10

บทที่ 10

บทที่ 10

 

นั่งพักอยู่ครู่หนึ่งอาการเวียนศีรษะก็ดีขึ้น ทิพารักษ์ลุกจากเก้าอี้ริมสระ เดินขึ้นบันไดเข้าไปในห้อง จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินลงมาที่ชั้นล่าง 

ศาสนะนอนเล่นดูทีวีอยู่ เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย คงจัดการตัวเองตั้งแต่ตอนที่เธอนั่งพัก พอเห็นเธอเขาก็พยักหน้าให้

“จะกินอะไรไหมล่ะ”

ทิพารักษ์ทำท่าคิด ยังรู้สึกมวนท้องอยู่เล็กน้อย อยากได้ขนมหวานๆ มากกว่า

“แต่ในบ้านไม่มีอะไรหรอกนอกจากโค้ก ถ้าจะกินจะได้โทร.บอกพวกไอ้จอห์นให้มันซื้อเข้ามา”

คนฟังอดค้อนไม่ได้ เวลาตอนนั้นบ่ายโมงกว่าแล้ว “แถวนี้มีร้านสะดวกซื้ออยู่ ฉันเคยเห็นตอนเดินเล่นเมื่อวาน เดี๋ยวไปซื้อเองก็ได้”

“แน่ใจเหรอว่าไปเองได้ เดี๋ยวก็เดินหลงไปไหนต่อไหนอีก” ศาสนะพูดเหมือนจะไม่เห็นด้วย ทิพารักษ์ยังไม่ทันแย้งก็หยิบโทรศัพท์มากด “อยู่ไหนกันแล้ว เออๆ ซื้อของกินเข้ามาด้วย จะกินอะไร...” ประโยคท้ายหันมาถามหญิงสาว ทิพารักษ์รีบนึกคำตอบเป็นขนม ศาสนะก็หันไปคุยกับจอห์น เสร็จแล้วก็วางสาย

“บอกแล้วนะว่าไม่ได้เป็นห่วงอะไรเธอนักหนาหรอก แต่...”

“ถ้าลูกสะใภ้คนโปรดของแม่เป็นอะไรไปเดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีก” เธอพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรู้ทัน

ศาสนะชะงัก แต่ก่อนที่จะตอบโต้ทิพารักษ์ก็เดินหนีออกไปที่สระน้ำแล้ว ทิ้งให้เขาหายใจฮึดฮัดอยู่คนเดียว

ทิพารักษ์ไปนั่งแกว่งขาในสระ เธอวักน้ำเล่น อากาศไม่ร้อนนัก มีลมพัดเกิดเสียงใบไม้เสียดสีกัน บางส่วนร่วงหล่นลงสระ

ศาสนะมองภาพนั้น เห็นแค่ใบหน้าด้านข้างของเธอ ความเหงาฉาบบางๆ ทำให้ความรู้สึกผิดของเขาผุดวูบ การมาฮันนีมูนที่ไม่มีความหมายกับทั้งสองคน เธอไม่ได้รักชอบเขา แต่ที่ต้องมาอยู่ร่วมกันเกิดจากความคิดที่เขาแค่อยากแกล้งอัษฎาจนพาให้เรื่องเลยเถิด ซึ่งเขาเองก็คัดค้านครอบครัวแล้วแต่ไม่ได้ผล

เสียงพูดคุยของกลุ่มคนดังเข้ามาทำให้หยุดความคิด ศาสนะลุกเดินไปหน้าบ้าน เพื่อนๆ กลับมาจากดำน้ำแล้วพร้อมของกินมากมาย ทิพารักษ์เดินตามมา

“น้องปีบเป็นยังไงบ้าง หายหรือยัง” ครีมถาม

“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่กลับมาก่อน” 

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็กน้อย พี่ซื้อขนมมาฝากด้วยนะ มาดูๆ”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยิ้มออก อย่างน้อยเพื่อนๆ ของศาสนะก็เป็นมิตรดี ทำให้การมาเที่ยวครั้งนี้ไม่แย่เกินไปนัก 

 

วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ ทิพารักษ์ตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกหนักศีรษะ คัดจมูก และจามตอนกินมื้อเช้า ถึงจะดื่มกาแฟร้อนๆ ไปแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น 

“ไม่สบายก็ไปนอน มานั่งจามอยู่อย่างนี้เดี๋ยวคนอื่นก็พลอยติดหวัดไปด้วย” ศาสนะบอก ทิพารักษ์จึงเดินกลับเข้าห้อง ปล่อยให้เพื่อนๆ นั่งคุยเล่นกัน จอห์นกับครีมนั่งเล่นเกม ส่วนฟลุคกับลูกเกดว่ายน้ำตัวติดกันเหมือนเคย

ทิพารักษ์นอนหลับไปไม่รู้นานเท่าไรแต่เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็คอแห้งผาก เธอลืมตาและพลิกตัว เห็นอัษฎานั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ริมหน้าต่าง เธอยิ้มอย่างดีใจ กำลังจะร้องเรียกแต่ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาก่อน

“ยิ้มได้แบบนี้แสดงว่าหายแล้วใช่ไหม”

เมื่อกะพริบตาอีกทีก็เห็นชัดว่าคนตรงหน้าคือศาสนะ เธอขยับลุก

“จะเอาอะไร”

“หิวน้ำ”

ชายหนุ่มลุกไปหยิบขวดน้ำ เทใส่แก้วแล้วยื่นให้ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

ทิพารักษ์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าภาพที่เห็นนั้นเป็นอัษฎานั่งอยู่จริงๆ จะดีแค่ไหนนะ แค่คิดอีกที ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอถอนใจหยิบโทรศัพท์มาดูเวลา อีกสิบนาทีสิบเอ็ดโมง ได้นอนพักเต็มที่ไปก็รู้สึกดีขึ้นมาก คงเป็นเพราะเมื่อวานตื่นเช้า เมาคลื่น บวกกับแดดแรงทำให้เธอปรับตัวไม่ทันจนไม่สบาย เธอเดินออกจากห้อง ลงไปชั้นล่าง มองซ้ายขวา

“เงียบจัง ไปไหนกันหมด”  เธอถามศาสนะที่กำลังเปิดตู้เย็น

“ขับรถไปเที่ยวในเมืองกัน”

“แล้วทำไมคุณไม่ไปด้วย”

“ใครใช้ให้เธอไม่สบายล่ะ” เขาปิดตู้เย็น ในมือมีเบียร์หนึ่งกระป๋อง 

ทิพารักษ์ถอนใจ ไม่มีอารมณ์อยากต่อปากต่อคำ เดินไปริมสระ นอนที่เตียงเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย ผ่านไปประมาณสี่สิบนาทีก็รู้สึกหิวจึงเดินกลับมา ศาสนะนอนหลับอยู่ที่โซฟา ทีวียังเปิดอยู่

เธอกำลังจะเรียกแต่เปลี่ยนใจ ค่อยๆ เดินกลับเข้าไปในห้อง เลือกหยิบแค่กระเป๋าสตางค์แล้วเดินกลับลงมา เห็นชายหนุ่มยังนอนหลับสนิทอยู่จึงก้าวยาวๆ ออกไปที่หน้าบ้าน

ขอไปเดินเล่นแถวนี้แก้เบื่อหน่อยเถอะ

ทิพารักษ์ไม่รู้ว่า เมื่อเธอพ้นไปจากประตูบ้าน ศาสนะก็ลืมตา

“ยายตัววุ่นเอ้ย”

เขาทำท่าจะลุกเดินตามเธอไป แต่เปลี่ยนใจหยิบโทรศัพท์มากดส่งข้อความ     

อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือไง ถ้าหลงทางหรือเป็นลมเป็นแล้งไป เรียกคนแถวนั้นให้ช่วยก็แล้วกัน

ส่งไปเพื่อให้เธอรู้ ว่าเขาไม่ได้หลับสนิทอย่างที่เธอเข้าใจ

 

ที่ประชุมของบริษัทวีการ์เม้นต์กำลังสรุปผลรายงานขายในรอบสามเดือน ไฮไลต์อยู่ที่การขายในตลาดออนไลน์ของทีมดิจิตอลมาร์เกตติ้ง โดยร่วมกับหน้าร้านทำโปรโมชั่นกดไลก์แลกลด นั่นคือหากมีการไลก์และแชร์เพจของแบรนด์ Vera ก็จะได้ส่วนลดไปเลยทันทีห้าสิบบาทโดยไม่มีขั้นต่ำ

“ยอดขายในรอบไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้นสูงถึงยี่สิบเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ เมื่อวิเคราะห์ว่ากลุ่มคนไหนที่ตอบสนองกับโปรโมชั่นกลุ่มนี้มากที่สุดก็จะเป็นดังตารางที่โชว์นะคะ จะเห็นว่าตัวเลขกระจายกันไป ซึ่งอาจจะยังไม่ใช่กลุ่มคนอายุสามสิบห้าถึงสี่สิบห้าตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ อาจเป็นเพราะสินค้ายังไม่ตอบโจทย์ แต่สามารถสรุปได้ว่า การรับรู้ข่าวสารจากเพจหลักเพิ่มขึ้น แผนธุรกิจถัดไปเราจะใช้สินค้าใหม่เป็นการกระตุ้นยอดขายที่ต่อเนื่องค่ะ”

ณัฐวราเปลี่ยนสไลด์บนหน้าจอ “ซึ่งเดี๋ยวจะให้ฝ่ายออกแบบมาพูดถึงสินค้าตัวใหม่นะคะ”

การประชุมดำเนินไปจนจบ ณัฐวราเดินออกจากห้องกลับไปที่แผนกการตลาด เห็นอัษฎานั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งที่ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว

“ไม่ไปกินข้าวเหรอ”

เขาเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปดูนาฬิกาข้อมือ “เพิ่งประชุมเสร็จเหรอ”

“อื้ม บรรยากาศดีเลยแหละ ผู้ใหญ่พอใจกันมาก” เธอเดินเข้ามาพร้อมหมุนเก้าอี้ของโต๊ะทำงานตัวหน้ามานั่ง “ไม่คิดว่าการทำโปรโมชั่นพื้นๆ จะกระตุ้นยอดขายได้ ทำไมฉันคิดไม่ได้นะ”

อัษฏาจุดยิ้ม “การได้ลงแรงทำอะไรด้วยตัวเอง ถ้าได้ผลประโยชน์กลับมาจะสร้างความภูมิใจ ถ้าเอามาใช้กับลูกค้าจะเท่ากับเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อและกระตุ้นการตัดสินใจได้มากขึ้น”

ณัฐวราหมุนเก้าอี้ไปมา “ก็จริงของเธอ แล้วสินค้าใหม่เป็นไงบ้าง จะโปรโมตแบบไหนดี”

ชายหนุ่มเอนตัวพิงพนัก เขาเข้ามาทำงานที่นี่ได้สามแล้ว ฝ่ายบุคคลแจ้งว่าเขาผ่านการทดลองงาน ต่อจากนี้ก็เป็นเวลาที่จะแสดงไอเดียได้อย่างเต็มที่

“เพิ่มมูลค่าของอำนาจซื้อให้ลูกค้าไปแล้ว ต่อไปก็ต้องเพิ่มมูลค่าให้ตัวสินค้าบ้าง”

เขาขยับตัว หยิบโทรศัพท์ “แต่ตอนนี้ไปกินข้าวก่อนดีกว่า”

อีกฝ่ายยิ้ม “ฉันเลี้ยงนะ ฉลองให้กับคนที่ผ่านโปรแล้ว”

อัษฎาพยักหน้ารับรู้

 

กลับทำมางานช่วงบ่าย ยังเหลือเวลาอีกห้านาที อัษฎาดื่มกาแฟหยิบโทรศัพท์มาเปิด ที่เลือกขึ้นมาดูเป็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจัดขนมในตู้กระจกกรอบไม้สีขาว หัวใจของชายหนุ่มกระตุกวูบ แม้จะผ่านมาเกือบสี่เดือนแล้วแต่ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นร้าวลึกราวกับเพิ่งเกิดเมื่อวาน

หลังจากตัดสินใจไปทำงานกับณัฐวรา อัษฎาไปตลาดที่ทิพารักษ์กับแม่ขายของ แต่พบว่าบริเวณนั้นมีแม่ค้าผลไม้มาขายแทน สอบถามดูก็รู้ว่าสองแม่ลูกย้ายไปเปิดร้านในตึกแถวซึ่งเดินจากจุดเดิมไปไม่ไกล

ตึกแถวคูหาเดียวทาสีเขียวสลับขาวมีป้ายชื่อร้าน ขนมแม่เยาว์ ด้านหน้ามีซุ้มพวงครามกับต้นวาสนาทำให้ดูสดชื่นและเตะตา เขาไม่รู้ว่าร้านใหม่เปิดมานานเท่าไร แต่เท่าที่ได้เห็นหญิงสาวมีความสุขดีกับร้านขนมนี้

อัษฏาวางโทรศัพท์แล้วใช้ความคิด

 

เพื่อนๆ ของศาสนะกลับมากันตอนเกือบห้าโมงพร้อมถุงของกินเหมือนเดิม พอเห็นทิพารักษ์ครีมก็ทัก

“น้องปีบ เดี๋ยวมากินข้าวกัน  พี่ซื้อปูกับกับกุ้งมาด้วย ว่าจะผัดผงกะหรี่” เธอพูดพลางวางวัตถุดิบที่ซื้อมาบนโต๊ะกลางสำหรับทำครัว

“ครีมจะทำเองเหรอ จะเสียของไหมเนี่ย” ศาสนะแซว

“ลองกันสักตั้งน่า อีกอย่างฉันไม่ได้ทำคนเดียว ลูกเกดก็ช่วยด้วย”

“ลูกเกดเนี่ยนะ”

“ฟลุค” หญิงสาวตัดพ้อที่แฟนหนุ่มทำเสียงไม่เชื่อ เธอตีแขนเขา 

“เราแซวเล่น ทำเลยๆ ใครไม่กินเดี๋ยวเรากินเอง”

“หมั่นไส้” จอห์นพูดบ้าง “ครีม เราว่านึ่งจิ้มน้ำจิ้มดีกว่าไหม เดี๋ยวล่ม”

“จอห์นไม่มั่นใจเราเหรอ เดี๋ยวเราเปิดยูทู้ปแล้วทำตาม รับรองไม่พลาด”

“ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกที สุดท้ายเจ้าโกโก้ก็พุงกาง” เขาหมายถึงสุนัขที่เลี้ยงไว้ด้วยกัน 

“หยุดพูดแล้วเอาผักไปล้างเลย” ครีมยัดถุงกับข้าวที่ซื้อมาใส่มือเขา ชายหนุ่มจึงเดินไปที่อ่างล้างจานอย่างจำยอม

“เดี๋ยวปีบช่วยค่ะ”

ทิพารักษ์เสนอตัว ขณะที่ครีมกับลูกเกดกำลังดูคลิปและคิดว่าจะจัดการอย่างไรดีกับปูม้าทั้งห้าตัว เธอเข้ามาจับปูหงายท้องแล้วเอามีดเสียบไปกลางลำตัว 

“โหดจังเลยน้องปีบ” ลูกเกดห่อไหล่

“อู้ว อยากให้ศาสมาเห็นชอตนี้จัง” ครีมกล่าวอย่างสนุก

“ปูม้าสดๆ เอาตัดหนังยางออกไม่ได้ค่ะ เพราะเขาจะหนีบ ต้องทำแบบนี้แทน” แม่ครัวจำเป็นตอบยิ้มๆ “ปีบว่าเราผัดผงกะหรี่สักสองตัวดีไหมคะ อีกสามตัวนึ่งจิ้มจ้ำจิ้มซีฟู้ด จะได้กินหลายๆ แบบ”

“มืออาชีพชัดๆ รอดตายแล้ว” จอห์นชูมือ ทำให้ครีมค้อนควัก ก่อนจะหันไปช่วยหั่นผักแทนเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องจัดการปูได้ยกตำแหน่งแม่ครัวให้โดยปริยาย

“มา พี่เป็นลูกมือเอง” ลูกเกดกล่าวแท็กทีม อีกฝ่ายหัวเราะ

“เรียกว่าช่วยกันทำดีกว่าค่ะ ปีบก็ไม่ได้เก่งอะไร เดี๋ยวพี่ลูกเกดตอกไข่ใส่ถ้วยให้หน่อยค่ะ เอ่อ...” เธอหันไปมองปู “เอาสักสามใบ”

“งั้นเดี๋ยวพี่นึ่งปูเลยนะ” ครีมบอก เธอจัดการเรียงปูใส่จาน เปิดเตานึ่ง   

ทิพารักษ์ให้รุ่นพี่ทั้งสองซึ่งกลายมาเป็นผู้ช่วยเตรียมวัตถุดิบเล็กๆ น้อย เธอหันมาเปิดอีกเตาเพื่อเตรียมผัดผงกะหรี่ ถือว่ารุ่นพี่ทั้งสองเตรียมวัตถุดิบมาครบทำให้ทำได้ถนัดมือ

“กูชักจะอิจฉามึงแล้วว่ะศาส เมียทำกับข้าวเก่งแบบนี้” ฟลุคบอกพลางกระดกเบียร์แล้วกินไส้กรอกรองท้อง 

ศาสนะแค่นยิ้ม ไม่ตอบ ได้แต่กระดกเบียร์ ไม่นานนักเมนูทั้งสองก็เสร็จเรียบร้อย นอกจากนั้นก็ยังมีกุ้งเผา ส้มตำไก่ย่างข้าวเหนียว ขนมขบเคี้ยวต่างๆ หลายถุง เพราะเป็นคืนสุดท้ายก่อนกลับจึงเรียกได้ว่าเป็นการฉลองส่งท้ายเพราะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกหนึ่งแพคใหญ่ 

“ฟลุคแกะกุ้งให้ลูกเกดหน่อย” สาวผมสั้นทำเสียงอ้อนแฟนหนุ่ม

“ได้สิ งั้นลูกเกดเติมเบียร์ให้เราด้วย”

“ได้จ้า”

“เบาๆ หน่อยได้ไหมวะมึงสองคน”  จอห์นแหย่เพราะกิริยาของเพื่อนทั้งสองนอกจากนั่งคลอเคลียจนแทบจะเกยตักกันแล้วยังพูดจาเสียงสองเสียงสามตลอดเวลา 

“เออว่ะ กูชักสงสัยแล้วว่านี่ทริปฮันนีมูนของใครกันแน่” ศาสนะสำทับ 

“กูจะไปสู้ได้มึงได้ไง ข้าวใหม่ปลามัน ทำทีจัดทริปดำน้ำ แต่ก็ดอดกลับมาก่อนสองคน มาทำอะไรกันวะ”

“มึงเงียบไปเลย” พอถูกย้อนเข้าตัวชายหนุ่มก็เขวี้ยงน้ำแข็งใส่ เสียงหัวเราะดังเกรียวกราว 

ส่วนทิพารักษ์ก็ทำหน้าไม่ถูกกับคำแซว

และเพราะร่วมดื่มไปกับเขาด้วย เมื่อเวลาล่วงเข้าสี่ทุ่มทิพารักษ์ก็ง่วงงุนจนเผลอสัปหงก หน้าทิ่มไปทางหัวไหล่ของศาสนะ

“เอ้าๆ ง่วงก็ไปนอนไป” เขาแตะแขนเธอเรียกสติ

หญิงสาวรู้สึกตัว กะพริบตาถี่ๆ แล้วรีบยืน แต่เพราะลุกเร็วไปจึงเกิดอาการเซ ศาสนะต้องรีบลุกมาประคอง

“มึงก็พาเมียมึงไปหลับนอนเลย” จอห์นเน้นคำหลัง ก่อนจะมีเสียงหัวเราะพร้อมกันทั้งกลุ่ม

“มะ ไม่เป็นไร คุณศาส ปีบเดินไปได้” ทิพารักษ์หน้าแดงกับคำแซว รีบปฏิเสธพัลวันแล้วรีบก้าวยาวๆ หนีจากวงดื่มกินกลับเข้าห้องไป ศาสนะกลับมานั่งเหมือนเดิม

“จอห์น มึงก็แซวซะกูเห็นภาพ” ฟลุคพูด

“กูเข้าใจน่า” จอห์นตบไหล่เพื่อนรักพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์ 

“ห่าอะไรของพวกมึงวะ ไม่มีอะไรเว้ย” ศาสนะด่ากลับแล้วกระดกเหล้าจนหมดแก้ว

 

ทิพารักษ์ล้างหน้าล้างตา ตั้งใจว่าจะดื่มน้ำสักแก้วแล้วเข้านอน แต่พอออกจากห้องน้ำมาก็เจอกับศาสนะยืนอยู่ที่ประตู 

“คุณ...”

“ฉันทำไม” เขาเดินเข้ามา ย่างก้าวโซเซ 

“ฉันนึกว่า...คุณจะนั่งดื่มกับเพื่อนต่อ” เธอตอบไม่เต็มเสียง อยู่ร่วมห้องกันมาก็นาน แต่ไม่เคยหวั่นใจเท่าคืนนี้เพราะรู้เขาดื่มไปเยอะ หน้าแดง น้ำเสียงไม่เหมือนเดิม

“เบื่อไอ้ฟลุกกับลูกเกด นั่งนัวเนียกัน ไล่ให้เข้าห้องก็ไม่ไป ฉันก็เลยต้องกลับมาเองนี่แหละ” เขาตอบแล้วเดินมาทิ้งตัวนอน ทำให้ทิพารักษ์ชะงัก เพราะร่างของเขาวางพาดขวางกลางเตียงอยู่

“คุณ นอนดีๆ สิ”

ศาสนะผงกศีรษะขึ้นมา “อะไรนะ”

“บอกให้นอนดีๆ นอนกินที่แบบนี้แล้วฉันจะนอนได้ยังไง” เธอดันหัวไหล่เขา ชายหนุ่มยกมือขึ้นมา

“ดึงหน่อย”

ทิพารักษ์ขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ ตั้งใจจะพักผ่อนเพราะง่วงแล้ว แต่มาเจอคนงอแงพูดไม่รู้เรื่องอีก เธอเดินเข้าไปจับมือเขา กำลังจะออกแรงดึง แต่กลายเป็นว่าตัวเองถูกดึงเข้าไป

“อุ๊ย!

ยังไม่ทันได้ต่อต้านเขาก็พลิกตัวขึ้นมาอยู่เหนือร่างของเธอ 

“ถ้านอนแบบนี้ที่จะเหลือเยอะนะ”

“คุณศาส!” ทิพารักษ์ตกใจ พยายามผลักไสเขาออกไป “ปล่อยฉันนะ”

แทนที่จะทำตาม เขากลับจับข้อมือของเธอกดบนที่นอน ประทับริมฝีปากลงมา หญิงสาวตะลึง พยายามดิ้นให้หลุดจากการจับจองแต่ก็ไร้ผล เพิ่งรู้ว่าศาสนะเมาแล้วแรงเยอะขนาดนี้ 

“คุณศาสปล่อยนะ”

แต่ชายหนุ่มไม่ฟังแถมยังเอาขยับไปฝังจมูกซุกที่ซอกคอ สัมผัสได้ถึงลมหายใจ หัวใจทิพารักษ์เต้นโครมคราม ร้อนวูบวาบ

“คุณศาส!!

เธอพยายามจะรวบรวมกำลังเพื่อผลักเขาออกไป แต่จู่ๆ ชายหนุ่มก็ดึงตัวออกมาแล้วหงายหลังผึ่ง หญิงสาวอึ้งอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะรีบลุกหนีออกมา และพบว่าเขาหลับไปแล้ว 

ทิพารักษ์หายใจถี่ ยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าเขาจะไม่ละเมอขึ้นมาทำอะไรบ้าๆ อีกจึงค่อยๆ เดินเข้าไป หยิบหมอนกับผ้านวมออกมา และทำเหมือนกับตอนอยู่บ้านคือปูนอนที่พื้นข้างเตียง อากาศไม่ร้อน เธอเลือกเปิดกระจกและห่มด้วยผ้าผืนบาง ใจยังเต้นไม่หยุด แต่ใช้เวลาไม่นานนักก็หลับสนิท

คืนนั้นเธอฝันถึงอัษฎา 

 

ศาสนะเดินนำทิพารักษ์เข้าบ้าน มีติ๋วช่วยถือของฝากเดินตาม สุทินกับอมรรัตน์อยู่กันพร้อมหน้าที่ห้องรับแขก ทั้งสองดีใจที่เห็นลูกชายกับลูกสะใภ้

อมรรัตน์เป็นฝ่ายลุกมาหา “ศาส หนูปีบ ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยลูก”

หญิงสาวอธิบายว่าซื้อมาฝากหลายคน รวมทั้งเพื่อนด้วย

“เป็นไงบ้าง เที่ยวสนุกไหมลูก” 

ทิพารักษ์เหลือบมองศาสนะแวบหนึ่ง เขาซึ่งกำลังดื่มน้ำมองเธอคล้ายจะสั่งว่าควรจะตอบอย่างไร 

“ค่ะ สนุกอย่างคาดไม่ถึงเลย”

รอยยิ้มเต็มหน้าแม่สามี ทิพารักษ์อดค้อนตอบชายหนุ่มไม่ได้ เธอนั่งคุยกับพ่อแม่สามีอีกครู่หนึ่งก่อนผู้ใหญ่ทั้งสองจะบอกให้ไปพักผ่อน

วันรุ่งขึ้น ทิพารักษ์ก็ไปทำงานที่ร้านขนมเหมือนเดิม หลังกินมื้อเช้าก็ถือถุงของฝากเดินมาที่หน้าบ้าน วางถุงขนมพักไว้เพื่อจะสวมรองเท้า แต่แล้วก็มีคนเดินมาหยิบไป เธอเงยหน้า ศาสนะหิ้วข้าวของของเธอไปที่รถ 

“คุณศาส”

“รีบๆ ตามมา”

ทิพารักษ์งงงัน เธอสวมรองเท้าเสร็จก็รีบเดินไปเพื่อหาคำตอบ เขาเปิดประตูหลังวางถุงเหล่านั้นไว้บนเบาะ ก่อนที่ตัวเองจะเปิดประตูฝั่งคนขับ 

“ยืนงงอะไรอยู่ ขึ้นรถสิ”

“ขึ้นรถอะไรคะ ฉันไม่ได้จะไปทำงานกับคุณนะ”

“แล้วใครบอกว่าฉันจะให้เธอไปทำงานด้วยล่ะ นี่ก็แค่ให้ติดรถไปด้วยแค่นั้น ขึ้นเร็ว สายแล้ว”

เขาพูดรวบรัดก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ ทิพารักษ์ไม่อยากหงุดหงิดแต่เช้า แต่ด้วยข้าวของเธออยู่บนรถเขาก็เลยต้องเปิดประตูขึ้นไปนั่ง คาดเข็มขัดเสร็จก็มองไปนอกกระจก 

ศาสนะขับรถออกไป 

ทิพารักษ์ได้คำตอบเมื่อรถเลี้ยวเข้าถนนเส้นที่คุ้นเคย เขาเลือกจอดรถตรงถนนริมตลาด

“ถึงแล้ว ลงไปสิ”

ผู้โดยสารปลดเข็มขัด ลงจากรถมาเปิดประตูหลังหยิบของ ทำท่าจะปิดประตูก็นึกอะไรขึ้นได้

“ขอบคุณสำหรับการให้ติดรถมา หวังว่าคราวนี้ฉันคงไม่ได้ลืมมารยาทไว้นะคะ”

พูดจบก็ปิดประตูและเดินเข้าไปในตลาด ศาสนะนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดี

 

หลังจากอัษฏาเสนอแผนการทำตลาดสินค้าใหม่ให้ณัฐวราฟัง หญิงสาวก็อึ้งไปครู่ใหญ่ จนเมื่อเขาขยับตัวและเรียกชื่อเธอจึงรู้สึกตัว

“ดาแน่ใจเหรอว่าจะทำแบบนี้ เราว่ามันแปลกๆ”

สองหนุ่มสาวนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆ กับโรงงาน หลังจากมาดูการผลิต แผนการที่ได้ฟังทำให้ณัฐวราตกใจ

“ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้มันก็คุ้มนะ แล้วเธอก็จะได้รับการยอมรับมากขึ้นด้วย” เขาให้เหตุผล “ยังไงเก็บไปคิดดูก่อนก็ได้ สำรับเรา มันคุ้มเกินคุ้ม

ณัฐวรามองแผนงานบนกระดาษที่อัษฎาร่างมาให้อย่างครุ่นคิด

 

นิพนธ์เดินอยู่ในห้างสรรพสินค้า ตั้งใจจะมาซื้อของใช้เล็กน้อยแต่เห็นว่ามีงานลดราคาสินค้าจำพวกอุปกรณ์ครัวจึงแวะดูเพราะอยากได้แก้วกาแฟใบใหม่ 

เขาเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินเลือกซื้อของในมุมที่ไม่ไกลกันนัก ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจกระทั่งเห็นใบหน้าของฝ่ายหญิงนั้นคุ้นตา     

“ปีบ”

นิพนธ์พึมพำเรียกชื่อออกมา เขารู้จักกับแฟนเพื่อนสนิทเป็นอย่างดี เคยไปกินข้าวด้วยกันหลายครั้ง แถมยังเป็นลูกค้าขนมของแม่เธอด้วย แต่วันนี้เธอไม่ได้มากับอัษฎา

นั่นไม่ทำให้ประหลาดใจเท่ากับผู้ชายที่เธอเดินด้วยคือ ศาสนะ

นิพนธ์จำคู่กรณีได้ เจ้าของรถที่ชนเขาในวันนั้น ซึ่งเปลี่ยนอนาคตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง 

ทั้งสองคนเลือกซื้อของหลายอย่าง ชายหนุ่มเป็นคนถือให้เป็นส่วนใหญ่ หลังจากได้ของที่โซนเครื่องครัวทั้งคู่ก็เดินขึ้นบันไดเลื่อน นิพนธ์คิดเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเดินตาม

ทำไมผู้หญิงซึ่งเป็นที่รักของเพื่อนถึงมากับศาสนะได้

และไม่ใช่แค่การมาซื้อของด้วยกัน เพราะกิริยานั้นดูสนิทสนมมากกว่าเป็นแค่คนรู้จัก ตอนจ่ายเงินเขาเป็นคนยื่นบัตรเครดิต ตอนซื้อเสื้อเธอก็เลือกมาให้เขา ยิ้มและพูดคุยกัน ต่อจากนั้นก็พากันไปกินข้าวที่ร้านอาหาร

นิพนธ์คิดถึงคำตอบจากอัษฎาในครั้งล่าสุดที่เจอกัน เพื่อนรักบอกว่า เธอมาด้วยไม่ได้

เพราะเหตุนี้ หรืออะไรกันแน่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น