9

บทที่ 9

บทที่ 9

 

บ้านพักสองชั้นทาสีขาวสลับฟ้า มีห้องโถงใหญ่ที่ด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำ อีกด้านเป็นครัวที่มีประตูออกที่ลานซักล้างด้านหลัง ศาสนะเดินขึ้นไปบนชั้นสองแล้วเลี้ยวขวาไปทางห้องนอนใหญ่ เปิดประตูเดินเข้าไป แต่ทิพารักษ์กลับเลี้ยวไปทางซ้ายมือตั้งใจจะเปิดประตูบานแรกที่เห็น

เขาหันกลับมาถาม “จะนอนห้องนั้นเหรอ” 

“ทำไม พักไม่ได้เหรอไง”

“ไม่ได้ ห้องนั้นไม่ว่าง”

“ทำไมไม่ว่าง” หญิงสาวขมวดคิ้ว กำลังจะหมุนลูกบิดแต่ได้ยินเสียงรถเข้าแล่นเข้ามาจอด จากชั้นสองจะมองเห็นว่ามีชายหญิงเดินเข้ามาทางห้องโถงอีกสองคู่ 

ศาสนะเดินมาเท้าแขนที่ราวระเบียง ส่งเสียงลงไป

“เฮ้”

“อ้าว เฮ้”

คนข้างล่างร้องทักกลับ แล้วพากันเดินขึ้นมาบนชั้นสอง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแบบลูกครึ่งมาถึงก่อน เขากำหมัดชนกับเจ้าของบ้าน ต่อด้วยชายหนุ่มอีกคนที่เดินตามมา

“มาถึงนานแล้วเหรอ”

“เปล่า เพิ่งถึงเหมือนกัน”

“สวัสดีศาส”

หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินมากับหนุ่มลูกครึ่งเป็นผู้หญิงผมยาวทำสีน้ำตาลอมชมพู 

“สวัสดีครีม เฮ้ย ทำผมใหม่นี่ สวยเลย”

“ชมแต่ครีม ฉันก็ตัดผมใหม่เหมือนกันนะ”

หญิงสาวอีกคนพูดขึ้น เธอเป็นสาวผมสั้นซึ่งยืนข้างชายหนุ่มสวมแว่นที่บุคลิกเป็นคนแต่งตัวจัดสักหน่อย ศาสนะหัวเราะและชมว่าเธอก็ยังสวยเหมือนเดิม

ศาสนะทักทายเพื่อนอย่างสนิทสนมก่อนจะนึกขึ้นได้หันมาทางทิพารักษ์ที่ยังยืนงงมองคนนั้นทีคนนี้ที

“เพื่อนฉัน จอห์น น่าจะจำได้มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว นั่นครีม ลูกเกด นั่นฟลุค นี่ปีบนะ”

ทิพารักษ์กำลังงงๆ กับการมาเยือนของคนกลุ่มนี้ แต่เธอก็ยกมือไหว้ทุกคน

“เหมือนเมียมึงไม่รู้นะเนี่ยว่าพวกกูจะมา” ฟลุคพูดยิ้มๆ 

“ก็ไม่รู้น่ะสิ เพราะกูอยากเซอร์ไพร้ส์” ท้ายประโยคเขาหันมายิ้มพร้อมยักคิ้วให้ทิพารักษ์ หญิงสาวได้แต่เม้มปาก “พวกมึงพักก่อน เดี๋ยวเที่ยงๆ ค่อยไปหาอะไรกินกัน”

“ไม่ต้องๆ พวกกูซื้อมาแล้ว อยู่ที่ครัวโน่น” จอห์นบอก 

“แจ๋วเลยมิสเตอร์จอห์น”

“เราจะพักห้องไหนกันดีฟลุค” ลูกเกดถาม เธอแทบจะคล้องแขนแฟนหนุ่มอยู่ตลอดเวลา

“ทางนั้นเลย มีอีกสองห้อง พอดี” ศาสนะผายมือ เพื่อนๆ พากันเดินไปเลือก

ทิพารักษ์จึงเข้าใจคำว่า ไม่ว่าง ของเขาในตอนนั้นเอง เธอมองหนุ่มสาวสองคู่เดินไปเปิดประตู ส่วนตัวเองก็ค่อยๆ ถอยออกมา

“งั้นเดี๋ยวเอาของเก็บก่อนแล้วลงไปกินข้าวกัน”

“โอเค”

หนุ่มสาวทั้งสี่เข้าห้องไปแล้ว เหลือแต่ทิพารักษ์ ศาสนะกอดอกเอียงคอมอง สายตาคล้ายจะถามว่าแล้วยังไงต่อ ท้ายสุดหญิงสาวก็เดินไปที่ห้องใหญ่ห้องนั้น

 

ในห้อง ทิพารักษ์วางกระเป๋าเป้บนที่นอน เตียงใหญ่คล้ายในห้องนอนที่กรุงเทพฯ ศาสนะตามเข้ามา มีเสียงปิดประตูเบาๆ

“ไม่เห็นคุณบอกเลยว่ามีเพื่อนมาด้วย”

ชายหนุ่มเดินมาทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียง “ไม่ดีหรือไง หรืออยากอยู่กับฉันสองคน”

“ไม่”

“ก็นั่นไงล่ะ”

ศาสนะขยับขึ้นมานั่ง เปิดกระป๋องโค้ก “ถ้าฉันต้องอยู่กับเธอสองคน มีหวังเฉาตายแน่”

“แหม ครั้งนี้เราคิดเหมือนกันเลย ถ้าหันไปทางไหนแล้วเจอแต่หน้าคุณ ฉันคงเบื่อแย่” หญิงสาวตอบแล้วก็เดินหนีเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตู

“ยายตัวแสบ!

 

มื้อกลางวัน มีอาหารและเครื่องดื่มมากมายที่เพื่อนๆ ซื้อเข้ามา บทสนทนาสนุกสนาน ทิพารักษ์เลือกเป็นฝ่ายฟังเสียส่วนใหญ่ 

ศาสนะเปลี่ยนการฮันนีมูนเป็นชวนกลุ่มเพื่อนมาเที่ยวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะไม่ต้องอยู่กับสองต่อสอง ยิ่งมาต่างจังหวัดที่ไม่รู้จักแบบนี้กับอสูรเอาแต่ใจ เกิดโมโหฟาดงวดฟาดงาขึ้นมาเธอจะยุ่งอีก

“เอ่อ ปีบ น่าจะเป็นน้องใช่ไหม”

เพื่อนสาวของศาสนะที่ชื่อครีมถามขึ้น เธอเป็นแฟนกับจอห์น ส่วนคนรักอีกคู่ ฝ่ายหญิงคือลูกเกด หนุ่มแว่นแต่งตัวจัดชื่อฟลุค

“ค่ะ ปีบอายุยี่สิบห้า”

“งั้นก็น้องแหละ” คนถามพยักหน้ากับตัวเอง บทสนทนาดำเนินไปอีกเล็กน้อย เรื่องงานที่ทำ ทิพารักษ์จึงได้เล่าเรื่องร้านขนมของแม่

“สั่งออนไลน์ได้นะคะ มีรับจัดเลี้ยงด้วย อันนี้ชื่อเพจค่ะ”

เธอเปิดหน้าจอให้ดู กลุ่มสาวๆ ส่งเสียงชอบใจในความน่ารัก เพราะขนมชิ้นเล็กถูกจัดวางในกระทงอย่างสวยงาม รวมทั้งรูปร่างที่แปลกออกไป เช่นเปียกปูนสองสี วุ้นเป็ดในรังฝอยทอง กับทองหยอด หรือช่อม่วงรูปนกหลากสี

“แบบนี้น่าเปิดร้านนั่งกินนะ มีเครื่องดื่ม นั่งชมนกชมไม้” ฟลุคบอก

“อยากทำเหมือนกันค่ะ แต่ต้องใช้ทุนเยอะ คงอีกนาน”

“ตอนนี้เอาแค่ขายขนมให้ไม่ขาดทุนก่อนเถอะ” ศาสนะกล่าวแทรกเข้ามา ทิพารักษ์อดค้อนไม่ได้

“ว่าแต่น้องปีบทำขนมน่ากินขนาดนี้ ทำไมมึงไม่เห็นบอกเพื่อนฝูงบ้างวะ ช่วยเมียทำธุรกิจไง”

“อย่าว่าแต่ช่วยโปรโมต มันแต่งงานมีใครรู้บ้าง” ฟลุคพูด

“จริง อดไปงานเลย” ลูกเกดสำทับ

ศาสนะขยับตัว หน้าไม่ยิ้ม “ก็ไม่อยากให้พวกมึงผิดหวังนี่”

“ผิดหวังอะไร ขนมหรือน้องปีบ”

“ไอ้จอห์นมึง...”

เสียงหัวเราะเฮฮาดังเป็นระยะ แต่สมองทิพารักษ์กลับคิดถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของการแต่งงาน ทั้งเขาและเธอต่างไม่ได้เต็มใจให้เกิด

 “กรี๊ด จอห์น”

เสียงวี้ดว้ายดึงทิพารักษ์หลุดจากภวังค์ ที่สระว่ายน้ำ หนุ่มลูกครึ่งกระโดดม้วนหน้าลงไปในสระ น้ำสาดกระจาย ฟลุคไม่ยอม เขาเดินไปตรงหัวสระแล้วตีลังกากลับหลังลงมา

“ไอ้ฟลุค มึงเกทับกู”

“พอแล้ว น้ำกระจายหมด” ครีมร้อง “ศาส จะนั่งเป็นผู้ชมอยู่อีกนานไหม ลงมาได้แล้ว”

ศาสนะยิ้มกว้าง ชูแก้วเบียร์แล้วกระดก เขานอนเหยียดขาอยู่บนเตียงริมสระซึ่งมีอยู่สามตัว 

“ศาสมันกลัวน้ำ ยังไม่ได้ฉีดยา ครีมไม่ต้องไปเรียกมัน”

“ไอ้ห่าจอห์น!” คนถูกกล่าวหาหยิบน้ำแข็งจากในกระติกเขวี้ยงใส่ ความจริงเขารู้สึกเหมือนจะเป็นหวัดจึงไม่อยากเล่นน้ำ อีกอย่างเบียร์วันนี้ก็รสชาติเยี่ยม การนอนรับลมเย็นๆ พร้อมเสียงเพลงแบบนี้ให้ความรู้สึกดีกว่า

ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงตักน้ำแข็ง เขาลืมตา 

จอห์นกำลังรินโค้ก ก่อนจะทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ตัวใกล้ๆ มองซ้ายขวา

“เมียมึงไปไหนวะ”

ศาสนะผงกศีรษะขึ้นมา “ไม่รู้สิ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่ เข้าไปในครัวมั้ง”

หนุ่มลูกครึ่งชะเง้อมอง “ไม่มีนะ”

“สงสัยไปเดินเล่นแถวนี้มั้ง”

ศาสนะตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหยิบมันฝรั่งทอดเข้าปาก

 

สนามฟุตบอล อัษฏานั่งอยู่ที่อัฒจรรย์ มองชายคนหนึ่งกำลังทำการคลายเส้นให้นักกีฬา สักพักชายคนนั้นก็เดินมา จังหวะก้าวของเขามีปัญหาเล็กน้อยที่ขาซ้าย มีเจ้าหน้าที่อีกคนเดินไปหาและชี้มือมายังอัษฎา ชายคนนั้นมองตามแล้วยกมือให้ อัษฎาโบกมือกลับ

ที่ร้านปิ้งย่างไม่ไกลจากสนาม พนักงานเสิร์ฟเนื้อจานใหญ่ อัษฎาก็สั่งเบียร์ขวดใหญ่ นิพนธ์มองหน้า

“กูเลี้ยงเอง” 

“ถูกหวยหรือไง”

อัษฎาหัวเราะ “เปล่า แค่ได้งานใหม่”

“จริงดิ๊” นิพนธ์คีบเนื้อไปแกว่งในหม้อดินแค่เพียงนิดเดียวแล้วจุ่มลงถ้วยน้ำจิ้มก่อนจะส่งเข้าปาก “เป็นไงบ้าง”

“ก็ดี ได้ทำอะไรที่ถนัดและอยากทำหน่อย” อัษฎาตอบพลางเอาเนื้อไปจุ่มบ้าง “มึงล่ะ”

“โอเค ตอนนี้เปิดฤดูกาลใหม่งานก็เยอะหน่อย เด็กมันเจ็บกันรายวันเลย ทำรีพอร์ตยับ ปวดหัวฉิบ” ทั้งที่เป็นเครื่องเครียดแต่สีหน้านั้นยิ้มแย้ม อัษฎาพลอยยิ้มตามไปด้วย

นิพนธ์เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนมอหนึ่ง ไปมาหาสู่จนฝากตัวเป็นลูกของทั้งสองบ้าน มีวีรกรรมตื่นเต้นร่วมกันมากมาย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สำคัญตอนมหาวิทยาลัยปีสาม

 “มึงน่าจะเป็นคนที่ได้วิ่งอยู่ในสนามมากกว่า” อัษฎาพูดพลางคิดถึงเรื่องในอดีต จุดพลิกผันที่เกิดขึ้นตอนนั้นเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเพื่อนรักไป

“เรื่องเก่าๆ อย่าไปพูดถึงมันเลย กูลืมไปหมดแล้ว”

“มึงลืมได้ด้วยเหรอ ในเมื่อต้องมาอยู่ในสภาพนี้”

นิพนธ์ถอนใจ ตักข้าวในจาน “มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนี่หว่า อย่างน้อยกูก็ยังอยู่ครบสามสิบสอง”

“ครบสามสิบสอง แต่มีเหล็กดามขาจนทำให้ความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลต้องจบลงเนี่ยนะ”

คนเป็นเพื่อนเงียบ ลำคอตีบตันซึ่งไม่ได้เกิดจากอาหารหรือเครื่องดื่ม ช่วงเวลานั้น นิพนธ์ซึ่งเคยมีผลงานในระดับเยาวชน ได้รับการทาบทามจากสโมสรฟุตบอลซึ่งเป็นแชมป์เก่าให้ไปทดสอบฝีเท้า ทั้งเขาและอัษฎาต่างก็รู้ว่าถ้าได้เข้าสโมสรนั้น โอกาสติดทีมชาติชุดใหญ่แทบจะนอนมา 

โอกาสจะได้เซ็นสัญญาอยู่แค่เอื้อม ถ้าไม่เป็นเพราะเกิดอุบัติเหตุรถชนจนขาหักเสียก่อน เจ้าของรถคือศาสนะ อรรถพิพัฒน์

“แถมมึงยังหน้าตาดี เผลอๆ ได้รับงานเป็นพรีเซนเตอร์อะไรได้อีก ชีวิตมึงน่าจะไปได้ไกลกว่านี้”

เพราะนิพนธ์หน้าตาเหมือนแม่ ซึ่งได้เคยเอาภาพให้ดูตอนที่เล่าว่ามีปัญหากับที่บ้าน อัษฎาจึงได้รู้ว่าแม่แท้ๆ นั้นทิ้งเพื่อนรักไปตั้งแต่เด็ก ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งรู้ตอนอายุสิบสอง เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก โดยเฉพาะดวงตาที่หวานซึ้งโดดเด่นจนอัษฎาจำติดตา 

“ดา ช่างมันเถอะน่า”

“ที่มึงบอกว่าลืมได้และไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไร เป็นเพราะเงินที่ไอ้เศรษฐีนั่นมันโยนมาให้มึงใช่ไหม มันใช้เงินเพื่อทำให้ตัวเองพ้นผิด!

“เฮ้ย ดาเบาๆ” นิพนธ์ไม่ได้สังเกตว่าอัษฏาดื่มไปเยอะแค่ไหน แต่ตอนนี้น้ำเสียงของเขากรุ่นโกรธและเริ่มดัง “พอเถอะมึง กูว่าเราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า ว่าแต่ ทำไมวันนี้มาคนเดียว ไม่พาน้องปีบมาด้วยวะ”

อัษฏานิ่งไป ยกดื่มอีกแก้วก่อนตอบ “ปีบ...มาไม่ได้”

นิพนธ์พยักหน้าหงึกหงัก คิดว่าแฟนเพื่อนคงติดธุระจึงไม่ถามต่อ หลังจากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนหัวข้อไป แต่ตอนที่อัษฎาพูดถึงเรื่องในอดีต ดูเหมือนเหล็กที่ฝังอยู่ในขาจะร้อนวาบขึ้นมาจนสะเทือนถึงหัวใจ

 

ทิพารักษ์จำได้ว่าอมรรัตน์พูดว่าบ้านพักอยู่ติดทะเล แค่เดินผ่านซอยเล็กๆ ด้านหลังไปประมาณยี่สิบเมตรก็จะเจอกับหาดทรายเลย 

ตอนนั้นใกล้จะสี่โมงเย็นแล้ว อากาศกำลังสบาย เธอเดินเลาะชายหาดไปเรื่อยๆ ฟังเสียงคลื่น เสียงลม เสียงครอบครัวที่กำลังเล่นกันสนุกสนาน นานเท่าไรแล้วที่ไม่มีโอกาสได้ปล่อยเวลาให้ไหลเอื่อยๆ แบบนี้

เธออยู่กับแม่สองคน ใช้ชีวิตไปตามครรลอง เรียน ช่วยแม่ จบมาก็หางานทำ ไม่เคยคิดว่าโชคชะตาจะพลิกผันขนาดนี้ ถึงได้มาเปิดร้านขนมเป็นของตัวเอง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง

ทิพารักษ์คิดถึงทริปที่เคยมาทะเลกับอัษฎา เป็นครั้งแรกที่มาเที่ยวกันสองคน บรรยากาศทุกอย่างล้วนเป็นใจ กระนั้นท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรเลยเถิดไปไกล

แต่เธอก็ยังจำได้ถึงจุมพิตใต้ท้องฟ้าประดับดาว กับสันจมูกของที่ไล้อยู่บนแก้มและซอกคอ รวมทั้งลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขา ก่อนที่เสียงคลื่นจะดึงสติทั้งคู่กลับมา

บางเสี้ยววินาทีทิพารักษ์ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเธอปล่อยตัวและใจให้เป็นของเขาวันนั้นชีวิตจะเป็นอย่างไร 

พระอาทิตย์หลบหลังเหลี่ยมเขา แดดถูกแทนที่ด้วยความสลัว ทิพารักษ์หยุดเดิน มองไปรอบๆ นี่เธอเดินมาถึงไหนแล้วเนี่ย นาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงครึ่ง ต่างจังหวัดฟ้ามืดเร็วกว่าที่คิด เพราะตอนนี้หาดไม่มีคนแล้ว ฟ้าก็มืดลงเรื่อยๆ 

                

“ศาส เมียมึงยังไม่กลับมาเหรอ” 

จอห์นถาม หลังขึ้นจากสระและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วลงมานั่งเล่นที่ห้องโถง เพื่อนๆ กำลังคุยกันว่าจะออกไปหามื้อเย็นกินข้างนอกหรือว่าจะลองสั่งออนไลน์ เพราะเหมือนจะมีร้านค้าที่ไม่ไกลจากบ้านหลังนี้นักและสามารถสั่งอาหารให้มาส่งได้

ศาสนะที่กำลังนอนดูทีวีผงกศีรษะขึ้นมา ซึ่งตลอดเวลาที่เพื่อนทั้งสี่คนว่ายน้ำ เขายังอยู่ในบ้าน ขยับตัวจากเก้าอี้ริมสระไปเป็นที่โซฟาในห้องเท่านั้น 

 “ไม่รู้สิ” เขาตอบแล้วก็กลับไปสนใจทีวีต่อ 

“เรื่องมื้อเย็นสรุปว่ายังไงก็บอกนะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ลูกเกดบอกแล้วเดินคลอเคลียขึ้นห้องไปกับฟลุคเหมือนเดิม

“มันจะห่างกันสักนาทีไม่ได้หรือไงวะไอ้คู่นั้น” จอห์นพึมพำ 

ครีมเดินลงบันไดมา มองซ้ายขวา

“น้องปีบยังไม่กลับมาเหรอ”

“ยังเลย” หนุ่มลูกครึ่งตอบแฟนสาว

“ไปเดินเล่นถึงไหน หลงหรือเปล่า”

“เดี๋ยวก็กลับมาเองแหละ” เจ้าของบ้านบอก

“นี่มันมืดแล้วนะ โทร.ไปหน่อยสิ”

ศาสนะกำลังยกแก้วเบียร์ต้องวาง หยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ แล้วก็สบถด้วยความหงุดหงิด 

“ยายบ้าเอ้ย ทำไมไม่รับสายเนี่ย!

ศาสนะเดินปึงปังออกไป เมื่อลับร่างชายหนุ่ม เพื่อนสาวก็อดบ่นไม่ได้ 

“อะไรของเขาเนี่ย แค่นี้ก็ต้องอารมณ์เสียด้วย”

จอห์นแบมือและหัวเราะแห้งๆ เพราะไม่มีคำตอบเหมือนกัน

                

ทิพารักษ์เดินลัดเลาะชายหาดกลับมาตามทางเดิม

“เฮ้!

เสียงเรียกมาพร้อมกับเงาตะคุ่ม ทิพารักษ์ตกใจรีบจ้ำเท้าหนี เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย

“เฮ้ ยู เฮ้!

หางตามองเห็นว่าฝ่ายนั้นเดินโงนเงน และเหมือนจะมากันสองคน น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่กำลังอยู่ในอาการเมา ใจเต้นโครมคราม ก้าวยาวๆ จนเกือบจะเป็นวิ่ง ลมผัดผ่านหูดังอู้ 

                หลังจากกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาได้สักพัก ทิพารักษ์หันกลับไปมอง ไม่มีใครตามมาแล้ว เธอหยุดเดิน หอบหายใจ 

“นี่เธอ!

เสียงดังขึ้นข้างตัว หญิงสาวสะดุ้งโหยง 

“คุณศาส!

เกือบจะแสดงอาการดีใจไปแล้วถ้าไม่ได้ยินประโยคแสดงอาการหงุดหงิดหัวเสียของเขาตามมาเสียก่อน  

“ทำไมชอบทำให้คนอื่นเขาวุ่นวายได้ตลอด นั่งอยู่เฉยๆ ในบ้านไม่ได้หรือไง แล้วทำไมไม่รู้จักเอาโทรศัพท์มาด้วย” เขาพูดประโยคนี้เพราะเห็นแล้วว่าเธอไม่ได้ถือโทรศัพท์มา 

“บ้าจริง ปล่อยให้ฉันโทร.จนมือแทบหงิก”

ศาสนะเดินดุ่มๆ นำไปพลางบ่น ทิพารักษ์เดินตาม

“ขอโทษค่ะ พอดีแบตหมด ฉันเสียบชาร์จไว้ที่ห้อง” เธออธิบายเสียงอ่อย ใจเต้นตึกตัก ตัวยังสั่นด้วยความกลัว “ความจริง...คุณไม่ต้องมาตามก็ได้ ฉันกลับเองได้ นี่ก็กำลังจะกลับอยู่แล้ว”

“ฉันก็ไม่ได้อยากมาตามเธอนักหรอก แต่ถ้าลูกสะใภ้คนโปรดของแม่เป็นอะไรไปเดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีก น่าเบื่อ”

เขาล้วงกระเป๋ากางเกง เดินเรื่อยๆ ไม่เร็วไม่ช้า แล้วก็เลี้ยวขึ้นไปบนทางเดิน 

“มาแล้วๆ”

“เดินไปถึงไหนมาน้องปีบ” ลูกเกดถาม

“ขอโทษค่ะ ปีบเดินเพลินไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะไปกินข้าวกัน ไปเลยไหม” จอห์นหันไปถามทุกคน

“ขอปีบเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะคะ”

เธอตอบแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ก่อนจะวิ่งขึ้นไปชั้นสองคว้ากระเป๋าสะพายใบเก่ง ขณะที่ศาสนะยืนรอด้วยสีหน้าเย็นชาปนเบื่อ ส่วนคู่รักลูกเกดกับฟลุคก็ยังยืนโอบกอดใกล้ชิดกันเหมือนเดิม

จอห์นกับครีมสบตากันราวกับว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

 

โปรแกรมในวันต่อมาคือการไปดำน้ำ โดยมีบริษัทที่รับจัดทัวร์โดยเฉพาะพาไป หลังมื้อเช้าก็นัดเจอกับไกด์และจะนั่งเรือออกไปยังจุดดำน้ำประมาณยี่สิบนาที 

วันนี้ฟ้าใส น้ำทะเลสวย แดดยามสายไม่ร้อนเกินไป สปีดโบ้ตมีกระจกที่ท้องเรือทำให้เห็นปลาหลากสี

ทิพารักษ์ไม่เคยดำน้ำมาก่อน เช่นเดียวกับลูกเกดและฟลุค ทำให้เธอใจชื้นขึ้นว่าอย่างน้อยก็ไม่ปล่อยไก่คนเดียวแต่ก่อนที่จะได้ดำน้ำ เธอต้องผ่านการนั่งเรือไปให้ก่อนเพราะตอนนี้รู้สึกวิงเวียน แต่ก็พยายามสูดลมหายใจและมองไปไกลๆ ให้อาการพะอืดพะอมบรรเทาลง

“ปะการังจะอยู่บริเวณทางซ้ายนะครับ ห่างจากเรือไปสักห้าสิบเมตร ส่วนทางฝั่งประมาณสองร้อยเมตรนิดๆ ก็มีครับ ไกลหน่อยแต่สวยมาก ดื่มน้ำหวานไว้เยอะๆ นะครับ เราว่ายน้ำกลางแดดต้องใช้แรงมาก” ไกด์บอกขณะดูความเรียบร้อยของเสื้อชูชีพให้ครีม ก่อนที่เธอจะหย่อนตัวลงน้ำไป 

“เคยดำน้ำมาก่อนหรือเปล่า”

ศาสนะถามทิพารักษ์ เธอกำลังทดลองใส่หน้ากากดำน้ำส่ายหน้า

“ลองดำน้ำแถวๆ นี้ก่อนก็ได้ครับ พอคล่องแล้วค่อยไป” ไกด์คนเดิมบอก ส่วนจอห์นกับครีมเคยไปดำน้ำลึกมาแล้ว จึงแทบจะไม่ต้องเตรียมตัวอะไร และทั้งสองก็กำลังว่ายตรงไปยังจุดที่ปะการังสวยก่อนใคร

ทิพารักษ์รู้สึกไม่ค่อยดีจากการนั่งเรือ คิดว่าถ้าได้ลงไปว่ายน้ำแล้วอาจจะดีขึ้น จึงค่อยๆ หย่อนตัวลงไป น้ำเย็นกว่าที่คิด เธอค่อยๆ ดำน้ำลงไปตามที่ไกด์สอน เห็นปะการังรวมกันเป็นกลุ่มกับฝูงปลาที่ว่ายไปมา สีสันไม่ฉูดฉาดนักถ้าเทียบกับที่เคยเห็นในหนังสือ

แค่เวลาสั้นๆ ที่ได้ก้าวโลกใต้น้ำก็รู้สึกตื่นเต้น แต่อาการวิงเวียนศีรษะกลับทวีความหนักขึ้นกว่าเดิม ทิพารักษ์เงยหน้าขึ้นมา ถอดหน้ากาก อ้าปากหายใจ

มีน้ำกระเพื่อมข้างๆ ตัว ศาสนะว่ายเข้ามา “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดจัง”

หญิงสาวไม่ตอบ พยายามสูดลมหายใจลึก กำลังจะดึงหน้ากากลงมาเพื่อดำน้ำต่อ แต่ทันทีที่สายตาสบแดดโลกก็หมุนวูบ หมดแรงศีรษะหงาย ตัวลอยไปด้านหลัง

“เอ้า ไหวไหมเนี่ยปีบ”

ทิพารักษ์ได้ยินเสียงศาสนะ ด้วยความกลัวจึงผวาไปกอดเขาแน่น 

“รักฉันมากหรือไง กอดซะแน่นเดียว”

ศาสนะแซวไปแล้วก็ต้องชะงักเพราะพบว่านอกจากสีหน้าของหญิงสาวจะขาวเป็นกระดาษแล้วปากยังซีดจนเกือบจะเปลี่ยนสี

“ปีบ เป็นอะไร เมาเรือเหรอ”

ทิพารักษ์ได้แต่พยักหน้าตอบเพราะแทบจะหมดแรงพูด ศาสนะมองซ้ายขวา คู่ของจอห์นว่ายไปไกลแล้ว ส่วนฟลุคกับลูกเกดอยู่ไม่ไกล เขาตะโกน พร้อมโบกมือ 

ลูกเกดเห็นสัญญาณจึงรีบสะกิดแฟนหนุ่มและทั้งสองก็ว่ายเข้ามา ฟลุคมาถึงก่อน

“เกิดอะไรขึ้น น้องปีบไม่สบายเหรอ ”

“เดี๋ยวกูพาปีบกลับขึ้นฝั่งก่อน พวกมึงอยู่สนุกกันต่อเถอะ”

“ได้ๆ เดี๋ยวกูบอกไอ้จอห์นเอง”

พอบอกเพื่อนเรียบร้อยศาสนะก็พาทิพารักษ์ขึ้นเรือ ไกด์รออยู่แล้วรีบสตาร์ตเครื่องยนต์ขับออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

ที่ชายหาด หลังส่งสองหนุ่มสาวเรียบร้อยไกด์ก็หมุนเรือกลับไปรอรับสมาชิกที่เหลือตามเดิม

“เดินไหมไหว”

ทิพารักษ์พยักหน้า แต่ย่างก้าวนั้นโงนเงนจนน่าหวาดเสียวว่าจะล้ม ศาสนะรำคาญจึงเป็นฝ่ายช้อนร่างเธอขึ้นอุ้มเสียเอง ทิพารักษ์ตกใจ

“คุณศาส”

“เดินงุ่มง่ามแบบนี้เมื่อไรจะถึง”

ศาสนะพูดห้วนๆ เธอก็ไม่มีแรงจะเถียงจึงได้แต่โอบไหล่เขาไปหลวมๆ อดประหลาดใจไม่ได้ ชายหนุ่มไม่ใช่คนรูปร่างหนาล่ำแบบนักกีฬา แค่ผู้ชายหุ่นสมส่วนที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่กลับแข็งแรงอุ้มเธอขึ้นได้เบาหวิว แถมเดินอาดๆ ถึงบ้านอย่างรวดเร็ว 

ทิพารักษ์ตั้งใจว่าจะอาบน้ำแต่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ทันทีที่เขาปล่อยเธอลงเดินก็เกิดอาการลมตีขึ้นจนต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ

“เฮ้ย ปีบ”

เขาเข้ามาลูบหลัง ครู่หนึ่งจนเธอหยุดอาเจียนค่อยๆ หันมา แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ริมสระ  ศาสนะเดินตาม ยื่นน้ำส้มกับยาดมให้

“ต้องหาหมอไหม”

ทิพารักษ์ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ พักสักครู่ก็น่าจะดีขึ้น” หลังจากอาเจียนออกไป อาการมวนท้องก็บรรเทาลง ประกอบกับกลิ่นของยาหอมกับน้ำส้มเปรี้ยวหวานก็ช่วยทำให้สดชื่นขึ้นเล็กน้อย

“ขอโทษนะ คุณเลยไม่ได้ดำน้ำเลย”

ศาสนะที่กำลังดื่มโค้กยกคิ้วก่อนตอบ  

“คิดว่าฉันอยากดำน้ำมากเหรอ” เขาแกว่งกระป๋องโค้ก “ฉันเคยไปดำน้ำกับไอ้จอห์นมาตั้งเยอะแล้ว พอดีฟลุคกับลูกเกดอยากลองดำบ้างเลยใส่มาในโปรแกรม และคิดว่าเธอก็คงสนใจด้วยแค่นั้นเอง”

เขาตอบ กระดกเครื่องดื่มจนหมดแล้วโยนกระป๋องลงขยะที่อยู่ห่างไปได้อย่างแม่นยำ แล้วก็เดินออกไป

ทิ้งให้ทิพารักษ์จิบน้ำส้มเพียงลำพัง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น