรียกแม่เพ้นท์ก่อน เดี๋ยวแม่เพ้นท์พาไปเที่ยว!”

“เตี้ยว” คราวนี้หนูน้อยขานรับตาใส

“ช่าย ไปเที่ยว ไปสวนสนุกดีไหม”

“ไปเตี้ยว”

“เรียกแม่ก่อนสิคะ แม่เพ้นท์ พูดตามนะคะ แม่เพ้นท์” หญิงสาวพยายามอย่างเต็มที่ ทว่ากลับถูกน้องเสือมองตาปริบๆ จึงต้องคิดทบทวนว่ามันยาวไปหรือเปล่า

“ฟังยายนะ ถ้าเรียกแม่ว่าแม่ จะได้ไปเที่ยวสวนสนุกกับแม่ ไหนลองซิ แม่”

“อืมมม”

“หรือว่าข้อเสนอของเรามันไม่น่าเร้าใจพอคะคุณป้า” พรรณวษาลูบคางครุ่นคิดเมื่อลูกชายแค่ขานรับในลำคอ ก่อนสายตาจะหันไปเห็นคนที่ยังยืนอยู่ห่างๆ “เอาอย่างนี้นะคะน้องเสือ เรียกแม่เพ้นท์ดังๆ แล้วจะพาไปเที่ยวกับคุณพ่อ ดีไหม”

“ไปเตี้ยวๆๆ ป้อ!”

“แม่ด้วยค่ะ”

“แมะ!”

“กรี๊ดดด น้องเสือเรียกแม่แล้วค่ะ!” หญิงสาวร้องลั่นพลางกระโดดโหยงๆ อย่างตื่นเต้นดีใจเป็นการใหญ่จนเสาวนีย์สะดุ้ง ไม่มีใครทันมองเดือนธันวาที่หลุดยิ้มออกมา ถึงแม้ว่าตนเองจะงานเข้าอีกแล้วก็ตาม

เขาสรุปได้แล้วว่าพรรณวษาเป็นคนตลก...มาก

นี่คือสภาพแวดล้อมที่เด็กคนนั้นควรมี ควรจะได้อยู่กับคนใจดี ไม่ใช่เขา

มือหนาหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายภาพสามคนที่โต๊ะกินข้าวอย่างรวดเร็ว และส่งภาพนั้นให้มัชฌิมาพร้อมข้อความสั้นๆ

ครอบครัวใหม่

เขาเก็บโทรศัพท์แล้วเดินไปร่วมโต๊ะหลังจากที่แจ่มยกอาหารมาเสิร์ฟ คนที่ยังดีใจไม่หายรีบอวดทันทีราวกับกลัวว่าเขาจะพลาดเรื่องสำคัญไป

“เมื่อกี้น้องเสือเรียกเพ้นท์ว่าแม่แล้วนะคะ ไหน น้องเสือเรียกให้คุณพ่อฟังอีกรอบสิคะ แม่...”

“แมะ ไปเตี้ยวว”

“ได้เลยค่ะ เสาร์นี้เราจะไปเที่ยวกัน! คุณเดือนธันวาได้ยินใช่ไหมคะ” เธอฉีกยิ้มกว้างจนมุมปากแทบติดใบหู ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มบาง

“ครับ ดีแล้วครับ คุณศุกลกับคุณอัมพิกาจะได้ยอมให้คุณเลี้ยงเขาต่อ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้อย่าสอนให้เขาเรียกผมว่าพ่อเลย”

รอยยิ้มของพรรณวษาเจื่อนลงกึ่งหนึ่ง ไม่ต่างกับคนเป็นป้าที่ลอบถอนหายใจเล็กน้อย แต่ก็จริงอย่างที่เขาว่า ในเมื่อเลือกที่จะละทิ้งหน้าที่พ่อแล้วก็ไม่ควรถูกเรียกเช่นนั้น

“ถ้าอย่างนั้นจะให้เขาเรียกว่ายังไงเหรอคะ” หญิงสาวถามเสียงเบา

“ไม่ต้องสอนหรอกครับ อีกไม่นานผมจะเดินไปจากชีวิตของเขา เขาไม่จำเป็นต้องรู้จักผม”

“แต่เมื่อกี้เพ้นท์สัญญากับน้องเสือไว้แล้วว่าจะพาไปเที่ยวสวนสนุกเสาร์นี้ เอ่อ...พร้อมคุณ”

“คุณคิดว่าเด็กหนึ่งขวบจำอะไรได้ดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ หลับตื่นหนึ่งเขาก็ลืมแล้ว”

คนเป็นแม่หงอยไป ส่วนลูกชายเอาแต่สนใจอาหารจนแจ่มต้องคอยมองไม่ให้มือเล็กเอื้อมหยิบอะไรเข้าปากเอง

“ความจริงเสาร์นี้ผมไม่ว่างด้วย ติดธุระน่ะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นวันอาทิตย์ได้ไหมคะ” เธอต่อรอง “ไม่อยากผิดคำพูดกับเด็กน่ะค่ะ เขาอาจจะจำได้ ถ้าเพ้นท์ไม่ให้รางวัลเขาอย่างที่บอก เขาก็จะไม่เชื่อฟังเพ้นท์อีก และเพ้นท์จะกลายเป็นแม่ที่ไม่น่าเคารพนับถือ”

เดือนธันวานิ่งคิดถึงตารางเวลาวันเสาร์ของตนเองแล้วตอบ “เสาร์ก็ได้ครับ ธุระผมเสร็จช่วงเช้า”

“ค่ะๆ” นัยน์ตากลมลุกวาวขึ้นมาราวกับเป็นเด็กเสียเอง “ให้เพ้นท์ไปส่งทำธุระก็ได้นะคะ จะได้สะดวกคุณด้วย”

“ไม่ถามเขาก่อนล่ะว่าธุระอะไร” เสาวนีย์เห็นชายหนุ่มใจอ่อนก็อดยิ้มยินดีด้วยไม่ได้ ก่อนที่สองสายตาจะหันไปมองเขาพร้อมกัน

“ต้องไปถวายสังฆทานน่ะครับ ครบรอบหนึ่งร้อยวันหลังภรรยาเสียชีวิต” เขาไม่ได้อยากตอบ แต่ในเมื่อถูกถามจึงต้องตอบไป

“อ้าวเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นน้องเสือยิ่งต้องไปเลยค่ะ ให้เพ้นท์ไปด้วยดีกว่า” ใบหน้าของพรรณวษาบ่งบอกว่าเรื่องนี้จริงจังมาก ลูกชายควรได้ไปทำบุญให้แม่ผู้ให้กำเนิดถึงจะยังไม่รู้ความก็ตาม อันที่จริงเขาควรจะบอกเธอตรงๆ ตั้งแต่แรก ไม่ใช่ปล่อยให้ถูกถามก่อนถึงปริปากบอก

“นั่นสิ ยายเพ้นท์กับน้องเสือควรไปด้วย” เสาวนีย์เห็นด้วยกับเรื่องนี้ 

ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นมื้ออาหารก็เริ่มต้น

เมื่อถูกสอน น้องเสือก็พูดคำว่าแม่บ่อยมากจนหญิงสาวตัวลอย คิดว่ากลับบ้านไปทุกคนคงตกใจกันเป็นการใหญ่ หลังจากนี้เธอว่าจะเริ่มสอนให้เรียกตายายด้วย พ่อแม่ของเธอจะได้ปลื้มใจตาม

“คุณเดือนธันวาคะ เดี๋ยวเพ้นท์ไปส่งคุณที่คอนโดเองนะ” เธออาสาเพราะไม่อยากให้เขาเปลืองเงินค่าเดินทางมาก อีกทั้งจะได้เจรจาเรื่องค่าเสียเวลาทั้งวันนี้และวันเสาร์ที่จะถึง

“ขอบคุณครับ” ซึ่งเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะอ่านสีหน้าออกว่าเธอมีเรื่องต้องพูดด้วย

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลากลับ ได้แจ่มอุ้มน้องเสือไปส่งให้ถึงที่รถ พรุ่งนี้ก็เป็นเช่นเดิม พรรณวษาจะพาลูกชายมาฝากไว้ที่บ้านนี้และมารับตอบเย็น แต่คงไม่มีเดือนธันวามาแล้ว เขาจะได้พักบ้างหลังจากตัวติดเธอมาหลายวัน

“เดี๋ยวผมขับให้ก็ได้ครับ”

ชายหนุ่มแบมือขอกุญแจ เธอไม่ปฏิเสธและส่งให้แต่โดยดี จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งข้างคนขับและรับตัวลูกชายมาจากสาวใช้

“บ๊ายบายพี่แจ่มหน่อยค่ะน้องเสือ บ๊ายบายย”

“บาย”

“โหย พูดเก่งแล้วนะเนี่ยเรา” เธอชมลูกตัวเองอย่างปีติยินดี

“บ๊ายบายค่ะน้องเสือ เดินทางปลอดภัยนะคะคุณเดือนธันวา คุณเพ้นท์” แจ่มว่าก่อนจะปิดประตูรถให้ 

เดือนธันวาซึ่งอยู่ตำแหน่งคนขับออกรถทันที เมื่ออยู่แค่สามคนแล้วหญิงสาวจึงพูดเกริ่นเรื่องที่คาใจ

“คุณเดือนธันวาคะ คุณแม่เล่าให้ฟังว่าเย็นวันที่คุณมากินข้าวด้วย ท่านเห็นคุณตะคอกใส่น้องเสือ”

“ครับ” เขารับคำง่ายๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทำให้คนถามอารมณ์ดิ่งวูบราวกับถูกตะคอกใส่เสียเอง

เธอเป็นแม่ ย่อมรู้สึกเจ็บปวดแทนลูกอยู่แล้ว

“น้องเสือทำผิดอะไรคะ แค่เข้าไปหาคุณ”

“นั่นแหละครับ ผิด”

“คุณเดือนธันวาคะ เรียกเงินจากเพ้นท์ได้ไม่อั้นเลยนะคะ แลกกับการใจดีกับน้องเสือสักหน่อย อย่าดุเขาเลย”

“แล้วสักวันหนึ่งคุณก็จะจ่ายเงินเพื่อให้ผมอุ้มเขา กอดเขา ยอมให้เขาเรียกผมว่าพ่อ ถูกไหมครับ ผมว่าคุณหยุดเปลืองเงินกับผมแล้วปล่อยผมไปดีกว่า” เสียงของเขาดังชัดขึ้นกว่าปกติจนพรรณวษาตกใจ ต่อด้วยคำสั่งสอนยาวเหยียด “เรื่องดุ ผมยอมรับว่าวันนั้นดุแรงไป แต่ผมว่าบางทีคุณก็ควรจะทำบ้าง ไม่ใช่เอาแต่จ่ายเงินให้คนอื่นสปอยล์ลูกตัวเอง ตามใจบ่อยๆ ระวังเขาเคยตัวนะครับ ยิ่งโตยิ่งเปลี่ยนยาก”

“เอ่อ ค่ะ” เธอกอดเด็กชายแน่น ไม่ใช่ว่ากลัวลูกตกใจเสียงเขา แต่ต้องการที่ยึดเหนี่ยวในเวลาที่ตัวเองหัวหดอย่างตอนนี้

“อีกเรื่องคือเรื่องงาน คุณรู้ไหมว่าแม่บางคนอยู่บ้านเลี้ยงลูกจนลูกเข้าเรียนเลยนะ ผมไม่ได้ว่าที่คุณทำงานเพราะคุณเป็นเจ้าของกิจการ คุณลางานไม่ได้ แต่ผมอยากให้คุณบาลานซ์เรื่องงานกับเรื่องลูกด้วย อย่าบ้างานจนเขาอยู่กับคนอื่นมากกว่าคุณ และอย่าใช้เงินเลี้ยงเขาตอนที่เขาโตขึ้น เข้าใจใช่ไหมครับ”

“ขะ...เข้าใจค่ะ ต่อจากนี้ทุกวันตอนเย็นและเสาร์อาทิตย์ของเพ้นท์เป็นของน้องเสือค่ะ” เธอชูสามนิ้วปฏิญาณ ถ้ารู้ว่าวันนี้จะถูกเขาดุคงไม่เสียเวลาจินตนาการภาพเขาเวอร์ชันโหดร้าย เพราะตอนนี้ได้เจอแล้วกับตัวแล้ว

“อีกอย่าง...”

“ยังไม่หมดเหรอคะ!” หญิงสาวถามเสียงสูง

“ครับ อันนี้ผมพูดไว้ในกรณีที่คุณไม่แต่งงานในอนาคต ผมจะบอกว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย ส่วนคุณเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว บางทีอาจจะไม่เข้าใจเขาในบางเรื่อง ผมอยากให้คุณเปิดใจให้กว้าง รับฟังเขาและคิดตามเยอะๆ แล้วก็พยายามให้เขาใกล้ชิดคุณศุกลเพราะว่าท่านเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน อาจจะเข้าใจอะไรได้ดีกว่าคุณ”

“ค่ะ”

“แล้วก็...”

“คุณเดือนธันวา เก็บไว้พูดวันหลังบ้างก็ได้ค่ะ” พรรณวษาเบะปาก ทำเสียงน่าสงสารให้อีกฝ่ายเห็นแก่หูเธอด้วย เพราะถ้าฟังเยอะๆ ตัวเธอเองจะเริ่มงอแง และลูกชายผู้น่ารักอาจจะงอแงตาม

“ผมจะพูดเรื่องค่าจ้าง ต่อจากนี้ชั่วโมงละสองพันตลอด คุณคำนวณเอาเองแล้วจดเอาไว้นะครับ วันนี้ผมมาตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง”

“ได้ค่ะ” เธอควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายเพื่อจดโน้ตเอาไว้ น้องเสือที่นั่งอยู่บนตักเห็นเข้าก็จะแย่งไปเล่น เธอจึงดุเด็กโชว์เสียหน่อย “น้องเสือคะ อันนี้โทรศัพท์ของแม่เพ้นท์ค่ะ ถ้าน้องเสือเอาไปโดยไม่ขอจะผิดศีลข้อสี่นะคะ”

แบบนี้เรียกดุไหมนะ หรือแค่สอน...

“ศีลข้อสองครับ” อีกคนแก้ให้ ไม่รู้ว่าจะได้ยินเสียง ‘เพล้ง’ จากใบหน้าของพรรณวษาหรือไม่

“ใช่ค่ะ ศีลข้อสอง แหม คุณเดือนธันวานี่มีสมาธิจังเลยนะคะ”

“อืออ เย่นนน”

ทันทีที่เด็กชายร้องลั่น หญิงสาวก็ปล่อยโทรศัพท์ให้ไปถือไว้ แต่กลัวว่าจะเป็นการตามใจเกินไปจึงเนียนสอน

“สิ่งนี้เรียกว่าโทรศัพท์ค่ะ เวลามีปัญหาอะไรน้องเสือสามารถกริ๊งกร๊างหาแม่เพ้นท์ได้ หรือมีข้อข้องใจใดๆ สามารถพิมพ์ถามอากู๋ได้ แต่ถามแม่เพ้นท์ดีกว่า ถ้าแม่เพ้นท์ไม่รู้จะถามอากู๋ให้อีกที”

“เอาโทฉับ”

“เอาโทรศัพท์เหรอคะ ได้ค่ะ เดี๋ยวแม่เพ้นท์ซื้อให้...”

“คุณพรรณวษา”

เสียงเข้มของคนข้างๆ เรียกชื่อ เธอจึงต่อประโยคที่พูดไว้โดยพลัน

“ตอนที่น้องเสือโตกว่านี้ค่ะ! ตอนนี้ยังเด็กเกินไปนะคะ มาๆ แม่เพ้นท์เก็บโทรศัพท์ก่อน”

“อือออ”

เจ้าตัวเล็กเอี้ยวตัวหนี ซ้ำยังจับโทรศัพท์แน่นไม่ยอมคืน ถ้าอยู่คนเดียวเธอคงยอมไปแล้ว แต่ตอนนี้มีผู้สังเกตการณ์อยู่ด้วยเธอเลยยอมไม่ได้

“ไม่ได้ค่ะ เล่นโทรศัพท์ในที่มืดเสียสายตานะคะ คืนมาเถอะ”

“ฮือออ”

“อะ เล่นก็เล่นค่ะ ให้สิบนาทีนะ”

ว่าจะไม่ยอมแล้วเชียว...

เดือนธันวาหยุดรถหน้าไฟแดงก่อนจะฉกโทรศัพท์มาด้วยความรวดเร็วเกินกว่าสองแม่ลูกจะตั้งตัวทัน จากนั้นก็หย่อนลงในกระเป๋าสะพายข้างตัวเธอ ไม่สนใจเสียงหวีดร้องของเด็กที่ถูกแย่งของสักนิด

แน่นอนว่าหน้าที่ปลอบเด็กต้องเป็นของพรรณวษา

 

ช่วงเวลาก่อนถึงวันเสาร์พรรณวษาพยายามไม่รบกวนเดือนธันวามากนัก เธอและครอบครัวใช้เวลาปรับตัวเข้ากับน้องเสือจนกระทั่งเด็กน้อยเรียกได้ครบทั้งตา ยาย ป้า น้า พี่ ส่วนคำว่าแม่ได้รับพัฒนาการจาก ‘แมะ’ เป็น ‘แมะเป๊น’ ในตอนที่ได้ยินครั้งแรกเธออุ้มลูกไปตระเวนอวดทุกคน เหลือเพียงคนเดียวที่ไม่ได้อวดคือเดือนธันวา

ทุกคืนอัมพิกาจะมาทำหน้าที่กล่อมเด็กหลับด้วยเพลงเพราะๆ แต่ไม่ได้นอนด้วยเพราะสามีสั่งให้ลูกสาวเป็นผู้ดูแลหลานยามค่ำคืนคนเดียว และคืนนี้ความโหดก็เพิ่มขึ้นอีกระดับ

“แม่จะให้เพ้นท์กล่อมน้องเสือเองนะ”

“สบายมากค่ะคุณแม่”

“กล่อมเลย”

“เอาเลยเหรอคะ” พรรณวษาหันมองลูกน้อยที่ยืนเกาะเปลอยู่ เมื่อมารดาพยักหน้าจริงจังเธอก็เดินไปจับลูกนอน “นอนนะคะน้องเสือ เดี๋ยวแม่เพ้นท์ร้องเพลงให้ฟัง”

“เปงๆๆ” น้องเสือทำตาโตก่อนจะหัวเราะกิ๊กกั๊กพลางตบมือไปด้วย ทำให้หญิงสาวฮึกเหิมขึ้นมา จากนั้นก็โชว์ความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของอัมพิกา

“สาม...สอง...หนึ่ง! เมาคลีล่าสัตว์ เมาคลีล่าสัตว์ ฆ่าแชร์คาน ฆ่าแชร์คาน ถลกหนังมันออกมาให้หมด ถลกหนังมันออกมาให้หมด มันฆ่าวัว มันฆ่าควาย~”

ไม่ใช่แค่ร้องอย่างสนุกสนาน ร่างบางเต้นไปด้วยจนลูกชายอดใจไม่ไหว ลุกขึ้นมาขยับตัวตาม ทำเอาอัมพิกากุมขมับเครียด

“เพ้นท์ต้องกล่อม ไม่ใช่ให้เขาลุกมาเต้นตาม!”

“โถ่ คุณแม่ขา พอน้องเสือเหนื่อยเดี๋ยวก็หลับไปเองแหละค่ะ มาเต้นต่อค่ะลูก เมาคลีล่าสัตว์...”

“พอ!!!”

หญิงวัยกลางคนดึงลูกสาวออกก่อนจะเข้าไปกล่อมเองด้วยเพลงลาวดวงเดือนอย่างเคย ใช้เวลาอยู่นานกว่าเด็กชายจะยอมทิ้งตัวลงนอน ทว่ายังกะพริบตามองตามประสาเด็กกล่อมยาก

ส่วนคนเป็นแม่นั้น...หลับไปก่อนแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น