2

ข้อแลกเปลี่ยนของยมทูต

บทที่ ๒

ข้อแลกเปลี่ยนของยมทูต

 

“ร่างของคุณฟื้นแล้ว แต่คนที่อยู่ในนั้น...ไม่ใช่คุณ”

ยมทูตบอกซ้ำอีกครั้ง ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ของยมทูตทำให้ฉันนิ่งค้างไปอย่างตื่นตะลึง ฉันหันกลับไปมองหน้าจอแสดงผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะอยู่อีกครั้ง หัวใจที่กำลังเต้นอยู่นั้นจะบอกว่าไม่ใช่ฉันงั้นเหรอ

“ไม่ใช่ฉันแล้วมันใครกันล่ะ” ฉันถามเสียงสั่นเครือ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย

ยมทูตทำหน้าคิดอยู่สักพักพร้อมกับหยิบวัตถุรูปร่างคล้ายสมุดโน้ตแต่โปร่งแสงออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาพลิกหน้าสมุดไปมาอยู่สักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าเฉยชา

“ไม่รู้”

อ้าว!

“ไม่รู้ได้ยังไง หน้าที่คุณไม่ใช่หรือไง” ฉันหวีดเสียงใส่เขาโดยไม่สนว่าเขาจะเป็นยมทูตหรือตัวอะไรก็ตามแต่ ไหนบอกว่ามารับวิญญาณไง ทำไมอยู่ดีๆ มีวิญญาณมาเข้าร่างฉันได้

“ซวยฉิบหาย” เขาสบถเบาๆ โดยไม่ได้สนใจว่าฉันจะกรีดร้องหรือลงไปชักดิ้นชักงอ ยมทูตหน้าหล่อเอาแต่ทำหน้าเซ็งพร้อมกับถอนหายใจและเอาแต่จ้องมองร่างของฉัน

ร่างกายของฉันตอนนี้มีสายยางเล็กๆ เสียบอยู่ที่ช่องอกต่อกับขวดแก้ว เดาว่าคงไว้ใช้ระบายลมที่คั่งอยู่ละมั้ง ผ้าห่มที่มีโลโก้โรงพยาบาลสีเทาคลุมลำตัวช่วงบนของฉันไว้ทำให้ไม่ดูโป๊มากนัก แรงกระเพื่อมของหน้าอกที่เกิดจากการหายใจบ่งบอกถึงการมีชีวิตของใครบางคน...ในร่างของฉัน

ความรู้สึกอยากร้องไห้เริ่มกลับมาอีกครั้ง ฉันเพิ่งรู้ว่าวิญญาณก็มีความรู้สึกเหมือนกัน อาการร้อนๆ ที่ขอบตาทั้งสองข้างทำให้ฉันกลั้นสะอื้นไม่อยู่ ข้อแตกต่างอย่างเดียวในการร้องไห้ของมนุษย์กับวิญญาณที่ฉันค้นพบคือ...การไม่มีน้ำตา

“อย่าเพิ่งร้อง...เสียงร้องคุณจะทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก” ยมทูตเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ นี่ฉันต้องอาภัพขนาดไหนถึงขั้นที่จะร้องไห้แล้วยมทูตหันมาชักสีหน้ารำคาญใส่

“ฮึก...ฉันจะทำยังไงดี ฉันยังมีลูกที่ต้องดูแล” ฉันพยายามกลั้นอารมณ์ไม่ให้ร้องไห้ออกมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการคร่ำครวญแทน

“คนยังไม่ถึงฆาตยังไงก็ไม่ตายหรอกน่า แค่ต้องใช้เวลาหน่อย” คำพูดเรียบๆ ไร้อารมณ์นั้นกลับทำให้ฉันมีความหวังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“จริงนะ”

“อืม ถ้าอยากรู้เรื่องก็ตามมาเงียบๆ”

ในที่สุดฉันก็ยอมเงียบตามที่เขาบอกพร้อมกับจ้องมองยมทูตว่าเขาจะทำอะไรต่อไป สิ่งที่เขาทำคือเดิน...ไม่ใช่เดินสิ ลอยมากกว่า เขาลอยตามคุณหมอที่เพิ่งช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ เท้าของเขาและฉันอยู่เหนือจากพื้นประมาณหนึ่งไม้บรรทัด เวลาเคลื่อนที่จึงดูเหมือนกำลังลอยมากกว่า ไม่ต่างจากที่เคยเห็นในหนังเท่าไหร่นัก

คุณหมอเดินออกมาหน้าห้องฉุกเฉินก่อนจะมองหาใครสักคนบริเวณนั้น หน้าห้องฉุกเฉินมีคนนั่งรออยู่จำนวนมาก แน่นอนว่าทั้งหมดคงไม่ได้มารอฉันแค่คนเดียว แต่เป็นผู้ป่วยรายอื่นๆ บางกลุ่มนั่งรอด้วยสีหน้ามีความหวัง บางกลุ่มทำสีหน้าเศร้าเหมือนเตรียมใจมาแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่บางกลุ่มก็ร้องไห้โฮอย่างไม่อายใคร

“ญาติคุณวันจันทร์ค่ะ” เสียงใสของคุณหมอดังขึ้น สายตาเธอสอดส่ายหาคนที่เธอเรียกว่าญาติของฉัน

ญาติของฉันส่วนมากอยู่ต่างจังหวัดกันหมด และที่สำคัญฉันไม่เคยบอกเบอร์พ่อแม่ของฉันกับใครแม้แต่พี่ๆ ที่ทำงานร่วมกัน ญาติของฉันคนเดียวในกรุงเทพฯ ตอนนี้ก็คือวันสุข

“เอ่อ ฉันไม่ใช่ญาติ แต่เป็นเพื่อนร่วมงานค่ะ” พี่พลอยซึ่งนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินรีบวิ่งเข้ามาหาคุณหมอทันที

“มีญาติไหมคะ” คุณหมอย่นคิ้วขณะถาม 

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าน้องเขามีลูกหนึ่งคน”

“งั้นคุณอยู่ในเหตุการณ์รึเปล่าคะ” คุณหมอถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ

“อยู่ค่ะ” พี่พลอยกุมมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกันพร้อมกับพยักหน้าตอบหมออย่างตั้งใจ

“ขอซักประวัติเพิ่มเติมหน่อยนะคะ ผู้ป่วยได้เกิดอุบัติเหตุก่อนมีอาการ หรือว่ามีการกระแทกบริเวณทรวงอกบ้างไหมคะ”

“ก่อนหน้าที่จะมีอาการ วันจันทร์เขากำลังท่องบทอยู่ค่ะ พอจะเข้ากล้องน้องเขาก็หน้าซีดๆ แล้วก็เป็นลมไปเลย”

คุณหมอได้ฟังคำตอบก็ทำหน้าเหมือนกำลังวิเคราะห์ข้อมูลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะถามต่อ

“ผู้ป่วยได้ใช้ยาคุมกำเนิด หรือสูบบุหรี่ ใช้สารเสพติดอะไรมั้ยคะ หรือพวกยาลดน้ำหนัก ยาสมุนไพร หรือว่ามีโรคประจำตัวหรือเปล่า” คุณหมอยังคงซักประวัติต่อ แต่ละคำถามของคุณหมอทำให้ฉันขมวดคิ้ว ทำไมต้องถามอะไรแบบนั้น หน้าฉันเหมือนคนติดยาหรือไงกัน

“เอ่อ ไม่ทราบค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ” พี่พลอยถามกลับพร้อมกับทำหน้าตกใจ ก็ไม่แปลก จู่ๆ มาถามว่าใช้สารเสพติดหรือเปล่า

“เปล่าค่ะ หมอแค่ซักประวัติหาสาเหตุเพิ่มเติมเท่านั้น” คุณหมอสาวจดยุกยิกลงในแฟ้มประวัติของฉันก่อนจะเอ่ยต่อ “หมอจะสรุปอาการให้ฟังนะคะ อาจจะซับซ้อนหน่อย ต้องตั้งใจฟังนิดนึง”

“ค่ะ”

“ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลแล้วเกิดหัวใจหยุดเต้นนะคะ หมอได้ช่วยกู้ชีพไปแล้ว ตอนนี้หัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติแล้วค่ะ”

ดวงตาของพี่พลอยเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับทำสีหน้าสะพรึง เธอดูช็อกจนพูดอะไรไม่ออก และเหมือนคุณหมอจะรับรู้อาการนั้นได้ จึงแตะไหล่เธอเบาๆ

“สาเหตุคือมีลมรั่วในช่องปอดจนไปกดการทำงานของหัวใจ ปกติแล้วภาวะนี้จะเจอในคนที่มีการกระแทกที่ช่องอก หรือในคนที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง แต่ในคนอายุน้อยก็สามารถเกิดขึ้นได้ในคนที่มีถุงลมโป่งแล้วมันแตกน่ะค่ะ”

“ค่ะ” พี่พลอยพยักหน้างงๆ

อย่าว่าแต่พี่พลอยเลย แม้แต่ฉันเองก็ยังงง ถึงแม้ว่าคุณหมอจะอธิบายเป็นภาษาไทยแล้วก็เถอะ

“ตอนนี้เราต่อสายเพื่อระบายลมออกมาแล้วนะคะ แต่เนื่องจากคนไข้เพิ่งมีภาวะหัวใจหยุดเต้นมา เลยจำเป็นต้องนอนในห้องไอซียูก่อนนะคะ หลังจากที่อาการดีขึ้นค่อยย้ายออกมา ระหว่างนี้หมอจะปรึกษากับคุณหมอศัลยกรรมช่องอกเพื่อดูเรื่องถุงลมอีกที”

“แล้วเรื่องค่าใช้จ่าย...”

“ผู้ป่วยมีสิทธิ์การรักษาที่นี่อยู่แล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะคะ มีอะไรถามเพิ่มเติมไหมคะ” 

“ขอบคุณค่ะ ไม่มีค่ะ” พี่พลอยตอบ สภาพเธอยังดูเบลอๆ ลอยๆ...ขอโทษนะพี่พลอยที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้

หลังจากฟังคุณหมออธิบายจบ ฉันเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้วละว่าทำไมยมทูตถึงได้มีความรู้ด้านการแพทย์ขนาดนั้น ก็ถ้าเขาต้องมาฟังแบบนี้กับวิญญาณที่เขามารับทุกราย บางทียมทูตเผลอๆ อาจจะมีความรู้เท่าหมอแล้วก็ได้

ยมทูตลอยห่างจากคุณหมอออกมาเมื่อบทสนทนาของคุณหมอจบลง เขาลอยเข้าไปในห้องฉุกเฉินส่วนต่างๆ ที่แบ่งโซนไว้ วันนี้ไม่ได้มีแค่ฉันที่มารับการรักษาที่นี่ ห้องข้างๆ มีอุบัติเหตุหมู่ ถัดมามีหญิงชราที่กำลังนอนปั๊มหัวใจอยู่ และเตียงข้างๆ ฉันก็มีหญิงสาวอีกสองรายที่กำลังปั๊มหัวใจเช่นกัน บางเตียงมีผ้าคลุมหน้าไปแล้วเรียบร้อย

“วันนี้มีคนตายที่นี่เกินสิบคน และมีรายชื่อที่ผมต้องมารับอยู่หกคน ตอนนี้ยังหาตัวไม่เจอสักคน” ยมทูตเอ่ยขณะที่เรากำลังยืนมองภาพการปั๊มหัวใจของหญิงชรา 

“แล้วไงต่อ” ฉันถาม ยังเชื่อมโยงไม่ติดว่าเขาจะบอกอะไรฉัน

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณ เราเรียกว่า ‘ภาวะสับวิญญาณ’ ”

“ภาวะสับวิญญาณ...” ฉันทวนสิ่งที่เพิ่งเคยได้ยินมาด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย

“ใช่ ภาวะสับวิญญาณ หรือ Substitution แปลง่ายๆ คือมีวิญญาณอื่นมาแทนที่เจ้าของร่าง มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ปกติจะเกิดหนึ่งในแสนเคสเท่านั้นแหละ” ยมทูตทำปากเบ้เล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อ

การจะเกิดขึ้นได้คือต้องมีคนสองคนที่อยู่ในสภาวะกึ่งเป็นกึ่งตายพร้อมกัน โดยที่คนหนึ่งถึงฆาตแล้ว แต่อีกคนยังไม่ถึงฆาต และคนที่เร็วกว่าก็จะได้เข้าร่าง”

คำบอกเล่าเหนือวิทยาศาสตร์ที่แม้แต่กฎฟิสิกส์ของนิวตันก็ไม่สามารถอธิบายเรื่องพวกนี้ได้ นับประสาอะไรกับฉันที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตอนนี้ 

“และที่สำคัญ ดูเอาแล้วกันว่าวันนี้มีคนอยู่ในสภาวะพร้อมตายแบบคุณเป็นสิบๆ คน แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครเข้าร่างคุณ” ยมทูตพูดด้วยน้ำเสียงระอา 

“นี่ คุณเป็นยมทูตไม่ใช่หรือไง ทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”

“ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันคงเป็นกรรมของวิญญาณสองดวงที่ต้องมาเกี่ยวข้องกัน บอกตามตรงว่าผมไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นตรงหน้า”

“งั้นก็แปลว่า...”

“แปลว่าคุณน่ะ ดวงซวย!”

ดวงซวยอย่างว่านั่นแหละ

แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกว่าฉันยังไม่ถึงฆาตก็แปลว่าฉันยังมีโอกาสที่จะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งสินะ

“แล้วมีวิธีที่ฉันจะกลับเข้าร่างได้อีกครั้งรึเปล่า” ฉันลองเสี่ยงดวงด้วยการถามเขาอีกครั้ง บางทีเขาอาจจะมีข้อมูลอะไรดีๆ ก็ได้

“ก็ต้องให้วิญญาณที่เข้ามาอยู่ออกไปก่อน”

“แล้วต้องทำยังไงกันล่ะ” ฉันถามซ้ำอีกครั้ง เพราะคำตอบของเขามันไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลย

ยมทูตปรายตามองฉันพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นราวกับว่าคำถามของฉันเป็นเรื่องไร้สาระ บรรยากาศในห้องฉุกเฉินยังวุ่นวายอยู่เหมือนเดิม ทั้งหมอและพยาบาลวิ่งรับคนไข้กันไม่ได้หยุดหย่อน แต่ยมทูตตรงหน้าฉันกลับยืนนิ่ง 

อึดใจหนึ่ง ในที่สุดริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนของเขาก็ขยับช้าๆ 

“มีอยู่สองวิธี หนึ่งคือทำให้วิญญาณยอมออกไปเอง สอง ร่างของเธอต้องอยู่ในสภาพเฉียดตายอีกครั้ง” สรรพนามที่เขาเรียกฉันเริ่มเปลี่ยนไปตามระดับความหงุดหงิด 

“ถ้าร่างฉันหัวใจหยุดเต้นอีกครั้ง วิญญาณนั่นก็จะออกมาใช่ไหม” การจะให้วิญญาณยอมออกไปเองมันดูยากไปนะ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาเข้าร่างฉันได้ยังไง ทำให้หัวใจหยุดเต้นฟังดูจะง่ายกว่า แต่ประโยคตอบกลับของยมทูตทำให้ฉันต้องพับความคิดนั้น

“ใช่ แต่อย่าลืมนะว่าวิญญาณที่อยู่ในร่างตอนนี้เป็นวิญญาณที่ถึงฆาตแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนฉันกลัว แต่ปากก็ยังถามเขาต่อ

“แล้วยังไงต่อ”

“แปลว่าร่างของเธอก็มีโอกาสจะพังไปด้วยไง คิดสิคิด เธอจะใช้วิธีไหนให้คนหัวใจหยุดเต้นได้ง่ายๆ และถ้าหัวใจเธอหยุดทำงานนานเกินไป เธอก็จะไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมอง สมองเธออาจจะขาดออกซิเจนจนใช้งานไม่ได้ อาจจะพิการ เป็นเจ้าหญิงนิทรา ถ้าเป็นแบบนั้นถึงเธอเข้าร่างได้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี” ยมทูตพล่ามยาวด้วยความเหลืออดกับการซักมากถามมากของฉัน ใบหน้าเย็นชาตอนนี้กลับมีสีหน้ารำคาญเข้ามาแทนที่

ฉันนึกภาพตามที่ยมทูตบอกทันที จริงอย่างที่เขาว่า ฉันจะไปทำยังไงให้ตัวเองหัวใจหยุดเต้นโดยที่ร่างกายไม่เสียหาย งั้นเป็นอันว่าวิธีนี้ก็ตกไป แปลว่าฉันต้องทำให้วิญญาณยอมออกจากร่างเอง...แล้วจะทำยังไงกันล่ะ

ฉันมองยมทูตด้วยสีหน้ากล้าๆ กลัวๆ อยากจะถามเขาต่อก็ชักจะไม่กล้า ตอนนี้เขาเป็นเหมือนที่พึ่งสุดท้ายของฉัน ถ้าเกิดเขารำคาญจนหนีหายไป คราวนี้ฉันคงถึงคราวซวยของจริง แต่ดูเหมือนท่านยมทูตจะอ่านสีหน้าของฉันออก เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบคำถามในใจฉัน

“วิญญาณที่เข้าร่างมักเป็นวิญญาณที่ยังมีห่วง มีความต้องการ ถ้ารู้ความต้องการของเขาแล้วช่วยเขาได้ เดี๋ยวเขาก็ยอมไป”

“แล้วมีโอกาสมั้ยที่เขาจะไม่ไป” ฉันพยายามนึกถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ถ้าความต้องการของวิญญาณนั้นคือการมีชีวิตล่ะ แล้วคำตอบของยมทูตก็ช่วยให้ฉันคลายปมคำถามที่อยู่ในใจได้...

“มี”

“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันล่ะ”

“ผมคงต้องพาวิญญาณคุณไปส่งแทน”

แต่ไม่ได้ช่วยให้สบายใจขึ้นเลย!

ฉันคอตก นึกสภาพตัวเองที่ต้องเป็นวิญญาณแบบนี้ไปตลอด จริงๆ มันก็ไม่ได้แย่ แต่วันสุขล่ะ จะอยู่ยังไง คิดแล้วน้ำตาก็จะไหลอีกรอบ แต่ทันทีที่ฉันเริ่มเบะปาก ยมทูตใจร้ายก็ขัดจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง

“เฝ้าร่างตัวเองไว้ อย่าเพิ่งไปไหน ขอไปธุระก่อน”

“จะกลับมาหาเหรอ” ฉันถามอย่างมีความหวัง ตอนนี้ไม่พึ่งยมทูตก็ไม่รู้จะพึ่งใคร

“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าเก็บวิญญาณไม่ครบแล้วจะกลับได้ยังไง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอีกครั้ง ไม่ทันที่ฉันจะได้ต่อปากต่อคำอะไรกับเขา ร่างสูงก็หายวับไปกับตา

เมื่อยมทูตจากไปฉันก็ลอยกลับไปที่เตียงตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมย้ายร่างของฉันไปที่ห้องไอซียู ชายวัยกลางคนผิวขาว ไว้หนวดเหมือนฮิตเลอร์ รูปร่างสันทัด สวมชุดเครื่องแบบโรงพยาบาลสีเทาเข็นเตียงของฉันด้วยท่าทีสบายๆ โดยมีคุณหมอและคุณพยาบาลเดินตามอยู่ไม่ห่าง

ตลอดเวลาที่ลอยตามพวกเขาไป ฉันได้พบเจอสิ่งแปลกใหม่มากมายที่ฉันไม่เคยได้พบเจอตอนที่ยังเป็นมนุษย์ปกติ ตอนนี้ฉันเหมือนอยู่ในโลกคู่ขนานที่ไม่เคยเชื่อด้วยซ้ำว่ามีอยู่จริง 

ตั้งแต่ที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน ฉันเห็นเงาสีดำจางๆ ลอยไปลอยมาจำนวนมาก นั่นยังไม่เท่ากับการที่ฉันมองไปที่ตึกผู้ป่วยแล้วเห็นหญิงสาวในชุดผู้ป่วยกระโดดลงมาจากชั้นห้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตลอดระยะเวลาที่ฉันเดินผ่านและมองเห็นตึกนั้น เธอโดดลงมาเป็นรอบที่สิบโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด 

ริมทางเดินก็มีกลุ่มคนแก่นั่งจับกลุ่มคุยกัน วิจารณ์ทรงผมของหมอบ้าง หรือแอบคุยกันว่าพยาบาลกับหมอคนไหนกิ๊กกันบ้าง พวกเขามองฉันเป็นระยะๆ อารมณ์เหมือนเจอคนแปลกหน้า ก่อนจะหันไปซุบซิบกันเบาๆ

ไม่ว่าผีหรือคนก็เหมือนกันไปหมด

แรกๆ ฉันก็ตกใจอยู่ไม่น้อยที่ได้พบเห็นภาพเหล่านั้น แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกันนัก เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาพยายามไม่ไปจ้องพวกเขามาก ถึงฉันจะเป็นเหมือนผีอยู่ตอนนี้...ก็อย่ามายุ่งกับฉันเลย

ป้ายในลิฟต์เขียนบอกข้อมูลของแต่ละชั้นไว้ชัดเจน พี่หนวดฮิตเลอร์กดหมายเลขเจ็ดซึ่งเป็นชั้นของห้องผู้ป่วยวิกฤตหรือห้องไอซียู หลังจากที่หันหน้าออกจากปุ่มกดลิฟต์ ฉันก็ต้องสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อเห็นร่างของเด็กผู้ชายอายุน่าจะประมาณสิบขวบในชุดผู้ป่วยยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของลิฟต์ เขายืนเงียบๆ ไม่สนใจใคร และแน่นอนว่าไม่มีใครเห็นเขาเช่นกัน

ฉันละความสนใจจากเด็กชายคนนั้นเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ทางเดินและผนังสีขาวสะอาดต่างจากห้องฉุกเฉินและตึกอื่นๆ ที่เดินผ่านมา บ่งบอกความใหม่ของตึกนี้ แต่ตึกใหม่ก็ใช่ว่าจะใสสะอาด บรรดาวิญญาณทั้งหลายก็ยังวิ่งพล่านอยู่ดี

“ดูสิป้า มีวิญญาณมาใหม่ด้วย” วัยรุ่นหญิงในชุดผู้ป่วยอีกเช่นเคยกำลังชี้มาที่ฉันก่อนจะหันไปกระซิบกับคนข้างๆ ที่เป็นหญิงสูงวัยกว่ารุ่นป้า

“นี่ เสียมารยาท ไปชี้เขาแบบนั้นได้ยังไง” ป้าตอบกลับพร้อมขมวดคิ้วและปัดแขนเด็กสาวให้ลดลง แต่ปัดไปก็เหมือนกับปัดลม

วิญญาณทั้งหลายในวันนี้ทำให้ฉันลบภาพเดิมๆ ของผีออก จำพวกผีที่ต้องอยู่ในชุดขาวหรือมีสภาพน่าสยดสยอง พวกเขาก็เหมือนคนทั่วไป แค่ลอยได้และตัวโปร่งแสง

แม้ว่าผีวัยรุ่นคนนั้นจะเลิกชี้ฉันแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังคงมองฉันด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ ฉันสนใจสองคนนั้นได้ไม่นานนักก็ต้องรีบตามหมอเข้าไปในห้องไอซียู

สภาพของห้องไอซียูนั้นใหม่พอๆ กับตึก แน่นอนว่าขึ้นชื่อว่าห้องไอซียู ต้องเคยมีคนป่วยหนักและจบชีวิตที่ห้องนี้นับไม่ถ้วน รวมทั้งเตียงที่ร่างของฉันจะต้องไปนอนด้วย

ภาพของคุณลุงรูปร่างท้วม หัวล้านในชุดผู้ป่วยสีฟ้า กำลังนั่งขวางอยู่บนเตียงพร้อมกับทำสีหน้าถมึงทึง ร่างกายของเขาดูไม่ค่อยโปร่งแสงเท่าไหร่นัก แทบจะมองเห็นได้ชัดระดับใกล้เคียงกับร่างคน แต่สภาพที่ลอยอยู่เหนือเตียงเล็กน้อยนั้นทำให้ฉันรับรู้ได้ว่าเขาเป็นวิญญาณ ดูท่าเขาจะยึดเตียงนี้เป็นของตัวเองไปแล้ว 

บรรยากาศรอบเตียงนี้ดูจะเย็นลงชั่วขณะ สังเกตได้จากแขนของคุณพยาบาลที่ขนลุกเกรียว สีหน้าของเธอเห็นได้ชัดว่ากำลังหวาดกลัว ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขามองเห็นลุงคนนั้นหรือเปล่า แต่คุณหมอกลับยืนนิ่งๆ ราวกับไม่รู้สึกหวาดกลัว ใบหน้าเรียวสวยของเธอแสดงความไม่พอใจ พร้อมกับตวาดเสียงดังลั่น

“ลุงคะ ตายที่นี่ไม่ได้แปลว่าจะเป็นเจ้าของเตียงได้ คนอื่นเขาก็เสียภาษีเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ออกไป!”

ฉันนิ่งค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ชั่วขณะ ไม่ได้ตกใจที่หมอมองเห็นวิญญาณที่นั่งขวางอยู่บนเตียง แต่การที่หมอผู้หญิงท่าทางบอบบางกล้าตวาดใส่ผีแบบนี้ได้...โหดชะมัดเลย

ลุงทำหน้าไม่พอใจที่โดนหมอไล่แบบนั้น แต่สุดท้ายก็ยอมลุกออกจากเตียงช้าๆ โดยมีคุณหมอมองตามด้วยสายตาดุๆ และในที่สุดลุงก็ลอยหายไป

การที่คุณหมอไล่ผีมนุษย์ลุงได้อย่างไม่กลัวเกรงแบบนี้ก็แปลว่าคุณหมอมองเห็นผีน่ะสิ งั้นเธอก็น่าจะมองเห็นฉันด้วย ฉันจึงพยายามโบกไม้โบกมือให้คุณหมอสองสามครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล 

หลังจากที่เตียงว่าง ร่างของฉันก็ถูกย้ายให้ไปนอนบนเตียงนั้น ส่วนคุณหมอก็เดินออกไปคุยกับหมออีกคนที่เหมือนจะเป็นหมอประจำห้องไอซียู โดยไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจวิญญาณอย่างฉันเลยแม้แต่น้อย

“นี่ แม่หนู” เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นจากปลายเตียง 

คุณป้ากับเด็กวัยรุ่นที่ฉันเจอหน้าห้องไอซียูนี่นา

“หนูนั่นแหละ” ป้าเอ่ยซ้ำพร้อมกับชี้มาที่ฉันเมื่อเห็นว่าฉันกำลังทำหน้าเหลอหลา

นอกจากยมทูตแล้ว ป้าคนนี้ถือว่าเป็นผีตนที่สองที่คุยกับฉัน จะว่ากลัวก็กลัวไม่ใช่น้อยที่เห็นป้าลอยเข้ามาใกล้ช้าๆ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นปลายเท้าของตัวเองที่ลอยอยู่เหนือพื้นไม่ต่างกันก็สบายใจขึ้นมาหน่อย

“ป้าพูดกับหนู?” ฉันถามอีกครั้ง ยังรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินกับการคุยกับ ‘ผี’ สักเท่าไหร่

“ก็พี่น่ะสิ จะใครกันล่ะ” เด็กสาวที่ลอยตามหลังมาตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว

ฉันขยับไปด้านหลังเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเหมือนว่าทั้งสองจะเริ่มสังเกตเห็นว่าฉันมีอาการหวาดกลัว จึงหยุดชะงัก ก่อนที่ป้าจะเป็นคนพูดต่อ

“ไม่ต้องกลัวจ้ะ ป้าชื่อพิกุลนะ อยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว” ป้าพิกุลแนะนำตัวพร้อมส่งยิ้มที่ดูใจดีมาให้ฉัน

“หนูชื่อพิมพ์ ตอนตายอายุสิบเจ็ด อยู่นานน้อยกว่าป้านิดนึงค่ะ” เด็กสาวเอ่ยขึ้นบ้าง

“แล้วแม่หนูชื่ออะไรล่ะ” 

“วันจันทร์ค่ะ” ฉันตอบทั้งที่ยังกล้าๆ กลัวๆ

“พี่ไม่ต้องกลัวหรอก ผีจะไปหลอกผีทำไม ฮ่าๆ” พิมพ์เอ่ยต่อพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

มันก็ใช่ แต่ฉันแค่ยังไม่ชินเท่านั้น

“จะพยายามแล้วกันนะคะ” ฉันตอบพร้อมกับยิ้มแหยๆ ให้ป้าพิกุลและพิมพ์

“ว่าแต่พี่ทำไมแปลกจัง ร่างกายพี่ก็ยังอยู่ ทำไมกลายเป็นผีซะแล้วล่ะ” เด็กสาวถามด้วยความสงสัย เธอก้มไปดูใบหน้าของฉันใกล้ๆ ก่อนจะลอยวนรอบตัวคุณพยาบาลไปมาเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเจาะเลือดฉันอยู่

“เรื่องมันยาวน่ะ” 

ฉันถอนหายใจอีกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงกว่าๆ ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่เดินมาทำงานในสภาพดีๆ แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับนอนแบ็บอยู่ในห้องไอซียู แถมวิญญาณยังต้องออกมาเป็นผีเร่ร่อน

“มีคนอื่นเข้าร่างไปแล้วสินะ” ป้าพิกุลเอ่ยเสียงเครียด การที่เธอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ฉันตกใจอยู่ไม่น้อย แปลว่าป้าก็รู้เรื่องนี้งั้นสิ

“ป้ารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอคะ” ฉันหันขวับไปถามทันทีเมื่อป้าพูดจบ 

“แค่เคยได้ยินเขาเล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีจริงๆ” ป้าตอบพร้อมกับทำท่าถอนหายใจ ก็พวกเราเป็นผีนี่ ไม่มีลมหายใจจริงๆ หรอก

คุยกันได้ไม่นานคุณหมอก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับจ้องจอแสดงผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และซุบซิบอะไรกับพยาบาลสักอย่าง ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินจากไป

ก่อนหน้านี้ตอนมาห้องนี้ครั้งแรก คุณหมอทำเหมือนมองเห็นผีลุงที่นั่งอยู่บนเตียง แต่ตอนนี้กลับทำเหมือนไม่เห็นเราทั้งสามคน ท่าทางของคุณหมอทำให้ฉันแปลกใจมาก

“ป้าคะ สรุปว่าคนมองเห็นวิญญาณได้ไหมคะ” ฉันถามป้าพิกุลขณะที่สายตายังมองตามคุณหมอไป ป้าอยู่มานานน่าจะรู้อะไรบ้างไม่มากก็น้อย

“ก็แล้วแต่ว่าวิญญาณอยากให้เห็นรึเปล่า” 

“ยังไงนะคะ”

“ก็ถ้าเราอยากให้เขาเห็นเรา เขาก็จะเห็น อย่างเช่นลุงที่เฝ้าเตียงหนูเมื่อกี้ไง แกชอบแสดงตัวให้คนเห็น คนก็เห็นแกอยู่บ่อยๆ” ป้าตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ พร้อมกับนั่งลงข้างเตียงของฉัน

“แปลว่าถ้าหนูอยากให้ใครเห็น เขาก็จะเห็นใช่มั้ยคะ” คำบอกเล่าของป้าทำให้ฉันเริ่มมีความหวัง อย่างน้อยฉันต้องไปบอกพี่เอยให้ไปรับลูกเย็นนี้ และที่สำคัญ เรื่องนี้จะให้พ่อกับแม่ของฉันรู้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นท่านทั้งสองคงช็อกแน่ๆ

“เรื่องแบบนี้มันก็ต้องใช้เวลา ต้องฝึกน่ะ เรียกง่ายๆ ว่ายิ่งหลอกคนบ่อยๆ ก็ยิ่งเก่งขึ้น” ป้าพิกุลพูดด้วยน้ำเสียงขบขันพร้อมกับหลิ่วตาให้พิมพ์

จะว่าไปพวกผีเขาคิดยังไงกันนะถึงได้หลอกคน หรือว่าจริงๆ พวกเขาแค่อยากมีตัวตน เลยต้องพยายามปรากฏตัวให้ใครสักคนเห็น

“ฝึกยังไงเหรอคะ” 

ฉันจำได้ว่ายมทูตบอกฉันตั้งแต่แรกเจอว่า วิญญาณที่ออกจากร่างวันแรกยังไม่มีความสามารถทำให้ใครมองเห็นได้ อย่างมากก็เป็นแค่เงาเท่านั้น แต่ฉันจำเป็นต้องติดต่อกับพี่เอย แล้วถ้าทำให้พี่เอยมองเห็นไม่ได้ ใครจะไปรับวันสุข

“นี่คิดจะหลอกคนตั้งแต่วันแรกที่เป็นผีเลยรึแม่หนู” ป้าพิกุลย่นคิ้ว มองหน้าฉันด้วยสีหน้าแปลกใจ “จะไปแกล้งใครล่ะ”

“ไม่ได้แกล้ง ป้า มันจำเป็น” ฉันตอบเสียงอ่อยเมื่อคิดถึงหน้าลูกที่ป่านนี้คงนอนกลางวันอยู่ที่โรงเรียน พอตื่นมาวันสุขก็จะมานั่งรอจนกว่าฉันจะมารับตอนบ่ายสาม

“เฮ้อ มันก็อธิบายยาก มันเหมือนเป็นการควบคุมจิตน่ะ ที่เราต้องกำหนดว่าเราอยากให้เขาเห็น ต้องเคยสักครั้งแล้วจะรู้เอง” 

คำตอบของป้าดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้ฉันเข้าใจอะไรมากขึ้นเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยก็ทำให้ฉันได้รู้ว่ามันมีวิธีที่จะทำให้คนมองเห็น และฉันก็จะพยายามต่อไป

วูบ 

ระหว่างที่ฉันกำลังใช้ความคิดก็รู้สึกเหมือนมีเงาดำๆ วิ่งผ่านหน้าไป เมื่อเงยหน้ามองป้าพิกุลและพิมพ์ก็พบว่าทั้งสองมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแห้งๆ ให้ฉัน

“เขามาแล้ว ป้าไปก่อนนะ” จู่ๆ ป้าพิกุลก็พูดอะไรแปลกๆ พร้อมกับโบกมือลาฉัน

“เจอกันใหม่นะพี่ เราไม่ค่อยอยากอยู่กับยมทูตเท่าไหร่” พิมพ์เอ่ยบ้างก่อนที่ทั้งสองคนจะหายตัวไป

ฉันหันไปมองรอบกายทันทีเมื่อได้ยินคำว่ายมทูต แปลว่าเขากลับมาแล้ว และในที่สุดก็เห็นว่าเขายืนอยู่ข้างหลังฉัน กำลังจ้องใบหน้าของร่างฉันที่เหมือนคนหลับสนิท

“นี่ ท่านยมทูต...”

“ยังเหลือวิญญาณต้องเก็บอีกสี่” ยมทูตเอ่ยขึ้นเมื่อฉันหันไปมองเขา สายตาเขายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของฉัน

“แปลว่ามีผู้ต้องสงสัยสี่คน เอ๊ย สี่วิญญาณ”

“ใช่” เขาตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายพร้อมกับถอนหายใจ

“งั้นพอเก็บที่เหลืออีกสี่คนก็รู้แล้วสิว่าใครเข้าร่างฉัน”

“มันง่ายแบบนั้นก็ดีสิ ตอนนี้ทั้งสี่คนหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ต้องตามหาทีละคน”

“นี่การตามเก็บวิญญาณมันยากขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย” ฉันโพล่งขึ้น ไม่เคยรู้มาก่อน นึกว่าตายแล้วยมทูตมารับก็จบเลย

ยมทูตยิ้มมุมปากน้อยๆ พร้อมกับส่งสายตาเย็นชามาให้ฉัน ก่อนจะตอบคำถามที่ฉันเพิ่งถามไป “ใช่”

ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งแปลว่าฉันต้องอยู่ในสภาพนี้นานขึ้นไปอีกน่ะสิ ฉันต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ยังไงวันนี้ก็ต้องให้พี่เอยไปรับวันสุขให้ได้

“นี่ ท่านยมทูต ช่วยอะไรหน่อยได้มั้ย” ฉันเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับสังเกตปฏิกิริยาของเขาไปด้วย

“อะไร” 

“ลูกฉันอยู่ที่โรงเรียน ยังไม่มีคนไปรับ...” 

“จะบอกให้ผมไปรับลูกคุณแทนรึไง หน้าที่ยมทูตคือรับวิญญาณนะ ไม่ใช่รับส่งเด็กไปโรงเรียน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงขยาดพร้อมกับทำหน้าเหยเก

“เปล่า คือฉันกำลังหาวิธีบอกให้พ่อของเขาไปรับน่ะ”

“แล้วไงต่อ” ยมทูตมองฉันด้วยสายตาไม่ไว้ใจ ราวกับกลัวว่าฉันจะบอกให้เขาไปรับลูกแทนอีก

“มีวิธีไหนไหมที่ฉันจะบอกเขาหรือคุยกับเขาได้”

ยมทูตมองหน้าฉันด้วยสายตาที่ฉันอ่านไม่ออก สีหน้าของเขาเหมือนกำลังคิดวิเคราะห์อะไรบางอย่าง ไม่นานริมฝีปากบางนั้นก็เผยยิ้มน้อยๆ พร้อมกับมองฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“ช่วยก็ได้” ในที่สุดเขาก็เอ่ยประโยคที่ทำให้ฉันต้องยิ้มกว้างอย่างดีใจ

“ขอบคุณมากนะคะ” 

แต่ประโยคถัดมาของเขาก็ทำให้ฉันต้องหุบยิ้มลงหน่อยหนึ่ง

“แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

“ข้อแลกเปลี่ยน...”

“ผมจะบอกวิธีที่ทำให้คุณติดต่อกับคนได้ แต่คุณต้องช่วยผมตามหาวิญญาณทั้งหมด”

ฟังดูเหมือนง่ายนะ แต่เขาไม่คิดบ้างเหรอว่าวิญญาณตัวเล็กๆ แบบฉันจะไปทำอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน กะอีแค่ไปรับลูกที่โรงเรียนยังทำไม่ได้เลย

“แต่ว่า...”

“งั้นก็ปล่อยหนูน้อยน่าสงสารคนนั้นรอต่อไป” เขาบอกอย่างไม่ไยดี “ที่จริงนอนรอแม่ที่โรงเรียนจนถึงเช้าอีกวันก็ไม่ใช่เรื่องแย่”

แค่นึกภาพตามว่าวันสุขต้องอยู่ที่โรงเรียนจนเย็นค่ำรอคอยให้ฉันไปรับ ก็รู้แล้วว่าเธอจะต้องรู้สึกโดดเดี่ยวแค่ไหน ใบหน้าที่ไม่รู้สึกรู้สาของคนตรงหน้าทำให้ฉันมันเขี้ยว ถ้าไม่ติดว่าเป็นยมทูตนะ ฉันจะ...ฉันจะ...ฮึ่มมม

“เอาไง”

“รบกวนด้วยค่ะ”

“เอาเป็นว่าคุณตกลงแล้วนะ ถ้าคุณผิดสัญญา...ผมจะพาคุณไปส่งที่ประตูวิญญาณ” ยมทูตเอ่ยเสียงกระซิบจนฉันเสียวสันหลังวาบ รู้สึกเหมือนเพิ่งทำสัญญากับซาตานก็ไม่ปาน

“แล้วฉันต้องทำยังไง”

“อย่างที่บอก วันนี้คุณยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำให้เขามองเห็นหรือได้ยินเสียงคุณ เพราะฉะนั้นคุณต้องใช้วิธี...”

“วิธี...” ฉันเอ่ยตามแบบลุ้นๆ การเว้นจังหวะของยมทูตทำให้ฉันตื่นเต้น ถ้าอยู่ในร่าง หัวใจคงเต้นตึ้กตั้กไม่เบาเลยละ 

“เข้าฝัน”

“...”

เมื่อได้ฟังคำตอบของยมทูต สายตาฉันก็เหลือบไปมองนาฬิกาทันที เข็มยาวของนาฬิกาชี้ที่เลขสิบสองพอดีเป๊ะ ใช่ ตอนนี้คือเวลาเที่ยง แล้วมนุษย์หน้าไหนล่ะมันจะนอนให้ฉันเข้าฝันตอนเที่ยง 

คิดได้ดังนั้นฉันก็หรี่ตาลง ทำหน้าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด นี่ฉันทำสัญญาไร้ประโยชน์อะไรลงไปเนี่ย และดูเหมือนยมทูตจะอ่านสีหน้าของฉันออก จึงเอ่ยต่อด้วยประโยคที่ให้ความหวังฉันอีกครั้ง

“ก็ลองไปดู ถ้าเขาไม่ได้นอนอยู่ ผมจะช่วยคุณเอง”

.

ไม่ทันรู้ตัวฉันก็มาหยุดยืนอยู่ที่คอนโดสูงเสียดฟ้าในย่านคนมีเงิน ที่นี่ช่างดูหรูหราทั้งภายในและภายนอก ฉันเคยมาที่คอนโดพี่เอยหนึ่งครั้ง เมื่อห้าปีก่อน...ก่อนที่วันสุขจะเกิด นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฉันได้มาที่นี่

ชั้นล่างสุดของคอนโดมีการตกแต่งใหม่ ทำให้ดูสวยงามทันสมัยและดูใหม่อยู่เสมอ ห้องของพี่เอยอยู่ชั้นยี่สิบห้า ที่จำได้ก็เพราะเขาเคยเขียนที่อยู่ให้ เอาไว้ใช้เกี่ยวกับการทำเอกสารๆ ต่างๆ ของวันสุข

การจะลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วไปที่ห้องของเขาดูจะน่าหวาดเสียวเกินไปหน่อย เราจึงเลือกวิธีขึ้นลิฟต์แทน 

เมื่อไปถึงหน้าห้องพี่เอย แวบแรกฉันเกือบจะกดกริ่งหน้าประตูก่อน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฉันเป็นผี ไม่ใช่คน มือที่กำลังจะกดกริ่งนั้นเลยต้องเก็บกลับเข้ามา และยมทูตก็ได้พาฉันทำเรื่องน่าตื่นเต้นเป็นครั้งแรก นั่นคือเดินทะลุกำแพง

ห้องของพี่เอยตกแต่งด้วยโทนสีเทาเรียบๆ ข้าวของวางเป็นระเบียบทุกชิ้น เพราะเขาจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกวัน บรรยากาศในห้องค่อนข้างเงียบสงบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัย หรือว่าเขาไม่อยู่ห้องกันนะ

ยมทูตส่งสายตาไปที่ประตูห้องนอนเป็นสัญญาณให้ฉันนำเขาเข้าไปก่อน เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องแทรกกายผ่านผนังสีเทาเข้าไปในห้องนั้น แล้วก็ได้พบกับร่างของใครบางคนที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่บนที่นอนสีเทาเข้มนั้น ร่างกายช่วงบนกำยำเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ผิวกายขาวละเอียด ท่อนบนของเขาไร้การปกปิด ส่วนท่อนล่างมีเพียงผ้าห่มคลุมไว้ในลักษณะหมิ่นเหม่ 

ให้ตายสิ เขานอนไม่ใส่เสื้อผ้า!

แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในกายหยาบ แต่ฉันกลับรู้สึกว่าหน้าของฉันแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อยมทูตลอยตามเข้ามา ฉันจึงรีบตรงเข้าไปหาเขาเพื่อกลบเกลื่อนความคิดบ้าๆ ในหัว

“ฉันจะเข้าฝันเขาได้ยังไง”

“ไปอยู่ใกล้ๆ เขาสิ” ยมทูตตอบเสียงเรียบ ฉันจึงขยับเข้าไปใกล้พี่เอยอีกนิดหนึ่ง “ใกล้อีก ใกล้กว่านั้น ข้างๆ หูเลย”

“แล้วไงต่อ” ฉันถามหลังจากขยับไปใกล้พี่เอยจนแทบจะสิงร่างเขา ผิวหน้าละเอียดละมุนทำให้ฉันเผลอจ้องมองเขาโดยไม่รู้ตัว จมูกโด่งเป็นสันนั้นมันช่างน่าอิจฉายิ่งนัก

“กระซิบ”

“ฮะ!?”

“อยากบอกอะไรเขาก็กระซิบข้างหู วนไปเรื่อยๆ” ยมทูตตอบด้วยสีหน้ารำคาญ “แล้วก็อยู่กับเขาไปนะ จะไปทำงาน ได้เบาะแสเพิ่มแล้วจะมาหาใหม่”

ไม่ทันที่ฉันจะได้ทักท้วงอะไร ยมทูตก็หายไปอีกครั้ง เหลือเพียงฉันกับพี่เอยอยู่กันสองต่อสองในห้องที่มีความทรงจำของฉันที่ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่นัก

“พี่เอย” ฉันกระซิบข้างหูเขาอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าเขาจะตื่น

“พี่เอยไปรับลูกให้ทีค่ะ”

“พี่เอยคะ ไปรับลูกให้ทีค่ะ”

“พี่เอยคะ...”

“...ไปรับลูกให้ทีค่ะ”

“พี่เอย...ไปรับลูก...”

End Wanjun’s talk 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น