1

ตะวัน


1

ตะวัน

“เช้านี้เป็นเช้าวันที่สิบแล้วนะครับตะวัน”

ผมไม่ตอบอะไรพี่ปอ ได้แต่ยิ้มและพยักหน้า

“นี่ตะวัน ว่างไหมครับ”

ต้องว่างอยู่แล้วสิ ผมรีบมาวอร์ดตั้งแต่ตีห้า ราวน์ให้เสร็จ เคลียร์รอเวลาเจอพี่ปอนี่แหละ ผมพยักหน้าไปอีกที

“งั้นไปกินกาแฟกันนะ พี่เลี้ยงเอง”

ผมพยักหน้าอีกที แล้วเดินออกนำเขาไปที่โถงลิฟต์หน้าวอร์ด กดปุ่มลง

“แล้ว...ตะวันรู้ใช่ไหมครับ ว่าวันนี้พี่จะพูดอะไร”

ผมหันไปสบตาพี่ปอ เขาเดินเข้ามาประชิดตัวผมมากขึ้น จมูกเราสองคนแทบจะเกยกันอยู่แล้วตอนที่เขาถาม ผมเสตามองไปทางด้านอื่น แต่พยักหน้าตอบกลับช้าๆ

วินาทีนี้มาถึงแล้วสินะ

วินาทีสำคัญของชีวิตผม

คือ...จะเล่ายังไงดีล่ะ

เท้าความยาวหน่อยก็แล้วกันนะ

เริ่มจากเล่าเรื่องพี่ปอ กับ ผมสมัยก่อน ก็แล้วกัน

 

พี่ปอ นักศึกษารุ่นพี่ คณะทันตแพทยศาสตร์สุดเท่ ที่ผมได้แต่แอบมองตอนสมัยเรียนหมอ แม้จะเรียนคนละคณะ แต่ตึกก็ติดกัน และชื่อเสียงความหล่อของเขาก็กระจายมาถึงฟากตึกคณะแพทย์ เขาเป็นผู้ชายที่ผมมองว่าไกลสุดเอื้อมมาตลอด และตัดสินใจพับความหวังที่จะไปยืนอยู่ข้างๆ เขาตั้งแต่ตอนผมขึ้นปี 4 และพี่เขาเรียนจบไปเป็นทันตแพทย์ใช้ทุน ตอนนั้นได้ข่าวแว่วๆ ว่า พี่เขามีแฟนเป็นสจ๊วร์ต

นั่นละ คือตอนที่ผมตัดใจ

ผ่านไปหลายปี ผมเรียนจบหมอ ออกไปใช้ทุน แม้จะมีคนเวียนผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง แต่ก็ไม่มีใครอยู่ได้นานพอจะสร้างเป็นความสัมพันธ์ได้ ชีวิตแพทย์ใช้ทุนมันยุ่งน่ะคุณ ทำงานก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และออกจากโรงพยาบาลหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า คืนไหนอยู่เวรก็คือยาวยันสว่างคาตา ก่อนจะลุยทำงานต่อจนค่ำมืดอีกรอบ

ทำให้ชีวิตแพทย์ใช้ทุนสามปีของผม อุดมไปด้วยความรู้และประสบการณ์โชกโชนทางการดูแลคนไข้ แต่ไม่เคยได้สัมผัสความรักและความสัมพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้น ว่างก็กิน นอน ดีหน่อยที่หลังๆ โรงพยาบาลมีสวนสุขภาพออกกำลังกาย ผมเลยได้รับอานิสงส์ โดนเพื่อนลากให้ไปออกกำลังกายด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้อ้วนป่องกลิ้งไปตรวจคนไข้แน่ๆ

สิ้นสุดชีวิตแพทย์ใช้ทุนสามปี ผมก็กลับมาสู่รั้วโรงเรียนแพทย์ในกรุง อีกครั้ง เพื่อเรียนต่อเฉพาะทาง และนี่ละ ที่เส้นเรื่องระหว่างผมกับพี่ปอ กลับมาบรรจบกันอีกครั้ง

 

“น้องตะวันครับ น้องตะวัน”

“… …”

“น้องตะวัน จำพี่ได้ไหม”

“… …”

“พี่ไง พี่ปอไง จำได้ป่าว?”

“… …”

“เราสองคนเป็นสตาฟฟ์สวัสดิการด้วยกัน ตอนงานกีฬาเข็มกับเขี้ยวของมหา’ลัยไง อะไรจำพี่ไม่ได้เหรอ ตอนนั้นยังออกจะสนิทกันอยู่เลย พี่ยังพานายซ้อนจักรยานในม.”

ผมรีบพยักหน้า ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้นะ แต่ตอนนั้นมันกำลังเขินอยู่ต่างหาก ใครจะไม่เขินกันล่ะ เขาจำผมได้ด้วย ผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายเข้าไปถามพี่เขาว่า พี่จำผมได้ไหม

แต่กลับเป็นพี่ปอที่เดินฝ่าฝูงแพทย์ประจำบ้านเข้าใหม่สี่สิบห้าสิบคนตรงมาที่ผม จะไม่ให้ปลื้มให้เขินได้ไงไหวล่ะคุณ ผมงี้ยืนตัวแข็งจนกระทั่ง นาเดีย เพื่อนรักต้องใช้ศอกกระทุ้งนั่นละ กายละเอียดถึงกลับเข้ามาประทับในกายหยาบอีกที

“เอ่อ…พี่ปอทำงานที่นี่เหรอครับ”

“อ๋อ พี่เป็นสตาฟฟ์ที่นี่แล้วครับ แก่แล้วน่ะ”

“โหย...ไม่เห็นแก่เลยครับ พี่ปอดูไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ตอนเรียน”

“เหรอ พี่ไม่เปลี่ยนไปเลยเหรอ ขอบคุณนะ แต่...”

เขาเว้นวรรคนิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มละไมให้ผม

“แต่…ตะวันเปลี่ยนไปนะ น่ารักขึ้นกว่าตอนเรียนเยอะเลย”

ณ ตอนนั้น ผมเขินจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ตัวอยู่นิ่งๆ หน้านี่นิ่ง แต่ในใจจริงๆ นี่ลิงโลดมากมายนะ เหมือนในหัวมีงานเทศกาลโอบ้ง+สงกรานต์+ตรุษจีน เกิดขึ้นพร้อมๆ กันอยู่ในหัวผม ประมาณนั้นเลยละ

“ที่จริงพี่ก็ไม่ใช่สตาฟฟ์ฝ่ายแพทย์หรอกนะ แต่เขาเกณฑ์มาให้ช่วยต้อนรับน้องๆ แพทย์ประจำบ้านใหม่ที่เข้ามา ดีใจมากนะที่ได้เจอตะวัน พี่เห็นเราแต่ไกลแล้วแต่ไม่แน่ใจ เลยเข้ามาดูใกล้ๆ ก็เราเล่นน่ารักขึ้นขนาดนี้นี่นา”

“แหมมมมมม นี่หนูก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยนะคะ ใจคอพี่ปอจะจำได้แต่ตะวันคนเดียวเหรอ หนูไง จำได้ป่าว?”

นาเดียเพื่อนรักที่ยืนเป็นอากาศธาตุอยู่ข้างๆ ผมสักพัก เริ่มทนไม่ไหว

“เอ่อ สวัสดีครับน้อง...” พี่ปอหรี่ตาดูชื่อที่ปักบนอกเสื้อของนาเดีย

“น้อง วรุฒ แหมมม จำได้สิครับ ก็ว่าอยู่หน้าคุ้นๆ”

“ไม่เอาสิพี่ ไม่เรียกชื่อจริง ต่อไปนี้เรียกหนูว่านาเดียนะพี่ จริงๆ ชื่อเล่นชื่อน้อต แต่หมอดูบอกว่าคำว่า NOT มันไม่เป็นมงคล ผู้ชายไม่เข้า น้องเลยเปลี่ยนเป็นนาเดีย”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไอเดียดีนะครับน้อง...เอ่อ นาเดีย”

พี่ปอดูลังเลเล็กน้อยก่อนจะเรียกชื่อเพื่อนผมว่า...นาเดีย อย่าว่างั้นงี้เลยนะ ผมยังลังเลเลย

พี่ปอหันกลับมาทางผม

“เดี๋ยวพี่ไปที่คลินิกทันตกรรมต่อแล้วนะ นายอยู่วอร์ดไหนน่ะ”

ผมนึกชั่วครู่ เพิ่งเช้าวันแรกปฐมนิเทศเสร็จไปตะกี้นี้ ยังไม่ได้เดินไปดูวอร์ดเลย ตารางงานก็เพิ่งได้รับแจกมา เลยยังจำไม่ได้ “เอ่อ...อายุรกรรมหญิง สามัญ 2 ครับ” ไม่น่าจะจำผิดนะ...ผมว่า

พี่ปอพยักหน้า “อ๋อ! มาเรียนเมดนี่เอง แล้วนี่เที่ยงจะว่างไหมครับ ถ้าว่าง เดี๋ยวเที่ยงๆ พี่ไปรับกินข้าว”

ผมส่ายหน้า “ยังไม่รู้เลยฮะว่างานจะเป็นไงบ้าง คนไข้จะเยอะไหมก็ยังไม่รู้ นี่ยังไม่ได้ on service note สักแผ่นเลยพี่ ไหนจะต้องรับเวรอีกด้วย”

พี่ปอหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง

“งั้นพี่ขอไลน์กับเบอร์เราไว้ก่อนได้ไหม จะได้คุยกันได้ไง”

หลังจากเมมเบอร์ผมเสร็จพี่ปอก็ยิ้มละไมอีกที ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 2 ของโรงพยาบาล ผมมองตามไป นั่น...แผนกทันตกรรมอยู่ตรงนั้นนั่นเอง ดีละ อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าพี่ปอทำงานตรงไหน

“ไหน อะไรยังไง ทำไมแกไปสนิทอะไรกับพี่ปอเดือนคณะทันตะ”

นาเดียเอาศอกมากระทุ้งผมอีกเป็นครั้งที่สอง

“อดีตโปรของฉันแหละแก สนิทกันตอน...ทำกิจกรรมอ้ะ”

ผมหันไปตอบ ใจคอยังคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เทพบุตรที่ผมได้แต่แอบมองไกลๆ จำผมได้ แล้วยังชมด้วยว่าผมน่ารัก ทุกอย่างเกิดขึ้นปุบปับ แถมเขายังขอเบอร์และไลน์ไว้อีกต่างหาก นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเนี่ย

“โบราณมากกก ใช้คำว่า ‘โปร’ นี่ฉันลืมคำนี้ไปตั้งแต่สมัยอยู่ปี 4 ปี 5 นู่นแล้วนะ”

นาเดียกลอกตากับลมกับแล้งด้วยความหมั่นไส้ผม

ติ๊ง! เสียงข้อความเข้า ผมรีบหยิบมือถือขึ้นมาดู

และนาเดียก็ไม่ปล่อยโอกาส ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วย

สติ๊กเกอร์รูปหมีบราวน์ ตาเป็นหัวใจ ส่งมาให้จากพี่ปอ

“ดีใจที่ได้เจอตะวันอีกทีนะครับ หวังว่าเราจะสนิทกันมากขึ้นนะ”

“อ้าว! อ้าว! ยิ้มเข้าไป ยิ้มเข้า นี่แก ไปได้แล้วแก แยกย้ายกันไปวอร์ดแล้วเริ่มงาน แกไปอายุรกรรม ฉันไปกุมารเวช แล้วอย่ามัวแต่ปลื้มเรื่องพี่เขาจนลืมฉันล่ะแก” แล้วนาเดียก็ออกเดิน กึ่งลากกึ่งจูงผมที่ยังตกอยู่ในภวังค์ไปทางโถงลิฟต์เพื่อเริ่มงานประจำวันของแพทย์ประจำบ้าน

ดูท่าว่า...การเรียนเฉพาะทางที่นี่สามปี

มันจะมีเรื่องดีๆ มากกว่าแค่ได้เรียนแล้วละ

 

“น้องตะวันมีแฟนไหมครับ”

พี่ปอถามตอนที่อาหารในจานเราสองคนพร่องไปคนละครึ่ง

หลังจากเริ่มงานแพทย์ประจำบ้านมาได้สามเดือน ผมก็เริ่มปรับตัวกับงานและโรงพยาบาล รวมถึงตารางทำงานกับการเรียนที่แสนหนักได้ พร้อมๆ กับการไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ของความสนิทสนมกันระหว่างผมกับพี่ปอ

เราสองคนมักจะมากินข้าวเย็นด้วยกันบ่อยๆ เนื่องจากสถานภาพที่ต่างคนต่างยุ่ง ผมเป็นแพทย์ประจำบ้าน พี่ปอเป็นอาจารย์ทันตแพทย์ ทำให้การปลีกตัวมากินข้าวกลางวันด้วยกันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

มีก็แต่มื้อเย็นหลังหกโมงนี่แหละ ที่คลินิกทันตกรรมในเวลาปิดแล้ว และผมส่งเวรเสร็จแล้ว ถ้าวันไหนที่ผมไม่อยู่เวร และพี่ปอไม่ต้องอยู่คลินิกนอกเวลา เราจะมานั่งกินข้าวด้วยกัน ไม่อย่างนั้นผมก็รอกินข้าวกับนาเดีย

ที่จริงวันนี้ผมนัดนาเดียกินข้าวเย็นนะ เพราะตามตาราง พี่ปออยู่คลินิกนอกเวลา แต่พอหกโมงเย็นเขากลับมารับผมที่หน้าวอร์ด บอกว่าแลกไปแล้ว อยากกินข้าวเย็นกับผม เลยต้องโทร.ไปเลื่อนนัดนาเดียก่อน แล้วลงไปกินข้าวกันง่ายๆ ในโรงอาหารโรงพยาบาลนั่นละ

“…พี่ปอถามทำไมเหรอครับ”

เขารู้อยู่แล้วว่าผมไม่มีแฟน แต่เขาถามมา ผมก็ต้องรับลูกกลับ และการรับลูกกลับของผมคือการหยอดคำถามกลับไป คุณอาจจะรู้สึกว่ามันซ้ำซากจำเจ แต่เชื่อเถอะ มันคือการละเล่นเอาเถิดเจ้าล่ออย่างหนึ่ง ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันนะว่าทำไม แต่รู้สึกเหมือนเป็นขั้นตอนหนึ่งของการจีบกันไปมา

“ก็พี่อยากรู้ไงครับ”

“แล้วพี่ปอล่ะครับ มีแฟนไหมครับ”

“…พี่เลิกกับแฟนมาสักพักแล้วครับ”

ผมรู้อยู่แล้วด้วยว่าเขาเลิกกับแฟนมาสักพักแล้ว ในเฟซบุ๊ก สเตตัสของเขาเป็นโสด ก่อนหน้านี้เขา in relationship กับคนคนหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจหรอก อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้เป็นสตอล์กเกอร์ ผมแค่ปลื้มพี่เขาเท่านั้นเอง การตามดูเฟซบุ๊กของเขาเป็นเรื่องปกตินี่นา...ใช่ไหม

“ดีเนอะ พี่ก็โสด นายก็โสด”

พูดจบพี่ปอก็ยิ้มๆ ไม่พูดอะไรต่อ

“ดียังไงเหรอครับ”

ผมแกล้งถามกลับไปอย่างนั้นแหละ

คุณรู้ไหม ช่วงเวลาไหนของความสัมพันธ์ ที่ดีที่สุด?

ก็ไอ้ช่วงเวลาที่คุยๆ กัน จีบๆ กัน ต่างคนต่างรู้อยู่ในใจว่าอีกฝ่ายก็มีใจให้กัน แต่ยังไม่ได้ถึงจุดที่เอ่ยปากขอเป็นแฟนกันนั่นแหละ คือช่วงที่ดีที่สุด อย่าเพิ่งอ้าปากเถียง ขอให้ย้อนกลับไปคิดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาก่อน ค่อยๆ นึกดีๆ แล้วคุณจะรู้ว่าที่ผมพูดน่ะจริง

และตอนนี้ผมกับพี่ปอ ก็อยู่ในจุดนี้แหละ

“พี่ปอเลิกกับแฟน น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากกว่านะฮะ แถมผมเองก็ไม่มีคนเอา ไม่มีคนจีบด้วย นี่เอามารวมกันผมว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากกว่าอ้ะ”

อ้ะ...ยอมรับก็ได้ว่าผมจงใจขยี้แบบใส่มารยานิดนึง เพื่อกระตุ้นให้พี่ปอพูดประโยคสำคัญออกมา

“ก็...” พี่ปอไม่ได้พูดต่อ แต่ก้มลงไปหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลแบบซองเอกสารราชการ ยื่นส่งให้ผม “อ้ะ พี่อยากให้ตะวันเอาซองนี้ไปครับ”

“หืม? นี่อะไรเหรอฮะ” ผมรับซองมา ทำท่าจะเปิดออกดู

“อย่าเพิ่งเปิดครับ ฟังพี่อธิบายก่อนนะ” พี่ปอยื่นมือมากุมมือของผมไว้

“ในนี้มีจดหมายอยู่ทั้งหมดเก้าซอง มีเลขกำกับไว้แล้วนะครับ พี่อยากให้ตะวันเปิดอ่านวันละ หนึ่งซองเท่านั้น ห้ามเปิดเกินกว่านั้นนะครับ อย่าลืมนะ วันละซอง”

ผมแง้มซองดู ข้างในนั้นมีซองจดหมายสีขาวเก้าซอง อยู่ในนั้นจริงๆ มีเลขกำกับไว้ที่มุมบนขวามือ ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่ปอ

“ระหว่างนี้เก้าวัน เราอย่าเพิ่งเจอกันนะครับ พี่อยากให้ตะวันมีเวลาอ่าน และคิดให้ดีก่อน แล้วเช้าวันที่สิบหลังจากจดหมายหมด พี่จะไปเจอตะวันเองนะครับ”

ที่จริงผมอยากจะโพล่งตอบเขาไปเลยว่า ไม่ต้องสนใจจดหมายเก้าฉบับอะไรนั่นหรอก ไม่ต้องรอถึงเช้าวันที่สิบด้วย ผมพอจะรู้อยู่แล้วว่าพี่ปอจะพูดอะไร ผมตกลง ไม่เห็นต้องรอให้มันถึงเก้าวันอะไรนั่นเลย ถ้าเรารู้สึกดีต่อกันอยู่แล้ว จะรอเพิ่มไปอีกทำไมตั้งเก้าวัน สิบวัน

แต่เออ...นี่คือการขอเป็นแฟนในแบบฉบับของพี่ปอที่เขาตั้งใจทำ ถ้าผมจะเป็นแฟนเขา จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ผมก็ต้องเล่นตามน้ำทำตามที่พี่ปอต้องการหน่อยถึงจะถูก อีกอย่างมันก็โรแมนติกดีใช่ย่อยนะ ค่อยๆ เปิดอ่านจดหมายทีละวัน ทีละวัน

คิดได้อย่างนั้น ผมจึงยิ้มและพยักหน้าให้เขา

“งั้นพี่ไปก่อนนะครับ พอพี่เดินออกไปแล้ว นายค่อยเปิดซองแรกอ่านนะ แล้วเช้าวันที่สิบเจอกัน”

แล้วพี่ปอก็ลุกออกไปจากโต๊ะ ผมรอจนเขาเดินพ้นประตูโรงอาหารไปแล้ว ถึงได้เปิดซอง แล้วหยิบจดหมายฉบับแรกขึ้นมาเปิดอ่าน

 

พี่ชอบตะวันนะครับ

ดีใจมากที่เราได้กลับมาเจอกัน

 

นี่ถ้าไม่ติดว่านั่งอยู่กลางโรงอาหารของโรงพยาบาล ผมคงลุกขึ้นเต้นไปแล้ว ดีว่าสติสัมปชัญญะยังพอมีอยู่ แล้วแรงกายก็แทบจะไม่เหลือแล้วหลังจากทำงานบนวอร์ดมาตลอดทั้งวัน

ผมพลิกดูอีกหน้าของจดหมาย ไม่มีข้อความอะไรเพิ่มเติม “วันแรก ก็คงมีแค่สองประโยคสินะ” ผมบอกกับตัวเอง แล้วก็พับจดหมายเก็บกลับเข้าซอง หย่อนลงซองใหญ่สีน้ำตาลอีกครั้ง ใจหนึ่งก็อยากจะหยิบทั้งเก้าซองออกมาอ่านให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ไม่เอาดีกว่า รับปากไว้แล้วนี่เนอะ

โอเค รอก็รอ

ผมรอเขามาตั้งหลายปี

รออีกไม่กี่วันจะเป็น’ไรไป จริงไหม

 

สิบวัน มันคือ 1/3 ของเดือน

มันคือ 240 ชั่วโมง

หรือ 14,400 นาที

ขี้เกียจคิดเป็นหน่วยวินาที

ที่ผมจงใจจะบอกก็คือ จะว่ายาวก็ยาวนะ จะว่าสั้นก็สั้น ทีแรกตอนที่พี่ปอบอกผมว่า ไม่ต้องเจอกันระหว่างอ่านจดหมาย แล้วเขาจะมาเจอผมเองตอนเช้าวันที่สิบ ผมจินตนาการว่ามันจะเป็นสิบวันที่แสนยาวนานแน่นอนเลยเพราะว่าผมต้องรอ

เคยได้ยินใช่ไหมว่า เวลาเราต้องรออะไรสักอย่าง เวลาจะผ่านไปช้า นั่นละที่ผมคิดไว้ มันคงจะเป็นสิบวันที่ทรมานมาก เพราะว่าปกติเราเจอกันแทบทุกวัน คุยกันทุกคืน แต่ด้วยกฎที่พี่ปอขอไว้คือในช่วงเวลาที่อ่านจดหมายนี้ จะยังไม่มีพบเจอกัน ไม่มีข้อความ และไม่มีการคุยกัน ให้รอวันที่สิบ

แต่ปรากฏว่า มันกลับสั้นมาก

ปุบปับเท่านั้น ก็เช้าวันที่สิบแล้ว

ผมนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์วอร์ดอายุรกรรมหญิง หยิบจดหมายทั้งเก้าฉบับมาอ่านทบทวนอีกครั้ง เรียงตามลำดับที่เขาให้เปิดอ่าน

 

วันที่หนึ่ง

พี่ชอบตะวันนะครับ

ดีใจมากที่เราได้กลับมาเจอกัน

 

วันที่สอง

เมื่อก่อนคงเพราะว่าเราเจอกันในงานกิจกรรม

พี่เลยมองเราเป็นแค่น้องที่น่ารักคนหนึ่ง

 

วันที่สาม

เลยทำให้พี่พลาดโอกาสดีๆ ไปหลายปี

:( พี่พลาดเองล่ะ

 

วันที่สี่

โชคดีเนอะ ที่เราได้กลับมาเจอกัน ในจังหวะที่ดี

:) ต่างคนต่างโสด ไม่มีใคร

 

วันที่ห้า

รู้ไหมครับ สามเดือนที่ผ่านมา

นายทำให้พี่รู้สึกดีมากเลยนะครับ :D

 

วันที่หก

ดีมากจนพี่ลืมเรื่องเศร้าๆ

ที่เคยเกิดขึ้นกับพี่ไปจนหมด

ขอบคุณมากนะครับ

ที่กลับเข้ามาในชีวิตพี่อีกที

 

วันที่เจ็ด

มีคนบอกว่า

สิ่งดีๆ ไม่ค่อยเกิดตรงหน้าเราหรอก

ถ้ามันเกิดขึ้น เราต้องรีบคว้าไว้

ไม่อย่างนั้นจะหลุดหายไปอีก

 

วันที่แปด

พี่ว่าพี่เห็นด้วยมากนะ

และครั้งนี้ พี่จะไม่ปล่อยให้สิ่งดีๆ

หลุดลอยผ่านไปอีก

 

วันที่เก้า

ตะวันรู้ใช่ไหมครับ...

ว่าพรุ่งนี้พี่จะพูดอะไรกับตะวัน

 

แล้วเช้าวันที่สิบ...ก็มาถึง

สวัสดีครับตะวัน

ผมเงยหน้าจากกองจดหมายที่วางไว้ พี่ปอเดินผ่านประตูวอร์ดตรงมาหาผม ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่วันนี้เขาดูหล่อกว่าทุกๆ วันที่ผมเคยเห็น หรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายวันก็ได้ ความคิดถึงมันเลยผสมผเสไปกับความดีใจ ทำให้เห็นว่าเขาหล่อขึ้น

“เช้านี่เป็นเช้าวันที่สิบแล้วนะครับตะวัน”

ผมไม่ตอบอะไรพี่ปอ ได้แต่ยิ้มและพยักหน้า รู้สึกได้ว่านอกจากผมจะประหม่าแล้ว พี่ปอเองก็มีความประหม่าเจือในน้ำเสียงด้วยเหมือนกัน

“เอ่อ…ตะวัน ว่างไหมครับ”

ต้องว่างอยู่แล้วสิ ผมรีบมาวอร์ดตั้งแต่ตีห้า ราวน์ให้เสร็จ เคลียร์รอเวลาเจอพี่ปอนี่แหละ ผมพยักหน้าไปอีกที รู้สึกได้ถึงกลิ่นจางๆ ของ Davidoff cool water น้ำหอมกลิ่นประจำของพี่ปอ มันก็เป็นกลิ่นที่ปะจมูกผมประจำเวลาเจอเขานะ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมรู้สึกว่ามันหอมเป็นพิเศษ

“งั้นไปกินกาแฟกันนะ พี่เลี้ยงเอง”

ผมพยักหน้าอีกที แล้วเดินออกนำเขาไปที่โถงลิฟต์หน้าวอร์ด กดปุ่มลง

“แล้ว...ตะวันรู้ใช่ไหมครับ ว่าวันนี้พี่จะพูดอะไร”

ผมหันไปสบตาพี่ปอ เขาเดินเข้ามาประชิดตัวผมมากขึ้น จมูกเราสองคนแทบจะเกยกันอยู่แล้วตอนที่เขาถาม กลิ่นน้ำหอมที่ว่าเมื่อกี้นี้ ยิ่งชัดขึ้นเมื่อระยะห่างระหว่างเราสองคนถูกกระชับให้ใกล้กัน

ผมเสตามองไปทางด้านอื่น แต่พยักหน้าตอบกลับช้าๆ

“เอ่อ...ผมอยากได้กาแฟสักแก้วก่อนอะครับ รู้สึก...ง่วงๆ แหะๆ”

ผมควรจะบอกไปด้วยว่า เพราะตื่นเต้นไม่ได้นอนเลยต่างหากเมื่อคืนน่ะ เฝ้ามองนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะเช้าเสียที จะได้เจอพี่ปอ สุดท้ายผมก็ออกจากหอพักแพทย์ตอนเกือบๆ ตีห้า เพราะคิดว่ายังไงก็นอนไม่หลับอยู่ดี กลิ้งไปกลิ้งมาก็เสียเวลา ลุกมาราวน์วอร์ดดีกว่า

แต่พอแดดเริ่มมา ไอ้อาการนอนน้อยเมื่อคืนก็เริ่มออกฤทธิ์

“เอาอเมริกาโน่เย็นครับ แก้วใหญ่เลย”

ผมเดินเข้าไปในร้านตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์

“เอาคาเฟ่โอเล่ครับ”

แม้จะได้ยินมาหลายที แต่ก็ยังไม่คุ้นกับคำนี้เสียทีเวลาที่พี่ปอสั่งกาแฟลาเต้ แต่เรียกว่าคาเฟ่โอเล่ เขาบอกว่าติดนิสัยมาตอนไปเรียนต่อ พี่ปอจะกินกาแฟใส่นมเสมอ เขาบอกว่ากาเฟอีนเป็นยาขับปัสสาวะแบบหนึ่ง และจะขับเอาแคลเซียมออกไปด้วย ควรจะดื่มนมไปชดเชยแคลเซียมที่เสียออกไป

พอได้กาแฟแล้ว เราสองคนก็หาเก้าอี้มุมๆ นั่ง นี่ยังเช้าอยู่มาก ยังไม่ค่อยมีคนเท่าไร บรรยากาศเงียบๆ มีแต่เสียงไอน้ำจากเครื่องชงกาแฟ และเสียงดนตรีเบาๆ ที่ในร้านกาแฟเปิด กลิ่นอโรม่าของกาเฟอีนลอยตลบอบอวลในทั่วร้าน

“ตะวันรู้ไหมครับ ว่าพี่จะพูดอะไร”

แม้จะยังไม่ได้จิบกาแฟสักอึก แต่ผมรู้สึกว่าใจมันเต้นเร็วไปแล้ว ตอนที่พี่ปอย้ำประโยคนี้อีกครั้ง ผมก้มหน้าไม่ได้ตอบอะไร ไม่แม้แต่จะพยักหน้าหรือส่ายหน้า พี่ปอเอื้อมมือมาแตะที่หลังมือผม และเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ชักกลับ เขาจึงเปลี่ยนเป็นกุมมือผมไว้

“เงยหน้ามามองพี่หน่อยได้ไหมครับ ให้กำลังใจพี่หน่อยดิ พี่กำลังเขินนะเนี่ย” แม้จะมีแววประหม่า แต่ก็มีความทะเล้นตลกเจืออยู่ในน้ำเสียงของเขาด้วย มันทำให้ผมคลายความเขินลงไปได้บ้าง และค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา

“พี่คิดบทสนทนาไว้ยาวมากนะ เมื่อคืนนี้ แบบว่าจะหว่านล้อมเรายังไง จะเริ่มต้นยังไง จะพูดจบปิดจ๊อบยังไงให้มันโรแมนติกที่สุด” เขาพัก หายใจเข้ายาวๆ หนึ่งที แล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา

“แต่พี่คิดว่า มันฝืนไป มันไม่จำเป็น แล้วถ้าเราจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครสักคน เราน่าจะทำอะไรให้มันชัดๆ แบบไม่ต้องอ้อมค้อม จริงไหมครับ” ถึงผมไม่ได้พยักหน้าตอบเขาไป แต่เชื่อว่าสายตาผมส่งคำตอบว่า ใช่ ให้เขาอย่างชัดเจน

“เก้าวันที่ผ่านมา ที่พี่ให้เราไม่ต้องเจอกัน เพราะพี่เองก็อยากรู้ว่า ถ้าพี่ไม่ได้เจอตะวันหลายๆ วันพี่จะรู้สึกยังไง แล้วพี่คิดว่า ตะวันก็น่าจะมีเวลาอยู่คนเดียวเพื่อคิดทบทวนเรื่องเราสองคนด้วย เราโตกันแล้วเนอะ จะคบใครก็ไม่ใช่แค่ผิวเผิน ฉาบฉวย แต่ก็จริงจัง คบกันยาวๆ เป็นคู่ชีวิต”

 

“ตะวัน...เป็นแฟนพี่ได้ไหมครับ”

 

มันเป็นการ ask for the deal ที่สั้น หนักแน่น และตรงประเด็น เป็นไปตามที่พี่ปอบอกไว้ก่อนแล้วจริงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องมีการหว่านล้อมอะไรทั้งสิ้น

และในเมื่อมันเป็นการถามตรงๆ ขอตรงๆ คำตอบมันก็ควรจะเป็นอะไรที่ตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน ผมพยักหน้าช้าๆ แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้ม

 

“ครับ ตะวันอยากเป็นแฟนพี่ปอครับ”

 

ถ้านี้เป็นเทพนิยาย หรือเป็นวรรณกรรมเชคสเปียร์ มันจะจบพร้อมกับขึ้นข้อความเก๋ๆ ก่อนจะเป็นจอดำ “การเดินทางจะจบ เมื่อคนรักได้พบกัน” แล้วก็ขึ้นเอ็นด์เครดิต

แต่คงเพราะนี่มันไม่ใช่เทพนิยาย

และไม่ใช่วรรณกรรมเชคสเปียร์

มันจึงเป็นแค่บทเริ่มต้นเท่านั้น

สำหรับผม หรือคุณๆ

ผมว่าความรักมันคือการเดินทางนะ

เราแค่เปลี่ยนจากเดินทางคนเดียว

เป็นเดินทางแบบมีคนเดินร่วมทางด้วย

และตอนนี้...

ผมมีพี่ปอร่วมทางแล้ว :)

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น