“อย่าทำอย่างนี้อีกนะ” เขาถือดีสั่ง ทว่ามีเพียงความเงียบจนต้องขึ้นเสียงอีกรอบ “เอ้า! ยังอีก ฉันพูดไม่ได้ยินหรือไง”
เดือนอ้ายไม่มีเสียงตอบ ได้แต่พยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นกลับลงไป ไม่ใช่เพราะเธอกลัวหรือเกลียดเขา แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องบังคับขู่เข็ญเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเหมือนเธอเป็นตุ๊กตาที่เขาไม่ชอบ แล้วมาเล่นกับเจ้าตุ๊กตาตัวนั้นทำไม
“อ้าย!”
เสียงตวาดดังก้องรถทำเอาผู้โดยสารสะดุ้งตกใจ น้ำตาร่วงเผาะอย่างไม่อาจฝืนกลั้นเก็บไว้ได้อีก
กลับเป็นคนดุที่ตกใจไม่น้อยกว่ากันเมื่อหันมาเห็นหญิงสาวร้องไห้ จังหวะเดียวกับที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง นภนต์จึงยื่นมือไปเชยคางเด็กขี้แยให้หันมา
“อะไร แค่นี้ต้องร้องไห้”
แม้น้ำเสียงจะลดระดับลง แต่สำหรับคนฟัง กระแสเสียงนั้นสะท้อนถึงความรำคาญของผู้พูดอยู่ดี เธอจึงอดพยศด้วยการขืนเกร็งใบหน้าไม่ให้หันไปไม่ได้
“อย่าดื้อน่า กับฉันทำไมฤทธิ์เยอะนักฮึ อ้าย”
นิ้วมือที่เขาใช้ซับน้ำตาให้เธอทั้งใหญ่และร้อนผ่าว ไม่ว่าลากไปทางไหนบนใบหน้าก็พลอยร้อนเห่อขึ้นมา คราวนี้เดือนอ้ายพยายามก้มหน้าหลบตาด้วยอับอายในความอ่อนแอของตน แว่วเสียงหัวเราะในลำคอดังมาจากคนที่เคลื่อนรถออกไปตามสัญญาณไฟ
เขาหัวเราะเธออีกแล้ว เขาทำเหมือนเธอไม่ได้เรื่องได้ราว แล้วมายุ่งกับเธอทำไม
“กินข้าวรึยัง” ชายหนุ่มถามและเอ่ยสำทับทันที “ตอบดีๆ อย่าให้ต้องดุ”
“ค่ะ” เธอกระแทกเสียงตอบ
นภนต์ลอบถอนใจอย่างคร้านจะระเบิดอารมณ์อีก พอดีด้วยละฤทธิ์เยอะ พอดุเข้าหน่อยก็น้ำหูน้ำตาไหล
“ถ้าอย่างนั้นก็รอ ฉันไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เจ้าบ้านก็หนีออกมา”
คนขับเลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมัน เขาดับเครื่องยนต์หน้าร้านกาแฟสดภายในปั๊ม ก่อนจะลดกระจกรถและเอ่ยกำชับให้เธอรอ ห้ามไปไหน
เดือนอ้ายเองก็เหนื่อยที่จะหนีอีกแล้ว เขาทำให้รู้ว่าเอาจริง ไม่ว่าเธอจะหลบหน้าอย่างไรก็ไม่เป็นผล เมื่อเขาบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเธอก็ดีเหมือนกัน บางทีอาจเป็นเรื่องเดียวกับที่เธออยากบอกเขาก็เป็นได้
ไม่นานนภนต์ก็ก้าวออกมาจากร้านกาแฟพร้อมแก้วพลาสติกและซองแซนด์วิชในมือ ถ้าตาไม่ฝาด เธอคิดว่าตนมองเห็นรอยยิ้มมุมปากราวกับจะเยาะหยันคนทั้งโลกของเขา ชายหนุ่มเข้ามานั่งในรถพลางส่งห่อแซนด์วิชให้เธอ เขาออกคำสั่งสั้นๆ ว่า “แกะ” ก่อนเจ้าตัวจะซดกาแฟอึกใหญ่
มือหนาวางลงบนศีรษะของเธอ ไม่ต่างจากกิริยาที่พี่ปฏิบัติต่อเธอยามเธอทำอะไรถูกใจ เมื่อเป็นพี่...เดือนอ้ายจึงอิ่มเอมใจ แต่กับผู้ชายคนนี้...อย่างไรเธอก็ไม่ควรรู้สึกเช่นนั้นไม่ใช่หรือ หัวใจสาวห่อเหี่ยวก่อนที่มันจะพองโตเสียอีก
เธอได้แต่นั่งรอเขากินเงียบๆ เมื่อใดเขาเผลอก็ลอบมองท่าทางกินง่ายอยู่ง่ายของนภนต์อย่างแปลกใจ เพราะมันช่างขัดกับภาพลักษณ์และบุคลิกของเขาเหลือเกิน แล้วหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งตกใจพร้อมกับร้อนวาบไปทั้งดวงหน้า เมื่อดวงตาคมปรายมาสบตาเข้าพอดี
“คุณบอกว่า...มีเรื่องจะคุย” เธอเอ่ยแก้เก้อปากคอสั่น
“อืม”
คำตอบสั้นๆ แค่นั้นทำเอาคนฟังหันขวับจนคอแทบเคล็ด ตาวาวโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
“ดูทำหน้าทำตาเข้า ปรานีความขี้เหร่ของตัวเองบ้าง” นภนต์บอกกลั้วหัวเราะ
ทว่าเดือนอ้ายกลับสับสนและน้อยใจไปถึงไหนต่อไหน เธอเม้มปากกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ ดวงตากลมโตแดงเรื่อ แต่ไม่ละสายตาไปจากเขาสักวินาทีเดียว
“ถ้า...ถ้าอ้ายทำให้คุณไม่พอใจในทุกเรื่องที่ผ่านมา” เธอกลั้นใจเอ่ยอย่างไม่อาจทนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีกแล้ว มือบางกระพุ่มจดอก “อ้ายขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ แต่ว่า...”
“ไม่เอาน่ะอ้าย” นภนต์ขัดเสียงดุพร้อมกับจับมือของเจ้าหล่อนลง คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจการกระทำที่มองออกว่าออกมาจากใจ ทว่าสุภาพและเย็นชา เพราะนี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของเขา เขาไม่ได้ต้องการคำขอโทษใดๆ นอกจากต้องการทำความรู้จักเธอ แต่ทุกอย่างกลับเริ่มต้นผิดไปหมด
“ฟังนะ ลืมเรื่องบ้าๆ พวกนั้นไปเสียเถอะ ถ้าไม่อยากมีปัญหาก็เลิกหลบหน้าหลบตาฉันเสียที ถ้าฉันอยากเจอต้องได้เจอ อยากคุยก็ต้องคุย เห็นไหม แค่นี้ก็ไม่มีปัญหา” เขาว่าง่ายๆ แต่คนฟังไม่เข้าใจ
“ทำไมคะ”
“ทำไมอะไร” ชายหนุ่มกลับเป็นฝ่ายงุนงงบ้าง เขาว่าเขาพูดชัดเจนดีแล้วแท้ๆ
“ทำไมต้องเจอ ต้องคุย เมื่อก่อน...”
“นี่ไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม” เขาขัดเสียงเข้ม “บอกว่าให้เลิกนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา ฉันถูกใจอ้าย อยากคุยอยากเจอบ้าง จะอะไรอีก”
เดือนอ้ายไม่ทันได้ใส่ใจหางเสียงที่สะบัดด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ เพราะหัวใจเต้นโครมครามตั้งแต่ได้ยินประโยคก่อนหน้านั้น มันทำให้หูของเธออื้ออึง ดวงตาเบิกโตอย่างตะลึงลาน และสมองก็ว่างเปล่าขาวโพลน
เขาถูกใจเธอ...ผู้ชายร้ายกาจและเพียบพร้อมอย่างนภนต์น่ะหรือจะถูกใจเด็กนักศึกษาทั่วไปอย่างเธอ สังคมของเขามีแต่คนดังและคนรวยทั้งหลาย แล้วทำไม...
หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอเห็นดวงตาคู่คมราวใบมีดตวัดมอง ก่อนจะเสหลบตาพลางค้นหาโทรศัพท์ในถุงผ้าอย่างลนลาน
“ตรงเวลาจริงนะ” ชายหนุ่มเอ่ยลอดไรฟัน
เขาสตาร์ตเครื่องยนต์อีกครั้ง หูก็แว่วเสียงหงุงหงิงพูดคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ท่อนแขนที่มีมัดกล้ามน้อยๆ จึงจงใจพาดเกินพนักเก้าอี้ผู้โดยสารมาแตะต้องศีรษะและข้างแก้มของเจ้าหล่อนขณะถอยรถ เห็นจากหางตาว่าเธอรีบกระถดตัวหนีและวางสายแล้วก็ได้แต่ถอนใจหงุดหงิด
“บอกเบอร์มาด้วย” เขาสั่งโดยไม่หันไปมอง
เดือนอ้ายบอกหมายเลขโทรศัพท์อุบอิบ ก่อนเขาจะกดต่อสายถึงเธอและรอจนเสียงเรียกเข้าดังขึ้นจึงวางสาย แต่นภนต์ยังไม่พอใจแค่นั้น เขายังบังคับให้เธอบอกชื่อที่ใช้ในแอปพลิเคชันสนทนาและโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ อีกด้วย
“เดี๋ยวอ้ายแอดไปเองก็ได้”
เธอบอกตัวเองว่าที่ต้องตอบเช่นนั้นเพราะหวาดกลัวการขับรถมือเดียวของเขา นภนต์เล่นกดโทรศัพท์มือหนึ่ง เดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงยมองถนนหนทาง
“เร็ว เดี๋ยวนี้”
คนเสนออยากเปลี่ยนใจเสียเดี๋ยวนั้น เขาจะพูดกับเธอดีๆ บ้างไม่ได้เชียวหรือ เธอมั่นใจว่าเขาคงไม่ชักเสียงใส่ทุกคำเช่นนี้ยามพูดจากับเพื่อนๆ ของเขาเป็นแน่ ดูอย่างที่เขาพูดคุยกับพี่ของเธอ น้ำเสียงของนภนต์ฟังผ่อนคลาย เจือรอยแย้มหัวอยู่เสมอ
ไม่...เดือนอ้ายไม่ได้น้อยใจ เธอแค่สับสนระหว่างการกระทำกับคำพูดของเขาต่างหาก เมื่อเขาบอกว่าถูกใจเธอ แต่กลับทำเหมือนดูแคลนเธออยู่ในที
“แค่นี้ต้องถอนใจ” เขานึกเขม่นคนที่ทำเหมือนลำบากใจเสียเต็มประดา แต่คร้านจะดุว่าให้อีกฝ่ายเสียขวัญ เมื่อเจ้าหล่อนเลิกดื้อและส่งคำขอเป็นเพื่อนมาตามที่เขาบอก
“ส่งอ้ายข้างรั้วก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเดินเข้าไปเอง”
“อืม”
ชายหนุ่มกดไฟกะพริบขอทางพลางเคลื่อนรถเทียบทางเท้า แล้วก็เก้อไปเหมือนกันเมื่อเดือนอ้ายพนมมือไหว้ หากไม่นับที่เธอขอโทษเขาเมื่อกี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหล่อนไหว้สวัสดีตน
นภนต์มัวแต่ทำความรู้จักกับความรู้สึกแปลกใหม่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็เดินหายเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้คำตอบแน่ชัดว่าสิ่งใดทำให้ตนรู้สึกดีเมื่อตื่นมา ร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขนหรือไวน์
เดือนอ้ายฝืนปั้นหน้าเป็นปกติเมื่อกลับมาพบเพื่อนรวมตัวทำรายงานอยู่ด้วยกัน โชคดีที่ไม่มีใครผิดสังเกตว่าเธอหายไปไหนมา ยกเว้นแต่โชติที่มองเธอด้วยแววตาเห็นใจ
“โอเคนะ”
“อื้ม” หญิงสาวตอบพร้อมกับแย้มยิ้ม
“ไปไหนมาเหรออ้าย โชติบอกว่าแกเจอคนรู้จัก” พิมพ์อักษรถามทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
“ใช่ๆ ออกไปคุยธุระกันนิดหน่อย” เดือนอ้ายรีบรับสมอ้าง ก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองบ้าง “ถึงไหนกันแล้วอ่า”
ทว่ายังไม่ทันได้ดูว่าเพื่อนๆ ทำรายงานไปถึงไหน เสียงเตือนข้อความเข้าก็ดังมาจากโทรศัพท์มือถือเสียก่อน เธอต้องรีบเปิดดูเมื่อเห็นชื่อของนภนต์ ก่อนที่พิมพ์อักษรจะตาไวหันมาเห็นให้ได้ลำบากใจกว่านี้
เดือนอ้ายรู้สึกผิดคาดเมื่อเขาไม่ได้ส่งข้อความอะไรมา นอกจากรูปกล่องของขวัญที่หมายความว่าเขาส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนมาให้ แล้วคนรักการ์ตูนก็แทบกรีดร้องในลำคอด้วยความชอบใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนซื้อสติกเกอร์แบบที่ต้องจ่ายเงินให้เธอ มือสั่นๆ รีบกดส่งตัวการ์ตูนแทนคำขอบคุณให้ผู้ซื้อให้ทันที
หัวใจสาวพองโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอรู้สึกจั๊กจี้พวงแก้มเมื่อต้องกลั้นยิ้ม ลืมไปว่าไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เธอเพิ่งร้องไห้เพราะเขา ลืมไปว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอยังคิดว่าเขาและพี่ของตนมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน
หลังจากจี๊ซบาร์ดำเนินกิจการมาได้เข้าสู่ปีที่หก นภนต์จึงคิดจะหาลู่ทางเปิดร้านใหม่ที่รองรับลูกค้ากลุ่มคนทำงานหรือมนุษย์เงินเดือนทั่วไป จึงตั้งธงไว้ว่าคอนเซปต์ของร้านใหม่นี้คือมินิมัลบาร์ ซึ่งเบาลงทั้งในแง่จุดขายและภาระรับผิดชอบหลังลงทุน เขาอยากพิสูจน์ว่าลำพังตัวเขานั้นสามารถพากิจการไปรอดได้ โดยไม่ต้องพึ่งชื่อเสียงของกลุ่มเพื่อนที่เป็นลูกค้าของตน
สถานที่ที่นภนต์สนใจคือชั้นดาดฟ้าของตึกสำนักงานสูงสามสิบชั้นย่านอโศก หลังจากผู้เช่าเดิมประกาศเซ้งต่อเมื่อไม่อาจประคับประคองกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นแบบพรีเมียมให้ไปรอดได้ แต่นั่นกลับไม่ทำให้เขาหวั่นใจว่าตนจะซ้ำรอย เพราะถือว่ากลุ่มเป้าหมายต่างกัน
เสื้อยืดสีดำใต้แจ็กเก็ตยีนเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ แต่ชายหนุ่มมิได้ยี่หระ ยังคงสำรวจ วัด และถ่ายรูปสถานที่ท่ามกลางแดดเปรี้ยงนานนับชั่วโมง
“ถ้าอย่างไรวันนัดเซ็นสัญญาผมจะนัดฝ่ายกฎหมายของบริษัทเจ้าของตึกนี้มาพบกันด้วย”
“ครับ ขอบคุณมาก”
นภนต์ยิ้มบางๆ ชั่วพริบตารอยยิ้มก็เลือนหายไปจากใบหน้า เพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าตึกสำนักงานแห่งนี้เป็นของบริษัทที่สิทธาบริหาร ไม่ช้าไม่นานเรื่องอาจรู้ถึงหูดลฤดี ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น ไม่อยากใช้ชื่อเสียงของเพื่อนรักเรียกลูกค้าเช่นในอดีต
เสร็จธุระแล้วต่างฝ่ายต่างแยกย้าย แต่แทนที่จะกลับคอนโดมิเนียมที่พักของตนหรือแวะไปที่ร้าน ชายหนุ่มกลับมุ่งหน้ากลับบ้านในจังหวัดนนทบุรีเพื่อค้นหาอุปกรณ์ที่เคยใช้เขียนและคำนวณแบบก่อสร้าง ยิ่งมีภาพร่างในหัวเขาก็คันไม้คันมือขึ้นมา หลังวางมือจากการออกแบบตั้งแต่เรียนจบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มากว่าสิบปี
เขาใช้ความคิดไปตลอดทาง กระทั่งรถแล่นมาถึงบ้านเดี่ยวบนเนื้อที่หนึ่งร้อยยี่สิบตารางวา อาณาบริเวณภายในรั้วร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ที่กิ่งก้านแกว่งไกวเสมอ โมไบล์โลหะที่แขวนตามกิ่งก้านสาขาเกิดจากฝีมือของเขาซึ่งปีนขึ้นไปแขวนเอง เสียงกรุ๋งกริ๋งของมันเป็นเสียงที่เขาไม่ได้ยินมานาน
ร่างสูงลืมตัวยืนล้วงกระเป๋า เอนหลังพิงรถอยู่เช่นนั้น ก่อนเสียงทักจากหญิงชราจะเรียกให้เขาผินมอง
“คุณเดี๊ยววว พ่อคุณ คิดถึงเหลือเกินค่ะ”
นภนต์กางแขนรับร่างเหี่ยวย่นเข้าสู่อ้อมกอดพลางหัวเราะในลำคอ เขาเพิ่งนึกได้ว่าตนไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาฝากแกเลย
“แม่เล็กสบายดีไหม”
คนที่ถูกเรียกว่าแม่ยกมือลูบแก้มของชายหนุ่มที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก ทั้งที่แกเป็นเพียงแม่นมให้ลูกของเจ้านายเท่านั้น แต่นภนต์กลับเรียกแกว่าแม่อีกคนนับแต่รู้ความ นึกชื่นชมไปถึงท่านนายพลและภรรยาที่อบรมสั่งสอนลูกชายมาเป็นอย่างดี
“สบายดีค่า”
“ไม่นับเบาหวาน ความดัน และไขมันในเลือดสินะ” ชายหนุ่มเย้า จึงได้รับสายตาค้อนกลับมา
คนต่างวัยทั้งสองโอบเอวกันขณะเดินไปบนพื้นอิฐมอญซึ่งปูเป็นทางเดินลัดสนาม ที่สนามหญ้านั้นมีอดีตทหารเกณฑ์คนหนึ่งกำลังดายหญ้า คนเดียวกับที่นภนต์จำได้ดีว่าพอปลดประจำการแล้วพ่อก็จ้างมาดูแลบ้านด้วยทรัพย์ส่วนตัวตั้งแต่ยี่สิบปีมาแล้ว เพราะท่านไม่ชอบให้ทหารเกณฑ์ต้องมาทำงานรับใช้เจาะจงท่านแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน ภาพแรกที่สะดุดตาเขาเหมือนทุกครั้งคือรูปถ่ายครอบครัวบนผนังเหนือโทรทัศน์ ในรูปมีสมาชิกพร้อมหน้า...พ่อ...แม่...ลูก มันรื้อฟื้นความทรงจำรางๆ ถึงงานวันเด็กเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ในมือของเด็กชายนภนต์ชูเครื่องบินของเล่นค้างในท่าฉวัดเฉวียนขณะขี่คอพ่อในชุดนักบิน ส่วนแม่ก็คล้องแขนกับท่าน ใบหน้างดงามซีดลงตามกาลเวลา คงมีแต่รอยยิ้มละไมของท่านที่กระจ่างในใจลูกไม่เสื่อมคลาย
“คิดถึงก็กลับบ้านบ่อยๆ สิคะ” น้ำเสียงเอื้อเอ็นดูดึงสติชายหนุ่มกลับมา
“อะไรแม่เล็ก เลอะเทอะใหญ่แล้ว” เขาบอกกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตน
นภนต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่ออยู่ลำพัง ตัดใจเลิกนึกถึงอดีตแล้วลงมือค้นหาของที่ตนต้องการภายในห้อง เขาคว้าหนังสือออกแบบไปจนถึงหนังสือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวบรวมใส่ตะกร้าพลาสติกแล้วยกลงมา ทว่าสวนกับพ่อที่กลางบันไดเข้าพอดี
“เก็บข้าวของไปไหน” พลอากาศโทสุนทรเอ่ยถามลูกชาย
“ต้องใช้น่ะครับ”
“จะเข้าทำงานเรอะ”
“เปล่าครับ ออกแบบร้านใหม่”
สิ้นสุดคำตอบนั้น นายทหารใหญ่ก็ก้าวขึ้นบันไดต่อไปทันที ส่วนผู้เป็นลูกก็เดินผ่านแม่นมคนเก่าคนแก่ไปโดยไม่ทันได้ใส่ใจ กระทั่งปิดประตูรถหลังเก็บข้าวของแล้วจึงได้เห็นว่าแกตามออกมาพร้อมกับประคองถ้วยขนมด้วยสองมือ
“กินกระท้อนลอยแก้วเย็นๆ ให้เย็นใจก่อนนะคะ”
“แม่เล็ก” ชายหนุ่มชักเสียงใส่ แต่ก็รับถ้วยไปโดยดี
หญิงชรายิ้มเยื้อนอย่างไม่ถือโทษโกรธคนเจ้าอารมณ์สักนิด เลี้ยงมาแต่เด็กจึงรู้ว่านภนต์ปากร้าย ใจร้อน แต่ลึกๆ แล้วเป็นคนไม่มีอะไร ดูอย่างตอนนี้ที่เขานั่งกินกระท้อนลอยแก้วฝีมือแกที่บันไดระเบียงหน้าบ้านจนหมดถ้วย ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้แกนี่ปะไร
“อร่อยครับ”
“ค่า อร่อยก็มากินอีกบ่อยๆ หรืออยากกินอะไรก็โทร. มาให้แม่เล็กทำก็ได้” บอกอย่างนี้ก็เพราะแกมั่นใจว่านภนต์คงไม่กลับมาอยู่บ้านอย่างถาวรในเร็ววันนี้ และการแยกไปมีชีวิตส่วนตัวก็อาจดีกว่าต้องทนอยู่ร่วมบ้านกับพ่อให้ขุ่นข้องหมองใจกันดังที่แล้วมา
ชายหนุ่มบีบมือเหี่ยวย่นพร้อมกับยิ้มมุมปาก ก่อนจะขึ้นรถและขับออกจากบ้านซึ่งคงไม่ได้กลับมาอีกนาน
ความคิดเห็น |
---|