บทที่ ๑๒
เดือนอ้ายไปแล้ว กลับบ้านโดยไม่บอกกล่าวเธอสักคำ ปล่อยให้พี่สาวที่แกบอกว่ารักนักหนารู้จากแม่บ้านในตอนสายของวันถัดมา ครั้นเธอถามว่าเดือนอ้ายกลับบ้านกี่วัน แมวก็ไม่มีคำตอบให้
“พี่แมวว่าคงไปไม่นานหรอกค่ะ หน้าจ๋อยสนิทเหมือนไม่อยากไป เมื่อคืนหลังจากที่คุณเดียวมาส่งคุณ พี่เห็นแกร้องไห้ด้วยนะคะ ส่วนคุณเดียวก็ขับรถฉิวออกไป ถ้าไม่ติดว่าคุณอ้ายกับคุณเดียวไม่ได้รู้จักมักจี่กัน พี่คงคิดว่าทะเลาะกันเสียอีก”
“เพิ่งรู้ว่าพี่แมวก็ขาเมาท์เหมือนกันนะคะนี่” ดลฤดีสัพยอกพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างนางร้ายในละคร
แม่บ้านวัยกลางคนหัวเราะแหะๆ ก่อนจะขอตัวไปอุ่นข้าวต้มที่เดือนอ้ายเตรียมไว้ก่อนไป
หญิงสาวทำหน้านิ่วพลางคิดทบทวนถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของญาติผู้น้องเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา ตอนนั้นเธอยังถูกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กดสติสัมปชัญญะไว้จึงไม่ทันเฉลียวใจ แต่คำบอกเล่าของคนงานเก่าแก่อย่างแมวก็ทำให้เธอฉุกคิดว่าเดือนอ้ายคงมีอะไรในใจเป็นแน่แท้
คิดแล้วก็รีบพิมพ์ข้อความส่งไป
‘ถึงแล้วโทร. บอกพี่ด้วย’
เธอกำลังงอนง้อน้องหรือนี่ ดลฤดีโคลงศีรษะขบขัน
น่าแปลก แค่เพียงข้ามวันและสติสัมปชัญญะกลับมาเต็มที่ เธอก็พบว่าตนไม่โกรธสักนิดที่เดือนอ้ายมีบ้านให้กลับ มีครอบครัวให้ไปหา เพราะเธอรู้ดีแก่ใจว่าถ้าเธอลุกขึ้นทวงสิทธิ์ทั้งหมดที่สมควรเป็นของตนเมื่อไร เดือนอ้ายก็สละให้ได้ แล้วเธอจะเดือดร้อนไปไย
เสียงรถแล่นเข้ามาในรั้วบ้านส่งผลให้หญิงสาวเปลี่ยนใจจากที่จะโทร. หาคนรักแล้วก้าวไปดู เมื่อเห็นนภนต์ขับรถสปอร์ตของตนมาคืน ดลฤดีก็หัวเราะอย่างคุ้นเคยกับเหตุการณ์นี้ดี
“ขำอะไร” ชายหนุ่มถามหน้านิ่วพร้อมกับก้าวยาวๆ ขึ้นระเบียงขั้นเตี้ย
“รู้สึกเดจาวูน่ะสิ เหมือนเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นหยกๆ”
“รู้ก็ดี พักนี้เมาบ่อยไปแล้วนะคุณว่าที่เจ้าสาว”
ว่าที่เจ้าสาวไหวไหล่ด้วยท่วงท่าเสมือนไม่แคร์สื่อ ก่อนจะเดินนำเพื่อนมายังห้องอาหารที่แมวยกข้าวต้มมาให้พอดี
“เผื่อเดียวด้วยนะคะ”
มีข้าวต้ม...ก็หมายความว่าเดือนอ้ายไม่ได้กลับบ้านที่เชียงรายสินะ นภนต์ซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย อารมณ์กรุ่นโกรธที่ทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืนเบาบางลงทันที
“เออนี่ เมื่อคืนเดียวเจอยายอ้ายหรือเปล่า” ดลฤดีซักเพื่อนเมื่ออยู่ลำพัง
“เจอ ถ้าไม่เจอสิแปลก คนอยู่บ้านเดียวกันกับเพื่อนก็ต้องเจอเป็นธรรมดา”
“ถามนิดเดียวตอบเสียยาว มีพิรุธนะ”
“เฮ้ย พิรุธอะไร ไปเรียกมาถามสิ นี่น้องเธออยู่ไหน” ชายหนุ่มบอกปัดเป็นพัลวัน ปฏิกิริยาเช่นนั้นยิ่งมีพิรุธในสายตาของเพื่อนที่คบกันมานาน
ดลฤดีรอจนคนงานยกข้าวต้มและกาแฟมารับรองแขกแล้วหลบออกไป ก่อนจะเอ่ยเรื่องที่ค้างคาต่อ
“ไม่อยู่ กลับเชียงรายเมื่อเช้า”
“ว่าไงนะ!” นภนต์ลืมตัวตวาดเสียงดัง เขาวางช้อนพร้อมกับผลักชามข้าวต้มออก
แทนที่จะตกใจกับการกระทำของเพื่อน หญิงสาวจ้องตาเพื่อนรักเขม็ง สายตารู้เท่าทันโดยไม่ต้องมีคำถามคาดคั้นทำให้คนลักลอบทำผิดต้องเสหลบตา เขาได้แต่ฮึดฮัดอยากตามไปเอาเรื่องคนที่กล้าลองดีกับตน
เมื่อภายในห้องปกคลุมด้วยความเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง นภนต์จึงโพล่งระบายความโกรธเอากับเพื่อนที่มีศักดิ์เป็นพี่ของคนอวดดี
“หนูดียอมให้กลับไปทำไม ให้ที่อยู่ที่กิน พอปีกกล้าขาแข็งจะให้บินออกไปแบบนี้นี่นะ เพื่ออะไรหนูดี”
“แล้วทำไมเดียวต้องเจ็บแค้นขนาดนี้ นี่เรื่องของหนูดีแท้ๆ ยังไม่เดือดร้อนเลย”
“ก็เพราะเป็นเรื่องของหนูดีน่ะสิ!” เขาตอกกลับพลางเสยผมแรงๆ ยามไม่ได้ดั่งใจ “โอเค เรายุ่งเอง ต่อไปก็อย่ามาเล่าให้ฟังอีกนะ”
ร่างสูงลุกยืนอย่างเหลืออด ก้อนเนื้อในอกเจ็บแปลบเมื่อรู้สึกว่าเพื่อนรักหันหลังให้ กลายเป็นเขาวุ่นวายไปเอง นภนต์พาลโกรธไปถึงคนที่เป็นต้นเหตุให้เขากับดลฤดีทะเลาะกัน เขาไม่น่าหลงไปกับใบหน้าหงิมๆ และรอยยิ้มสวยๆ นั่นเลย ให้ตายสิ!
ชายหนุ่มก้มสวมใส่รองเท้า แต่ยิ่งใส่อารมณ์ทุกอย่างก็ยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก เขาเหลือบเห็นเงาของเพื่อนยืนเยื้องไปข้างหลังตนพร้อมกับได้ยินเสียงพูดจาหวานหยดย้อย
“ถึงแล้วหรืออ้าย ไปไหนไม่บอกพี่เลยนะ”
นภนต์ชะงักมือที่แกะเชือกรองเท้ามาผูกใหม่ เขานั่งตัวแข็งทื่อพลางเงี่ยหูฟังโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ต้องขอโทษหรอกย่ะ แล้วนี่จะกลับวันไหน เผื่อพี่ขึ้นไปหา”
คราวนี้คนแอบฟังหันขวับมาทั้งตัว ดลฤดีกลั้นหัวเราะตาพราว มั่นใจในความคิดของตนทันทีที่เห็นปฏิกิริยาของเพื่อน แต่เธอจะไม่ยอมอ่อนข้อให้คนปากแข็งง่ายๆ จนกว่าเขาจะสารภาพว่าแอบมีความลับกับเธอตั้งแต่เมื่อไร
นี่คือบทลงโทษของการตวาดใส่อดีตนางเอกแถวหน้าของเมืองไทยถึงสองครั้งในรอบสามวัน หึ!
“จริงสิ พี่จะชวนคุณสิทธาไปด้วย ว่าแล้วพี่โทร. หาคุณสิทธาก่อนดีกว่า เท่านี้ก่อนนะยายอ้าย”
นภนต์ขบกรามแน่นพลางหันกลับไปผูกเชือกรองเท้าต่อจนเสร็จ เขาลุกยืนอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองเพื่อนอย่างสับสนในท่าทีที่เปลี่ยนไป
“ไม่กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยแล้วหรือไง” เขาว่าด้วยน้ำเสียงเยาะหยันขึ้นจมูก
“กลัว เดียวก็ไปกับหนูดีสิ”
“ตลก” เขาเอ่ยเย็นชา ตรงกันข้ามกับใจที่ร้อนรุ่มอยากไปเสียเดี๋ยวนี้
“ตลกก็ขำสิ”
ดลฤดีย่นจมูกใส่เพื่อนก่อนหมุนตัวกลับเข้าบ้าน ชักสนุกเสียแล้วเมื่อรู้ว่าตนถือไพ่เหนือกว่าคนอื่นๆ รอบวง
รถสปอร์ตคันเล็กเลี้ยวเข้าไปในอาณาบริเวณกว้างขวางหลังกำแพงสูงใหญ่ บ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์ซึ่งมีหลังคาทรงโดมปรากฏแก่สายตา มันตั้งอยู่ท่ามกลางสนามหญ้ากว้างขวางราวกับจับวางสนามเทนนิสลงไปได้สักสี่สนาม มีต้นปาล์มขนาดใหญ่ยืนต้นเหมือนพระราชวังกลางทะเลทราย บ้าน...ที่จะกลายมาเป็นเรือนหอของเธอ
ดลฤดียิ้มแย้มทักทายคนงานสาวสองคนที่ออกมาต้อนรับ เธอส่งถุงอาหารจากภัตตาคารชื่อดังให้แก่สองสาว เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่แวะมา
“คุณสิทธาไปตีกอล์ฟตั้งแต่เช้ามืดค่า คุณหนูดีรับของว่างก่อนนะคะ”
“ขอบใจจ้ะ แต่ฉันไปกราบคุณย่าก่อนดีกว่า ท่านอยู่ที่ห้องเหมือนเดิมใช่ไหม”
“ใช่ค่า พอวันอาทิตย์ทีไรท่านบ่นคิดถึงคุณหนูดีทู้กที”
หญิงสาวหัวเราะไปกับคำบอกเล่านั้น ก่อนเธอจะแยกจากคนงานทั้งสองที่โถงของบ้านซึ่งมีแสงจากธรรมชาติสาดส่องลงมาผ่านหลังคาทรงโดม เธอเลี้ยวไปทางปีกขวาอย่างคุ้นเคยกับห้องหับต่างๆ ในบ้านหลังนี้ดี กระทั่งมาถึงห้องที่ต่อเติมใหม่เมื่อสองปีก่อนสำหรับเป็นห้องพักผ่อนและห้องนอนของสตรีสูงวัย
ดลฤดีเคาะประตูแล้วเลื่อนเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไป แม้จะต่อเติมขึ้นใหม่ แต่เครื่องเรือนต่างๆ ในห้องนั้นกลับเป็นเครื่องเรือนเก่าทำจากไม้เสียส่วนใหญ่ตามความประสงค์ของท่านผู้หญิงสายใจนั่นเอง
“คุณย่าขา”
เธอนั่งกับพื้นหน้าตั่งไม้ตัวใหญ่ที่หญิงชราพับเพียบเท้าแขนกับหมอนสามเหลี่ยม ดลฤดีกราบแทบตักย่าของคนรัก ก่อนจะไหว้สวัสดีแม่บ้านสูงวัยอีกคนที่อยู่เป็นเพื่อนท่าน
“หนูดี ย่านึกว่าอาทิตย์นี้จะไม่มาเสียแล้ว”
ท่านผู้หญิงสายใจในวัยเก้าสิบสองปียังคงพูดจาและรับฟังได้ค่อนข้างชัดเจน เว้นแต่การเดินเหินที่ต้องใช้รถเข็นช่วยพยุงกับหูตาที่ฝ้าฟางขึ้นทุกวัน
“มาค่ะ อย่างไรก็ต้องมาเพราะรู้ว่าวันอาทิตย์หลานชายคุณย่าหนีไปตีกอล์ฟ หนูดีกลัวคุณย่าเหงา เพียงแต่ว่าวันนี้ตื่นสายไปนิดน่ะค่ะ” หญิงสาวเอ่ยพลางบีบนวดขาของท่านอย่างประจบประแจงและลุแก่โทษในที
“โธ่ แม่คุณ อีกหน่อยย่าก็ไม่เหงาแล้วสินะ เพราะหนูดีจะต้องมาอยู่ที่นี่ เป็นหลานสะใภ้ของย่า” เจ้าของเสียงแหบแห้งเอ่ยกลั้วหัวเราะ “แล้วนี่เตรียมงานกันถึงไหนแล้ว”
ดลฤดีรายงานเรื่องต่างๆ ให้หญิงชราฟัง ขณะเดียวกันก็รับฟังคำแนะนำของท่านจนเพลิน ไม่ได้ยินว่าเสียงรถยนต์ของเจ้าของบ้านกลับมาตั้งแต่เมื่อไร กระทั่งอาสาออกไปนำของว่างมาให้ท่านจึงได้สังเกตเห็นรถเมอร์เซเดสคันใหญ่จอดอยู่ข้างรถของเธอ
เด็กสาวรับใช้บอกว่าสิทธากลับมาถึงพักหนึ่งแล้ว แล้วเธอก็ต้องย่นคิ้วแปลกใจที่เขาตรงขึ้นไปยังห้องส่วนตัว ไม่ได้แวะหาเธอกับย่าที่ห้องเหมือนเคย
“เอ...พ่อสิทธายังไม่กลับอีกหรือลูก บ่ายสามกว่าแล้วไม่ใช่หรือ” ผู้เป็นย่าเอ่ยถามหลังคนรักของหลานชายยกข้าวเกรียบปากหม้อมาให้
“กลับมาแล้วค่ะคุณย่า แต่สงสัยจะขึ้นไปอาบน้ำ” เธอตอบพลางรินชาจากกาให้ท่าน
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นอย่ามัวมาปรนนิบัติคนแก่อยู่เลย ไปดูแลพ่อสิทธาเถิด” หญิงชราเอ่ยพลางถอนหายใจ “ทำงานหามรุ่งหามค่ำ หายใจเข้าออกเป็นงาน ย่าเห็นแล้วอ่อนใจเหลือเกิน กลัวจะเหมือนพ่อของเขาอีกคน”
“คุณย่า”
ดลฤดีหวนนึกถึงเรื่องราวของลูกชายท่านที่ได้รับรู้หลังจากรู้จักท่านในงานการกุศลเมื่อกว่าเจ็ดปีก่อน ตอนนั้นเธอเพิ่งเข้าสู่วงการบันเทิงได้เพียงปีเศษและได้รับเชิญไปขับร้องเพลงของวงสุนทราภรณ์ อันเป็นงานการกุศลที่รวมผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมไว้มากมาย ครั้นลงจากเวทีเธอจึงได้ทราบจากผู้จัดงานว่าท่านผู้หญิงสายใจฝากคำชมมาถึงเธอ
หญิงสาวเข้าไปกราบขอบคุณท่าน ก่อนจะได้พูดคุยทำความรู้จักกันจนได้รู้ว่าท่านมีอายุถึงแปดสิบห้าปี แต่กลับเป็นคนทันโลกทันยุคสมัย ยิ่งได้พูดคุยเรื่องบทเพลงของสุนทราภรณ์ด้วยกันก็ยิ่งถูกคอ เพราะแต่เดิมดลฤดีเคยฟังและร้องกับยายจนซึมซับไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อผู้ใหญ่ในงานหลายคนเห็นเธอพูดคุยกับท่านผู้หญิงสายใจอย่างออกรสจึงเข้ามาร่วมวงสนทนา กลายเป็นว่ารอบโต๊ะนั้นมีชายหญิงชรากว่าสิบคนกับหญิงสาวแค่คนเดียว
คืนนั้นเองที่เธอได้พบกับหลานชายของท่านเป็นครั้งแรก สิทธามีผิวสีแทนเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ ชนิดที่ตรงกับคำนิยามว่า ‘ดาร์ก ทอล แฮนด์ซัม’ ทุกประการ ผู้บริหารหนุ่มดูจะเป็นที่รักของผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนเช่นกัน แล้วเธอก็ขวยเขินเมื่อสบตาเข้ากับเขาโดยบังเอิญ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับเพื่อนชายหรือพระเอกคนใด
หลังจากชายหนุ่มมารับย่าของเขากลับจากงาน เธอจึงได้รู้จากคุณหญิงคนหนึ่งว่าท่านผู้หญิงสายใจสูญเสียลูกชายกับลูกสะใภ้เพราะเหตุลอบสังหารจากการขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ ท่านเพิ่งกลับมาออกงานสังคมอีกครั้งก็เมื่อหลานชายคนเดียวเข้ารับช่วงต่อกิจการอย่างเต็มตัว หญิงสาวนึกทึ่งที่สิทธาสามารถดูแลบริหารงานบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ได้ด้วยดี เขาแตกต่างจากเพื่อนชายที่เธอคบหาซึ่งถึงแม้จะเป็นทายาทเจ้าของธุรกิจใหญ่โต แต่ก็มีหน้าที่เพียงรอรับเงินปันผลเท่านั้น
ดลฤดีบีบกระชับมือเหี่ยวย่นพร้อมกับให้คำมั่นสัญญาแก่สตรีสูงวัย
“คุณย่าอย่าคิดมากนะคะ หนูดีจะดูแลคุณสิทธาเอง และถ้าขืนดื้อ หนูดีขออนุญาตดุหลานชายคุณย่านะคะ”
ผู้เป็นย่าเลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วกลับหัวเราะชอบใจ
“ย่าจะทำเป็นไม่ได้ยินเสีย”
ว่าที่หลานสะใภ้ยืดตัวจุมพิตแก้มหญิงชรา ก่อนเธอจะเอ่ยขอตัวกับท่านแล้วเดินออกมาจากห้องเพื่อขึ้นบันไดไปชั้นบน
ระเบียงทางเดินชั้นสองของบ้านสว่างจ้าด้วยแสงที่ส่องผ่านหลังคากระจกขุ่นเข้ามา แล้วเธอก็เห็นสาวใช้ถือถาดรองแก้วกาแฟกลับออกมาจากห้องทำงานของสิทธา คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจทันที
เขาคงอาบน้ำเสร็จแล้วแต่กลับเก็บตัวอยู่ในห้องทำงาน แทนที่จะลงไปพูดคุยและรับประทานของว่างกับเธอและย่าของเขาเช่นทุกที สิทธาที่เธอรู้จักไม่ใช่คนเมินเฉยกับผู้อื่นเช่นนี้ โดยเฉพาะกับเธอและย่าของเขา
ดลฤดีสลัดความคิดรบกวนจิตใจทิ้งไป เธอแง้มประตูไม้บานใหญ่ จึงพบว่าภายในห้องมืดสลัวเกินกว่าจะทำงานได้ ส่วนสิทธาเพียงนั่งพาดขากับแท่นวางระหว่างดูรายการกีฬาย้อนหลัง เขาปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนเบือนหน้ากลับไปสนใจโทรทัศน์
อะไรกัน! เธอต่างหากที่ต้องงอนเขา กลายเป็นว่าเขาทำเหมือนงอนเธออยู่อย่างไรอย่างนั้น หญิงสาวข่มใจสงบสติอารมณ์ ร่างระหงก้าวไปนั่งเบียดบนโซฟาตัวเดียวกันพลางอิงศีรษะกับไหล่หนา ถ้าไม้นี้ไม่ได้ผลเธอคงต้องพูดคุยกับเขาจริงจัง
แต่แล้วดลฤดีก็ต้องทำหน้านิ่ว เขาไม่ได้เบี่ยงกายหลบก็จริง แต่ก็ไม่ได้โอบเธอเช่นทุกครั้ง
“คุณโกรธอะไรหนูดีคะนี่” เธอเงยหน้ามองเขาพร้อมกับย่นจมูกอย่างไม่พอใจ
“ถ้าคุณไม่ได้ทำให้ผมโกรธ ทำไมถึงคิดว่าผมโกรธคุณ” เขาย้อนเสียงเรียบพลางจ้องตอบคนรักแน่วนิ่ง
หญิงสาวเบิกตามองอีกฝ่ายอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอพยายามคิดทบทวนความผิดของตน แต่ก็ไม่เห็นความผิดไหนจะมหันต์ให้เขาต้องปั้นปึ่งเช่นนี้เลย
ในที่สุดคนที่เคยเป็นแต่เพียงฝ่ายโกรธก็ไม่วายเหวี่ยงกลับฉุนๆ
“คุณพูดจาไม่รู้เรื่อง แถมยังหาเรื่องแบบนี้ หนูดีไม่อยากคุยด้วยแล้ว”
เธอทำท่าจะลุกจากไป แต่ถูกมือใหญ่ฉวยต้นแขนไว้ได้ทัน สิทธากวาดตามองดวงหน้างดงามทว่าบึ้งตึงของคนรักราวกับต้องการค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้าหล่อน
“หนูดีเลือกแต่งงานกับผมเพราะอะไร” เขาถามออกไปคล้ายละเมอ
“ทำไมคะ ทำไมถามหนูดีแบบนี้”
“เผื่อว่าหนูดีก็ไม่มั่นใจ เหมือนผม”
ราวกับสายฟ้าฟาด ดลฤดีจ้องมองว่าที่เจ้าบ่าวด้วยแววตาว่างเปล่า เขาบอกเธอว่าไม่มั่นใจอย่างนั้นหรือ เขามาบอกเธอตอนที่เธอมีแต่ภาพของเขารวมอยู่ในอนาคตของตน
“หนูดี”
หญิงสาวเบือนหน้าหนีมือที่ยื่นมาหมายซับน้ำตา เธอไม่เข้าใจและน้อยใจ หากจะมีใครทำให้เธอต้องเสียน้ำตา เธอไม่คิดเลยว่าคนคนนั้นจะเป็นสิทธาไปได้ เขาเป็นคนสุดท้ายในโลกที่เธอคิดว่าจะทำให้เธอเสียใจ แต่ความรู้สึกที่เผชิญอยู่ตอนนี้กลับยิ่งกว่าคำนั้นเสียอีก
เธอคิดไม่ออกว่าใครหรือตัวแปรใดทำให้เขาไม่มั่นใจที่จะร่วมชีวิตคู่กับเธอ เพราะความงี่เง่าเอาแต่ใจของเธอหรอกหรือจึงทำให้เขาเบื่อ แล้วทำไมทนเบื่อมาได้ตั้งห้าปี
ดลฤดีสูดหายใจลึกพลางกรีดน้ำตา เธอต้องไปจากตรงนี้ เธอต้องการสงบสติอารมณ์เสียก่อนแล้วคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป เออหนอ เธอเคยหวาดกลัวสิทธาจะสนใจเดือนอ้ายก็จริง แต่ ณ ขณะนี้เธอกลับไม่คิดอยากยื้อเขาไว้ถ้าเขาหมดรักเธอ
“หนูดี...”
ร่างระหงก้าวลงบันไดอย่างรวดเร็ว ไม่อนาทรต่อเสียงเรียกเจือแววห่วงใยที่ดังตามมา ก่อนจะหยุดชะงักพลางหันหน้าหนีเพื่อเช็ดน้ำตามิให้สตรีสูงวัยต้องมารู้เห็นและทุกข์ใจ
“ย่าจะไปนั่งเล่นที่สนามเสียหน่อย หนูดีกับพ่อสิทธามาพอดี หรือเย็นนี้จะตั้งโต๊ะหน้าบ้านดีล่ะ”
“หนูดีขอโทษค่ะคุณย่า หนูดีนึกได้ว่าติดธุระสำคัญ” เธอก้มหน้าหลบตาตอบ หารู้ไม่ว่าต่อให้เธอเคยได้รางวัลทางการแสดง ก็ไม่อาจตบตาผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและรู้จักเธอเป็นอย่างดีคนหนึ่งได้
“อ้าว เหรอ ไม่เป็นไรลูก อาทิตย์หน้าค่อยมาหาย่าใหม่นะ”
ดลฤดีสวมกอดย่าของคนรักเพื่อซ่อนน้ำตา ก่อนจะขยับมาไหว้ลาจดอกท่าน
“หนูดีลานะคะคุณย่า”
ท่านผู้หญิงสายใจลูบเรือนผมยาวสลวยพร้อมกับอวยพรผู้เยาว์เช่นทุกครั้งที่ล่ำลา เมื่อว่าที่หลานสะใภ้จากไปแล้วจึงหันมาจับจ้องหลานชายอย่างเป็นจริงเป็นจัง สีหน้าพ่อคนนี้ก็อมทุกข์ไม่น้อยไปกว่ากัน และคอยแต่มองออกไปนอกประตูที่ปิดสนิทพลางลอบถอนใจ
“ไปเดินเล่นกับย่าไหม สิทธา”
หนุ่มใหญ่ผินมองย่าด้วยท่าทางตกใจเล็กน้อย เขาก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายไปประคองสตรีที่ตนรักและเคารพสุดหัวใจ แม้ย่างก้าวของย่าจะเชื่องช้าและไม่มั่นคงลงทุกวัน แต่เขาก็ไม่เคยเบื่อที่จะเดินเล่นกับท่านเลย
“คุณย่าสบายดีนะครับ” เขาชวนท่านคุยแก้ความรู้สึกเก้อกระดาก แล้วก็เก้อกว่าเดิมเสียอีกเมื่อถูกท่านย้อนเนิบๆ
“ถามเหมือนอยู่คนละบ้านกัน”
“ก็...ผมไม่ค่อยมีเวลา” หลานชายตอบเสียงอ่อย
“ย่าน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่กับหนูดี สิทธามีเวลาให้น้องบ้างหรือเปล่า”
“ครับ คุณย่า”
“จริงหรือ แล้วทำไมน้องถึงได้ร้องไห้กลับไป”
สิทธาประคองย่านั่งลงในศาลาแปดเหลี่ยมกลางสนามหน้าบ้าน ก่อนจะนั่งลงตามและเสหลบตาท่าน
“ถ้าย่ารู้ว่าการชักนำเราสองคนให้รู้จักกันจะมีจุดจบไม่สวยงาม ย่าคงเสียใจที่สุด”
ไม่...ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย ผู้เป็นหลานนึกย้อนไปถึงคืนที่เขาไปรับย่าจากงานการกุศล คืนที่เขาได้พบหญิงสาวเป็นครั้งแรกและถูกตาต้องใจในทันที ใช่แต่เพียงหน้าตางดงามของเธอ แต่เป็นการที่เจ้าหล่อนสามารถพูดคุยกับผู้ใหญ่หลายท่านได้อย่างไม่มีอาการขัดเขินหรือสีหน้าเหม็นเบื่อ เมื่อได้สบตาเธอ หัวใจของเขาก็กระตุกเสียศูนย์ราวกับกลับไปเป็นเด็กหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากคืนนั้น สิทธาสนใจเรื่องราวรอบตัวมากขึ้นกว่าแค่แวดวงธุรกิจ ในคืนที่มีละครซึ่งดลฤดีนำแสดง เขามักหาเวลานั่งดูกับผู้เป็นย่าเสมอ พร้อมกันนั้นเขาก็ได้รับรู้ข่าวลือต่างๆ ถึงเธอในฐานะนักปาร์ตีตัวยง ทว่าดลฤดียังคงเป็นนางฟ้าในใจของเขากับย่าเสมอมา
สามเดือนต่อมา ผู้บริหารหนุ่มได้พบหญิงสาวอีกครั้งในงานวันเกิดท่านผู้หญิงสายใจ เจ้าหล่อนมาขับร้องเพลงของวงสุนทราภรณ์ตามที่ท่านให้คนติดต่อไป เสียงหวานยามลากหางเสียงขับกล่อมเสมือนบ่วงร้อยรัดหัวใจของเขาไว้ที่เธอนับแต่นั้น
เมื่อแรกรู้จัก ทั้งสองสานสัมพันธ์กันโดยมีหญิงชราและเรื่องงานเป็นตัวเชื่อม จนกระทั่งพัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นคนคบหาดูใจกันในสองปีต่อมา ระหว่างช่วงเวลานั้นใช่ว่าดลฤดีไม่เคยมีข่าวคราวเสียหาย รวมทั้งตัวเขาเองก็ได้ประสบพบเจอด้านที่เอาแต่ใจของเธอ ทว่าเขาไม่ได้คบเจ้าหล่อนเพราะความสมบูรณ์แบบ ความรักต่อเธอต่างหากที่ทำให้ดลฤดีสมบูรณ์แบบในสายตาเขา จวบจนวินาทีนี้ก็ตาม
สิทธาลอบถอนใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงข่าวที่รบกวนจิตใจมาทั้งวัน ภาพที่นภนต์แบกร่างคนรักของเขาไว้บนหลังถูกแอบถ่ายจากลานจอดรถในคอนโดมิเนียมของชายหนุ่ม และได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมออนไลน์อย่างหนักหน่วง แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจมิใช่เพราะหวาดระแวงต่อความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง เพราะหากสองคนนั้นรักกัน ไม่มีความจำเป็นที่ดลฤดีจะต้องทนคบกับเขาต่อไป แต่เขาน้อยใจและรู้สึกว่าตนช่างไร้คุณค่าที่คนรักไม่เคยเลือกเขาเป็นที่ระบายหรือปลดปล่อยตัวตนของเธอ
“สิทธา”
ผู้เป็นหลานฝืนยิ้มให้ย่าสบายใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ของตนกับดลฤดีจบลงอย่างไม่สวยงามเด็ดขาด ต้องขอบคุณท่านเสียด้วยซ้ำที่ทำให้ความรู้สึกหนึ่งแจ่มชัดขึ้นในใจ เขาอาจไม่ใช่คนแรกและคนเดียวที่รักเธอ แต่เขามั่นใจว่าจะเป็นคนสุดท้าย...เป็นความรักที่หลงเหลืออยู่กับเธอตลอดไป
“คุณย่าอย่าห่วงไปเลยครับ ผมกับหนูดีรักกันดี แค่...ไม่เข้าใจกันบ้างเป็นธรรมดา”
“อย่าเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อไม่เข้าใจกันก็ต้องพูดจากันด้วยสติและเหตุผลให้เข้าใจ อย่าเก็บสะสมไว้จนทิฐิมานะพอกพูน”
ผู้ที่บริหารงานเฉียบขาดกลับต้องก้มหน้ารับฟังผู้เป็นย่าอบรมเรื่องการบริหารความสัมพันธ์
“ครับ คุณย่า ผมขอเวลาคิดทบทวนกับตัวเองไม่นาน ผมจะพาหลานสะใภ้มากราบคุณย่านะครับ”
หญิงชรายิ้มบางๆ ให้หลานชายเพียงคนเดียวของตน สิทธามีนิสัยอย่างผู้ใหญ่ที่ต้องคิดพิจารณาทุกสิ่งเสมอ เธอจึงเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับปากเพียงส่งๆ ไป ห่วงก็แต่ว่าที่หลานสะใภ้ที่ยังคงติดนิสัยอย่างเด็ก ใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ
ผู้สูงวัยได้แต่หวังว่านี่อาจเป็นบททดสอบสำคัญของหนุ่มสาว ก่อนก้าวไปสู่ความสัมพันธ์อีกขั้นหนึ่งอย่างมั่นคง
ความคิดเห็น |
---|