16

ไอศกรีม

16

 ไอศกรีม

 

“เป็นผู้ชายแท้ๆ พูดจาคะขาน่ารำคาญ” ชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับเอ่ยเสียงหนักพร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่สบอารมณ์ ขาข้างหนึ่งของเขายกขึ้นก่ายประตูรถน้อยๆ อย่างไม่ค่อยสบายตัวเท่าไรนัก มิหนำซ้ำสมิงยังดูหงุดหงิดจนมันตราไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาทีเดียว ทำให้บรรยากาศในรถเงียบกริบ มือเรียวของมันตราค่อยๆ สาวพวงมาลัยกลมหุ้มด้วยหนังนุ่มมืออย่างช้าๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองอีกฝ่ายอยู่เป็นพักๆ

รถยนต์สีแดงคันหรูเคลื่อนช้าๆ มาจนถึงหน้าที่ว่าการอำเภอใหญ่ ด้วยพื้นที่ด้านหน้าเป็นลานดินกว้าง พ่อค้าแม่ขายจึงพากันมาจอดแวะขายของให้ลูกค้าที่อยู่ละแวกนี้ กระทั่งพอมากเข้าทางอำเภอเองก็จัดให้เป็นพื้นที่ตลาดนัด ให้ประชาชนละแวกนี้และพื้นที่ใกล้เคียงได้เดินมาจับจ่ายใช้สอย โดยเก็บค่าตั้งแผงเพียงเล็กน้อยพอเป็นค่าจ้างคนทำความสะอาดเท่านั้น

“อ๋อ ที่นี่นี่เอง...อยากลองแวะดูมั้ยคะ” มันตราหันไปถามชายร่างใหญ่ที่นั่งหน้าบูดอยู่จนถึงตอนนี้

“ตามใจเจ้า” สมิงตอบสั้นๆ 

มันตราค่อยๆ เปิดไฟเลี้ยวเพื่อเข้าไปจอดรถภายในโซนที่จัดเอาไว้ให้ ด้วยเพราะตลาดนัดแบบนี้อยู่ในชนบท ชาวบ้านละแวกนี้ส่วนใหญ่จึงเดินทางด้วยการเดินเท้า ไม่ก็ปั่นจักรยาน หรือขี่มอเตอร์ไซค์คันเล็กเพื่อสะดวกแก่การเดินทางและหาที่จอดรถได้ง่ายกว่า ที่จอดรถยนต์ที่มีไว้บริการจึงค่อนข้างว่าง มันตราจึงเข้าไปจอดได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไร 

ตาของสาวเจ้าเป็นประกายเพราะใฝ่ฝันอยากจะเดินตลาดนัดแบบนี้มานานแล้ว แต่พ่อและแม่ไม่ยอมปล่อยให้เธอออกมาเดินเพียงลำพังเสียที ทว่าครั้งนี้มีสมิงมาด้วย ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ เต้นโครมคราม

“ดีใจอะไรนักหนา” ชายร่างใหญ่เอ่ยก่อนจะปิดประตูและเดินมาหาเธอ

“ก็... เพิ่งเคยได้มาเดินที่นี่น่ะค่ะ ก็เลย...ตื่นเต้นนิดหน่อย”

มือเรียวกุมอยู่ที่หน้าอกอย่างตื่นเต้นเหลือเกิน ทว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้บอกเหตุผลหลักที่ซ่อนอยู่ออกไป ด้วยกลัวว่าหากพูดออกไปแล้ว เธออาจจะรับผลที่จะตามมาไม่ไหว

“ไปหาซื้อขนมกันดีกว่า” มันตราเดินนำอีกฝ่ายไปก่อน 

ชายร่างใหญ่จ้องมองแผ่นหลังเล็กของคนที่ดูดี๊ด๊าพลางส่ายหน้า คนอะไรจะไม่เคยเดินตลาดนัด

สาวร่างบางกระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่ที่ไหล่ขวา ก่อนจะค่อยๆ กวาดสายตามองไปยังฝั่งตรงข้ามที่มีร้านค้าและรถเข็นมากมายตั้งขายของเรียงรายอยู่ กลิ่นหอมของอาหารกินเล่นง่ายๆ อย่างลูกชิ้นปิ้งและข้าวเกรียบปากหม้อโชยมาเตะจมูก ขาเรียวก้าวไปอย่างมั่นใจ ก่อนที่มือใหญ่จะรีบคว้าแขนเล็กของเธอเอาไว้เสียก่อนที่จะถูกรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเฉี่ยวเอา

ปี๊นนน!!

แตรรถจักรยานยนต์ถูกบีบดังเสียจนคนทั่วทั้งตลาดนัดหันมามอง ร่างบางที่ถูกดึงเข้ามาหาร่างใหญ่ของสมิงแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นไปชั่วขณะ เสียงกรีดร้องของคนขับรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นพอๆ กับเสียงร้องอย่างตกใจของมันตรา มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเล็กอย่างปลอบขวัญ สมิงถึงกับถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่

“เจ้านี่มัน...”

“ขะ...ขอโทษค่ะ” มันตราเดินไปหาสองสาวที่ขี่มอเตอร์ไซค์คันนั้นเพื่อขอโทษขอโพย โชคยังดีที่ฝ่ายนั้นขี่ด้วยความเร็วไม่มากนัก ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีใครได้รับอุบัติเหตุ สองมือเย็นเฉียบของมันตรากำแน่นอย่างตื่นกลัว 

สมิงที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มอย่างเอ็นดู อีกฝ่ายเองพอเห็นมันตราเดินมาขอโทษขนาดนี้ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร เพียงกำชับว่าทีหลังให้หล่อนมองทางดีๆ เสียก่อน เหตุการณ์จึงจบลงด้วยดี

สมิงตัดสินใจเดินเข้าไปหาหญิงสาว แล้วคว้ามือเล็กของมันตราขึ้นมาจับเอาไว้หลวมๆ ไออุ่นจากมือของเขาเพียงเท่านั้นทำให้เจ้าหล่อนโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นแต่งแต้มใบหน้าเรียวให้สดใสขึ้นอีกครั้ง

“อย่าปล่อยล่ะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอก 

มันตราพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างว่าง่าย

อาหารการกินมากมายเรียงรายละลานตา แกงถาดที่วางเรียงกันอยู่ในตู้กระจกโชยไอร้อนออกมาด้วยเพิ่งปรุงสุกใหม่ๆ ทั้งแกงเนื้อ แกงไก่ แกงเขียวหวานน้ำข้นคลั่ก ผัดลูกชิ้นแบบง่ายๆ ที่ผัดกับถั่วฝักยาวและใบกะเพราส่งกลิ่นหอมฉุยของใบกะเพราออกมาเสียจนน้ำลายสอ อาหารพื้นเมืองหลายอย่างบรรจุอยู่ในหม้อที่วางเรียงราย น้ำพริกอ่องสีแดงสวยเห็นเนื้อหมูสับคลุกเคล้ากับมะเขือเทศลูกเล็ก ผักแกล้มถูกจัดเรียงไว้ในถุงเล็กๆ หลายถุง แตงกวาแช่เย็นจนกรอบน่าขบเคี้ยวให้หายอยาก แต่มันตราคงจะซื้ออาหารน่ากินเหล่านี้กลับไปไม่ได้ ด้วยเพราะน้าสาวคงเตรียมมื้อเย็นไว้ให้เรียบร้อยแล้ว สาวเจ้าเดินจากร้านนั้นมาอย่างใจแป้วน้อยๆ 

สมิงเองที่ไม่ได้พิศวาสอาหารมนุษย์สักเท่าไรเพียงเหลือบมองแล้วเดินตามหญิงสาวที่รี่เข้าร้านนี้ทีร้านนั้นที

“ข้าวเกรียบปากหม้อมั้ยจ๊ะ ขาวๆ หอมๆ มันๆ”

ชายวัยกลางคนตะโกนขายข้าวเกรียบปากหม้อที่ภรรยากำลังบรรจงกวาดไม้พายเล็กห่อไส้ที่ทำจากหมูสับ ถั่วลิสง หัวไชโป๊ว กลิ่นหอมของมันยามราดน้ำกะทิขาวลงไปให้คนที่ต้องการกินทันทีหอมฉุย จนสาวเจ้าเดินจูงมือชายร่างใหญ่ไปต่อแถวซื้ออย่างรวดเร็ว แม้ในมือข้างหนึ่งของเธอจะมีของกินเล่นอยู่สี่ห้าอย่างแล้วก็ตาม

“แค่นี้ก็พอ เดี๋ยวจะทานข้าวเย็นไม่ได้”

มันตราหันมาบอกกับสมิงใหญ่ ทั้งๆ ที่ในมือของเธอมีขนมสี่ห้าอย่างอยู่ในถุงผ้าที่พกมาด้วยจนถุงผ้าเกือบจะเต็มแล้ว นัยน์ตาคมของสมิงมองลงไปยังมือเรียวของเธอ แม้ของที่อยู่ในถุงนั้นจะไม่ได้ดูหนักมากมาย แต่เขาก็เอื้อมมือลงไปเกี่ยวเอาถุงนั้นมาถือไว้เอง ร่างบางหันขวับไปมองเขาก่อนจะยิ้มหวานให้ พร้อมกับที่ใบหน้าออกสีน้อยๆ

“ขอบคุณนะ” มันตราบอก

“เอากี่กล่องดีจ๊ะลูกสาว”

ความช่างเจรจาของชายคนขายทำให้มันตรายิ้มตอบเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง อาจจะเพราะเหตุนี้จึงทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เรียกว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของตลาดนัดแบบชนบทเลยก็ว่าได้

“สาม...อ๊ะ ไม่ใช่สิ เอาห้ากล่องก็ได้ค่ะ” มันตราตอบพ่อค้าไป

สมิงถึงกับเลิกคิ้วสูง ด้วยเพราะแค่ของที่อยู่ในมือใหญ่ของเขาก็ดูจะมากเกินพอแล้ว

“แหม น้องชาย! แฟนทานเยอะแบบนี้ต้องเลี้ยงดีๆ นา” พ่อค้าเอ่ยแซวสมิงร่างใหญ่ ทั้งๆ ที่หากวัดกันตามอายุจริงแล้ว สมิงดูจะแก่กว่ารุ่นปู่ทวดของชายคนนี้เสียอีก 

ชายใบหน้าคมเข้มไม่ได้ตอบกลับไปแต่อย่างใด อีกอย่าง คำว่า ‘แฟน’ นี่เองที่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทว่ามันตราถึงกับหน้าออกสี มือข้างที่เหลือรีบโบกปฏิเสธอย่างเร็วว่าเธอกับเขาหาใช่แฟนกันไม่

“ปะ...เปล่านะคะ ไม่ใช่แฟนกัน”

หญิงสาวหน้าแดงปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่มือของพวกเขายังจับกันอยู่ ทำเอาพ่อค้าแม่ขายหัวเราะขันความน่ารักของมันตรา

“อ้ะนี่จ้า ขอบใจมากน้า ลุงแถมกระเทียมไปให้คุณคนที่ไม่ใช่แฟนของหนูด้วยนะ”

เสียงแซวของคุณลุงคนขายข้าวเกรียบปากหม้อทำเอาคนรอบๆ ส่งเสียงโห่ฮิ้วไปตามๆ กัน 

มันตรารับเงินทอนและเดินจากมาทั้งๆ ที่หน้าแดงแบบนั้น ใบหูเล็กของเธอร้อนฉ่าทีเดียว ขณะที่สมิงก็เริ่มเข้าใจคำว่าแฟนขึ้นมาบ้างแล้ว

“ไอติมมั้ยจ๊ะ ไม้ละสามบาท สองไม้ห้าเองจ้ะ” แม่ค้าคนหนึ่งตะโกนเรียกลูกค้าจนกลายเป็นสีสันของย่านนี้ 

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายขึ้นอีกครั้ง เหมือนกับว่าเรื่องที่คุณลุงคนเมื่อครู่พูดมานั้นถูกลบเลือนไปได้โดยง่ายทีเดียว ก่อนร่างบางจะค่อยๆ จูงสมิงร่างใหญ่รี่เข้าไปหาแม่ค้าไอศกรีมอย่างทิ้งทวน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มันตราเป็นคนพูดเองว่าข้าวเกรียบปากหม้อจะเป็นอย่างสุดท้ายแล้วแท้ๆ

“เอากี่ไม้ดีจ๊ะ” แม่ค้าไอศกรีมเงยหน้าขึ้นถาม สองมือขยับถังปั่นไอศกรีมหลอดแบบโบราณทำจากสเตนเลส 

มันตราหันไปมองเชิงถามสมิงร่างใหญ่ที่เธอเดินจูงมือเข้ามา แต่เขาปฏิเสธ มันตราจึงจำใจซื้อไอศกรีมเพียงไม้เดียวเท่านั้น

หญิงสาวเดินอย่างอารมณ์ดี ก่อนสมิงจะสลับมาจูงมือเธอเพื่อข้ามถนนกลับไปยังอีกฝั่งเช่นตอนแรก ริมฝีปากนุ่มดูดเอาน้ำหวานแสนอร่อยจากไอศกรีมหลอดนั้นจนสีซีดไปเป็นวงเล็ก สีหน้าเธอดูมีความสุขเหลือเกิน

เมื่อมาถึงรถของมันตรา เธอเลือกจะปล่อยมือจากมือใหญ่ มือข้างหนึ่งช่วยสมิงจัดวางขนมไว้ที่เบาะหลัง ก่อนเธอจะก้าวขึ้นรถฝั่งคนขับ และรีบกินไอศกรีมให้หมด พร้อมกันนั้นก็เปิดเครื่องปรับอากาศของรถให้ทำงานทันที ด้วยเพราะรถจอดอยู่กลางแดดจนภายในรถร้อนขึ้น พลันน้ำหวานสีแดงจากไอศกรีมก็หยดลงบนเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวของเธอ

“เหวอออ”

สาวร่างบางรีบคว้าทิชชูในกล่องใกล้ๆ มือมาค่อยๆ ซับน้ำหวานช้าๆ กระดุมเม็ดบนหลุดออกจากกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ มันตราจำใจต้องรีบงับไอศกรีมที่เหลือเพียงคำสุดท้ายให้หมดก่อนที่มันจะละลายและหยดลงบนเสื้อของเธออีก

“ว้ายตายแล้ว!!”

จังหวะนั้นเองที่ไอศกรีมเจ้ากรรมแตกออกจากกันเป็นสองซีก แม้ซีกหนึ่งจะเข้าไปในปากของมันตราเรียบร้อยแล้ว แต่อีกซีกที่เหลือกลับหล่นเข้าไปในเสื้อเนื้อบางของเธอ สมิงเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้สำหรับวันนี้ ท่าทางกระวนกระวายใจของสาวร่างบางข้างๆ ทำเอาสมิงเองต้องขยับมือไปคว้าแขนเล็กนั้นไว้เสีย ก่อนจะยันตัวขึ้นจากที่นั่งของเขา กดเอนปรับเบาะเล็กของมันตราให้เอนลงไปนอนราบอย่างช้าๆ

“อะ...อ๊ะ ส...สมิง ไอติมมันไหลเข้าไปแล้ว!” หญิงสาวรีบร้องออกมาด้วยกลัวว่าจะเลอะเทอะไปมากกว่านี้ แต่สมิงกลับก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากนุ่มของมันตราเอาไว้ให้สาวเจ้าหยุดโวยวายเสียก่อน ก้อนน้ำแข็งที่ยังคงคาอยู่บริเวณร่องอกร้อนผ่าวเริ่มละลายแล้ว

“อะ...อื้ม...”

ร่างบางถูกกดตรึงอยู่กับเบาะหนังอย่างนั้นเนิ่นนาน น้ำหวานสีแดงยังทิ้งรสชาติอยู่ในโพรงปากเล็ก ก่อนจะถูกลิ้นร้อนของสมิงกอบโกยออกไปจนสิ้น มันตราหอบหายใจแรงขึ้นน้อยๆ เนินอกขาวเผยออกเมื่อกระดุมเม็ดถัดๆ ไปถูกปลดออกอย่างง่ายดายด้วยมือหยาบ หยดน้ำสีแดงจากก้อนน้ำแข็งที่กำลังจะละลายไปจนหมดหายไปในพริบตาด้วยลิ้นสากของสมิง

“ดะ...เดี๋ยวก่อนสิ...”

สองแขนเล็กพยายามยันร่างใหญ่ให้ออกไปก่อน ด้วยเพราะที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในจุดที่ไม่ได้ลับตาคนมากนัก แม้ฟิล์มกรองแสงของรถจะพอปิดบังสายตาคนภายนอกได้บ้าง แต่มันตราก็ยังมองเห็นคนภายนอกที่เดินผ่านรถของเธออยู่ ถึงแม้จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

“ถ้าเจ้าไม่เงียบ พวกนั้นจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนรถคันนี้”

สมิงกล่าวกระซิบแผ่วเบาที่ใบหูเล็ก สร้างความวาบหวามให้เกิดขึ้นในอกหญิงสาว ชุดชั้นในสีขาวของมันตราถูกปลดออกอย่างไม่ยากเย็นจากตะขอด้านหน้า เผยสองก้อนเนื้องามเต่งตึงที่ทิ้งรอยกระเพื่อมอยู่น้อยๆ ผิวขาวผ่องทำให้ร่างใหญ่แทบยั้งใจไว้ไม่ไหว สองมือของสมิงขยับขึ้นกอบกุมลูกแพร์ใหญ่ผิวเนียนนุ่มอย่างเต็มไม้เต็มมือ ส่วนปลายที่สุกงอมแต้มด้วยสีชมพูระเรื่อ กลิ่นหอมของมันตราเชื้อเชิญร่างใหญ่ให้ก้มลงลิ้มลองลูกแพรนุ่มอย่างเชื่องช้า ทำเอาร่างบางถึงกับหลุดเสียงน่าอายออกมา ก่อนมือเรียวจะยกขึ้นป้องริมฝีปากที่เคยหวานไปด้วยรสไอศกรีม

ลมหายใจร้อนผ่าวของเธอกระทบหลังมือขาวของตัวเองอยู่อย่างนั้น ในขณะที่ลิ้นร้อนกำลังง่วนกับลูกแพร์หวานในปาก เสียงกระเส่ายังคงเล็ดลอดออกมาเป็นจังหวะ หน้าอกอิ่มยกขึ้นไปตามสัมผัสร้อนที่คุ้นเคย สองขาเรียวของมันตราพยายามหนีบเข้าหากันอย่างสั่นเครือ อีกมือพยายามรั้งผ้าซิ่นผืนงามเอาไว้ หมายใจว่าจะไม่ให้เกินเลยไปกว่านี้

“ร้องเป็นลูกแมวเลยเจ้า...”

ริมฝีปากสีเข้มขยับกระเซ้าร่างบางจนสั่นเทาไปทั้งตัว ไรขนเล็กลุกชูขึ้นจากสัมผัสที่แผ่วเบาด้วยปลายนิ้วมือของสมิง ทั้งเร่าร้อน รุนแรง และยั่วยวนไปในเวลาเดียวกัน แม้ดวงตาใสซื่อหรี่ลงอย่างพยายามจะคาดโทษ แต่ทำได้เพียงแค่ส่งสายตาเว้าวอนจนทำเอาความเป็นชายของสมิงตื่นตัวขึ้น

“สมิง...พะ...พอก่อน...” เสียงหอบพร่าของเธอปรามน้อยๆ

“ดะ...เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นนะ”

ริมฝีปากสีชมพูเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงกระซิบหวาน แต่มือใหญ่ของเขาก็ยังไม่หยุด กลับลูบไล้ลงไปยังสะโพกสวย บีบเฟ้นอย่างโหยหา ก่อนจะค่อยๆ ช้อนมือเข้าไปภายใต้ผ้าซิ่นผืนงามของมันตราอย่างช้าๆ สองขาที่พยายามเบียดเข้าหากันทำเอาบางอย่างภายในร้อนระอุไปหมด มือใหญ่กดทาบลงกับต้นขาเรียวของมันตรา เพียงแค่นั้นก็ทำให้ร่างบางถึงกับสั่นสะท้าน

ริมฝีปากเข้มของสมิงพรมจูบร้อนผ่าวลงที่หัวไหล่เล็กของเธอ เล้าโลมร่างกายขาวเนียนลงมายังเนินเนื้อนุ่ม ความร้อนรุ่มภายในกายเขากระตุ้นเธอเสียจนเปียกปอน แม้เครื่องปรับอากาศภายในรถจะทำงานอยู่ก็ตาม หัวใจดวงเล็กเต้นถี่ขึ้น ลมหายใจติดขัดเป็นช่วงๆ เสียงครางหวานดังคลอไปกับลมหายใจร้อนสุดจะทนของสมิงที่ปะทะลงกับผิวกายเธอ แต่....

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

มันตราดึงเสื้อของเธอขึ้นปิดลูกแพร์สวยเอาไว้ทันที สมิงร่างใหญ่เลิกคิ้วอย่างขัดใจที่มีคนมาขัดช่วงเวลาแบบนี้เสียได้ เขาจึงล่าถอยกลับไปยังที่นั่งของตัวเองเสียก่อน

“คะ...คะ??”

กระจกมืดของรถคันงามถูกเปิดลงช้าๆ มือเรียวจัดผมพร้อมกับภาวนาว่าอย่าให้อีกฝ่ายผิดสังเกตอะไรเลย เหงื่อเม็ดโตผุดออกมาเต็มหน้าผาก

“รบกวนช่วยเลื่อนรถให้หน่อยได้มั้ยคะ พอดีว่ารถคันข้างหน้านี้จอดขวางทางอยู่ รถเราเลยออกไม่ได้น่ะค่ะ เห็นรถคันนี้ติดเครื่องอยู่เลยมาลองขอดู...” หญิงวัยกลางคนเอ่ยขออย่างสุภาพ 

มันตรารีบรับคำทันที ทั้งๆ ที่มือหนึ่งกุมเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อบางมาปิดเนื้อขาวไปด้วย “อ๊ะ ได้ค่ะ ฉันกำลังจะไปพอดีเลย เดี๋ยวขยับให้นะคะ”

มันตราค่อยๆ ขยับรถออกไปช้าๆ ครั้นพอขับผ่านหญิงวัยกลางคนก็ไม่วายค้อมหัวให้อีกฝ่ายเป็นการบอกลา

กระจกสีดำเลื่อนขึ้นปิดอัตโนมัติก่อนเสียงถอนหายใจยาวๆ ของมันตราจะดังตามมา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเจ้าหล่อนมองอีกฝ่ายอย่างคาดโทษทีเดียว หากไม่ใช่เสือสมิงละก็จะตีเสียให้ตายเลย

“ร้ายกาจที่สุด” ปากเล็กของเธอบ่นอุบอิบ 

สมิงกลับตีหน้าซื่อพลางช้อนมองลูกแพร์สวยคู่นั้นที่คล้อยลงเป็นทรง แถมยังเคลื่อนไหวไปตามการขยับแขนของเธอและทุกครั้งที่รถเคลื่อนไหว

“ยะ...อย่ามองแบบนั้นนะ โถ่!...”

แม้สาวเจ้าจะเอ็ดเบาๆ แต่ก็ไม่อาจจะทำให้สมิงละสายตาจากลูกแพร์ลูกนั้นได้ไปได้ กระทั่งมันตราต้องจำใจเปิดไฟเลี้ยวและแวะจอดข้างทาง เพื่อจัดการชุดชั้นในให้เข้าที่เสียก่อน ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงมองไม่เลิกแน่ๆ

“ไม่ต่อจากเมื่อครู่หรอกเหรอ” เขาแซวออกมา ทำเอาหญิงสาวหันมาทำหน้าดุใส่ ขบริมฝีปากนุ่มด้วยฟันเบาๆ อย่างหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายยังไม่วายจะสานต่อเรื่องอย่างว่า

“อ๊ะ!! จริงสิ ลืมไปเลย!!”

จู่ๆ มันตราก็ร้องออกมา ทำเอาสมิงรีบมองสำรวจอีกฝ่ายทันที มือเรียวรีบขยับไปเปิดกระเป๋าใบเล็กของเธอ ถุงกำมะหยี่สีแดงใบนั้นเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำชั้นดีทีเดียว ก็เพราะเธอลืมขายจี้ห้อยคอของน้าสาวให้คุณหยาดทิพย์ไปเสียได้ ไหล่เล็กขยับตามแรงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับความขี้ลืมของตัวเอง

“ตกใจอะไรขนาดนั้น” เอ่ยถามเสียงทุ้ม

“ก็น้าสาวฝากจี้นี่มาขายให้น้าหยาดน่ะสิ...ลืมไปเสียสนิทเลย” มันตราตอบไปตามความจริง 

สมิงแบมือเพื่อขอดู ดวงตากลมมองสบนัยน์ตาสีแดงนั้นก่อนจะหลบสายตาเขา ด้วยเพราะพอจ้องเข้าไปในตาคู่นั้นทีไรก็รังแต่จะทำให้หัวใจเต้นโครมครามทุกที ก่อนเปิดถุงและหยิบจี้ทองคำส่งให้สมิงดูตามคำขอ

นัยน์ตาสีแดงเพลิงจ้องมองมายังจี้นั้นอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนจะส่งมันคืน ด้วยเพราะไม่อยากจะจับสิ่งนี้นานเกินไป

“เอาไปคืนน้าเจ้าเถอะ ของมันผูกพันกับเจ้าของขนาดนี้ ไม่นานก็คงมาตามคืนไปอยู่ดี”

สิ้นคำตอบจากสมิงใหญ่ มันตราก็ถึงกับทำหน้าไม่เข้าใจทันที

“จำได้ใช่รึเปล่าที่ข้าเคยบอกว่าของบางอย่างมีจิตวิญญาณ บางครั้งความผูกพันเป็นตัวกระตุ้นให้ของเกิดมีจิตวิญญาณได้” ร่างใหญ่อธิบาย

“จิต...วิญญาณ...เหมือนแม่นายพิกุลเหรอคะ”

มันตราถามออกไปตามซื่อ ด้วยเพราะเจ้าหล่อนเพิ่งจะเจอกับจิตวิญญาณแห่งแหวนมาหมาดๆ วันนี้เอง ร่างบางขยับเอี้ยวตัวมองสมิงตรงๆ ทันที 

ชื่อที่เธอเอ่ยออกมาทำเอาสมิงถึงกับแปลกใจ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกจนแผ่นอกกว้างขยับแรง และเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปเกี่ยวกับเรื่องที่สังหรณ์ใจแปลกๆ นี้

“อย่าบอกว่าเจ้าคุยกับนาง?”

“วันนี้แม่นายพิกุลขอให้ย้ายที่ให้หล่อนน่ะค่ะ” มันตราบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง ภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือฝ่ายนั้น

“เจ้าทำตามงั้นเหรอ”

สาวร่างบางพยักหน้าตอบ ริมฝีปากสีหวานยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดีขึ้น

“ทุกวง?”

“ค่ะ...ทุกวง”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกาย แน่นอนหน้าตาของเธอตอนนี้เหมือนเด็กที่กำลังจะได้คำชมจากผู้ใหญ่ แต่เธอได้กลับมาเพียงเสียงถอนหายใจอย่างหนักใจมากๆ จากสมิง ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอตอนนี้

“ถ้าเจ้าใจดีกับทุกอย่างแบบนี้ ข้าก็ลำบากน่ะสิ” สมิงบ่นออกมาน้อยๆ 

แม้สาวเจ้าจะรู้สึกผิดอยู่นิดๆ แต่ก็ยังมั่นใจว่าหากจิตวิญญาณของแหวนขอให้ช่วยอีกก็คงยังทำอยู่ดี

“ที่ร้านมีกลิ่นยังไง” ชายร่างใหญ่ถามต่อ

“หอมเหมือนเดิมเลย น้าหยาดเคยบอกว่าใช้น้ำหอมปรับอากาศ แต่ฉันกลับได้กลิ่นดอกพิกุลมาจากแหวนนี่สิ”

มันตราเล่าให้อีกฝ่ายฟัง ก่อนจะมองเวลาที่หน้าปัดรถ หญิงสาวรีบขยับไปนั่งประจำที่ของเธอตามเดิม ก่อนจะออกรถ

“บางครั้งพวกจิตวิญญาณเหล่านั้นมักจะแสดงออกในลักษณะต่างๆ เพื่อให้มนุษย์รับรู้ได้ว่ามีพวกมันอยู่ ง่ายๆ เลยก็คือกลิ่น เสียง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่กลิ่นดอกไม้ พวกกลิ่นเหม็นสาบ หรือกลิ่นซากศพก็สามารถที่จะเรียกให้ได้กลิ่นได้เหมือนกัน” ร่างใหญ่อธิบายต่อ 

มันตราหวนคิดถึงกลิ่นแปลกๆ กับก้อนสีดำนั้นขึ้นมา ถึงกับยกมือเรียวขึ้นขยี้จมูกเล็กของเธอน้อยๆ

“อย่าง...ก้อนสีดำนั้นเหรอคะ...” เสียงหวาดกลัวเอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักว่าควรจะพูดถึงสิ่งนั้นออกไปหรือไม่

“เปล่า” สมิงปฏิเสธขึ้นมาทันที

“นั่นเป็นวิญญาณ ก็คล้ายๆ กับพวกภูตผีที่เข้าไปสิงในของสิ่งหนึ่งนั่นแล จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ข้าถึงได้บอกว่าถ้าเจ้าใจดีกับทุกอย่างแบบนี้ ข้าคงจะเหนื่อยกว่านี้แน่ๆ”

เจ้าของนัยน์ตาสีแดงเพลิงกล่าวออกมาอย่างแข็งกร้าวเชิงดุมันตราน้อยๆ ที่ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างมั่วซั่ว แม้ครั้งนี้จะไม่มีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้น แต่หากวันหนึ่งเกิดให้ความช่วยเหลือสิ่งที่ไม่ดีเข้า อาจทำให้มีปัญหาตามมาภายหลังก็ได้ แขนใหญ่ขยับไปเท้าที่พักแขนน้อยๆ

“ขอโทษค่ะ...”

มันตราตอบออกไปด้วยเสียงค่อย มือเรียวกำพวงมาลัยหนังนุ่มแน่น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอไหววูบเพราะรู้สึกได้ว่ากำลังทำให้สมิงลำบากใจ

“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษข้า แค่บางครั้งเจ้าต้องระวังตัวบ้าง” สมิงเอ่ยบอก

ร่างบางพยักหน้าเข้าใจ แต่พอได้ฟังที่สมิงพูดออกมาแต่ละอย่างแล้วกลับทำให้รู้สึกผิดอยู่ในใจมากขึ้นไปอีก อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเบื่อหน่ายเธอหรือเปล่านะที่บางครั้งไม่ค่อยระมัดระวังตัว แถมสมิงก็พูดออกมาจากปากแล้วแท้ๆ ว่าการกระทำบางอย่างของเธอจะทำให้เขาเหนื่อย คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของมันตราราวกับดอกเห็ด ทั้งคำถามเก่าที่เคยถามออกไป แต่ยังไม่ได้คำตอบ และวันนี้กลับมีคำถามมากขึ้นไปอีก

รถสีแดงค่อยๆ ขับเข้าไปยังซอยเล็กข้างโรงเรียน ก่อนจะลัดเลาะไปตามทาง กระทั่งเข้าไปจอดยังลานดินหน้าเรือนไม้บะเก่า 

“มันตรา” เจ้าของนัยน์ตาสีแดงเพลิงลอบมองร่างบางอยู่หลายครั้งหลายครา แน่นอนเขารับรู้ได้ว่าสาวเจ้ากำลังเสียใจเพราะคำพูดเขา

ก่อนที่เขาจะเอ่ยนามอันไพเราะอีกครั้ง เธอก็หันมา และพยายามยิ้ม แต่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย มือใหญ่ยกขึ้นสัมผัสแก้มขาวอย่างแผ่วเบา ทำเอาร่างบางที่เก็บอาการอยู่หลุดสะอื้นออกมาทันที แม้ไม่ได้อยากจะเอ่ยถามออกไป แต่หากเธอเก็บมันเอาไว้คงจะอกแตกตายเข้าสักวัน

“ทำให้...สมิงลำบากใจเหรอ...”

ริมฝีปากนุ่มขยับไหวระริก ดวงตากลมฉ่ำวาวกะพริบถี่ๆ ไล่น้ำตา แต่น้ำตาใสร่วงหล่นลงมาเสียแล้ว ใบหน้าเข้มส่ายช้าๆ เป็นคำตอบ ไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาลำบากใจไปกว่าการที่เขาทำให้เธอร้องไห้อีกแล้ว

“ให้อภัยข้า หากคำพูดข้าทำให้เจ้าเสียใจ” สมิงเอ่ยเสียงทุ้มอย่างกังวล  

มันตราส่ายหน้าน้อยๆ “ฉัน...กลัวว่าจะทำให้สมิงลำบากใจน่ะ อย่างบางทีที่ต้องตามมาช่วยเหลือ ตามมาช่วยปลอบใจ แถมฉันยังขี้แยอีกต่างหาก” ร่างบางเอ่ยเสียงค่อยสั่นเครือ ก่อนนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะเฉมองไปทางอื่น 

มือใหญ่ดึงใบหน้าหวานให้หันกลับมามองหน้าเขา ริมฝีปากร้อนจุมพิตลงกับริมฝีปากนุ่มของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะบอก

“แต่เชื่อข้าเถอะว่า ใบหน้าของเจ้าเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าน้ำตา”

นิ้วโป้งใหญ่ค่อยๆ เกลี่ยน้ำตาให้อีกฝ่ายน้อยๆ ก่อนจะก้มลงจูบแก้มทั้งสองข้างของมันตราอย่างแผ่วเบา 

สาวหน้าหวานพยักหน้ารับคำอีกฝ่ายอย่างเข้าใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น