1

บทที่ 1


 

 1

 

“แต่งงาน ให้ผมน่ะหรือครับ แต่งงาน” เสียงทุ้มดังขึ้นด้วยความตกใจ และมั่นใจเลยว่าถ้าขาขับรถอยู่ มันจะต้องเสียหลักกวาดรถคันอื่นบนถนนแน่ๆ แต่เสียงที่เจ้าตัวคิดว่าเปล่งออกมาด้วยความตกใจและดังเกินความจำเป็นนั้น สำหรับคนอื่นก็ไม่ต่างอะไรกับการพูดจาในวันปกติ ที่นิ่งเรียบ แทบจะไม่แสดงอาการอะไร ติดจะเฉยชาและดุด้วยซ้ำ จะมีก็แต่คนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่านี่คือการออกอาการมากที่สุดของหมอฉัตรแล้ว

โชคดีเท่าไรแล้วที่วันนี้ นายแพทย์ฉัตรบดินทร์ ฉัตราวุธ ไม่ได้เป็นคนขับรถด้วยตัวเอง แต่อาศัยมากับรถตู้คันใหญ่ของบิดามารดา เพื่อไปงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัวเพื่อนสนิทคุณพ่อ

ฝ่ายมารดาก็ปรายตามองเขาแบบไม่สบอารมณ์นิดหนึ่ง ก่อนจะถอนสายตากลับมามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกตลับแป้งพัฟ

“ใช่ นี่เราควรจะรู้ตัวอยู่แล้วนะ ว่านิคกี้กลับมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” คุณหญิงสรวงสุดาขยับตัวให้ชุดราตรีเข้าที่นิดหนึ่ง ก่อนจะปรายตามองบุตรชายวัยสามสิบหกอีกครั้ง

ฉัตรบดินทร์เป็นชายหนุ่มรูปงามที่เป็นที่จับตามองทั้งในวงการแพทย์และในวงสังคม เพราะนอกจากจะเป็นศัลยแพทย์หัวใจมือหนึ่งแล้ว ยังรั้งตำแหน่งลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนยักษ์ใหญ่อย่างโรงพยาบาลอายุวัฒน์ แถมด้วยหน้าตาหล่อเหลา ผิวขาวๆ คิ้วเข้มๆ ปากแดงๆ จมูกโด่งๆ ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่กรี๊ดกร๊าดกันไม่ใช่น้อย จะมีปัญหาก็ตรงที่ไม่เห็นลูกชายหล่อนคบใครเป็นแฟนจริงจัง ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะตัวชายหนุ่มเองก็ต้องแต่งงานกับนครา ลูกสาวคนเดียวของเพื่อนสนิทคุณฉัตรภพ ผู้เป็นบิดา ตามที่หล่อนและสามีได้บอกไว้มาเนิ่นนาน

“นี่คุณแม่พูดจริงหรือครับ” ชายหนุ่มขยับตัวด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังคงความสุภาพไว้ ตาคมกริบยังจับจ้องอยู่ที่บทความทางการแพทย์ในไอแพดอยู่ ใครจะไปคิดว่าพ่อแม่เขาจะเอาจริงเอาจังอะไรกับเรื่องที่พูดกรอกหูมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าโตขึ้นจะให้เขาแต่งงานกับนิคกี้ หรือนครา เด็กผู้หญิงอ้วนๆ กลมๆ ตัวดำปี๋คนนั้น  และถ้าจำไม่ผิด เขากับเด็กผู้หญิงคนนั้นอายุห่างกันตั้งสิบห้าปี นี่แม่จะให้เขามีเมีย หรือให้เขารับเด็กคนนั้นเป็นลูกบุญธรรมกันแน่

“เอาจริงสิ เราก็ไม่ได้มีแฟน ไม่ได้รักกับใคร อายุก็ปูนนี้ละ อีกอย่าง เราคงไม่ลืมใช่ไหมว่าที่พ่อเรายังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพราะลุงนาคเขาช่วยชีวิตพ่อเราไว้”

“แต่คุณแม่ครับ นี่แต่งงานนะครับ ไม่ใช่นัดเดตดูตัวที่จะบังคับผมไปได้ ผมต้องอยู่กับผู้หญิงคนนี้ไปทั้งชีวิต คุณแม่ไม่คิดจะให้ผมเลือก ไม่ให้ผมศึกษานิสัยใจคอกันหน่อยหรือ” คุณหมอฉัตรบดินทร์เถียงมารดาด้วยประโยคที่เกือบจะยาวที่สุด ทั้งๆที่ปกติเขาตามใจท่านเกือบทุกเรื่อง เพราะเกิดมาไม่เคยรู้สึกว่าแม่เขาเป็นคนไร้สาระมากเท่านี้มาก่อนในชีวิต

“ถ้าเกิดผมไม่ถูกชะตากับเขาล่ะครับ” ฉัตรบดินทร์พยายามบอกมารดา ไม่อยากจะเชื่อว่าในยุคสองพันสิบแปดเขาต้องมานั่งอธิบายหาเหตุผลเรื่องการจับคู่คลุมถุงชนแบบนี้

“ไม่ถูกชะตงไม่ถูกชะตาอะไร ตอนเด็กๆ ก็เห็นชอบเล่นกับน้อง เจอทีไรก็เข้าไปอุ้ม เข้าไปชวนเล่นด้วยตลอด” คุณหญิงสรวงสุดาค้อนบุตรชายเป็นรอบที่เท่าไรของวันก็ไม่รู้ นึกย้อนถึงอดีตที่เคยพาเจ้าตัวไปบ้านนาคราช เพื่อนสนิทของสามีบ่อยๆ วันนั้นฉัตรบดินทร์ในวัยเกือบยี่สิบปีเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสอง อุ้มหนูน้อยจ้ำม่ำวัยสี่ขวบเล่น เหมือนที่เล่นมาตั้งแต่นคราเกิดด้วยซ้ำ “อีกอย่าง หมอดูเขาก็บอกมาแล้วด้วยว่าเราสองคนน่ะเนื้อคู่กัน ดวงเสริมดวง ยังไงก็หนีกันไม่พ้น”

บรรยากาศงานเลี้ยงเล็กๆ ในบ้านของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของเมืองไทย มองเผินๆ อาจจะเหมือนงานแต่งงานย่อมๆ ที่มีแขกราวๆ สองร้อยคน บ้านที่หรูหราอยู่เป็นทุนเดิมได้รับการตกแต่งให้อลังการงานสร้างมากขึ้น จนชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเจ้าของบ้านสนิทกับแขกทุกคนที่เชิญมาในวันนี้ตามที่บิดาบอกเขาว่ามีแต่คนคุ้นเคยมาพบกันจริงหรือไม่

นายแพทย์หนุ่มหล่อไม่รอช้า หาเรื่องขอตัวไปเข้าห้องน้ำ หรืออันที่จริงคือขอเวลาหนีไปหายใจ หลังจากทราบเรื่องที่เขาจะต้องแต่งงานจากปากมารดา ทั้งๆ ที่หลังสุดที่เขาได้พบเจ้าตัวน่าจะไม่ต่ำกว่าหกปีมาแล้ว นึกแล้วก็พานคิดถึงครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน และรู้สึกวูบวาบพิกล

ในจังหวะที่จะเดินพ้นมุมห้องนั้น โทรศัพท์ที่ตั้งเสียงพิเศษสำหรับสายเรียกเข้าจากโรงพยาบาลก็ดังขึ้น ฉัตรบดินทร์จึงจำต้องละสายตาออกจากทางเดินครู่หนึ่งเพื่อควานหาโทรศัพท์

“ฮัลโหล มีอะไรด่วนไหมครับ” คุณหมอหนุ่มกรอกเสียงถามผู้ช่วย หยุดยืนอยู่ตรงมุมทางเดินนั้นเอง

“ห้องยาเขาอ่านลายมือคุณหมอไม่ออก ส้มจะยืนยันให้ เขาก็ขอคุยกับคุณหมอเอง เดี๋ยวต่อสายให้นะคะ” ผู้ช่วยแพทย์ประจำตัวส่งเสียงบอกปัญหาประจำวันมา โดยที่คุณหมอได้แต่ทำหน้านิ่ว เป็นเจ้าหน้าที่ห้องยาประสาอะไรอ่านลายมือแพทย์ไม่ออก

“คุณหมอคะ ตกลงหนึ่งจุดห้าหรือหนึ่งจุดศูนย์มิลลิกรัมคะ”

“ยืนยันที่หนึ่งจุดศูนย์ครับ” ชายหนุ่มตอบแบบนิ่งๆ ไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจอะไรออกไป ทั้งๆ ที่ไม่สบอารมณ์ เพราะอีกฝ่ายน่าจะชินลายมือแพทย์ทุกคนในโรงพยาบาล

ตัดสายเจ้าปัญหาเรื่องงานจบ คุณหมอรูปหล่อก็ส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะเดินต่อ ทว่ายังเลี้ยวไม่ทันพ้นมุมห้องดีก็กระแทกเข้ากับอีกคนที่เดินสวนมา ทำเอาตกใจกันทั้งคนชน ทั้งคนโดนชน ร่างสูงใหญ่ได้แต่จับคนที่เกิดอุบัติเหตุกับเขาไว้ ตามสัญชาตญาณ

“โอ๊ย!” คนเสียงหวานๆ ร้องโอดโอยเพราะชนเข้ากับเขาเต็มแรง ดีที่ชายหนุ่มรั้งแขนสองข้างไว้ ทำให้คนที่สูงแค่คางเขาไม่ล้มลงไปกองกับพื้น

“ขอโทษครับ...เจ็บมากไหม” คุณหมอฉัตรถามคนที่เขาปะทะเต็มแรง รู้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง แต่พอก้มลงมองก็ต้องยอมรับว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมาก...สวยแบบที่เคยเห็นมาก่อน รับรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อหกปีก่อนตอนยังไม่โตเป็นสาวขนาดนี้ ตาโตเป็นประกายสีน้ำตาลเฉดอ่อนที่สุดดึงดูดความสนใจเขาไปพักใหญ่ ใหญ่จนถึงขั้นคิดไปว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาอีกคนไปทำอะไรมาถึงสวยจับตาจนเขาแทบลืมหายใจ หน้ารูปไข่รับกันได้ดีกับคิ้วโก่งสวย ทำเอาคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงสามสิบห้าย่างสามสิบหกปีอดหัวใจกระตุกไม่ได้...สวย...สวยจนทำเขารู้สึกแบบนี้อีกแล้ว

“เจ็บสิคะ นี่หัวโนหรือเปล่า”

หญิงสาวสะบัดเสียงแสนงอน นิ้วเรียวๆ ชี้ที่หน้าผากโหนกให้เขาช่วยดู จนชายหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้...น่ารักดี

“ไม่โนครับ...ปกติดีทุกอย่าง” ตาคมกริบมองคนตรงหน้าสำรวจอาการให้อย่างดิบดี ไม่ให้เสียชื่อหมอ ตั้งท่าจะอ้อยอิ่งกับกลิ่นหอมหวานที่ลอยมาเตะจมูกอีกนาน หากอีกฝ่ายไม่รีบผละจากเขาก่อน

“ไม่โนก็ดี...อย่าไปชนใครเขาอีกนะคะ คนที่นี่ไม่ทั้งสวยและใจดีแบบนี้ทุกคน...”

 

ฉัตรบดินทร์พยายามหาทางโอ้เอ้อยู่นาน เดินชมโน่นชมนี่ในบ้านที่ใช้จัดงานอยู่พักใหญ่ เพราะนึกเบื่อเรื่องที่แม่เพิ่งแจ้งเขาในรถ ทั้งยังตั้งตัวไม่ติด กว่าชายหนุ่มจะเดินกลับมาร่วมโต๊ะกับบิดามารดาได้อีกทีก็เกือบครึ่งชั่วโมงให้หลัง จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณหญิงสรวงสุดาทำท่าค้อนแล้วค้อนอีก จนคุณหมอฉัตรบดินทร์อดยิ้มให้แก่ความแสนงอนของมารดาไม่ได้

“กว่าจะมา เมื่อกี้นิคกี้มาคุยตั้งนาน เพิ่งลุกออกไปเอง” คนเป็นแม่เผยสาเหตุของความหงุดหงิด

ฉัตรบดินทร์นึกขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เขายังไม่ต้องเผชิญหน้ากับอีกคนอย่างเป็นทางการ ไม่อยากจะนึกเลยว่าหากต้องนั่งจับเข่าคุยกันขึ้นมาจริงๆ มันจะน่ากระอักกระอ่วนขนาดไหน

“ดีแล้วนี่ครับ เจอกันผมก็ไม่มีเรื่องจะคุย คุณแม่เอ็นดูนักก็คุยไปเถอะครับ”

“ได้ไง...นี่ตอนนี้พ่อเราไปคุยเรื่องฤกษ์แต่งงานกับคุณนาคแล้ว แม่ละดีใจจริงๆ จะได้อุ้มหลานซะที”

“โอ๊ย! คุณแม่ครับ...เอาจริงหรือครับ” ฉัตรบดินทร์ถึงกับโอดครวญ

นี่พ่อแม่เขาคิดว่าคนอายุสามสิบหก เป็นหมอมือดี มือหนึ่ง แถมมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลอีกขาหนึ่ง กุมชีวิตคนไข้มหาศาล สั่งเป็นสั่งตายลูกน้องในโรงพยาบาลได้เป็นร้อยเป็นพัน จะยอมให้บิดามารดาบังคับแต่งงานอย่างนั้นหรือ การแต่งงานของเขามันต้องมาจากความยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย มันต้องมีความรักของทั้งคู่เป็นองค์ประกอบ ต่อให้จะมีอีกคนรู้สึกอะไรแค่ไหนก็ไม่ควรเป็นการบังคับกันแบบนี้ แถมว่าที่เมียที่แม่เขาหาให้ยังเด็กกว่าตั้งสิบห้าปี นี่เขาจะต้องโดนคนหาว่าเป็นพวกกินเด็กไปตลอดชีวิตหรอกหรือ แค่คิดเขาก็รีบบอกตัวเองรัวๆ ให้หยุดความรู้สึก และโฟกัสที่ความเหมาะสม

“คุณแม่เปลี่ยนใจไปบังคับระวีน่าจะมีลุ้นมากกว่า” ฉัตรบดินทร์เอ่ยถึงฉัตรระวี น้องสาวที่มีวัยห่างกันเป็นสิบปี เปรี้ยวแสบขึ้นชื่อ น่าจะหาแฟนมาแต่งงานได้ด้วยไม่ยาก

“เอ๊ะ ตาฉัตรนี่...” คุณหญิงส่งเสียงเขียวปราม “เป็นลูกผู้ชายต้องคำไหนคำนั้น โดยเฉพาะเมื่อคนอย่างพ่อเราให้สัญญาแล้ว ยิ่งไม่มีทางผิดคำพูดแน่ๆ ทางเดียวที่เราจะไม่ได้แต่งคือน้องเขาไม่เอาเราเท่านั้นแหละจ้ะ”

 

“นิคกี้...เอาไวน์มาแก้วหนึ่งสิ” พอลหรือพลพัฒน์ขยิบตาให้เพื่อนสนิทต่างวัย เพราะชายหนุ่มอายุสามสิบปีแล้ว ในขณะที่นคราสาวสวยมีวัยแค่ยี่สิบเอ็ดเท่านั้น เขาหยิบซองยาออกจากกระเป๋าด้านในสูท แบบที่อีกฝ่ายก็รู้ดีว่าเพื่อนรักคนนี้ต้องพึ่งยานอนหลับมาหลายปี “นี่ผมนอนไม่หลับมาสามวันละนะ”

“จะดีเหรอ” คนสวยทำหน้านิ่วใส่เพื่อนสนิทของตัวเอง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายมาก่อนที่หญิงสาวจะยึดมาเป็นของตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าพลพัฒน์ใช้ยานอนหลับเพื่อช่วยในการพักผ่อนมสตลอด แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

แต่ทันทีที่ยกมือขึ้นเท่านั้น คนในบ้านก็ปราดเอาถาดเครื่องดื่มมาวางไว้ให้โดยไม่ต้องร้องขอ ราวกับจับจ้องอยู่ตลอดเวลาว่าทายาทเจ้าของบ้านจะสั่งการหรือประสงค์สิ่งใด หญิงสาวปรายตามองแล้วคว้าแก้วเครื่องดื่มสีแดงทับทิมหนึ่งในสองแก้วมาส่งให้เพื่อนรัก ก่อนที่อีกฝ่ายจะดีดเม็ดยาลงในแก้วเหล้า

“แน่ใจนะว่าไม่ตาย ไม่เคยเห็นใครกินยานอนหลับกับเหล้าแล้วดีสักคน ไม่ใช่กินแล้วปีนเสาไฟหน้าบ้านนิคกี้นะ”

ทั้งสองตอบโต้กันเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงชัดแจ๋วกันทั้งคู่ เพราะต่างพบกันเมื่อสมัยที่นาคราชส่งลูกสาวคนสุดท้องไปอยู่กับภรรยาที่เลิกรากันไปแต่โดยดีและไปสมรสใหม่กับเศรษฐีชาวอเมริกัน เพื่อให้ลูกเรียนหนังสือ และเพื่อให้ได้อยู่กับพี่ชายอย่างนคเรศ ซึ่งล่วงไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศก่อนน้องสาวหลายปีแล้ว ตามข้อตกลงก่อนหย่าร้างที่อดีตภรรยาจะได้บุตรชายคนโตไป ในขณะที่เจ้าพ่อแบบนาคราชได้ลูกสาวคนเล็กไว้

พลพัฒน์ไม่ยอมตอบ แต่ยักไหล่ใส่เพื่อนสนิท ที่วันนี้เชิญเขามาร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ ต้อนรับอีกฝ่ายกลับบ้าน งานเล็กๆ ที่มีคนมาเกือบสองร้อยคน แต่ละคนขนเครื่องเพชรมาใส่กันราวกับเป็นงานราตรีสโมสร หรืองานวันชาติของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งพลพัฒน์ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะรู้ดีว่าบิดาบังเกิดเกล้าของนครานั้นถือเป็นผู้มีอิทธิพลทั้งบนดินและใต้ดินคนหนึ่งของเมืองไทย 

“กินมาตั้งนาน ตั้งแต่ก่อนเจอนิคกี้อีก ถ้าจะตายก็ตายไปแล้วละ แล้วถ้าจะปีน นิคกี้ก็คงต้องปีนตามขึ้นไปช่วยผมไม่รู้กี่ครั้งละมั้ง” ชายหนุ่มบอกแบบไม่สนใจ ปัญหาชีวิตของเขามีเพียงผู้หญิงตรงหน้ากับพี่ชายของหล่อนเท่านั้นแหละที่รับรู้

พลพัฒน์เผลอวางแก้วไวน์ใบเดิมลงบนถาดเงินหรูหรา ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมนคราด้วยความเอ็นดู และตกใจเมื่อคนในบ้านอีกคนเดินมาเอาถาดเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้แขกเหรื่อในงานทันที โดยที่เจ้าของบ้านได้แต่อ้าปากค้าง ไม่กล้าตะโกนเสียงดัง เพราะผู้ใหญ่อยู่เต็มพื้นที่งาน ได้แต่คว้ามือตัวต้นเหตุก้าวยาวๆ ตามเด็กเสิร์ฟไป หมายจะคว้าแก้วเจ้าปัญหาคืน แต่กว่าจะเดินลัดเลาะไปถึงถาดเจ้ากรรมก็พบว่าแก้วเครื่องดื่มสีทับทิมถูกผู้ชายคนหนึ่งหยิบไปเสียแล้ว เขาคือผู้ชายหน้าตาท่าทางดูดีคนที่เดินชนกับนคราที่หน้าห้องน้ำ คนที่หญิงสาวจำได้ขึ้นใจว่าเขาคือพี่ชายใจดีคนที่หล่อนปักใจตั้งแต่เด็กๆ แต่ยังไม่ทันได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ

คุณหนูแสนสวยของบ้านเห็นแบบนั้นก็เบิกตากว้างเพราะไม่เคยลืมผู้ชายคนที่เดินชนกันเมื่อกี้ แต่นี่คงไม่ใช่เวลาอันเหมาะสมที่จะมาแนะนำตัวหรือรื้อฟื้นความหลัง คนตัวเล็กปรี่เข้าไปขอแก้วเครื่องดื่มคืน แต่สายตาปะทะกับคุณป้าสรวงสุดาที่พบเมื่อครู่ออกปากทักหล่อนแบบไม่ให้ตั้งตัว แก้เกมที่เพื่อนรักทำวุ่นได้ทันที

“อ้าวนิคกี้...มาพอดี นี่ไงจ๊ะ พี่ฉัตร จำพี่เขาได้ไหมลูก”

หญิงสาวได้แต่ยิ้มกว้างให้ผู้ใหญ่ตรงหน้า และยกมือไหว้ชายหนุ่มด้วยท่าทางอ่อนน้อมแบบไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น จำน่ะจำได้ เพราะใช้หัวใจจำ จึงได้แต่พยักหน้าเร็วๆ ในใจคิดแต่จะหาวิธีเอาแก้วเครื่องดื่มออกจากมืออีกฝ่าย

ในขณะที่พลพัฒน์หยิบเครื่องดื่มแก้วสุดท้ายออกมาจากถาด ป้องกันคนอื่นคว้าไปแบบเมื่อครู่ เพราะตอนนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าแก้วไหนเป็นแก้วไหน

ส่วนฉัตรบดินทร์กลับตีความไปว่า ผู้หญิงตรงหน้ายิ้มหว่านเสน่ห์ให้เขา 

“ฉัตร ลูก นี่ไงนิคกี้” คุณหญิงบอกเสียงเรียบๆ แต่แววตาสื่อความหมายให้ชายหนุ่มรู้ว่า นี่แหละว่าที่เจ้าสาว...

โดยฝ่ายชายก็ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ รับรู้ แต่สีหน้าออกอาการบอกบุญไม่รับ

“เอ่อ...ค่ะ...ขอแก้วได้ไหมคะ เดี๋ยวนิคกี้ให้เขาเปลี่ยนไวน์ให้ อันนี้มันเสิร์ฟแขกปกติ”

ยิ่งพูด ชายหนุ่มยิ่งเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายหาเรื่องประจบเอาใจเขาจนเกินงาม จึงส่ายหน้าปฏิเสธทันทีตามประสาคนไม่ชอบคนขี้ประจบ หน้าหล่อที่นิ่งเป็นปกติกลับตึงขึ้นอีกเท่าตัว เกิดกำแพงบางๆ ขึ้นโดยอัตโนมัติ

“ไม่เป็นไรครับ ผมดื่มได้”

“แต่อันนี้ดีจริงๆ นะคะ” คนเสียงหวานอ้อนแบบที่ทำประจำอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ฉัตรบดินทร์กลับหงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆที่ นครามาทำเสียงอ่อนต่อหน้าคนอื่นแบบนี้

ด้านคุณหญิงสรวงสุดาก็ได้แต่ยิ้มในหน้าสบตาสื่อความหมายกับสามี ขี้อ้อนแบบนี้ ฉัตรคงหลงตาย

แต่คนเป็นลูกชายกลับไม่เห็นไปในทางเดียวกัน

“เอามาให้นิคกี้เถอะค่ะ ดื่มไปก็เสียลิ้นเปล่าๆ” หญิงสาวพยายามกล่อมอย่างละมุนละม่อม ทว่าลูกชายคุณหญิงสรวงสุดากลับกระดกไวน์ขึ้นทีเดียวหมดแก้ว ไม่สนใจเสียงร้องของพลพัฒน์และนคราที่ดังขึ้นพร้อมกัน

“ว้าย!/เฮ้ย!

และเป็นนคราที่ต้องออกตัวขอโทษขอโพยผู้ใหญ่ในบริเวณนั้นเพราะส่งเสียงดังทำลายบรรยากาศ แถมยังไม่วายค้อนให้ผู้ชายดื้อเงียบตรงหน้า เตือนไม่ฟัง เดี๋ยวก็ตายไม่รู้ตัวหรอก’ ก่อนจะขอตัวออกมา จะไม่ฟังเสียงรั้งของคุณป้าสรวงสุดา แต่มารดาฝ่ายชายก็ทำสำเร็จจนได้

“อยู่คุยกับพี่ฉัตรก่อนสิลูก”

“สักครู่ละกันนะคะคุณป้า เดี๋ยวนิคกี้มา ขอนิคกี้พาเพื่อนไปพักก่อน เขาเพิ่งลงเครื่องเมื่อเช้า” พูดจบนคราก็ลากชายหนุ่มลูกผสมออกมา โดยไม่สนใจตาคมกริบของฉัตรบดินทร์ที่มองหล่อนคว้ามือพลพัฒน์ไม่วาง

ระหว่างที่เดินออกมานั้น นคราก็แย่งแก้วไวน์ในมือเพื่อนรักต่างวัยที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วมาดื่มจนไม่เหลือสักหยด  หมั่นไส้คนท่ามากขึ้นมาติดหมัด

“คอยดูนะ ถ้าน็อกไปนิคกี้จะขำให้ฟันร่วง ทำท่ายังกับนิคกี้อยากยุ่งกับคนท่ามากแบบนั้น” พูดทั้งๆ ที่อยากคุยกับเขาเหลือเกิน คิดถึงเขาเหลือเกิน ความทรงจำแสนวิเศษในวัยเด็กที่มีพี่ฉัตรสอนหล่อนเขียนหนังสือ สอนระบายสี อะไรตั้งหลายๆ อย่างทำให้หล่อนประทับใจเขามาก จนกล้าพูดว่าเป็นความรักฝังใจตั้งแต่จำความได้จนถึงวันนี้ แต่แล้วความหลังแสนหวานก็ทลายลงเพราะคำพูดของเพื่อนชายที่สนิทที่สุด

“ผมกลัวนิคกี้จะน็อกมากกว่า ที่ดื่มเข้าไปหมดน่ะ ผมใส่ยาไปแล้ว!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น