บทที่ ๑๓

๑๓

ทุกปัญหามีทางแก้ ทุกเรื่องแย่มีทางออกเสมอ

“ท่านรองต้องการข้อมูลทั้งหมดภายในวันพุธหน้า” คนที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะกวาดตามองพนักงานภายใต้การดูแลของตนที่ถูกเรียกเข้าห้องประชุมเป็นการด่วน

พนักงานฝ่ายบัญชีและการเงินหลายสิบชีวิต ภายใต้กลุ่มบริษัทประกันและการเงินหันมาสบตากันเลิ่กลั่ก ส่วนนักศึกษาฝึกงานที่เพิ่งมีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมแผนกเป็นครั้งแรก ก็ได้แต่มองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความสนใจใคร่รู้

“วันนี้วันพฤหัส เรามีเวลาทำงานไม่กี่วันเองนะคะ” ญานิน ผู้จัดการฝ่ายการเงินเอ่ยกับคนหัวโต๊ะ

“อืม เพราะฉะนั้นพวกเราต้องวางแผนแล้วก็แบ่งงานกันไปทำ” ก้องเกียรติ ผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะตอบ ก่อนจะหันไปทางเลขานุการของตน ปรางค์ทิพย์จึงสะกิดศศิมาให้ช่วยแจกเอกสารให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน

“ผมแบ่งหน้าที่เอาไว้แล้ว ตามเอกสารที่คุณปรางค์กำลังแจก ใครติดขัดอะไรตรงไหนให้เข้ามาคุยกับผมได้ทุกเมื่อ” ก้องเกียรติกล่าว ก่อนจะยกข้อมือข้างซ้ายขึ้นมาดูหน้าปัดนาฬิการุ่นลิมิเต็ดอิดิชันที่เพิ่งได้มาเมื่อหลายวันก่อน

“ส่วนเรื่องกรอกข้อมูลต่างๆ ถ้าทำไม่ทันจริงๆ ก็ให้อิงฟ้าช่วยได้ ปรางค์สอนน้องไว้บ้างแล้ว” ปรางค์ทิพย์ว่า หลังจากแจกเอกสารแบ่งงานให้ครบทุกคนแล้ว

นิดานุชเหลือบตามองคนที่ถูกพาดพิงถึงเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้น “ของฝั่งบัญชีนุชทำเอกสารเองค่ะ”

“ทำไหวเหรอ” โอภาส ผู้จัดการฝ่ายบัญชีถามพนักงานในทีมของตัวเอง

“ค่ะ” นิดานุชตอบ ไม่ไหวก็ต้องไหว เธออาจจะต้องทำงานล่วงเวลาในวันเสาร์อาทิตย์ แต่อย่างน้อยก็สบายใจกว่าการโยนงานที่ต้องรับผิดชอบไปให้เด็กฝึกงานทำแทน แค่งานที่ปรางค์ทิพย์มอบหมายศศิมาก็ทำแทบไม่ทันอยู่แล้ว หากต้องรับผิดชอบงานเอกสารของบัญชีและการเงินเพิ่ม คนที่ต้องทำงานล่วงเวลาก็คงจะเป็นศศิมา นักศึกษาฝึกงานที่ใต้ตาคล้ำยิ่งกว่าพนักงานประจำที่รับเงินเดือนเต็มตามอัตรา

“งั้นการเงินขอจองน้องอิงเลยก็แล้วกัน” ญานินหันไปทางนักศึกษาฝึกงาน

“ค่ะ” ศศิมาเกาท้ายทอยคล้ายมึนงง แต่กระนั้นก็ยังยิ้มกว้างตอบรับ เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาฝึกงาน ญานินก็ให้เธอทำเอกสารให้ทีมการเงินมาตลอด จึงไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดวันนี้จึงได้พูดจาห่างเหินกันออกไป

“จะให้น้องช่วยทำอะไร ก็ดูปริมาณงานด้วยก็แล้วกัน” ก้องเกียรติว่า

“ค่ะพี่ก้อง” ญานินยิ้มรับ 

“ปรางค์ช่วยดูด้วยก็แล้วกัน” ก้องเกียรติเอ่ยกับเลขานุการ

“ค่ะพี่ก้อง” ปรางค์ทิพย์รับคำ แล้วหันไปยิ้มกับศศิมา นักศึกษาฝึกงานที่กำลังจะอ้าปากหาวรีบงับปากล่างยิ้มตอบ ทั้งที่ลมหาวเต็มสองกระพุ้งแก้ม

“ดอกไม้ได้แล้วค่ะ” ศศิมาถือถาดดอกไม้กินได้ที่ล้างและผึ่งจนแห้งสนิทแล้วออกมาจากหลังร้าน 

“รอบนี้ดอกผีเสื้อสวยมาก” ลัดดาว่าขณะรับถาดไปวางบนเคาน์เตอร์

“พี่ปราบไปพักแล้วหรือคะ” ศศิมาถาม

“จ้ะ อิงครองพื้นที่หน้าเครื่องทำกาแฟได้เต็มที่เลย” รุ่งทิพย์ตอบอย่างรู้ทัน ศศิมามีพรสวรรค์ในการทำขนมและเครื่องดื่ม ปราบดาผู้เป็นบาริสตาของร้านจึงถ่ายทอดวิชาให้อย่างไม่หมกเม็ด แต่ในการทำงานต่างคนก็ต่างมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นศศิมาจึงตื่นเต้นและสนุกทุกครั้งที่ได้ทำหน้าที่บาริสตาแทนปราบดา

ศศิมายกกำปั้นขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเข้าไปยืนประจำตำแหน่งของปราบดา เมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้านเธอจึงได้โชว์ฝีมือ ทำเครื่องดื่มร้อนเย็นเสร็จ แล้วก็ยกถาดออกไปเสิร์ฟอย่างคล่องแคล่ว เธอเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว กอปรกับเคยเรียนบุคลิกภาพการเดินการนั่งมาบ้างจากการรับงานเป็นพริตตี้โพรโมตสินค้า จึงทำให้ทุกการเคลื่อนไหวงดงามและมีเสน่ห์ ดึงดูดสายตาคนมอง ไม่เว้นแม้กระทั่งคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งคุยงานกันตรงโต๊ะมุมสุดของร้าน

“ฉันว่าฉันเจอคนที่เรากำลังตามหาแล้วละ” หญิงสาววัยกลางคนที่คล้ายกับเป็นหัวหน้าของคนบนโต๊ะว่า ก่อนจะยกมือขึ้น “น้องคะ”

ศศิมาหันไปมองตามเสียง กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มกว้าง “รับอะไรเพิ่มดีคะ”

“พี่ชื่อต้องตา เป็นเจ้าของบริษัท...” คนที่ยกมือเรียกแนะนำตัวเองพร้อมกับยื่นนามบัตรออกไปให้ 

“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ แต่หนูยังเรียนไม่จบค่ะ” แม้จะตกใจแต่ศศิมาก็ยื่นมือออกไปรับนามบัตรมาถือไว้

“ไม่เป็นไรจ้ะ” ไม่เพียงแค่ต้องตาเท่านั้นที่หัวเราะ แต่ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะก็กำลังกลั้นขำอยู่เช่นกัน “คือแบบนี้ บริษัทพี่รับถ่ายแบบ ถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ”

“...”

ศศิมาพยักหน้ารับ ในสมองกำลังประมวลผลว่าควรจะบอกฝ่ายนั้นอย่างไรดีว่าเธอร้องเพลงไม่เป็น ถึงจะเคยร้องประกวดในงานวัดตอนอยู่ชั้นอนุบาลสองก็ตามที แต่ตอนนั้นครูดึงแขนเธอให้ขึ้นไปเพราะมีผู้เข้าร่วมแข่งขันแค่สองคน แต่ทางวัดเตรียมรางวัลไว้สามรางวัล ดังนั้นถึงเสียงร้องของเธอจะเหมือนกับเสียงของเจ้าคำฝอย ควายของลุงข้างบ้านตอนออกลูก ก็ยังได้รับรางวัลในการประกวดร้องเพลงครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต 

“พี่อยากได้หนูมาเป็นนางเอกมิวสิก”

“...”

คนที่กำลังคิดถึงเสียงเจ้าคำฝอยที่ไม่ได้ยินมานานหลายปีเบิกตาโพลง ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “หนูหรือคะ”

“จ้ะ มิวสิกวิดีโอเพลงนี้จะถ่ายทำในร้านกาแฟเป็นหลัก หนูเลยเหมาะสมที่สุด” ต้องตาว่า

“เอ่อ...” 

“บริษัทพี่มีตัวตนอยู่จริงๆ น้องตรวจสอบก่อนได้ ยังไงพี่ขอชื่อกับเบอร์โทร. น้องไว้หน่อยนะ” 

“แต่หนูไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อนเลยนะคะ” เจ้าแม่พาร์ตไทม์ที่เชี่ยวชาญด้านการทำงานพิเศษว่าเสียงแผ่ว เธอเคยได้ยินมาว่าค่าตอบแทนของงานถ่ายแบบ ถ่ายละคร โฆษณา มิวสิกวิดีโอสูงกว่างานพิเศษทั่วไป ศศิมาเคยคุยกับเพื่อนที่คณะที่เคยรับงานถ่ายโฆษณา บางงานเพื่อนของเธอได้ค่าตอบแทนมากกว่างานพิเศษที่เธอทำทั้งเดือนเสียอีก 

“ไม่เป็นไรจ้ะ เซนส์ของพี่มันแรง เคมีหนูกับนักร้องเข้ากันมาก” ต้องตาขยิบตา แม้จะเป็นวงน้องใหม่ค่ายเล็ก แต่เธอก็เชื่อว่านักร้องคนนั้นจะมีชื่อเสียงในอนาคตอันใกล้นี้

“เอ่อ...”

“ยังไงพี่ขอชื่อกับเบอร์น้องไว้ก่อนนะ” 

แล้วกันสิ ยังไม่ทันถามเลยว่าจะได้เงินเท่าไร ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ตัดบทเสียแล้ว 

ตอนนี้เธอกำลังต้องการใช้เงิน ขอแค่ไม่ใช่งานที่ผิดศีลธรรมและผิดกฎหมาย เธอก็พร้อมจะพุ่งเข้าชนทั้งนั้น 

“หนูชื่ออิงฟ้าค่ะ” ศศิมาว่า ก่อนจะรับปากกาและสมุดจากต้องตา ตวัดปลายนิ้วเขียนชื่อพร้อมหมายเลขติดต่อด้วยตัวบรรจง 

“พรุ่งนี้พี่โทร. หานะ” 

“เอ่อ...ค่ะ...ได้ค่ะ” ศศิมาประนมมือไหว้ ก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานที่ต้องรับผิดชอบต่อ

เช้าวันเสาร์ ศศิมาและพรวิภาหรือพอลล่า เพื่อนรุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือเธอในการหางานพิเศษให้ทำมาตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมหนึ่งก็เดินทางมาถึงสถานที่นัดหมาย หลังจากช่วยกันตรวจสอบแล้วพบว่าบริษัทของต้องตามีอยู่จริง เธอจึงตกลงรับงานเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอเพลงแรกในชีวิต 

“นะชาลีติ ประสิทธิลาภา เงินทองไหลมาเทมา ด้วยนะชาลีติ” 

คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถอนหายใจ เพราะนับตั้งแต่วันที่ต้องตาโอนเงินครึ่งแรกไปให้ นางเอกมิวสิกวิดีโอป้ายแดงก็สวดคาถาบทนี้ให้เธอฟังไม่ต่ำกว่ายี่สิบรอบ 

“พอได้แล้วมั้งลูกสาว” พรวิภาใช้ศอกสะกิดคนที่นั่งหลับตาทำปากขมุบขมิบอยู่ข้างๆ 

“ถ่ายเสร็จเขาจะให้เงินส่วนที่เหลือเลยใช่ไหมพี่พอลล่า” ศศิมาเอนศีรษะเข้าไปใกล้รุ่นพี่แล้วกระซิบถาม

“อือ” พรวิภาเหลือบตามองทีมงานที่กำลังเดินเข้ามาหาเล็กน้อยก่อนตอบ

“แต่งหน้าทำผมกันจ้า” 

“ค่ะ” ศศิมาพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นเดินตามทีมงานคนดังกล่าวเข้าไปด้านใน 

พรวิภานั่งมองเจ้าของใบหน้าพริ้มเพราผ่านกระจกเงา ตอนนั้นเธอเรียนอยู่ชั้นปีที่สาม ด้วยความที่เป็นคนสนุกสนานจึงมีเพื่อนฝูงทั้งในคณะและต่างคณะมากมาย ตระเวนเที่ยวเล่นทักทายคนนั้นคนนี้ไปทั่วมหาวิทยาลัย วันหนึ่งเธอเดินผ่านนักศึกษาปีหนึ่งสองคนที่นั่งรับประทานข้าวกับไข่ดาวอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนข้างอาคารเรียน วันนั้นเธอเพียงยิ้มให้ทั้งสองเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าตลอดหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น เธอจะยังเห็นทั้งสองคนนั่งตักไข่ดาวกินกับข้าวสวยอยู่ตรงที่เดิม ด้วยความอยากรู้หรือจะเรียกว่าเป็นพวกที่ใส่ใจเพื่อนร่วมโลกก็ว่าได้ เธอจึงหิ้วกล่องอาหารไปนั่งรวมกับสองคนนั้นด้วย 

ด้วยความที่เป็นคนสนุกสนานเหมือนกัน จึงทำให้พวกเธอสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้เหตุผลว่าเหตุใดทั้งสองจึงต้องประหยัดถึงขั้นห่อข้าวกลางวันมาทุกวัน เธอจึงเริ่มหางานพิเศษให้ทั้งสองคนทำ

แม้ว่าเธอจะเรียนจบ และเข้าไปสานต่อบริษัทตรวจสอบบัญชีของครอบครัวแล้ว แต่พวกเธอก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้เธอเคยแนะนำให้ศศิมาและดุจตะวันไปแคสต์งานถ่ายโฆษณา แต่ทั้งสองยืนกรานว่าไม่ถนัด และไม่ได้หน้าตาสะสวยพิมพ์นิยม ไปแคสต์ก็คงไม่ได้งาน และทำให้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์

ในวันนี้ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว ว่าสายตาของเธอยังคงแหลมคมเสมอ เมื่อยายเด็กที่เคยบอกว่าตัวเองไม่ได้สวยโดดเด่นกำลังนั่งแผ่ออร่าอยู่ที่หน้ากระจก

“ตากแดด ขุดดิน ปลูกผักทั้งวัน ผิวยังผ่องขนาดนี้ ถ้าทำสปาขัดผิวสักหน่อยแกคงเรืองแสงได้อะอิง” พรวิภาว่า

“ตากแดดที่ไหนกัน ตอนนี้อิงกับไอเปลี่ยนไปทำสวนอาบแสงจันทร์แทนแล้ว” ศศิมาตอบ เธอได้กรรมพันธุ์สีผิวมาจากแม่ แม้จะไม่มีเงินซื้อครีมบำรุงแพงๆ แต่ขมิ้น ไพล มะขามเปียกก็เป็นสิ่งที่เธอใช้บำรุงผิวมาตั้งแต่เด็ก นอกจากนั้นเธอกับดุจตะวันยังขอกากกาแฟจากร้านมาตากและบดจนละเอียด ผสมกับมะกรูดที่ปลูกไว้หลังบ้าน ขัดตัวสัปดาห์ละสองถึงสามครั้งอีกด้วย

“ไอเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน” พรวิภาว่าเสียงกลั้วขำ ถึงจะรู้ว่ารุ่นน้องเป็นคนขยัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นพากันปลูกผักทำสวนตอนห้าทุ่มเที่ยงคืน ในฐานะพี่สาวที่แสนดี เธอคงได้แต่ช่วยภาวนาไม่ให้ข้างบ้านโยนครกกับสากมาให้เป็นรางวัลความขยัน

ถึงจะไม่มีประสบการณ์และประหม่าเขินอาย แต่เมื่อคิดถึงเงินค่าจ้างส่วนที่เหลือ ศศิมาก็ตั้งใจแสดงบทบาทตามที่ต้องตาและทีมซักซ้อมให้ก่อนถ่ายทำจริง นับว่าโชคดีที่การถ่ายทำในครั้งนี้มีทั้งการชงกาแฟ และตัดเค้ก แต่งจาน เธอจึงถ่ายทอดบทบาทออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ 

แต่จะว่าไป ฉากที่เธอต้องล้มทับนักร้องนำที่รับบทเป็นพระเอกมิวสิกวิดีโอด้วยก็เป็นธรรมชาติจนน่าตกใจ เพราะในตอนนั้นรองเท้าส้นสูงที่เธอสวมดันติดอยู่กับพรมปูพื้น พอขยับเท้าจึงเสียหลักล้มจริง แต่ไม่เจ็บเลย เพราะเธอทับลงไปบนตัวของพระเอกมิวสิกวิดีโอทั้งร่าง

“ขอโทษนะคะ อิงไม่ได้ตั้งใจ” ศศิมาขอโทษขอโพยหลังได้ยินเสียงสั่งคัต

คนที่นอนเป็นเบาะรองรับน้ำหนักตัวของคนร่างเล็กเอาไว้ทั้งหมดระบายยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรครับ น้องอิงทำได้ดีมาก”

“ขอบคุณค่ะ” ศศิมาค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินเข้าไปหาต้องตาเพื่อซักซ้อมบทบาทสำหรับฉากถัดไป

“น่ารักนะ” ธนินหรือสกาย นักร้องคนแรกของค่ายเพลงน้องใหม่เอ่ยกับผู้จัดการส่วนตัว

“น่ารัก แต่รักไม่ได้ เข้าใจไว้ด้วยไอ้น้อง” ผู้จัดการส่วนตัวที่มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ดักคอ

“ผมรู้น่า แค่ชมเฉยๆ” ธนินส่ายหน้าพร้อมยิ้ม เขาเพิ่งเรียนจบด้านดนตรีมาจากอเมริกา จึงร่วมทุนกับพี่ชายเปิดค่ายเพลงและเดบิวต์เป็นนักร้องเบอร์แรกของค่าย แม้จะคล้ายกับการทำอุตสาหกรรมในครัวเรือน แต่ก็ละเอียดและตั้งใจในทุกขั้นตอน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องมิวสิกวิดีโอที่ได้มืออาชีพอย่างต้องตามาช่วยดูแล เพราะหากทำกันเองคงไม่สามารถหานางเอกที่เคมีเข้ากับเพลงและตัวเขาเองแบบนี้

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น