9

บทที่ 9


บทที่ 9

                “แล้วระหว่างเดินทางไปสถานีรถไฟหญิงเกิดป่วยจนเป็นลมไปค่ะคุณป้า เคราะห์ดีว่าคุณแสงช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นศพอนาถาอยู่ข้างถนนไปแล้ว”

                เกล้ามาลาเล่าจบ พี่สาวแท้ๆ ของแม่ก็ถึงกับถอนหายเฮือก คุณป้าอยู่ในงานวันนั้นเช่นกัน แต่เมื่อน้องสาวสร้างเรื่องอื้อฉาวคนเป็นพี่ก็หายหน้าเงียบๆ ไปจากงาน คงอายหน้าชาไม่น้อยไปกว่าญาติคนอื่นๆ แต่พอได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากปากหลานก็บีบไหล่เธอเบาๆ อย่างสงสารระคนเหนื่อยใจ แต่ไม่พูดอะไรจนเกล้ามาลาได้แต่มองหน้าเจื่อน ไม่รู้ว่าตกลงแล้วคุณหญิงวรรณวาณิชจะยอมเชื่อเรื่องจริงจากปากหลานหรือไม่

                “อ้าว ไหนลื้อว่าบ้านโดนทิ้งบอม” คุณนายเหมยฮัวเข้ามาถามอีกคน “เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ นี่ตกลงเรื่องไหนจริง เรื่องไหนโกหก”

“ฉันเป็นคนโกหกคุณแสงเรื่องที่ว่าบ้านโดนทิ้งบอมเองค่ะ คุณแสงจึงเข้าใจผิดไป”

เกล้ามาลายื่นอกรับและถือโอกาสชี้แจงไปพร้อมกัน แล้วรีบหันหาคุณป้าเพราะท่านยังไม่ยอมพูดอะไร

“แต่เรื่องที่ว่าหญิงเป็นเมียคุณแสงนั้นไม่จริงเลยนะคะคุณป้า เรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น แต่น้ำท่วมปากพูดกันไม่ออกสักคนจึงปล่อยให้มันเลยเถิดไป”

“แล้วคุณหญิงรู้หรือไม่ว่าแม่ช่อทิพย์ทั้งเสียใจทั้งเสียหน้าจนหนีออกจากบ้านไปแล้ว”

“หญิง… ไม่รู้เลยว่าคุณแสงเป็นคู่หมั้นของพี่ช่อทิพย์ ทีแรกนึกว่าจะเป็นเพียงคนชื่อซ้ำกันเสียอีก”

“ถ้าไม่ใช่คุณหญิง ป้าก็คงไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้หรอก” คุณป้าบอกเธอแต่มองค้อนไปยังแสงภาณุที่นั่งหน้านิ่งอย่างเดาอารมณ์ไม่ถูก “แต่ป้าจะทำอย่างไรดี แม่ช่อทิพย์หนีหายจากบ้านไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

“หากตามกลับมาเล่าความจริงให้ฟัง แล้วพี่ช่อทิพย์จะยอมกลับมาหมั้นกับคุณแสงไหมคะ”

“ไฮ้! เห็นลูกอั๊วเป็นอะไร นึกอยากหมั้นก็หมั้น นึกอยากถอนทิ้งก็ถอน”

คุณนายเหมยฮัวร้องขัดจนสองป้าหลานสะดุ้งไปตามๆ กัน รู้แน่แล้วว่านางพญากำลังจะพ่นไฟใส่เพราะปกป้องลูก

“อั๊วไม่รู้ล่ะ ก็อาเกล้าอีได้ชื่อว่าเป็นเมียอาหมิงแล้ว ญาติๆ ฝ่ายอั๊วก็รับรู้กันทุกคน อย่างไรเสียอาเกล้าก็ต้องเป็นลูกสะใภ้อั๊ว ใครถอนหมั้นทิ้งไปแล้วก็ปล่อยไปซี”

“แต่แม่ช่อทิพย์เข้าใจผิดนี่คะคุณนายจึงมาถอนหมั้น” มารดาของช่อทิพย์เถียงอย่างไม่ยอมลดราวาศอก “และคุณหญิงเกล้าก็ยืนยันแล้วว่าไม่ได้เป็นเมียพ่อแสง… จริงหรือไม่ล่ะ พ่อแสง”

คำสุดท้ายคุณป้าตวัดสายตาไปหาแสงภาณุ แต่เขาไม่ได้ตอบในทันทีและไม่ยอมมองหน้าคนที่จ้องรอคำตอบอยู่อีกด้วย เอาแต่ก้มมองพื้นหญ้าแล้วลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยินแต่เกล้ามาลาก็สัมผัสได้ถึงความหนักใจนี้อยู่ดี

“ครับ”

“ไม่ใช่ก็ดี อาจะถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปเสียแล้วกัน”

คุณป้าบอกแสงภาณุเหมือนจะไม่ขุ่นเคืองใดๆ อีกแต่สายตายังค้อนอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนมามองเธออย่างอ่อนโยนลง

“ส่วนคุณหญิงเกล้า หากไม่อยากกลับวังก็ไปอยู่กับป้า ญาติฝ่ายโน้นเขารังเกียจก็ช่างเขา”

“หญิงเกรงใจคุณป้าค่ะ”

“ไม่เอาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจอะไร เราก็สายเลือดเดียวกันและป้าไม่อยากให้คุณหญิงไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว เกิดเจ็บไข้ใครจะดูแล นี่ถ้าไม่ใช่เพราะป้ามารู้เรื่องทีหลังจากท่านหญิงเกศว่าทรงปล่อยคุณหญิงไปปีนังคนเดียว ป้าไม่ยอมให้ไปหรอกนะ”

คุณป้าศรีเพ็ญออกคำสั่งหนักแน่น

“เรามีกันอยู่แค่นี้แล้ว ยังจะทิ้งป้าไปอีกหรือ แม้บ้านป้าจะไม่สุขสบายเท่าวังของท่านชาย แต่ก็กว้างขวางพอที่ให้หลานอยู่ได้ และหากคุณหญิงอยากหลบหน้าแม่สร้อยจันทร์ก็ไปอยู่กับป้า อย่าไปไกลถึงปีนังเลย”

“ค่ะ”

เกล้ามาลาก็ตกลงรับคำง่ายๆ เพราะเธอรู้ซึ้งแล้วว่าการออกจากบ้านเพียงลำพังน่ากลัวแค่ไหน และในเมื่อไม่อยากกลับไปอยู่วังสัตตบรรณ บ้านของคุณป้าก็เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดแล้ว

“แต่หญิงขอร้องว่าคุณป้าอย่าบอกคุณแม่ได้ไหมคะ” เกล้ามาลายังกลัวอยู่แต่อย่างเดียว “ไม่อยากพบท่านอีกแล้ว คุณป้าช่วยหญิงเถิดนะคะ”

“ป้าเข้าใจอยู่หรอก” พูดถึงน้องสาวแล้วคุณป้าก็ถอนหายใจแรง “แต่พุทโธ่คุณหญิง ที่ไม่กล้าเห็นป้าเป็นที่พึ่งเพราะอย่างนี้หรอกหรือ”

“ค่ะ”

“อั๊วไม่ไปให้นะ!” พอเธอรับปากป้า แม่ของแสงภาณุแทรกขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง “ก็บอกว่าอาเกล้าเป็นเมียอาหมิงแล้ว จะเป็นคุณหญิงมาจากไหนก็ช่าง แต่เมียเป็นสมบัติของผัว ต่อให้เป็นญาติก็เอาไปไม่ได้”

“ก็เขาพูดตรงกันแล้วว่าไม่ได้เป็นผัวเมียกัน คุณนายจะมาบังคับเอาหลานอีฉันไปอย่างนี้ไม่ได้นะคะ”

คุณป้าเถียงใหญ่แล้วหันไปค้อนแสงภาณุด้วยอีกคน

“เรื่องของพ่อแสงกับแม่ช่อทิพย์ก็ยังไม่ชัดเจน พ่อแสงก็เหลือเกิน ไม่ยอมอธิบายแล้วให้น้องถอนหมั้นไปเฉยๆ จนน้องหนีเตลิดไป อย่ามาลากหลานสาวอาเข้าไปเกี่ยวข้องอีกเลย”

                “ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับน้องช่อทิพย์นี่ครับ”

แสงภาณุเพิ่งเปิดปากพูดยาวๆ เป็นครั้งแรกนับแต่เธอเล่าเรื่องของตัวเองจบ แต่น้ำเสียงช่างไร้อารมณ์และมองหน้าแม่ของช่อทิพย์อย่างเหนื่อยใจระคนเกรงใจไปพร้อมกัน

“วันนั้นน้องก็ดูไม่มีอารมณ์ใดๆ บอกผมแค่ว่าจะขอถอนหมั้น เมื่อน้องบอกเช่นนั้นผมก็ตกลง ยังไม่เห็นน้องจะพูดอะไรสักคำ แม้แต่จะยิ้มหรือชักสีหน้าก็ไม่มี”

“ก็น้องเป็นผู้หญิง จะให้แสดงอารมณ์ออกมาชัดเจนได้อย่างไร จะให้มาร้องตีโพยตีพายว่าพ่อแสงมีผู้หญิงคนอื่นอย่างนั้นหรือ ลูกสาวอาถูกอบรมมาดี ไม่ทำกิริยาอย่างนั้นหรอก”

“ผมทราบครับ น้องช่อทิพย์ไม่มีวันมาโวยวายเพราะหึงหวงผมหรอก”

“พ่อแสง!”

                ได้ยินคนหนุ่มตองอย่างนั้นคุณป้าก็ถึงกับร้องเสียงหลงมองจนเหลือก แต่คนพูดดูไม่ยินดียินร้ายสักนิด เกล้ามาลาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะเคืองแทนคุณป้าดีหรือไม่ เพราะเธอจำได้ว่าแสงภาณุก็ไม่อยากแต่งงานกับคู่คุมถุงชน ดูอารมณ์ดีจนออกหน้าด้วยซ้ำที่ถูกถอนหมั้นไป

                “เอาล่ะครับๆ ถ้าคุณอาจะรับตัวหลานสาวไปอยู่ด้วย ผมก็จะไปส่งเสียแล้วกัน” แสงภาณุเปลี่ยนเรื่องนี้อย่างเฉียบเย็น “ส่วนเรื่องน้องช่อทิพย์ผมจะช่วยตามหาให้อีกแรง”

                “แล้วงานแต่งจะใช้ฤกษ์เดิมอยู่หรือไม่”

                “งานแต่งนั้นถูกยกเลิกเพราะว่าที่เจ้าสาวถอนหมั้นไปแล้วครับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไร ผมก็ถือว่าถอนหมั้นไปแล้ว”

                เขาตอบเสียงหนักจนคุณป้ามองตาเหลือก คล้ายท่านจะพูดอะไรสักอย่างแต่พอไปสบนัยน์ตาดุดันของชายหนุ่มก็ปิดปากไปไม่ยอมอ้า ทิ้งให้เกล้ามามองหน้าทั้งสองคนอย่างอึดอัด

แต่คำถามที่ร่ำร้องอยู่ในหัวใจของหญิงสาวมากที่สุดคือตอนนี้แสงภาณุกับช่อทิพย์เลิกรากันอย่างเด็ดขาดแล้วหรือยัง ไม่ต้องมาแต่งงานอีกแล้วใช่ไหม

                จะมีใครให้คำตอบชัดเจนกับเธอได้หรือเปล่า…

 

                หากจะมีใครตอบได้ก็คงไม่พ้นเป็นช่อทิพย์กับแสงภาณุ แต่ลูกพี่ลูกน้องของเธอหนีไปแล้ว ส่วนคนที่อยู่ด้วยก็เอาแต่ปิดปากเงียบ แล้วเธอจะถามให้รู้เรื่องดีหรือไม่

                แต่จะดีหรือไม่เธอก็ไม่กล้าถาม แม้แต่จะชวนคุยเรื่องสัพเพเหระเกล้ามาลายังไม่กล้า ได้แต่มองคนที่พาเธอขึ้นมาหยิบกระเป๋าเดินทางในห้องนอนด้วยอาการใจตุ๋มๆ ต้อมๆ นึกหวาดหวั่นว่าแสงภาณุจะโกรธที่เธอไม่ยอมบอกตั้งแต่แรกว่าเป็นใครมาจากไหน และหากคุณป้าไม่มา หญิงสาวก็ไม่คิดจะปริปากจริงๆ เพราะอายเหลือทนหากต้องมาเล่าเรื่องของแม่ให้เขาฟัง แต่พอเล่าจนหมดแล้วชายหนุ่มกลับยังไม่พูดอะไรกับเธอสักคำนอกจากออกปากว่าให้ขึ้นมาเอาสัมภาระเพราะเขาจะไปส่งที่บ้านคุณป้า

                เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องนอนกันเพียงลำพัง เกล้ามาลายิ่งรู้สึกว่าระหว่างเธอกับแสงภาณุช่างเต็มไปด้วยความอึดอัด เมื่อเขาไม่พูดหญิงสาวก็ไม่กล้าเอ่ยปากก่อนเพราะมีชนักติดหลัง ได้แต่มองชายหนุ่มช่วยยกกระเป๋าเดินทางที่เก็บข้าวของไว้เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อเช้าออกมาถือไว้พร้อมกับกล่องไวโอลิน วางทุกอย่างไว้ข้างเตียงแล้วชายหนุ่มก็เดินไปที่โต๊ะทำงาน เลื่อนลิ้นชักและหยิบหมวกผ้าสักหลาดทรงโบตเตอร์สีแดงเลือดนกออกมาใบหนึ่ง ถือมันแล้วเดินเอามาส่งให้เธอกับมือ

“หมวกของผม”

เพียงเขายื่นหมวกให้แต่เกล้ามาลาก็ใจชื้นขึ้นมาเป็นกองจนเผลอยิ้มกว้างเพราะแสงภาณุยอมพูดกับเธอแล้ว แม้จะยังหน้าบึ้งตึงใส่กันก็ตาม

“จะผู้หญิงหรือผู้ชายสวมก็ดูดี คุณหญิงคงไม่รังเกียจนะครับถ้าแค่จะสวมเพื่อเดินทางไปบ้านคุณหญิงวรรณวาณิช”

“ฉันขอเก็บไว้สวมทุกโอกาสได้ไหมคะ”

หญิงสาวตอบอย่างเอาใจซึ่งแสงภาณุก็พยักหน้าเป็นอันว่าอนุญาต ทำให้เธอกลับมาอุ่นใจอีกรอบว่าเขาไม่ได้โกรธจนไม่ยอมพูดด้วยอย่างที่กลัวในตอนแรก

“ขอบคุณค่ะ นี่เป็นหมวกใบแรกที่มีคนให้ฉันเชียว”

“หมวกใบนี้ผมก็ซื้อเป็นใบแรกตอนไปเรียนที่อังกฤษเหมือนกัน”

“ของสำคัญหรือคะ!” ได้ยินอย่างนั้นเกล้ามาลาก็ไม่กล้ารับ “ถ้าอย่างนั้นขอยืมใช้แล้วฉันจะนำมาคืนให้”

“อะไรที่ผมให้คุณ ผมไม่เสียดาย ไม่นึกอยากได้คืนหรอกครับ”

เขาตอบสั้นๆ แค่นั้นแต่เกล้ามาลาก็ยิ่งหนักใจเพราะแสงภาณุยังไม่ยอมยิ้มให้เลย ดูน้อยใจมากขึ้นทุกทีจนความรู้สึกฟ้องออกมาทางสีหน้าและแววตา ยิ่งมองก็ยิ่งกลุ้มจนเกล้ามาลาไม่อาจเก็บความอึดอัดนี้ไว้ได้อีกต่อไป

“คุณแสง… คุณโกรธฉันหรือ”

“ไม่ได้โกรธ”

พอเธอถามไปตรงๆ แสงภาณุก็ตอบเสียงเย็นอย่างไร้อารมณ์ แต่สีหน้าก็ไม่ได้ดีขึ้น ซ้ำยังถอนหายใจยาวใส่เธออีกต่างหาก

“เพียงแต่น้อยใจที่คุณหญิงโกหกผมเรื่องบ้านถูกทิ้งบอมและยังตั้งใจปิดบังผมอีก”

                “ฉันขอโทษค่ะ”

คนรู้ตัวว่าผิดก็ปั้นหน้าไม่ถูก แต่ก็อยากให้เขาเข้าใจจึงสารภาพความในใจไปจนสิ้น

“แต่ฉันรู้สึกว่าแม่ของฉันสร้างเรื่องไว้ฉาวโฉ่ พระญาติฝ่ายท่านพ่อและผู้คนที่ทราบเรื่องก็ติฉินนินทากันแซงแซ ฉันอายเหลือเกิน หลังจากเสร็จงานพระศพฉันจึงปิดวังของท่านพ่อไว้ คิดว่าจะทิ้งทุกอย่างไว้แล้วกลับไปอยู่ปีนัง”

            “แล้วนี่ยังคิดจะไปปีนังอีกหรือไม่”

                “หากเป็นตอนนี้ยังไม่คิดค่ะ” เกล้ามาลาตอบอย่างไม่แน่ใจนัก “รอสงครามสงบก่อนคงจะตอบได้ เพราะแม้อยากจะไปตอนนี้ก็ดูอันตรายเหลือเกิน และหากไม่พบคุณฉันอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

                “หรือหากเลือกได้คุณหญิงก็คงไม่อยากฟังคำติฉินนินทาพวกนั้น จนนึกอยากหนีไปปีนัง แล้วต้องมาพบผม”

                “คุณแสง…”

พอรู้ว่าเขาประชดหญิงสาวก็ถึงกับเสียงอ่อน เธอไม่อยากให้แสงภาณุขุ่นเคืองอย่างนี้เลย เจ้าตัวจะรู้บ้างไหมว่าอารมณ์ของเขาช่างมีผลต่อความรู้สึกของเธอเหลือเกิน แล้วจะปล่อยให้ความน้อยใจของชายหนุ่มกลายเป็นเรื่องค้างคาอยู่ได้อย่างไร เธอไม่มีวันสบายใจได้แน่หากเขายังไม่ยิ้มให้สักครั้งให้ได้รู้ว่าหายเคืองกัน

“ฉันกลับคิดว่าตัวเองโชคดีเสียอีกที่ได้พบคุณ”

หญิงสาวปล่อยให้ความรู้สึกในใจพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ปิดบังเพราะในเวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าแสงภาณุอีกแล้ว

“คุณเหมือนโลกใบใหม่ของฉัน เป็นโลกที่สดใสกว่าโลกที่ฉันเคยหันหลังให้ ได้พบคุณแล้วชีวิตของฉันก็เหมือนได้เริ่มต้นใหม่ ได้โปรดอย่าโกรธหรือเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนเดิมของฉันได้ไหมคะ”

เธอบอกไปหมดแล้ว…

ความรู้สึกในใจที่มีให้แสงภาณุหญิงสาวสารภาพจนสิ้น ทว่าเขาทำเพียงมองหน้าด้วยแววตาที่เกล้ามาลาอ่านไม่ออก ราวกับว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่มากมาย พาให้เธอใจสั่นหวั่นไหว กลัวว่าเขาจะโกรธจนไม่รับฟังคำขอร้องจากเธอ

แต่เพียงครู่เดียวแสงภาณุก็ยิ้ม คลี่ยิ้มออกเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ดวงตาคู่นั้นหยี่ลง ทว่าช่างดูน่ารักเหลือเกิน และเป็นรอยยิ้มมีเสน่ห์ที่ตรึงใจเกล้ามาลาได้อย่างไม่อาจถอดถอนจนอยากมองเขายิ้มไปชั่วชีวิตของเธอ

“คุณหญิงขอผมเช่นนี้แล้ว หากผมมีเรื่องขอแลกเปลี่ยนจะได้หรือไม่”

“เรื่องอะไรหรือคะ”

“นับแต่นี้ไปหากเดือดร้อนแม้เพียงนิดก็ขอให้คุณหญิงคิดถึงผมเป็นคนแรก ห้ามมีคำว่าเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้น และหากถึงวันที่คุณหญิงรู้สึกว่าไม่มีใคร ก็ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าคุณหญิงจะมีผม ผมจะเป็นโลกทั้งใบของคุณหญิงเอง”

เกล้ามาลาต้องมนตร์สะกดจากคำขอของเขา รู้สึกว่าหัวใจกลับมาเต้นแรงระรัวอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ แล้วสวมหมวกให้เธอเองกับมือ หญิงสาวก็ยิ้มรับไว้ด้วยความเต็มใจ และเชื่อมั่นเหลือเกินว่าต่อให้โลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน

เธอก็จะไม่ลืมรอยยิ้มของแสงภาณุในวันนี้เลย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น