5

ผู้หญิงผมยาวสวมชุดกระโปรงลายดอก

บทที่ ๕ 

ผู้หญิงผมยาวสวมชุดกระโปรงลายดอก

 

Wanjun’s talk

“วันสุขอยากกินนมมะม้า” 

เสียงงัวเงียของวันสุขทำให้ฉันรู้สึกตื้อในอก คืนก่อนเธอยังนอนกินนมในอ้อมอกฉันอยู่เลย อย่างที่บอกว่าเราอยู่ด้วยกันตลอด ทำให้ตอนนี้วันสุขก็ยังเลิกนมแม่ไม่ได้ คืนนี้เป็นคืนแรกที่เราไม่ได้นอนด้วยกัน เป็นคืนแรกที่วันสุขจะไม่ได้กินนม 

หนูต้องผ่านไปให้ได้นะ

แต่แล้วอาการตื้อในอกฉันก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อฉันหันไปมองหน้าพี่เอย และพบว่าตอนนี้แก้มเขาแดงเถือกจนลามไปถึงหู คนบ้านั่นคิดอะไรอยู่น่ะ ถึงได้ทำหน้าแบบนั้น

“ผมว่าเขาคิดไปไกลแล้ว” เสียงของเด็กหนุ่มที่ลอยอยู่ข้างๆ ดังขึ้น

เขาชื่อ ‘แป๊ก’ เป็นเด็กวัยรุ่น อายุสิบห้าปี เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่สี่แยกใกล้ๆ คอนโดพี่เอย เขาเป็นวิญญาณวนเวียนอยู่แถวนี้มาได้ปีกว่าแล้ว เรารู้จักกันช่วงหัวค่ำ เขาเป็นเด็กน่ารัก พูดเก่ง ที่สำคัญ เขาหลอกคนเก่งมากๆ การที่พี่เอยได้เห็นรูปผ้าห่มของวันสุขในโทรศัพท์ก็มาจากความช่วยเหลือของเขานั่นเอง

แป๊กมองพี่เอยพร้อมกับหัวเราะท่าทางของเขา ดูซิ ผีเด็กมันยังดูออก 

“บ้า คนบ้า” ฉันก่นด่าพี่เอยเสียงดังลั่น แน่นอนว่ามีแค่ฉันกับแป๊กที่ได้ยิน

“ปะป๊าไม่มีน้ำนม กินนมกล่องแทนได้มั้ย” 

เมื่อพี่เอยยื่นข้อเสนอใหม่ วันสุขก็ทำหน้าละห้อยพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ ท่าทางผิดหวังของเด็กน้อยดึงความสงสารจากคนเป็นพ่อได้พอสมควร จนเขาต้องเดินเข้าไปหาและอุ้มเธอขึ้นมา

“ปะป๊าจะเล่านิทานให้ฟัง แล้วพานอนแบบไวกิ้งนะ” พี่เอยเอ่ยต่อพร้อมกับพาดลำตัวของวันสุขไว้บนบ่า เด็กน้อยที่สะลึมสะลือก็เริ่มตาปรืออีกครั้งเมื่อได้รับสัมผัสอุ่นๆ และการแกว่งตัวไปมา

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อว่าหนูน้อยหมวกแดง หนูน้อยหมวกแดงอาศัยอยู่กับปะป๊า...มะม้า อยู่มาวันหนึ่ง...วันหนึ่ง...”

“วันหนึ่งแล้วไงต่อคะปะป๊า” เด็กหญิงที่กำลังจะหลับลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อพบว่านิทานของเธอสะดุด

สงสัยพี่เอยจะแผ่นติด เขาทำหน้าเหมือนกำลังคิดเรื่องราวอยู่สักพัก ก่อนจะเล่าต่อ ระหว่างนั้นเขาก็เดินโยกไปมาพร้อมกับลูบหลังวันสุขไปด้วยเบาๆ

“อยู่มาวันหนึ่ง หนูน้อยหมวกแดงไปตลาดกับมะม้า ไปเจอฟักทองลูกหนึ่ง หนูน้อยหมวกแดงกับมะม้าก็เลยซื้อฟักทองกลับมา เมื่อมาถึงบ้าน ปะป๊าผู้ชื่นชอบฟักทองนึ่งเป็นชีวิตจิตใจก็เลยขอให้หนูน้อยหมวกแดงกับมะม้านึ่งฟักทองให้กิน หนูน้อยหมวกแดงเลยบอกว่าจะนึ่งให้ก็ได้ แต่ต้องใส่สังขยาลงไปข้างในลูกฟักทองด้วย ปะป๊าก็ต้องยอม จากนั้นหนูน้อยหมวกแดงกับมะม้าก็เลยช่วยกันทำฟักทองนึ่งใส่สังขยา ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดฟักทองนึ่งสังขยาก็เสร็จ แล้วทั้งสามคนก็กินฟักทองนึ่งสังขยาด้วยกันอย่างมีความสุข...”

“ครอก...”

วันสุขซึ่งนอนพาดไหล่พี่เอยตอนนี้หลับตาพริ้ม ที่จริงเธอเริ่มคล้อยหลับตั้งแต่พี่เอยกำลังแต่งเรื่องแล้ว เสียงกรนเบาๆ บ่งบอกว่าตอนนี้เธอหลับสนิทเป็นที่เรียบร้อย นิทานหนูน้อยหมวกแดงเวอร์ชันพิสดารของพี่เอย...อย่างน้อยก็นับว่าได้ผล

นิทานอะไรของเฮียแกเนี่ย” แป๊กเอ่ยขึ้นพร้อมกับทำหน้าเหลอเมื่อเจอหนูน้อยหมวกแดงภาคฟักทองนึ่งสังขยา

“นิทานชวนชิมละมั้ง” ฉันตอบขำๆ จะว่าไปนี่เป็นหนูน้อยหมวกแดงในแบบที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน แปลกแหวกแนวและครีเอตสุดๆ

“แต่ลูกเจ้ก็ยังอุตส่าห์หลับนะ สงสัยนมเจ้จะแพ้ฟักทองนึ่งสังขยาแล้วละ” แป๊กพูดไปขำไปพร้อมกับทำหน้าทะเล้น

ไอ้เด็กเวรนี่!

น้อยๆ หน่อย นั่นมันก็แค่ชั่วคราว” ไม่รู้ทำไมพอได้รู้ว่ามีอย่างอื่นจะมาแทนที่นมแม่ของฉัน ฉันก็ดันรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาดื้อๆ

ที่พี่เอยเจอมันแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เลี้ยงเด็กไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หรอกนะ” ฉันเชิดหน้าใส่พี่เอยที่ตอนนี้กำลังวางวันสุขลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา

ท่าทางการวางแบบทะนุถนอมสุดๆ เพราะกลัวลูกจะตื่นทำให้ฉันอดลุ้นไปด้วยไม่ได้ รู้อะไรไหม เด็กน่ะเขามีเซนเซอร์นะ หลังแตะพื้นปุ๊บลืมตาปั๊บ แต่ครั้งนี้วันสุขคงจะง่วงหนักมากจริงๆ ทันทีที่ตัวเธอสัมผัสที่นอน ร่างเล็กก็นอนขดเอาผ้าห่มมาม้วนตัวเป็นหนอนสีเหลืองๆ

หนอนน้อยของมะม้า...

หลังจากที่พี่เอยส่งวันสุขเข้านอน เขาก็ต่อสายหาใครบางคน เดาว่าคงเป็นน้องชายของเขาละมั้ง

“วันสุขหลับแล้ว มึงลงมาเลย” พี่เอยคุยกับคนในสายสั้นๆ ก่อนจะวางสายอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ไปตรงไปที่ตู้เย็น หยิบเบียร์มาหนึ่งกระป๋อง แล้วไปนั่งจิบที่โซฟาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน

สงสารเขานะเจ้ คงเหนื่อยน่าดู” แป๊กพูดพร้อมกับทำหน้าเห็นใจพี่เอย แต่กระนั้นมันก็ยังไปวนเวียนนั่งเล่นอยู่ข้างๆ พี่เอยโดยที่เขาไม่รู้ตัว การกระทำไม่ได้ดูเห็นใจเขาเลยสักนิด

เหอะ ฉันเลี้ยงลูกคนเดียวมาตั้งสี่ปี ไม่รวมตอนท้อง ยังไม่เห็นจะรู้สึกเหนื่อยอะไรเลย แค่นี้ทำท่าเหนื่อยซะแล้ว จะรอดไหมนะพี่เอย

แล้วเมื่อไหร่ฉันจะทำให้คนเห็นตัวฉันได้ล่ะ ฉันจะได้ช่วยเขา” ฉันถามอย่างร้อนใจ วันนี้พยายามมาทั้งวันแล้ว พี่เอยก็ไม่เห็นฉันเสียที อย่างมากก็ทำได้แค่ทำให้เขาขนลุกเท่านั้น

“ใจเย็นๆ สิ ค่อยเป็นค่อยไป แต่เชื่อมือไอ้แป๊กคนนี้ได้ เจ้ไปถามดูเลยตรงสี่แยก มีใครไม่เคยโดนผมหลอกบ้าง” แป๊กยืดอกพร้อมกับเอามือทำท่าตบอกเบาๆ ด้วยความภาคภูมิใจ...มันใช่เรื่องต้องอวดมั้ย

แต่เอาเถอะ ตอนนี้ฉันต้องพึ่งความสามารถของเขา

“เออ เก่ง ช่วยสอนลูกศิษย์คนนี้ด้วยเถอะเจ้าค่ะ” ฉันพยายามจะรับมุกตามด้วยการทำท่าคารวะเขา 

จะทำให้พี่เอยเห็นได้ก็ต้องหลอกคนเป็น จะหลอกคนเป็นก็ต้องให้ผีมืออาชีพช่วยสอน

 

ความหรรษาอย่างหนึ่งของการเป็นวิญญาณก็คือการได้ลอยไปลอยมา อยากนั่งตรงไหนก็นั่ง อยากอยู่ใกล้ใครแค่ไหนก็ได้ และดูเหมือนว่าแป๊กจะชอบเบียร์เป็นพิเศษ เขาพยายามจะวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กระป๋องเบียร์ของพี่เอยอยู่ตลอด

“นี่ ชอบมากหรือไงไอ้น้ำขมๆ นั่นน่ะ” ฉันถามเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มดูจะสนใจเครื่องดื่มนั้นเหลือเกิน

“ความฝันวัยเด็กของเด็กผู้ชายน่ะเจ้ ก่อนตายยังไม่เคยได้ชิมเลย” แป๊กตอบเสียงเศร้า

เพิ่งรู้ว่าเด็กผู้ชายก็มีความฝันอะไรแปลกๆ แบบนี้เหมือนกัน

ไม่นานนักเสียงออดหน้าประตูห้องของพี่เอยก็ดังขึ้น ฉันกับแป๊กจึงมองอย่างสนใจว่าใครกำลังจะมา แต่ที่จริงก็เดาได้ไม่อยากนัก คงจะเป็นคุณอาย น้องของพี่เอยนั่นแหละ และเมื่อประตูเปิดออกก็เป็นตามคาด ร่างสูงกำยำเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสวมเสื้อกล้ามแขนเว้า เผยให้เห็นกล้ามวับๆ แวมๆ ดูเซ็กซี่ไม่หยอก สมแล้วที่เป็นดาราชายอันดับหนึ่งตอนนี้

“ลูกเฮียหลับแล้วใช่ปะ” นั่นเป็นคำทักทายที่เขาใช้ทักพี่ชายตัวเองอีกครั้ง

“อือ...กว่าจะหลับ แทบตาย” พี่เอยตอบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มึงเป็นไรว่ามา ทำหน้าเครียด เครียดเรื่องลูกกู?”

“ลูกเฮียอะไรไม่เท่าไหร่” คุณอายตอบพร้อมกับเหลือบมองซ้ายมองขวาราวกับหวาดระแวงอะไรสักอย่าง

“แล้วอะไรล่ะ” พี่เอยเริ่มทำน้ำเสียงหงุดหงิดกับท่าทางที่ดูน่าสับสนของน้องชายตัวเอง

“ผมว่าอะพาร์ตเมนต์ที่เราไปเมื่อกี้มันมีอะไรแปลกๆ”

ท่าทางของคุณอายทำให้ฉันเริ่มสนใจ ที่บ้านของฉันมันมีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ ทำไมเขาถึงได้ดูตื่นตระหนกแบบนั้น

“ผมเห็นเงาแปลกๆ ตามหลังเฮีย โอ๊ย! เชี่ย หลอน พูดแล้วขนลุก” คุณอายเล่าด้วยสีหน้าหวาดกลัวพร้อมกับลูบแขนตัวเองไปด้วย

“ยังไงวะ”

“ไม่รู้เฮีย มันเป็นเงารางๆ เห็นตั้งแต่เฮียเดินขึ้นบันไดไปแล้ว”  

“ไฟมันสลัว ไม่มีอะไรหรอก มึงอะคิดมาก” พี่เอยทำหน้าไม่เชื่อพร้อมกับเบะปาก “กูไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”

เอาอีกแล้ว พี่เอยพูดไม่เพราะ เขาพูดมึงกูตลอด แถมยังพูดต่อหน้าวันสุข ไม่รู้หรือไงว่าลูกจะพูดตาม และนั่นเป็นสาเหตุให้ฉันพยายามบีบคอเขาตลอดเวลาที่นั่งรถ แต่เขาก็แค่รู้สึกขนลุกเท่านั้น บางทีคืนนี้ฉันอาจจะต้องเข้าฝันเขาอีกรอบ

“อะไรวะ อุตส่าห์เตือน ไม่เชื่อก็เรื่องของมึงละเฮีย เพราะถ้าเป็นผีเขาก็ตามมึง ไม่ใช่กู” คุณอายตอบกลับด้วยภาษาระดับเดียวกัน ก่อนจะคว้าเบียร์กระป๋องที่พี่เอยจิบมายกดื่มเสียเอง

พี่น้องคู่นี้มันน่าบีบคอทั้งคู่!

“หรือว่าเขามองเห็นเจ้” แป๊กกระซิบ ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะกระซิบทำไม ในเมื่อต่อให้ตะโกนดังแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน แต่ข้อสังเกตของแป๊กก็น่าสนใจไม่น้อย ถ้าคุณอายเห็นฉันจริง นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่ดี

“นั่นสิ แล้วเราจะรู้ได้ไง” ฉันถามกลับ ฉันมันก็แค่ผีฝึกหัด เป็นผียังไม่ทันครบยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ จะไปรู้ได้ไงว่าคนเห็นตัวเองหรือเปล่า

“ค่อยว่ากัน ฟังพวกเขาต่อดีกว่า” แป๊กเอ่ยราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจ ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปทางพี่เอยอีกครั้ง

การกระทำของเราสองคนตอนนี้ทำให้ฉันนึกถึงตอนที่ตัวเองยังเป็นคนปกติ...จะมีผีมาแอบฟังฉันคุยหรือเปล่านะ

“ว่าแต่ลูกเฮียนี่อะไรยังไง เล่ามา” เมื่อเห็นว่าพี่เอยไม่มีท่าทีจะเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ คุณอายจึงเปลี่ยนมาคุยเรื่องของวันสุขแทน

“ก็...กูทำแม่เขาท้องเมื่อสี่ปีก่อน” 

คำพูดของพี่เอยทำให้แป๊กหันมามองฉันด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจฟังมนุษย์สองคนนั้นต่อโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

“พลาด?”

“อืม ทำนองนั้น”

คำว่าพลาดของพี่เอยทำให้ฉันรู้สึกเจ็บจี๊ดแปลกๆ ฉันกับลูกก็แค่ข้อผิดพลาดหนึ่งในชีวิตเขาสินะ

“แล้วไงต่อ” คนเป็นน้องถามอย่างใจเย็น 

“เขาไม่ให้กูรับผิดชอบ เลยได้แค่ส่งเงินให้เขาเดือนละครั้ง” พูดจบพี่เอยก็เดินไปที่ตู้เย็นอีกครั้งแล้วหยิบเบียร์ออกมาสี่กระป๋อง เขาวางมันลงที่โต๊ะ ก่อนจะเปิดกระป๋องใหม่และกระดกเข้าไปอึกใหญ่

เพราะแอลกอฮอล์นี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของข้อผิดพลาดของเราทั้งสองคน หลังจากวันนั้นฉันไม่คิดจะแตะมันอีกเลย

“แล้วตอนนี้อะ”

“แม่เขาป่วยหนัก ไม่มีคนดูแลวันสุข” พี่เอยตอบพร้อมกับมองห้องนอนที่เปิดประตูทิ้งไว้ ร่างของวันสุขที่นอนขดตอนนี้เปลี่ยนเป็นนอนแผ่หลาก่ายผ้าห่มสีเหลืองแทน 

“เฮียเลยไปรับลูกมา?”

“ก็เป็นสิ่งที่กูสมควรทำปะวะ” 

“ก็ดีแล้ว”

แม้ว่าจะตั้งแง่กับพี่เอยแค่ไหน แต่ฉันก็ยังรู้สึกขอบคุณเขาอยู่ดีที่ทั้งไปรับและดูแลวันสุขได้เป็นอย่าง...เอ่อ ก็ดีระดับหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็นึกถึงลูก

หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยเรื่องสัพเพเหระพร้อมกับจิบเบียร์ไปด้วย ไม่ได้เอ่ยอะไรถึงวันสุขอีก ฉันที่ต้องนั่งรอยมทูตอยู่เลยต้องนั่งฟังพวกเขาไปด้วยโดยปริยาย จนเกือบตีสอง คุณอายถึงได้บอกลาและขอตัวกลับ 

“เจ้ได้เวลาแล้ว” แป๊กเอ่ยเมื่อเห็นว่าคุณอายกำลังจะออกจากห้อง

“เวลาอะไร”

“ฝึกวิชาหลอกคน” แป๊กตอบพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์

“หลอกคน...ยังไง” ฉันถามซ้ำอย่างไม่เข้าใจ แล้วทำไมเขาต้องจ้องคุณอายแบบนั้น

“เจ้...คนที่กลัวนี่แหละ ที่เราจะทำให้เขาเห็นได้ง่ายที่สุด” แป๊กพูดอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลอยไปรอฉันที่ประตู

“อย่าบอกนะว่า...”

End Wanjun’s talk

 

Ai’s talk

ผมเดินกลับห้องด้วยอาการมึนๆ นิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าเบียร์สี่กระป๋องจะทำให้ผมมีอาการได้ สงสัยเพราะไม่ได้ดื่มนาน การทำงานหนักทำให้ผมต้องรักสุขภาพมากขึ้น หลายปีแล้วที่ผมหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ถ้าเฮียไม่ชวนผมคงไม่คิดจะดื่มมัน

สีหน้าของเฮียเอยบ่งบอกความเครียดได้อย่างชัดเจน หนุ่มโสดที่ไม่เคยมีใครอย่างเฮียจู่ๆ ก็มีลูกขึ้นมาแบบนี้ เฮียคงต้องปรับตัวอีกเยอะ ไม่อยากจะนึกเลยว่าสาวๆ ที่มาตามตื๊อเฮียจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าเฮียมีลูกแล้ว

ห้องของผมอยู่ที่ชั้นสามสิบห้า ในขณะที่ห้องเฮียเอยอยู่ชั้นยี่สิบห้า แถมยังเป็นห้องพิเศษที่อยู่ริมสุด มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ข้อเสียคืออยู่ไกลจากลิฟต์กว่าห้องอื่นๆ อาการมึนหัวทำให้ผมรู้สึกว่าการเดินกลับห้องมันไกลเป็นพิเศษ 

ทางเดินสองข้างทางนั้นเป็นประตูห้องและฝาผนังที่ตกแต่งด้วยโทนสีทึมๆ ในเวลาตีสองกว่าแบบนี้บรรยากาศเลยยิ่งวังเวงไปอีก ความเงียบสงบยามค่ำคืนกับแสงไฟสลัวๆ ช่างเป็นใจให้ผมนึกถึงเรื่องราวตอนอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์สยองขวัญนั่น ผมจำได้ติดตาเลย ตอนที่เฮียเอยลงรถไปกับลูก มีเงาจางๆ เหมือนร่างใครสักคนเดินตามเฮียไปติดๆ

แต่ก็อย่างที่เฮียว่า หลอดไฟของอะพาร์ตเมนต์นั้นดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่พอสมควร บ้างก็ดับ บ้างก็ไฟสลัว บางหลอดก็ติดๆ ดับๆ เลยอาจจะทำให้ผมตาลายและมองอะไรผิดได้ 

ผีไม่มีจริงหรอก

ผมบอกตัวเองซ้ำแบบนั้นตั้งแต่เดินออกมาจากห้องของเฮีย ผมพยายามคิดถึงเรื่องที่สดใส ให้ตายสิ ช่วงนี้ชีวิตผมไม่มีเรื่องสดใสเอาซะเลย มีแต่งาน งาน และงาน ละครใหม่ที่เพิ่งออนแอร์...ก็ดันเป็นเรื่องผี

“อาย มึงใจเย็นๆ ใกล้ถึงลิฟต์แล้ว” ผมคุยกับตัวเองเพื่อไม่ให้รู้สึกเงียบเหงาเกินไปนัก 

“ใจเย็นๆ” 

เสียงสะท้อนดังกลับมาราวกับมีคนจงใจพูดตามผม แต่เสียงมันเบามากจนผิดคิดว่าผมน่าจะหูแว่ว ใช่ ผมหูแว่วแน่ๆ ถ้ารู้ว่าดื่มเบียร์แล้วจะเป็นแบบนี้...รู้งี้ดื่มให้เมาไปเลยดีกว่า

กึก...กึก...กึก...

อาการหูแว่วของผมยังคงไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก เมื่อผมได้ยินเหมือนเสียงฝีเท้าเดินไล่หลังมา เป็นเสียงเหมือนรองเท้าส้นเข็มกระทบพื้น ไม่แน่ อาจจะมีใครเพิ่งกลับจากผับตอนนี้ก็ได้

แต่ที่เดินผ่านมาก็ไม่เห็นใครนี่

ผมหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่พบมีเพียงทางเดินที่มีแสงไฟสลัว ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต คำพูดของเฮียเอยที่เพิ่งคุยกันดังก้องขึ้นในหัวผมอีกครั้ง

‘ไม่มีอะไรหรอก มึงอะคิดมาก’

“ใช่เลย มึงอะคิดมาก” ผมด่าตัวเองแบบออกเสียงอีกครั้งเพื่อลดอาการหวั่นไหวที่เกิดขึ้นภายในใจ

ผมพยายามคิดถึงเรื่องอื่น วันสุขลูกเฮียเอยก็น่ารักดีนะ แก้มป่องๆ ผมเปียสองข้าง ผิวขาว หน้าเหมือนเฮียเลย อันที่จริงไม่ต้องบอกก็รู้ สำเนาถูกต้องยิ่งกว่าก๊อปวาง หลานน้อยของผม ถ้าแม่รู้เข้า ดีใจบ้านแตกแน่ๆ

เด็กผู้หญิงไว้ผมยาวก็น่ารักดีนะ...

ทั้งที่พยายามคิดเรื่องบวกๆ แต่พอพูดถึงเด็กผู้หญิงผมยาว ภาพในหัวของผมดันเป็นหญิงสาวที่มีผมยาวปิดใบหน้า บ้าฉิบ ผมห้ามความคิดในหัวตอนนี้ไม่ได้เลย

กึก...กึก...กึก...

เสียงรองเท้าดังตามหลังผมมาอีกครั้ง คราวนี้มันใกล้เข้ามากกว่าเดิม และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

กึก...กึก...กึก...

ไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรอง และผมก็ไม่คิดจะหันหลังไปมองด้วย ผมพุ่งตัวออกวิ่งเพื่อให้ไปถึงลิฟต์โดยเร็วที่สุด หัวใจเต้นระส่ำยิ่งกว่าตอนวิ่งแข่งห้าร้อยเมตร เหงื่อกาฬไหลท่วมใบหน้าและผมไม่สนใจจะปาดมันออก ไม่ว่าเสียงกึกๆ นั้นจะเป็นเสียงอะไร ผมก็ไม่ต้องการรู้ทั้งนั้น

กึก...กึก...กึก...

เสียงนั้นยังคงตามมาติดๆ จนผมแทบจะหยุดหายใจ ผมยื่นมือไปสุดแขนเพื่อกดปุ่มลิฟต์ และได้ผล ทันทีที่ผมแตะปุ่มเปิดลิฟต์ เสียงหลอนประสาทนั่นก็หยุดลงทันใด

ตัวเลขบนหน้าจอบ่งบอกว่าตอนนี้ลิฟต์อยู่ที่ชั้นสิบห้า อีกแค่สิบชั้นประตูลิฟต์ก็จะเปิดออก ผมยืนหายใจหอบเหนื่อยรออยู่หน้าลิฟต์ พร้อมกับลุ้นว่าเสียงบ้านั่นจะดังขึ้นอีกหรือไม่ และขอบคุณสวรรค์ที่ไม่มีเสียงนั้นมากวนใจผมอีก

ติ๊ง!

เสียงลิฟต์ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อลิฟต์มาถึง ประตูลิฟต์ค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของผม แต่แล้วเมื่อประตูเปิดออกเต็มที่ สิ่งที่ผมเห็นคือร่างจางๆ ของผู้หญิงผมยาวสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้า...ลายดอก 

ผมอ้าปากค้าง กลั้นหายใจและตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกกับภาพตรงหน้า และเมื่อผมกะพริบตา...เธอก็หายไป

“เฮียยยยย” 

เฮียคงเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของผมตอนนี้ ผมจึงเผลอเรียกเขาออกมา

เท้าของผมออกวิ่งอีกครั้งอย่างไม่คิดชีวิต ผมไม่คิดว่าจะมีครั้งไหนที่ผมวิ่งได้เร็วกว่านี้อีกแล้ว จุดมุ่งหมายของผมคือห้องของเฮีย วันนี้อย่าหวังเลยว่าผมจะขึ้นลิฟต์ตัวนั้นไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้น

“เฮียยยยย” ผมร้องเรียกเฮียอีกครั้งทั้งๆ ที่รู้ว่าเฮียคงไม่ได้ยิน แต่อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของผมตอนนี้มันต้องการการระบาย

ปังๆๆๆๆๆ

กริ๊งๆๆๆ 

เมื่อถึงหน้าห้องเฮียเอย ผมทุบประตูและกดกริ่งรัวๆ โดยไม่สนว่าข้างห้องจะได้ยินหรือไม่ วินาทีนี้ผมต้องการใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน และเฮียเป็นคนที่ผมหวังจะให้เป็นที่พึ่ง

“เฮียยย เปิดประตูๆๆๆ”

ปังๆๆๆๆๆ 

กริ๊งๆๆๆ 

แกร๊ก

ในที่สุดประตูก็เปิดออกพร้อมกับเฮียเอยที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย ลูกกูจะตื่น” เฮียถามเสียงขุ่นพร้อมกับทำสีหน้ารำคาญ แต่จังหวะนี้ผมไม่สน ผมรีบแทรกตัวเข้าไปในห้องเฮียทันที

“เฮีย นอนด้วย!” ผมตอบพร้อมกับวิ่งไปซุกโซฟาของเฮียอย่างรวดเร็ว

“เป็นอะไร หน้าตาตื่น” เสียงเฮียช่างราบเรียบนิ่งสงบ ตรงข้ามกับผมที่สั่นจนแทบบ้า

“ผี เฮีย ในลิฟต์มีผี” 

“ผีอะไรวะ”

“ผีผู้หญิงผมยาวสวมชุดกระโปรงยาวลายดอก”

End Ai’s talk

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น