บทที่ ๑๐

๑๐

ทั้งสวยทั้งเด็ด ทั้งเผ็ดทั้งอร่อย

ในยุคสมัยที่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส การจะหาประวัติพื้นฐานของใครสักคนจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากต้องการรายละเอียดที่ลึกลงไปกว่านั้นย่อมต้องใช้เวลาและการวางแผน หลังจากที่ได้รับข้อความจากผู้เป็นนาย พัฒน์ก็เริ่มสืบค้นประวัติของนักศึกษาฝึกงานคนดังกล่าวอย่างเงียบๆ 

นางสาวศศิมา ชื่อเล่นอิงฟ้า อายุยี่สิบปี นักศึกษาชั้นปีที่สาม บิดาชื่อนายหาญ มารดาชื่อนางอ่อน อาชีพทำนา รับจ้างทั่วไป

ชลชาติเปิดอ่านข้อความที่พัฒน์ส่งมาแล้วขมวดคิ้ว ทว่ายังไม่ทันได้พิมพ์ข้อความตอบกลับไป ผู้ช่วยฝีมือดีก็ส่งข้อความมาเพิ่มว่า เรื่องอื่นๆ กำลังหาข้อมูล คนเป็นนายจึงวางสมาร์ตโฟนลงบนโต๊ะทำงานดังเดิม

“อีกหมื่นกว่าเลยเหรอ” ดุจตะวันร้องเสียงหลง เมื่อถึงเวลาพักกลางวันเธอก็ได้รับข้อความจากศศิมา ชวนให้ลงมานั่งรับประทานอาหารด้วยกันที่ม้าหินอ่อนในสวนข้างบันไดหนีไฟ 

“อืม ยอดนี้ต้องจ่ายก่อนออกโรง’บาล” ศศิมาฟุบหน้าลงกับโต๊ะหินอ่อน ปากคอแห้งผากเกินว่าจะรับรสอาหารได้ จึงวางฝาครอบปิดกล่องอาหารเอาไว้ตามเดิม

“ฉันมีอยู่ในบัญชีแปดพัน แกเอาไปก่อนก็แล้วกัน” ดุจตะวันเสนอ

“ที่ฉันเล่าให้แกฟังก็เพราะต้องการปรับทุกข์ ไม่ได้อยากได้เงิน ช่วงนี้ยายแกก็ต้องใช้เงินเยอะไม่ใช่เหรอ” ศศิมาว่า สถานการณ์การเงินของเธอทั้งสองคนในตอนนี้จึงเข้าขั้นวิกฤติไม่ต่างกัน ถึงแม้ดุจตะวันจะมีเงินเหลือติดบัญชีอีกหลายพัน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องโอนไปให้ยายของเธออีกเมื่อไร

“แล้วแกจะทำยังไง” 

“ก็คงต้องหางานทำเพิ่ม”

“แกจะเอาเวลาที่ไหนไปทำงานพิเศษอีกอิง แค่นี้ก็แทบจะไม่มีเวลากินเวลานอนแล้วนะ” 

“ทำไงได้ล่ะ คนที่นอนป่วยอยู่โรง’บาลนั่นเป็นย่าฉันนะ” 

“แล้วลุงป้าน้าอาของแกล่ะ ไม่มีใครคิดจะช่วยเลยหรือไง” 

“แกก็รู้ก็เห็นมาตลอด นอกจากพ่อกับแม่ฉันแล้ว ก็ไม่มีใครมาดูดำดูดีย่าเลย” 

“แล้วพ่อแกเป็นไงบ้าง” 

“พ่อบอกว่าจะเอารถไปขาย แต่ฉันไม่เห็นด้วย กว่าพ่อจะเก็บเงินซื้อรถคันนั้นได้ ไม่ใช่ง่ายๆ เลย” ศศิมาถอนหายใจ ยังจำได้ติดตาตอนทุบกระปุกออมสินเอาเงินเก็บก้อนแรกสมทบทุนให้พ่อไปซื้อรถกระบะมือสอง เพื่อขนผลผลิตที่ปลูกได้ไปขายในตัวจังหวัด หากต้องขายรถคันนั้นต่อไปพ่อของเธอก็ต้องไปว่าจ้างคนอื่นมาช่วยขน ก็จะกลายเป็นการเพิ่มรายจ่ายเข้าไปอีก

“แกช่วยฉันคิดหน่อยสิ ที่บ้านมีอะไรพอจะขายได้อีกบ้าง” ดุจตะวันกล่าว พลางหลับตาคิดถึงข้าวของเครื่องใช้ที่พวกเธอหิ้วติดตัวมาจากต่างจังหวัด 

“คืนนี้จะกลับไปดูเหมือนกัน อะไรที่ขายได้ก็ต้องขายไปก่อน ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงิน” ศศิมายกลำตัวขึ้น ตั้งศอกลงบนโต๊ะแล้ววางคางลงบนหลังมือ

“ลองถามพี่พอลล่าดูดีไหม ว่าตอนนี้มีลูกค้าอยากซื้ออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ดุจตะวันเสนอ

“จริงด้วย กินข้าวก่อนแล้วค่อยโทร. ไปหาแกก็แล้วกัน” ศศิมายิ้มพราย ยกมือขึ้นป้องปากคล้ายกำลังป่าวประกาศเรียกลูกค้า “ค่าเทอม ค่ากิน ค่าโรง’บาลมันมากมาย อยากขายค่ะหนูอยากขาย” 

ถึงจะมีเรื่องให้กลุ้มใจ แต่สองสาวที่นั่งปรับทุกข์กันก็ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เปิดฝาครอบกล่องกับข้าว แล้วเริ่มต้นรับประทานผัดผักรวมไข่เจียวที่ช่วยกันทำอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่รับรู้เลยว่าบทสนทนาที่ควรจะมีคนรับรู้เพียงสอง ในเวลานี้กลับเพิ่มเป็นห้า ชายหนุ่มสามคนที่เดินตรวจความผิดปกติของอาคารสำนักงาน จึงได้ยินบทสนทนาโดยบังเอิญ 

คนที่ยืนอยู่ตรงกลางเหลือบตามองเจ้าของบทสนทนาผ่านรูปริศนาที่ถูกคนมือดีทำไว้เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยซ้ายขวาเดินตาม

ชลชาติเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นกอดอก ทอดสายตามองทิวทัศน์ด้านนอกกระจกห้องทำงาน พลางนึกย้อนถึงตอนที่เขาเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ช่วงเวลานั้นเขาต้องการพิสูจน์ตัวเองจึงไปสมัครทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน เริ่มจากหารายได้ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายประจำวัน แล้วค่อยๆ พัฒนาหางานพิเศษที่ได้ค่าตอบแทนมากขึ้นเพื่อเก็บสะสมเป็นค่าเทอม ดังนั้นจึงพูดได้เต็มปากว่าเขาส่งเสียตัวเองเรียนตั้งแต่ปีสามของปริญญาตรีไปจนถึงปริญญาโทอีกสองใบ 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความสำเร็จดังกล่าวก็ต้องแลกมาด้วยการทำงานหามรุ่งหามค่ำ นอนวันหนึ่งไม่ถึงหกชั่วโมง ช่วงสอบยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพื่อนฝูงจึงขนานนามเขาว่าเจ้าชายแวมไพร์ เพราะนอกจากจะอดหลับอดนอนได้ยาวนานแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนเขาก็ยังหล่อและดูดีที่สุดในรุ่นอีกด้วย แม้ว่าจะไม่เคยตอบรับคำขนานนามนั้น แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธ ในเมื่อสิ่งที่พวกเขาพูดหลอมรวมอยู่บนใบหน้าของเขาหมดแล้ว

แต่ในกรณีของเด็กคนนั้น เธอกำลังทำในสิ่งที่เกินความสามารถ เพราะนอกจากจะต้องรับผิดชอบค่าเล่าเรียนของตัวเองแล้ว ยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของทางบ้านอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอเพิ่งตัดสินใจ

“ฉันอยากรู้ว่า ย่าของเด็กคนนั้นรักษาตัวที่ไหน” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“ครับนาย” พัฒน์ค้อมศีรษะรับคำสั่ง แล้วจึงเดินออกไปจากห้องทำงาน

“นายคิดว่าฉันควรเข้าไปยุ่งหรือเปล่า” ชลชาติเบนสายตาไปทางผู้ช่วยอีกคน

ธีร์แย้มมุมปากน้อยๆ ก่อนตอบ “จากข้อมูลที่พัฒน์ได้มา ก็นับว่าเป็นเด็กที่น่าสนับสนุนคนหนึ่ง” 

ชลชาติหมุนเก้าอี้กลับไปทางกระจก ยกมือข้างขวาขึ้นลูบคาง ทอดสายตามองท้องฟ้าอย่างใช้ความคิด

“ไม่เอาจริงๆ เหรอคะ หนูอยากขายจริงๆ นะพี่”

“...”

“นะพี่นะ ซื้อหน่อยเถอะ หนูเพิ่งลงงานครั้งแรก รับประกันความสด อวบ อิ่ม เบ้อเริ่มเทิ่ม!”

“...”

“เหมาเลยไหมพี่ สดกว่านี้ไม่มีอีกแล้วนะ!”

“...”

สองขาของคนที่บังเอิญเดินผ่านมาทางลิฟต์ส่งของหยุดนิ่งอยู่กับที่ ต่อให้ไม่เห็นหน้าเจ้าของเสียง แต่เขากลับรับรู้โดยอัตโนมัติ ว่าคนที่กำลังพยายามยัดเยียดขายความสด อวบ อิ่มอยู่อีกฝั่งของลิฟต์คือใคร

สิ้นคิด!

หลังจากวันที่ได้ยินเธอปรับทุกข์กับเพื่อนโดยบังเอิญ เขาก็ให้พัฒน์หาทางช่วยเหลือเธออยู่ ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ผู้ช่วยเขากำลังทำจะไม่ทันใจ ผ่านไปเพียงวันเดียวก็พาตัวเองเข้าวงจร ต้องการเงินเสียจนลืมศักดิ์ศรี ชายหนุ่มกำมือแน่น หันไปทางผู้ช่วยแล้วออกคำสั่งเสียงเข้ม

“ไปบอกยายเด็กนั่น ว่าฉันเหมา”

“ครับนาย”

พัฒน์รอจนกระทั่งผู้เป็นนายเดินห่างออกไปได้สักระยะ แล้วจึงเดินเข้าไปหาเจ้าของบทสนทนาเมื่อครู่

“น้องครับ”

“ขา...พี่” หญิงสาวขานรับ โดยที่ปลายนิ้วยังคงพรมกดหมายเลขโทรศัพท์เพื่อต่อสายหาลูกค้ารายต่อไป

“ไม่ต้องขายที่ไหนแล้ว นายขอเหมา”

“เหมา!” ศศิมาร้องเสียงหลง

“ครับ ส่งเรตค่าตัวกับหมายเลขบัญชีให้ผมที่เบอร์นี้” พัฒน์ว่าพลางยื่นนามบัตรออกไปให้

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ หนูขายไม่แพง แต่ถ้าพี่เหมางั้นคิดถัวๆ ไปก็แล้วกัน”

...

ถึงจะตัดสินใจไปเช่นนั้น แต่คนที่เคย ‘ซื้อ’ แต่คนไกลตัวที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ หากพนักงานหลายพันชีวิตล่วงรู้ถึงเรื่องนี้จะยังนับถือเขาอยู่หรือไม่ แต่ช่างปะไร ใครกระด้างกระเดื่องก็แค่ให้ฝ่ายบุคคลจัดการ และที่สำคัญเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ในเมื่อเธอพร้อมที่จะ ‘ขาย’ เขาก็แค่สวมบทเป็น ‘ผู้ซื้อ’ ก็เท่านั้นเอง

ชลชาติยกมือขึ้นกอดอก ดึงผ้าม่านบังกระจกปิดฝั่งที่ตนนั่งจนมิดชิด ออกคำสั่งโดยไม่หันไปมองคนสนิทอีกคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของรถ 

“พรุ่งนี้ให้พัฒน์พาเธอไปตรวจสุขภาพ ถ้าผลตรวจไม่มีปัญหาก็ให้พาไปอยู่คอนโดทองหล่อ” 

“ครับนาย” 

“นับจากเดือนนี้ให้พัฒน์โอนเงินให้เธอเดือนละแสน”

“ครับ” ธีร์รับคำ

เมื่อผู้เป็นนายนิ่งเงียบ ธีร์จึงนั่งรออยู่ในรถที่ติดเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้วอย่างเงียบๆ เช่นกัน ทั้งสองอยู่ในความเงียบร่วมห้านาทีก็ได้ยินเสียงพัฒน์ดังขึ้น

“ยกไปไว้หลังรถ”

“ครับ” ศักดิ์รับของจากพัฒน์ แล้วนำไปใส่หลังรถ

คนที่นั่งรออยู่บนรถขมวดหัวคิ้ว เอี้ยวตัวมองกระบุงที่ศักดิ์เพิ่งนำไปวางด้านหลังรถ

“อะไร” ชลชาติเอ่ยถามคนที่เพิ่งก้าวขาขึ้นมาบนรถ

“ของที่นายให้ไปเหมาครับ” พัฒน์ตอบ

“อะไรนะ!” ผู้เป็นนายร้องเสียงหลง

“พริกสดๆ จากต้น เธอบอกว่าเพิ่งเก็บมาจากหลังบ้าน โลละสองร้อย วันนี้เก็บมาได้โลกว่าเธอเลยแถมมาให้ทั้งหมด”

สิ้นประโยคของพัฒน์ ชลชาติก็กระแอมกระไอ สำลักอากาศขึ้นมากะทันหัน ธีร์รีบเปิดขวดน้ำแล้วส่งไปให้ คนที่วางแผนทุกอย่างอย่างดิบดีกระดกน้ำไปครึ่งค่อนขวด ยกหลังมือขึ้นซับมุมปาก ก่อนจะหันไปทางธีร์

“ยกเลิกทุกเรื่องที่ฉันสั่ง”

“ครับนาย” ธีร์รับคำ แล้วก้มหน้าลงพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่สำลักตามผู้เป็นนายไปอีกคน

“ขายอะไรก็หมด หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง เฮงๆ ปังๆ เฮงๆ ปังๆ” ศศิมานำธนบัตรใบละร้อยจำนวนสองใบที่ได้จากการขายพริกสดลอตแรกตบไปตามหน้าอก แล้ววิ่งเขย่งก้าวกระโดดกลับไปทำงาน

หลังจากรับบุตรชายจากโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ชลชาติก็จูงมือเจ้าตัวเล็กเดินนำผู้ช่วยและคนงานชายไปยังบ้านขนมปังขิงซึ่งว่าที่น้องสะใภ้ใช้เป็นสถานที่คิดสูตรอาหารเป็นการชั่วคราว 

“ซิ่มค้าบ” เด็กชายดึงมือออกจากการเกาะกุมของบิดาแล้ววิ่งเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่หน้าเตาแก๊ส

“ต้นน้ำของซิ่ม” วนาลีวางทัพพีในมือลง แล้วย่อตัวอ้าแขนรับร่างกลมเข้ามากอด หอมแก้มซ้ายขวาฟอดใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นมองไปทางพี่ชายของสามี

“วางไว้ตรงนั้น” ชลชาติเอ่ยกับคนงานชายที่แบกกระบุงอยู่บนบ่า

“อะไรหรือคะเฮีย” วนาลีถาม 

“พริก”

“คะ?” หญิงสาวร้อง จับจ้องคนตรงหน้าคล้ายขอคำอธิบายที่มากกว่าเดิม

“จำได้ว่าน้ำรินทำพริกแห้งอร่อย เห็นคนขายบอกว่าเพิ่งเก็บใหม่ๆ ก็เลยซื้อมาฝาก”

“พริกแห้งอร่อย” คนที่จู่ๆ ก็ได้รับคำชมว่าทำพริกแห้งอร่อยกะพริบตาปริบๆ 

“อืม” ชลชาติพยักหน้า ก่อนจะกวักมือเรียกบุตรชาย “ไปสวัสดีเหล่ากงก่อน แล้วค่อยมาหาซิ่ม”

“ค้าบ” 

วนาลีมองตามหลังคณะของพี่ชายว่าที่สามีไปจนสุดตา หยิบพริกเม็ดงามในกระบุงขึ้นมามองใกล้ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาจนตัวงอ “จะว่าไป เฮียก็แอบแปลกอยู่เหมือนกันนะคะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น