5

บทที่ 5

บทที่ 5

ทิพารักษ์เดินเหม่อลอยออกมาจากบ้านของอัษฎา สมองควรจะสั่งการให้ไปขึ้นรถสองแถวเพื่อไปยังปากซอย และขึ้นรถเมล์ต่อเพื่อกลับบ้าน แต่ตอนนี้เธอทำได้แค่ก้าวเท้าไปเรื่อยๆ สมองได้ยินแต่คำพูดของโสภา

คนข้างนอกเขาจะมองลูกป้ายังไง ที่มาแต่งงานกับผู้หญิงที่หายไปกับผู้ชายอื่นทั้งคืน

ที่ผ่านมาเธอไม่เคยคุยกับแม่ตรงๆ เรื่องความสัมพันธ์กับอัษฎา แต่คำพูดของแม่บอกถึงความรักและไว้ใจเสมอ

แม่เชื่อใจปีบ’ แม่มีรอยยิ้มบนหน้า จะแปลกใจก็ตรงที่ ดาไม่ใช่สเปกของปีบเท่านั้นแหละ

ตอนนั้นทิพารักษ์จำได้ว่าตัวเองเขินหน้าแดง ตวงแป้งผิดๆ ถูกๆ

แต่คำพูดของป้าโสภาแสดงความหมายถึงการตำหนิ ทำให้เธอเจ็บปวดใจอย่างที่สุด

พยายามตั้งสติขึ้นรถเมล์กลับไปจนถึงบ้านด้วยหัวใจที่บาดเจ็บ

 

ทิพารักษ์ถึงบ้านแล้ว แม่กำลังต้มเผือกสำหรับทำตะโก้ เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปช่วยเย็บกระทงใบเตย

“ไม่ต้องรีบหรอกปีบ กินข้าวก่อนสิลูก”

“ไม่เป็นไรจ้ะ น็นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนปีบไม่ค่อยหิว” 

เธอตอบแล้วก้มหน้าก้มตาตัดใบเตยออกมาเป็นท่อนๆ โดยทำรอยบากเพื่อเอามาขัดกันให้เป็นก้นกระทง เธอนั่งทำไปเรื่อยๆ ขณะที่เยาวลักษณ์กวนแป้งกับกะทิ กระทั่งเมื่อหยอดจนครบก็เสร็จไปหนึ่งเมนู เธอเตรียมทำเม็ดขนุนต่อโดยการเอาถั่วเขียวเลาะเปลือกไปนึ่ง 

ตลอดเวลาการทำงานเป็นไปอย่างเงียบเชียบจนเยาวลักษณ์รู้สึกผิดสังเกต เธอเดินมานั่งข้างลูกสาวที่กำลังเย็บกระทง ใบตองที่ตากแดดมาแล้วนิ่มขึ้นไม่แตกง่าย ทิพารักษ์พับเป็นแล้วเย็บเป็นกระทงหกเหลี่ยมอย่างคล่องแคล่ว

“ไม่กินข้าวเหรอปีบ”

“เดี๋ยวเย็บกระทงเสร็จแล้วจะไปกินจ้ะ”

เยาวลักษณ์หยิบใบตองมาตัดเป็นแผ่นเตรียมไว้ให้

“ไปเจอดามาเป็นยังไงบ้าง”

คำถามของแม่ทำให้หญิงสาวชะงัก ก่อนจะสูดลมหายใจลึก ตาแดงขึ้นมาทันที

“ปีบ ไม่ได้เจอกับพี่ดาหรอก” น้ำเสียงสั่นเครือทำให้เยาวลักษณ์วางมือ ตั้งใจฟังลูกสาวเล่าว่าชายหนุ่มไม่สบายเพราะดื่มเหล้าหนัก เจอแต่กับโสภาและได้นั่งคุยกัน และมีประโยคที่ฟังดูเหมือนว่าจะห้ามคบกับลูกชายเธออีก สาเหตุมาจากรับไม่ได้เรื่องการที่เธอหายไปกับผู้ชายคนอื่น พูดถึงตรงนี้น้ำตาก็หยด

เยาวลักษณ์เข้าใจเรี่องราวเป็นอย่างดี เธอจับมือลูกสาว  “อย่าไปโกรธป้าเขาเลยนะ คนเป็นแม่ก็ย่อมรักลูกทุกคน ถ้าป้าเขาจะมองมุมนั้นก็ไม่ผิด”

“ป้าโสภาบอกว่า ถ้าปีบไม่ตกลงแต่งงานให้เรื่องจบก็เหมือนกับปีบไม่ปล่อยพี่ดา ทำให้พี่ดาต้องเสียใจมากขึ้นไปอีก” ทิพารักษ์เล่าไปสะอื้นไป อยากจะถามว่านั่นเป็นความผิดของเธอหรอกหรือ

คนเป็นแม่ดึงเธอมากอด ลูบศีรษะปลอบเบาๆ หญิงสาวกอดตอบ ซุกหน้ากับแผ่นอกมารดา

“ถ้าปีบไม่แต่งงานไปซะ พี่ดาก็คงไม่ตัดใจจากปีบ เขาต้องทรมานใจ...แต่ปีบกับพี่ดาคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกไม่ได้แล้ว” 

                

ทิพารักษ์สะอื้นฮัก เธอเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่าทำไมต้องเป็นฝ่ายมีมลทิน เหมือนถูกคล้องป้ายอย่างไม่เต็มใจแล้วก็มีคนพิพากษา ถึงแม่จะบอกว่าไม่ให้โกรธแต่ก็ไม่อาจทำใจปล่อยวางได้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเห็นคนที่รักและมอบชีวิตให้ต้องเสียใจ

เขาเจ็บปวด เธอก็ยิ่งเจ็บปวด

“ใจเย็นๆ ถ้าปีบไม่อยากแต่งงานกับคุณศาส และไม่อยากเจอดาให้ทรมานใจ เราย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ได้” เยาวลักษณ์เสนอทางเลือก ทิพารักษ์กะพริบตาปริบ ดึงตัวออก เช็ดน้ำตาป้อย

“แต่แม่รักบ้านนี้มากไม่ใช่เหรอ ถ้าย้ายไปที่อื่นก็ต้องเริ่มต้นใหม่ มันลำบาก แม่ก็อายุมากแล้วด้วย”

เยาวลักษณ์ยิ้มและมองลูกอย่างอ่อนโยน เธอแต่งงานและย้ายเข้ามาอยู่บ้านนี้ซึ่งสามีซื้อเอาไว้ ทั้งสองคนช่วยกันผ่อนด้วยน้ำพักน้ำแรงมาตลอดยี่สิบปี ความทรงจำทุกอย่างประทับอยู่ในทุกอณูของแผ่นไม้ ประตู กรอบหน้าต่าง

“ปีบไม่ต้องห่วงแม่หรอก สำหรับแม่ ความสุขของปีบสำคัญที่สุด”

ทิพารักษ์น้ำตาไหลอีก เธอสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย

 

เช้าวันอาทิตย์ 

สุทินเดินลงมาจากชั้นสอง เห็นศาสนะในชุดนอนนั่งเล่นไอแพดอยู่ที่ห้องครัว ข้างหน้ามีแก้วกาแฟ

“ทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่แต่งตัวอีก”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา เห็นพ่อยืนอยู่ ส่วนแม่กำลังเดินลงบันไดมา เธอเรียกแม่บ้านให้หาของที่เตรียมไว้ เขาทำหน้างง

“แต่งตัวอะไรครับ”

 “ก็วันนี้จะไปบ้านหนูปีบไปเอาคำตอบเรื่องแต่งงานไง”

 ศาสนะเลิกคิ้วแล้วกลอกตาไปมาอย่างนึกขึ้นได้ว่า “อ๋อ แล้วผมต้องไปด้วยเหรอ”

“ก็ต้องไปสิวะ แกเป็นคนก่อเรื่องนะ” สุทินเสียงดังขึ้น อมรรัตน์รีบเดินเข้ามา

“อะไรกันคะคุณ ศาส ไปแต่งตัวสิ จะได้ไปบ้านหนูปีบไง”

“ผมไม่ต้องไปก็ได้มั้งครับ แค่ไปฟังคำตอบเฉยๆ ไม่ใช่เหรอ” เขาเปลี่ยนอิริยาบท เพื่อให้ดูว่าสนใจกับเรื่องที่บิดาพูด ทั้งที่ความจริงเขาไม่เห็นประโยชน์อะไร ยังไงยายดอกปีบก็ไม่มีทางตกลงอยู่แล้ว 

“ศาส” แม่เดินเข้าไปจับไหล่ลูกชายทำนองให้คุยกับคนเป็นพ่อดีๆ 

“คืออย่างนี้ ผมคิดว่า ไม่ว่าเขาจะตอบยังไงผมก็ไม่มีปัญหา จะมีผมไปด้วยหรือไม่ไปคำตอบก็ไม่เปลี่ยนหรอก” เขาหมายความว่าถึงอย่างไรตนเองก็ไม่ใช่ตัวแปรในคำตอบ 

“อีกอย่างวันนี้ผมมีนัดลูกค้าด้วย” ชายหนุ่มตอบกึ่งตัดบท ความจริงไม่มีนัดอะไรแค่เพิ่มเหตุผลให้มีน้ำหนักไปก่อน

“วันอาทิตย์เนี่ยนะ”

“ก็เขานัดมา ลูกค้าคนจีนเขาสนใจกระเป๋าตัวใหม่ ถ้าไม่ไปก็เสียดายโอกาสแย่”

สุทินจ้องศาสนะ ก่อนจะถอนใจ ยกมือโบกแล้วเดินออกไป อมรรัตน์ก็พลอยถอนใจไปด้วย ตบไหล่ลูกชายแล้วเดินตามสามีออกไป

ศาสนะไหวไหล่ ก่อนจะนั่งเล่นไอแพดต่อ 

 

                

ทิพารักษ์เดินลงมาจากชั้นสอง สีหน้าไม่สดใสนักบ่งบอกถึงการอดนอนและร้องไห้อย่างหนัก 

“มาแล้วเหรอ แม่ทำข้าวต้มกุ้งของโปรดปีบไว้ด้วยนะ กินเลยไหม ข้าวสวยก็มีนะ แม่ว่าจะทอดหมูสามชั้นกระเทียมพริกไทย หมักไว้แล้ว รอสักสิบนาที”

ทิพารักษ์ส่ายหน้า เดินไปชงกาแฟมาดื่ม 

“วันนี้คุณสุทินกับคุณอิมโทร.มาบอกว่าจะมาสายๆ นะ” เยาวลักษณ์บอก “ปีบตัดสินใจได้แล้วใช่ไหมลูก”

หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ปีบจะแต่งงานค่ะแม่”

เยาวลักษณ์ละมือจากการล้างจาน รีบเช็ดมือแล้วเดินมาที่โต๊ะ มองหน้าลูกสาวที่แววตาค่อนข้างอิดโรย 

“คิดดีแล้วใช่ไหม”

ทิพารักษ์ยิ้มบาง “ปีบคิดมาทั้งคืนแล้วค่ะ นี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย” 

“ปีบ” 

เยาวลักษณ์ไม่รู้จะหาคำไหนมาปลอบใจลูกสาว เธอรู้ดีกว่าการตัดสินใจเช่นนี้จะทำให้ทุกคนสบายใจ แต่หัวใจของลูกสาวก็จะแบกรับความเจ็บปวดนั้นไว้

“ปีบ คิดดีจริงๆ แล้วเหรอลูก ถ้าฝืนใจก็ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้นะ”

ทิพารักษ์เม้มปากแน่น “ปีบตัดสินใจแล้ว อะไรที่ปีบเลือกแล้วปีบไม่เปลี่ยนใจ” เธอขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้แม่แล้วกอดไว้แน่น 

เยาวลักษณ์ลูบศีรษะลูกสาว “ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แม่อวยพรให้ทางที่ปีบเลือก เป็นทางที่ปีบเจอแต่ความสุขสำหรับนะลูก” 

คนเป็นลูกสูดลมหายใจลึก กลั้นสะอื้น

“ขอบคุณค่ะแม่ ปีบรักแม่ที่สุดในโลก”

 

สุทินกับอมรรัตน์กลับมาถึงบ้านตอนบ่ายโมง ไม่เจอศาสนะ แม่บ้านบอกว่าชายหนุ่มยังไม่กลับ สองสามีภรรยาจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งพักผ่อนเพื่อรอเจอลูกชาย

ศาสนะกลับมาเกือบจะสี่โมงเย็น เขาเดินเข้าบ้านมาอย่างอารมณ์ดี ในมือมีถุงขนมที่ส่งต่อให้แม่บ้าน เห็นพ่อกับแม่อยู่ที่ห้องนั่งเล่น กำลังจะเดินขึ้นชั้นสองก็ถูกเรียก

“มานี่ก่อนศาส”

ศาสนะเดินไปนั่งที่โซฟา เพราะว่าพูดไปแล้วว่ามีนัดกับลูกค้าทำให้เขาต้องใส่สูททับเสื้อยืดเพื่อให้ดูเป็นทางการ ไม่ผิดสังเกตจากสายตาแม่บ้าน แต่ตอนเดินเข้าบ้านมาไม่ได้สวม จึงได้แค่วางพาดที่โซฟา

“แม่ไปคุยกับหนูปีบมาแล้วนะ”

แม่บ้านยกน้ำมาให้ เขาดื่มแล้วระบายลมหายใจ พูดยิ้มๆ

“สรุปแล้วผมคงไม่มีใครเอาใช่ไหม ผมจะได้ทำแพลนไปดูตลาดที่ต่างประเทศหน่อย”

“ไม่ต้องไปเลย พรุ่งนี้ฉันจะไปหาฤกษ์ หนูปีบตกลงเรื่องแต่งงานแล้ว”

“อะไรนะ! 

“ศาสได้ยินไม่ผิดหรอก หนูปีบตกลง” อมรรัตน์กล่าวสำทับ

ศาสนะที่กำลังจะลุกออกไปจากบทสนทนาเกิดอาการหมดแรงหลังกระแทกพนักโซฟา มองสุทินที่เป็นฝ่ายเดินไปที่ห้องครัวแทน

“แม่ไปกินข้าวก่อนนะ ศาสจะไปกินพร้อมกันไหม”

แม่ถามเหมือนไม่รอคำตอบเพราะเดินออกไปแล้ว ซ้ำในแววตายังส่องประกายคล้ายรอยยิ้ม ทิ้งให้ศาสนะนั่งงงที่สถานการณ์ผิดจากที่คิดไปอีกแล้ว

“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้วะ”

 

เวลาเดียวกัน อีกฟากหนึ่งของกรุงเทพ อัษฏาตื่นขึ้นมาจัดการตัวเองเรียบร้อย ตั้งใจจะไปหาทิพารักษ์ แต่โสภากล่าวเรียบกึ่งเย็นชา

“ไม่ต้องไปหรอก ทุกอย่างจบแล้ว”

คนเป็นลูกขมวดคิ้ว “แม่หมายความว่ายังไง”

เขาถามย้ำจนคนเป็นแม่เล่าว่าได้คุยกับหญิงสาวไปแล้วและบอกว่าเขาเสียใจมากที่เธอหายไปกับผู้ชายคนอื่น อัษฎาไม่พอใจ และยิ่งหัวเสียเมื่อกดโทรศัพท์หาเธอ แต่ได้ยินระบบตอบรับว่าหมายเลขที่ยังไม่เปิดให้บริการ

“ทำไมแม่พูดอย่างนั้น ทำไมไม่ให้ผมคุยกับปีบเอง”

อัษฎายังคงโวยวายไม่หยุดขณะที่มือก็พิมพ์ข้อความส่งไปทางไลน์ แต่ก็ไม่เป็นผล

“แม่รักดานะถึงทำแบบนี้” โสภาโต้ “ปีบหายไปทั้งคืนแต่มาบอกไม่มีอะไร ดาอาจเชื่อ แต่คนอื่นล่ะ แม่ไม่อยากให้ดาเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น”

คนเป็นลูกนิ่งไป เขาเองก็ตั้งคำถามอยู่เหมือนกัน ทิพารักษ์ไม่เคยมีท่าทีสนใจไอ้หมอนั่นมาก่อน ลองเรียบเรียงเหตุการณ์แล้วก็รู้ว่าเจ้าของสายที่โทร.เข้ามาในคืนนั้นคือศาสนะ เรียกหญิงสาวให้ออกไปโดยโกหกว่าแม่ของเธอตกบันได อัษฎาเคียดแค้นก่นด่าศาสนะก่อนจะหันมาพาลใส่มารดาที่พูดตัดรอนแฟนสาวรวมทั้งยังไม่ยอมปลุกให้เขามาฟังเธออธิบายเอง

“ผมจะไปหาปีบ”

“ดา เดี๋ยวก่อน” โสภาห้ามลูกชาย “ไม่มีประโยชน์หรอก ทางนั้นเขาก็จะรับผิดชอบด้วยการแต่งงาน ปีบก็คงตกลงไปแล้ว”

 “ปีบบอกแม่อย่างนั้นเหรอครับ”

คนเป็นแม่หลบตาวูบหนึ่ง “ถึงไม่บอกก็พอเดาได้ พ่อแม่เขาก็ดูจะเอ็นดูอยู่ไม่ใช่เหรอ ฐานะดี อนาคตดี ผู้หญิงที่ไหนก็สนใจทั้งนั้น”

“แต่ไม่ใช่ปีบแน่!” อัษฎาจ้องหน้าคนเป็นแม่เขม็ง “แม่ก็รู้ว่าปีบไม่ใช่คนแบบนั้น”

“ก็แม่ไม่อยากให้ดามาถูกหลอก ไม่ใช่แค่ผู้หญิงนะที่เสียหาย ผู้ชายก็เหมือนกัน” โสภาเสียงดังขึ้นเช่นกัน “ที่ผ่านมาดาซื่อสัตย์ต่อปีบเสมอ แต่ตอนนี้ดาจะเป็นคนเอาชื่อเสียงตัวเองไปแบกรับความด่างพร้อยของปีบเหรอ”

“ผมไม่สน! ผมรักปีบ ปีบจะเป็นยังไงผมก็รับได้” อัษฎาคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์

“ดา! โสภารีบเดินตาม “เดี๋ยวก่อน ฟังแม่ก่อน”

เขาไม่สนใจจะฟัง รีบสวมหมวกกันน็อกแล้วบิดคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว

“ดา”

โสภาร้องเรียกเท่าไรก็ไม่เป็นผล เธอได้แต่มองลูกชายขับรถออกไปด้วยความเป็นห่วงผสมกับความรู้สึกชิงชังหญิงสาวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

                                

หลังจากสุทินกับอมรรัตน์กลับไปแล้วสองแม่ลูกก็เตรียมทำขนมต่อ ทิพารักษ์แช่ข้าวเหนียวไว้นึ่งเตรียมทำสังขยาหน้าต่างๆ ส่วนเมนูประจำอย่างเปียกปูนใบเตยและเปียกปูนดำก็ยังมีเหมือนเดิม

ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป เยาวลักษณ์ปลีกตัวเข้ามาในห้องพระ จุดธูปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งความขอให้วิญญาณของสามีคุ้มครองลูกสาว ขอให้คุณความดีของเขาช่วยให้ลูกสาวเป็นที่รักของสองสามีภรรยา เพราะการใช้ชีวิตร่วมกับศาสนะคงไม่ใช่เรื่องง่าย

เยาวลักษณ์เดินลงมา เห็นทิพารักษ์กับปิยะดา

“แม่สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีจ้ะเบ๊นซ์ มาตั้งแต่เมื่อไร” 

“สักพักแล้วค่ะ”

“ขอปีบไปคุยกับเบ๊นซ์แป๊บนึงนะแม่ เดี๋ยวมาช่วยจ้ะ” ทิพารักษ์กล่าวแล้วลุกขึ้นทำนองชวนให้เพื่อนขึ้นไปคุยในห้องส่วนตัว 

“ไปเถอะ แม่ทำเองได้”

ในห้อง 

ทิพารักษ์เล่าทุกอย่างให้ปิยะดาฟัง ตั้งแต่รับโทรศัพท์ที่ร้านคาราโอเกะ แล้วเรื่องก็เลยเถิดไปจนจบที่การตกลงแต่งงาน

“ทำไมเขาต้องทำขนาดนั้นด้วย คุณศาสนะน่ะ”

“ฉันไม่ได้ถามพี่ดาหรอกนะ แต่รู้สึกว่าเขารู้จักกันมาก่อน คงไม่พอใจกันนานแล้ว”

“เอ้า ได้ไง หมั่นไส้กันเองแล้วมาลงที่เธอนี่นะ”

ทิพารักษ์คิดถึงคำพูดของศาสนะ 

ใครใช้ให้เธอเป็นคนของครอบครัวฉันล่ะ แล้วฉันก็ไม่ชอบให้คนในปกครองของครอบครัวฉันไปเกี่ยวข้องกับไอ้อัษฎา ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม

“แต่แกคิดดีแล้วจริงๆ ใช่ไหมที่ตอบตกลงแต่งงานแล้วปฏิเสธพี่ดาน่ะ”

ทิพารักษ์พยักหน้า “ฉันตัดสินใจแล้ว”

“ฉันเข้าใจนะว่าแม่ทุกคนรักและหวังดีกับลูก แต่ขอโทษนะ คือ แม่ไม่น่าพูดแทนพี่ดาเลย”

น้ำเสียงของปิยะดาเบาลงเพราะกำลังแสดงความเห็นเชิงตำหนิแม่ของแฟนเพื่อน แต่คนฟังไม่มีปฏิกิริยาโกรธเคือง ได้แต่ถือโทรศัพท์และเลื่อนขึ้นลงไปอย่างไม่มีเหตุผล

“แล้วสรุปว่ายังไง แต่งเมื่อไร มีอะไรบ้าง”

ทิพารักษ์เล่าให้ฟังว่าเธอขอให้สุทินกับอมรรัตน์จัดงานแต่งงานแบบเล็กๆ เรียบง่ายก็พอ เธอเป็นผู้หญิงธรรมดา ครอบครัวก็มีแม่คนเดียว ไม่อยากให้ครอบครัวอรรถพิพัฒน์ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมาย ตอนเช้าทำพิธีสู่ขอที่บ้านนี้ ส่วนตอนเย็นมีงานเลี้ยงที่บ้านของศาสนะ ส่วนงานจิปาถะอื่นๆ เช่นการ์ดเชิญ ชุดต่างๆ อมรรัตน์จะจัดการให้หมด

ปิยะดาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ จับมือเพื่อนรัก

“ถ้าแกคิดดีแล้ว ฉันก็ขอให้แกโชคดีนะ แกเป็นคนดี ฉันเชื่อว่าแกจะได้เจอสิ่งดีๆ เราไม่รู้ว่าชีวิตวันข้างหน้าเป็นอย่างไร แต่ชีวิตต้องเดินต่อไป”

“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ฉันเตรียมใจไว้แล้วละ” ทิพารักษ์พูดยิ้มๆ 

“ปีบ ดามาหาลูก”

เสียงแม่เรียกมาจากข้างล่าง หัวใจทิพารักษ์เต้นโครม

“พี่ดา”

 

ทิพารักษ์เดินลงมาจากชั้นสอง ส่วนเยาวลักษณ์เดินถอยออกไปทำงานตรงครัวแต่ยังเป็นจุดที่ยังมองเห็นหนุ่มสาวทั้งสองคน ชายหนุ่มรีบลุกแล้วเดินเข้าไปหาจับมือเธอแน่น

“ปีบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ไม่สนใจทั้งนั้น งานแต่งงานของเรายังเหมือนเดิม เดี๋ยวพี่จะไปคุยกับแมให้หาฤกษ์ ปีบเชื่อพี่นะ ”

หญิงสาวเม้มปากแน่น กลั้นความรู้สึกที่ทะลักทะล้นที่ดวงตา ในอกเธอเหมือนมีพายุ มันปั่นป่วนและพร้อมจะพังทลาย เธอสูดลมหายใจลึก 

 “เรื่องของเรามันจบแล้ว ไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้ว ปีบจะแต่งงานกับคุณศาส” เธอพูดแล้วพยายามแกะมือเขาออก 

อัษฎาเบิกตา จับไหล่เธอเขย่า “ไม่นะปีบจะเป็นแบบนี้ไม่ได้!

ทิพารักษ์สะบัดตัวออกแล้วรีบวิ่งขึ้นชั้นสองไป

“ปีบ!

ชายหนุ่มกำลังจะวิ่งตามแต่ปิยะดารีบมากางแขนกันไว้

“พี่ดา อย่าเพิ่งไปเลย”

“ถอยไปเบ๊นซ์ พี่จะคุยกับปีบให้รู้เรื่อง ปีบ!

 “พี่ดากลับไปก่อนเถอะค่ะ” หญิงสาวพยายามต่อรอง “ขอร้องนะคะ กลับไปก่อน เดี๋ยวเบ๊นซ์คุยกับปีบเอง”

“เบ๊นซ์ เบ๊นซ์ต้องช่วยพี่นะ บอกปีบว่าให้ตัดสินใจใหม่อีกที”

“ค่ะๆ ได้ ตอนนี้พี่ดากลับไปก่อนเถอะ”

เยาวลักษณ์ยังคงยืนอยู่ในครัว เธอได้ยินการสนทนาแต่ไม่ปรากฏตัว มือกำผ้าขนหนูแน่น ปวดใจไม่ต่างกับลูกชาย เพราะเธอก็รักอัษฎาไม่ต่างจากลูก

“นะคะพี่ดา”

สีหน้าของอัษฎาบิดเบี้ยวปานจะขาดใจ ความหวังทั้งมวลแหลกสลาย ตาแดงก่ำเหมือนพร้อมจะปล่อยโฮออกมาเดี๋ยวนั้น

อัษฎาถอยหลังกลับด้วยร่างกายที่เหมือนไร้วิญญาณ

 

ปิยะดาเปิดประตู สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงร้องไห้ เธอชะงัก ลังเลใจ ในที่สุดก็ดึงกลับและเดินลงมาข้างล่าง

ทิพารักษ์นั่งอยู่บนเตียง ร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตารินไหลราวทำทบทลาย เธอได้ตัดสัมพันธ์ผู้ชายที่รักและหวังจะร่วมชีวิตไปแล้ว จากกันทั้งที่ยังรักว่าเจ็บปวดแล้ว

แต่การจากกันทั้งที่ยังรักแต่ไม่มีโอกาสได้อธิบายให้เข้าใจเจ็บปวดกว่า

 

วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ที่บ้านสองชั้นหลังเก่ามีการตกแต่งด้วยดอกไม้ พุ่มไม้ และริบบิ้นดูสดใสน่ารัก ลมเย็นพัดโชยมาทำให้ใบกล้วยในขบวนขันหมวกปลิวไหวน้อยๆ เสียงโห่แห่ดังพอประมาณเรียกคนละแวกนั้นให้ออกมาดู

“งานแต่งงาน บ้านไหนเนี่ย”

“ลูกสาวแม่เยาว์ที่ทำขนม” คุณยายคนหนึ่งที่ออกมาตักบาตรพูดกับลูกสาวตนเอง

“อ๋อ หนูปีบนี่เอง” 

“เจ้าบ่าวไม่ใช่พ่อหนุ่มตัวสูงๆ ที่มาบ่อยๆ คนนั้นหรอก” หญิงชราเอ่ยพลางขยับแว่น

“อ้าว ทำไมล่ะแม่ น้องดาเป็นแฟนหนูปีบนี่นา”

“เอ๊ะ ฉันจะไปรู้ได้ยังไง แต่ที่เห็นไม่ใช่คนนั้นก็แล้วกัน” กล่าวเสร็จก็ค่อยๆ เดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้คนเป็นลูกยืนมองท้ายขบวนขันหมากอย่างงงงัน

 

ทิพารักษ์สวมชุดไทยสีกะปิทับสไบสองชั้น รวบผมประดับด้วยจอนหูดอกปีบหวานละมุน นั่งรออยู่ในห้อง ส่วนศาสนะซึ่งสวมชุดไทยสีโรสโกลด์มาพร้อมขบวนขันหมากและผ่านการกั้นประตูพอเป็นพิธีเข้าไปพร้อมดอกไม้ช่อหนึ่ง

เขายื่นให้เธอ เจ้าสาวรับไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนใบหน้าของเจ้าบ่าวแสดงอาการเซ็งอย่างปิดไม่มิด

ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกมานั่งที่พื้นเบื้องหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย รวมทั้งผู้อาวุโสที่เป็นประธานในพิธี

ประธานในพิธีก็กล่าวเกริ่นนำตามขั้นตอนต่างๆ วางสินสอดทองหมั้น จากนั้นทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็สวมแหวน.ให้กัน 

ปิยะดาเป็นเพื่อนเจ้าสาว ขณะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือดูแลความเรียบร้อยให้เจ้าสาวโทรศัพท์ในมือก็สั่น ชื่อที่ขึ้นทำให้ตกใจ รีบกดรับแล้วใช้มือป้องปาก

“ฮัลโหล พี่ดา”

“...”

ปลายสายเต็มไปด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นและเสียงลมหายใจที่ปิยะดาฟังไม่ถนัด เธอต้องรีบเดินออกมานอกบ้าน

“พี่ดา ฮัลโหล ได้ยินไหมคะ”

“เบ๊นซ์ พี่...ถูกทำร้าย ตอนนี้อยู่หน้าปากซอยบ้านปีบ...มารับพี่ที”

 “พี่ดา!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น