บทที่ ๑๒

๑๒

ระยะทางพิสูจน์ม้า รอยตีนกาพิสูจน์วัย

“บันทึกความดีของต้นน้ำวันนี้...” เด็กชายตัวน้อยกระถดตัวลงจากเก้าอี้ ยืนตัวตรงสองเท้าชิดหันหน้าไปทางอาเหล่ากงที่นั่งอยู่หัวโต๊ะรับประทานอาหาร ก่อนจะเบนสายตาไปทางอากงที่นั่งอยู่ทางขวามือของคนหัวโต๊ะ “ต้นน้ำทำโกโก้เย็นให้ป๊ากินเพิ่มพลัง”

“หือ” เจ้าสัวเพ้ง เจ้าสัวอรรณพ และคุณหญิงทิพย์ประภาเบิกตาขึ้น แล้วหันไปมองคนที่ได้ดื่มโกโก้เพิ่มพลังเป็นสายตาเดียว

ชลชาติยกมุมปากขึ้นเพียงนิดๆ แล้วพยักหน้าแทนคำตอบ

“ต้นน้ำของเหล่ากงเก่งจริงๆ นา” เจ้าสัวเพ้งยิ้มกว้าง

“ทำเป็นด้วยหรือเรา ซิ่มน้ำรินสอนอีกละสิ” เจ้าสัวอรรณพเอ่ยพาดพิงถึงว่าที่สะใภ้คนโปรด ที่ลูกชายคนเล็กเพิ่งมารับไปบ้านพักที่ค่ายเมื่อตอนเย็น

เด็กชายส่ายหน้าหวือ และนั่นก็ทำให้ผู้อาวุโสของบ้านหรี่ตาลงรอฟังด้วยความตั้งใจ “พี่นางฟ้าสอนต้นน้ำทำ ต้นน้ำช่วยคนๆ แล้วก็เทใส่แก้ว”

“...”

“แล้วก็...แล้วก็...”

“หยิบหลอด?” คุณหญิงทิพย์ประภาช่วยเมื่อหลานชายเอียงหน้าไปมาคล้ายลืมว่าจะพูดอะไร

“ไม่ใช่ครับคุณหญิงย่า” เด็กชายตอบ ก่อนจะเบิกตาขึ้น “เราสองคนช่วยกันเหยาะความรักลงไปในแก้วของป๊าด้วย”

“แค็กๆๆ” สิ้นคำบอกเล่าของบุตรชาย ชลชาติก็เกิดสำลักอากาศขึ้นมากะทันหัน

“นางฟ้า?” เจ้าสัวเพ้งหันไปทางลูกชายและลูกสะใภ้ ทว่าอรรณพกลับส่ายหน้าน้อยๆ ส่วนทิพย์ประภานั้นตอบรับเพียงรอยยิ้มบางๆ เพราะเธอเองก็มีข้อมูลเกี่ยวกับนางฟ้าเท่าที่หลานชายเล่าให้ฟังเมื่อหลายวันก่อน

“เด็กฝึกงานครับ” เห็นท่าทางของคนหัวโต๊ะและคนฝั่งตรงข้าม ชลชาติจึงเป็นฝ่ายตอบคำถามที่ส่งผ่านมาทางสายตานั่นเสียเอง เพราะหากรอให้เจ้าตัวเล็กเป็นคนเล่าก็คงจะพาออกนอกอ่าวไปอีกไกล กว่ามื้อค่ำวันนี้จะจบลงก็คงต้องใช้เวลาอีกนาน   

“นี่ลื้อพัฒนาถึงขั้นรับนางฟ้ามาฝึกงานแล้วเหรออาเขื่อน” ผู้ก่อตั้งบริษัทถามเสียงกลั้วหัวเราะ

“เธอไม่ได้เป็นนางฟ้านางสวรรค์อะไรหรอกครับ เหลนของอากงสถาปนาเธอขึ้นมาเอง” ชลชาติบอกหน้านิ่ง โน้มตัวลงอุ้มเจ้าตัวเล็กที่ช่างสรรหาคำพูดคำจาขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ 

คำพูดของบิดาร้ายแรงเกินกว่าจะรับได้ เด็กชายสมุทรยกมือขึ้นกอดอก เอียงหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ แล้วทำปากยื่น “ป๊า พี่นางฟ้าจะไม่ใช่นางฟ้าได้ยังไง” 

“เธอชื่ออิงฟ้า” ชลชาติย่นหัวคิ้ว เขาจำชื่อเธอได้ทั้งที่อ่านในข้อความที่พัฒน์ส่งมาเพียงครั้งเดียว คงเพราะเป็นคนที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ จึงไม่แปลกที่จะจดจำอะไรได้ไวกว่าคนอื่น 

“อันนั้นก็ใช่ แต่นางฟ้าคือชื่อในวงการ” เด็กชายแย้งเสียงขึ้นจมูก 

“ตัวเท่าเมี่ยงรู้จักชื่อในวงการกับเขาด้วย” ทิพย์ประภาส่ายหน้าพร้อมยิ้ม ว่าที่สะใภ้คนเล็กของเธอชื่นชอบดารานักร้องแดนกิมจิ และหลายคนที่วนาลีติดตามผลงานมีชื่อในวงการน่ารักๆ เจ้าตัวเล็กที่ติดซิ่มน้ำรินแจจึงพอเข้าใจเรื่องชื่อในวงการอยู่บ้าง

“ปีนี้บริหารกลางรับเด็กฝึกงานด้วยเหรอ” เจ้าสัวอรรณพถามบุตรชาย 

“ไม่ได้รับครับป๊า ฝึกงานชั้นอื่นแต่ช่วยเดินเอกสารด้วย เลยได้เจอกับต้นน้ำ” ชลชาติตอบ ก่อนหน้านี้เขาเคยถามบุตรชายหลายเรื่อง และหนึ่งในนั้นก็คือเจอเด็กฝึกงานคนนั้นที่ไหน เจ้าตัวเล็กที่ได้ดีเอ็นเอทางสมองไปจากเขาจึงมีความจำดีไม่ต่างกัน เล่าถึงตอนที่เจอกับเด็กคนนั้นให้เขาฟังละเอียดยิบ

“ไว้ใจได้ใช่ไหม” อรรณพถามต่อ โบราณว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ถึงจะยังเป็นเด็กแต่เจ้าตัวเล็กก็ได้ชื่อว่าเป็นทายาทรุ่นต่อไปเพียงคนเดียวของตระกูลในเวลานี้ เขาจึงไม่อยากประมาท ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดหรือเรื่องร้ายแรงใดขึ้นกับครอบครัวทั้งสิ้น

“ผมให้พัฒน์สืบมาหมดแล้วครับ” ชลชาติตอบ แม้ว่าเรื่องการสืบหาโรงพยาบาลที่ย่าของเธอรักษาตัวจะชะลอไว้ก่อน เพราะเขามีงานด่วนอย่างอื่นให้ผู้ช่วยทั้งสองทำ แต่ข้อมูลที่พัฒน์หามาได้ก่อนหน้าก็พอทำให้เบาใจได้ว่าเธอไม่ได้มาร้าย

“อืม ดูๆ เอาไว้หน่อยก็ดี” 

“ครับ” ชลชาติรับคำ และเมื่อคนหัวโต๊ะเริ่มตักอาหาร ทุกคนจึงเบนความสนใจกลับไปยังอาหารหลากหลายเมนูตรงหน้า คงมีแต่คุณหญิงทิพย์ประภาเท่านั้นที่จับจ้องใบหน้าของบุตรชายคนโตอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด

“คุณแม่มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” ชลชาติถาม

“เปล่า แม่แค่เพิ่งสังเกตเห็นว่ารอยตีนกาของเขื่อน เส้นชัดกว่าของแม่เสียอีก” คนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีตอบบุตรชาย แล้วเสไปตักปลาทูต้มเค็มที่วนาลีเตรียมไว้ให้ก่อนออกไปกับนทีธัชช์มาวางบนจานข้าว 

“ตีนไม่สุภาพใช่มั้ยครับป๊า” ในขณะที่ชลชาติกำลังหรี่ตาสลับซ้ายขวาตรวจความตึงความลึกของเส้นขีดเล็กๆ บริเวณหางตาอยู่นั้น เจ้าตัวเล็กที่ถูกสอนให้ใช้คำสุภาพกับผู้อื่นเป็นนิจก็เอียงหน้าขึ้นถามตาแป๋ว

คนที่เป็นคนสอนกิริยามารยาทให้หลานชายเองกับมือหันไปสบตาคู่ชีวิตแล้วกลั้นหัวเราะ “คุณย่าขอโทษครับต้นน้ำ แต่คำนี้พูดได้ เพราะถ้านำคำว่าตีนกับคำว่ากามาต่อกัน จะหมายถึงริ้วรอยของ ‘วัย’ ที่เป็นเส้นขีดเล็กๆ ตรงหางตา”

เด็กชายยืดลำตัวขึ้นมองใบหน้าของบิดา สมองน้อยๆ ประมวลผลตามคำอธิบายของผู้เป็นย่า ก่อนจะยกปลายนิ้วป้อมทั้งสองข้างขึ้นปิดปาก “ป๊าต้องเป็นคนที่ ‘ไว’ มากแน่ๆ ดูสิครับคุณย่า มีตั้งสี่เส้น”

“ไว้โตกว่านี้ต้นน้ำก็จะมีเหมือนกัน” คนที่จู่ๆ ก็โดนมารดาทักเรื่องรอยตีนกา มิหนำซ้ำยังได้ลูกคู่ที่ดีทับถมตอกย้ำความโดดเด่นชัดเจนของริ้วรอยถอนหายใจ ถึงจะไม่ใช่คนเจ้าสำอาง แต่โดนทักซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ก็บั่นทอนความมั่นอกมั่นใจในเบ้าหน้าฟ้าประทานของตัวเองลงได้เหมือนกัน 

“ถ้ามีแล้วต้นน้ำก็จะเท่ๆ ชิกๆ คูลๆ เหมือนป๊าใช่ไหมครับ” 

“แค็กๆๆ” เจ้าสัวเพ้งกับเจ้าสัวอรรณพที่เพิ่งตักข้าวเข้าปากถึงกับสำลักจนต้องรีบดื่มน้ำล้างปากล้างคอ 

“ไอ้หยา อาต้นน้ำ ลื้อไปจำคำพูดคำจาพวกนี้มาจากไหนหือ” คุณทวดหัวเราะจนหน้าแดง

“ซิ่มบอกว่าเจ็กกับป๊าเป็นคนหล่อที่เท่ ชิกๆ คูลๆ ที่สุดในโลก” 

“สงสัยวันรับปริญญา ซิ่มน้ำรินคงจะได้เครื่องเพชรเป็นของขวัญหลายชุด” เจ้าสัวอรรณพว่าเสียงกลั้วหัวเราะ

“เหมารับขวัญน้องสะใภ้ไปเลยเขื่อน นักศึกษาจบใหม่ที่กล้าชมผู้ชายที่ขาจะเหยียบเลขสี่อีกสองสามปีข้างหน้า ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ” คนจุดประเด็นเสริมอย่างอารมณ์ดี 

อาการแบบนี้คงมีเรื่องดีๆ ที่เขายังไม่รู้เกิดขึ้นกระมัง คนเป็นลูกที่รู้จักแม่ของตัวเองเป็นอย่างดีคิดในใจ ชลชาติตอบรับมารดาเพียงรอยยิ้มบางๆ “วันนี้คุณแม่อารมณ์ดีจังเลยนะครับ” 

คุณหญิงทิพย์ประภาระบายยิ้มกว้าง เอื้อมมือตักปลาทูต้มเค็มไปวางบนจานของบุตรชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “อยากให้แม่อารมณ์ก็กินข้าวเยอะๆ ดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพให้ดี”

ชลชาติยิ้มรับ ต่อให้เขากับน้องชายที่บุกป่าฝ่าดงปืนมาทั่วทุกสารทิศจะโตเพียงไร แต่พวกเขาทั้งสองก็ยังเป็นเด็กชายตัวน้อยของมารดาเสมอ “ขอบคุณครับคุณแม่”

“ต้นน้ำดูก้างดีๆ นะลูก” ทิพย์ประภาหันไปมองหลานชายที่กำลังใช้ช้อนกับส้อมแงะเนื้อปลาทูอยู่

“ค้าบคุณย่า” เด็กชายขานรับ 

ถึงจะปล่อยให้บุตรชายได้ลองกินเนื้อปลาด้วยตัวเอง แต่ชลชาติก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย สายตาจับจ้องอย่างใกล้ชิด หากมีก้างติดเนื้อปลาเพียงนิดก็จะเอ่ยเตือนเพื่อให้เจ้าตัวเล็กตรวจดูเนื้อปลาบนจานให้ละเอียดอีกรอบ เขาตั้งใจจะทำแบบนี้จนกว่าเด็กชายจะละเอียดรอบคอบไร้ซึ่งความผิดพลาด เขาจึงจะเบาใจ แต่กระนั้นก็จะไม่มีวันละสายตา จะทำหน้าที่ปัดเป่าเภทภัยภยันตรายไม่ให้ย่างกรายเข้าใกล้ได้แม้แต่ปลายเล็บ

“แม่กินข้าวแล้วหรือจ๊ะ” พนักงานพาร์ตไทม์สาวเอ่ยถามมารดาไปตามสาย เพราะมารดาเป็นคนนอนไวและตื่นเช้า หากจะรอให้เลิกงานที่ร้านคาเฟ่ก่อนก็คงจะไม่ได้คุยกัน ศศิมาจึงอาศัยเวลาพักที่มีน้อยนิดโทรศัพท์ไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ หนีบโทรศัพท์ที่หูพร้อมกับตักข้าวใส่ปากไปด้วย

“แม่ลวกผักกินกับน้ำพริกมะเขือเทศ แล้วอิงล่ะกินข้าวกินปลาหรือยัง” อ่อนถามบุตรสาว

“กำลังกินจ้ะแม่ แต่ได้ยินคำว่าน้ำพริกมะเขือเทศหนูก็น้ำลายสอ” ศศิมาไม่ได้พูดเกินจริง อาหารเหนือรสมือแม่อ่อนขึ้นชื่อไปทั่วหมู่บ้าน มารดาของเธอเป็นคนภาคเหนือตอนบน เป็นสาวล้านนาที่มาพบรักกับคนภาคกลาง ดังนั้นหากจะมีใครเรียกเธอว่าเป็นลูกครึ่งก็ไม่ผิด น้ำพริกที่แม่เธอพูดถึงเธอก็กินกับไกยี หรือที่คนภาคกลางเรียกว่าสาหร่ายน้ำจืดมาตั้งแต่จำความได้ ยิ่งใช้มะเขือเทศพันธุ์พื้นเมืองตำด้วยแล้ว ต่อให้เอาอาหารเหลามาแลกก็ไม่ยอม

“หาเวลากลับบ้านบ้างสิ แม่จะได้ตำให้กิน” อ่อนว่าเสียงอ่อนโยน

“หนูก็อยากกลับจ้ะแม่ แต่คงต้องรออีกพักใหญ่ ตอนนี้ทั้งฝึกงานทั้งงานพิเศษเยอะแยะไปหมด ลูกสาวแม่กำลังจะเป็นเศรษฐีแล้วนะรู้ตัวหรือเปล่า” ศศิมาเย้าเสียงทะเล้น

“ว่าไปไคว่” อ่อนใช้ภาษาบ้านเกิด 

แต่กระนั้นศศิมาก็เข้าใจ เพราะทุกครั้งที่ไปเยี่ยมยายเธอก็มักจะได้ภาษาเหนือวันละคำมาเสมอ และภาษาเหนือวันละคำวันนี้ขอเสนอคำว่า ‘ว่าไปไคว่’ ซึ่งหมายความว่าพูดไปเรื่อยเปื่อยนั่นเอง 

“ลูกโอนตังค์มาให้พ่อหมดแล้วจะเอาที่ไหนไปจ่ายค่าเทอม” อ่อนถาม แม้จะเบาใจเรื่องค่ารักษาแม่สามีไปเปลาะหนึ่ง แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงอนาคตของบุตรสาวไม่ได้

“หนูยังพอมีจ้ะ ฝึกงานก็ได้เงิน งานพิเศษที่นี่ก็ได้เงินเยอะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“พ่อบอกแม่ว่าก่อนออกโรง’บาลเรายังต้องจ่ายเงินอีกก้อน” อ่อนถอนหายใจ จนปัญญาจะช่วยทั้งสามีและลูกสาว

“หนูบอกพ่อแล้วว่าหนูจะส่งไปให้ แม่ไม่ต้องคิดมากนะ ช่วงนี้หนูหาเงินได้เยอะจริงๆ” ต่อให้ต้องทำงานเพิ่มขึ้นอีกสองสามอย่าง แต่เธอก็จะไม่มีวันทำให้ผู้หญิงที่อ่อนโยนอ่อนหวานสมชื่อไม่สบายใจ

“จะทำอะไรก็คิดให้ดีๆ นะลูก ถ้าหาไม่ได้จริงๆ แม่ว่า...”

“ได้จ้ะ หนูทำได้ หนูขออย่างเดียว พ่อกับแม่ห้ามคิดเรื่องกู้เงินนอกระบบเด็ดขาด” ศศิมาดักคออย่างรู้ทัน ต่อให้ต้องขุดดินพรวนดินตอนตีสอง เธอก็ไม่ยอมให้พ่อกับแม่เป็นลูกหนี้ของคนที่เสแสร้งเหมือนใจดี ที่แท้ก็พวกปาหี่ที่ถนัดแต่เรื่องทำนาบนหลังคน    

“ถ้าลูกไหวแม่ก็เบาใจ” 

“ไหวสิจ๊ะ นี่อิงฟ้า เทพธิดาบนสวรรค์ผลักลงมาเกิดเลยนะ แม่ลืมไปแล้วเหรอ” ศศิมาหัวเราะคิกคัก ยกคำของหมอดูงานวัดเมื่อหลายปีก่อนมาหยอกล้อ และนั่นจึงทำให้คนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าด้วยเครียดและกังวลมาหลายวันหัวเราะออกมาเต็มเสียง 

“หนูไปทำงานก่อนนะจ๊ะ จะได้เปลี่ยนให้คนอื่นมากินข้าวบ้าง”

“ดูแลตัวเองนะลูก” 

“จ้ะแม่” ศศิมารับคำ นำโทรศัพท์ไปเก็บในล็อกเกอร์ ล้างจานข้าวที่กินจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะออกไปสับเปลี่ยนเพื่อนร่วมงานคนอื่นให้มาพักรับประทานอาหารบ้าง ทำงานที่คาเฟ่ของชุตาภานอกจากจะได้เงินเพิ่มแล้ว ยังประหยัดค่าอาหารไปอีกหนึ่งมื้อ เพราะเจ้าของร้านที่แสนใจดีจะเตรียมอาหารสามมื้อไว้เป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานทุกคน


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น