3

ฝันกลางวัน

บทที่ ๓ 

ฝันกลางวัน

 

Chavis’ talk

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูลอยมาแตะจมูกผมในขณะที่ผมยังไม่ลืมตา มันละมุนและบางเบา ผมว่ามันคล้ายๆ กลิ่นดอกมะลิ เป็นกลิ่นที่ผมจำได้ดีและตราตรึงมาตลอดห้าปี สัมผัสนุ่มของเส้นผมใครบางคนคลอเคลียอยู่บริเวณใบหน้าผม ผิวเย็นๆ ของคนตัวเล็กในอ้อมกอดทำให้ผมสัมผัสได้ว่าเธอก็เปลือยเปล่าไม่ต่างกัน ร่างบางขยับตัวเล็กน้อยเมื่อผมลูบไล้เบาๆ ไปทั่วแผ่นหลังเนียนของเธอ

ใคร...

ผมจำได้ว่าเมื่อคืนกลับห้องมาคนเดียว ไม่ได้คว้าสาวจากงานปาร์ตีนั่นมาด้วย อันที่จริงตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้นผมก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นกับใครอีก 

แล้วคนในอ้อมกอดผมเป็นใคร

ผมพยายามจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น สัมผัสนุ่มละมุนก็ครอบครองริมฝีปากของผม ริมฝีปากเย็นๆ นุ่มๆ แต่กลับทำให้ผมหลงใหล เผลอลิ้มรสหวานของเธอเข้า ผมว่าเธอเหมือนไอศกรีม ยิ่งชิมยิ่งหวาน ไม่นานก็กลายเป็นผมที่รุกล้ำเธอมากขึ้นเรื่อยๆ มือไม้ผมเริ่มอยู่ไม่สุข หรือว่ามันเป็นสัญชาตญาณของผู้ชาย ผมหยุดตัวเองไม่ได้เลย

ทั้งกลิ่นหอม และสัมผัสหวานๆ ที่เหมือนจะคุ้นเคยนั้นทำให้ผมปล่อยตัวปล่อยใจโดยที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ

ไม่นานร่างกายเราก็เกี่ยวกระหวัดกันไว้แน่นราวกับว่ากลัวอีกฝ่ายจะหายไป แขนเรียวทั้งสองข้างโอบกอดรอบคอผม ผมละสัมผัสจากริมฝีปากของเธอช้าๆ แม้จะเสียดาย แต่เธอเล่นไม่หายใจเลย ผมเลยกลัวว่าเธอจะเป็นลมเข้า

ผมค่อยๆ ลืมตามองดูคนในอ้อมกอด เธอมีใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่ง ตากลมโตจ้องมองผม ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอเป็นสีแดงระเรื่อจากการจูบของผม ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมเตียงกับผมที่นี่ ผู้หญิงที่หลีกเลี่ยงการติดต่อผมเสมอหากไม่จำเป็น ผู้หญิงที่ผมไม่คิดว่าจะยอมกลับมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งที่สอง 

“วันจันทร์” ผมหลุดเสียงเรียกชื่อเธออย่างแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ

สายตาของเธอทำให้ผมรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ในความฝัน มันฟุ้ง เพ้อ และมึนงงในเวลาเดียวกัน เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง จำได้ว่าเราเจอกันล่าสุดเดือนก่อนตอนที่ผมไปหาวันสุข

แล้วจู่ๆ คนตรงหน้าก็น้ำตาไหลนอง เธอปล่อยมือทั้งสองข้างจากผมมาปิดปากตัวเองไว้เพื่อไม่ให้เสียงร้องไห้หลุดรอดออกมา 

หรือว่าผมขืนใจเธออีกแล้ว...

“วันจันทร์...พี่...”

“ฮึก...”

ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของเธอไว้และนอนตะแคงมองหน้าเธอที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ผมไม่เคยเห็นน้ำตาเธอมาก่อน แม้แต่ตอนที่เกิดเรื่องวันนั้น แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ

“เฮ้ย...พี่ขอโทษ” 

“พี่เอย ฮึก...”

ในที่สุดเธอก็ยอมพูดกับผม ผมจ้องเธอเงียบๆ รอว่าเธอจะพูดอะไร ปล่อยให้เธอได้มีเวลาปรับอารมณ์

“พี่เอยคะ”

“ครับ”

“ไปรับลูกทีค่ะ”

“หืม” ผมขมวดคิ้วมองเธอด้วยความแปลกใจ 

ไปรับลูก...จริงสิ วันจันทร์มาอยู่ที่นี่ แล้ววันสุขอยู่ที่ไหน

ตั้งแต่วันสุขเกิดมา เธออยู่กับลูกตลอด และไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอจะให้ผมได้แตะต้องตัวลูก ยกเว้นวันที่เรานัดกันประจำเดือน เธอยอมให้ผมเจอลูกแค่เดือนละครั้งเท่านั้น แต่วันนี้เธอกลับบอกให้ผมไปรับลูก...เกิดอะไรขึ้น

“พี่เอย ช่วยไปรับลูกแทนจันทร์ทีค่ะ ฮึกๆ” เธอพูดซ้ำพร้อมกับสะอื้น ผมอยากกอดเธอไว้เป็นการปลอบใจ แต่นั่นอาจจะทำให้เธอร้องไห้หนักขึ้น

“ที่ไหน” ผมพยายามถามเธออย่างใจเย็น การพูดไปด้วยร้องไห้ไปด้วยทำให้ผมจับใจความเธอได้ลำบาก

“ไปรับลูกทีค่ะ ฮือๆ”

“จันทร์ใจเย็นๆ” ผมแตะไหล่เธอเบาๆ เป็นการปลอบประโลม แต่ร่างบางกลับสะอื้นจนตัวโยน 

“ที่โรงเรียน” คำตอบของเธอกลั่นกรองออกมาอย่างยากลำบาก เสียงของเธอฟังดูอู้อี้

“ให้ไปรับที่โรงเรียนเหรอ” ผมถามซ้ำจากที่พยายามจับใจความคำพูดของเธอ

“พี่เอย...ช่วยไปรับลูกแทนจันทร์ด้วย”

จบประโยคร่างบางก็ร้องไห้หนักขึ้น น้ำตาของเธอหลั่งไหลออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้สีของมันกลับเข้มขึ้น เข้มขึ้น จนแทบจะเป็นสีเลือด ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ไม่ทันได้ขยับหรือพูดอะไรออกไป ร่างบางตรงหน้าก็หายวับไปกับตา

เชี่ย!

เฮือก...

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งหายใจหอบ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจกับภาพที่เห็นในฝันเมื่อครู่ ร่างกายและใบหน้าของผมเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ กลิ่นแอลกอฮอล์ยังคงคละคลุ้งรอบกาย

ฝันประหลาด...

ผมไม่เคยฝันอะไรแบบนี้มาก่อน มันเป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก ทุกสัมผัส หรือแม้แต่กลิ่นหอมนั่น ราวกับเธอมานอนอยู่ตรงนี้จริงๆ แค่คิดผมก็รู้สึกขนลุก ภาพที่เธอร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดยังคงติดตา

ผมเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง จะบ่ายแล้ว แบบนี้สินะที่แม่เคยบอกว่าถ้านอนกลางวันจะฝันแปลก แต่ผมก็รู้สึกว่าครั้งนี้มันแปลกเกินไปจริงๆ

ผมสะบัดหัวเบาๆ เพื่อไล่อาการมึนหัว แต่มันกลับทำให้ผมปวดหัวหนักขึ้นจนต้องใช้มือทั้งสองข้างสางเส้นผมเพื่อลดอาการดังกล่าว กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา ปาร์ตีเมื่อคืนผมคงดื่มหนักไปหน่อย ทำไงได้ ก็นานๆ ทีจะมากันครบแก๊ง โดยเฉพาะไอ้เจคนติดเมียที่อุตส่าห์กราบขอร้องแม่ เอ๊ย เมียให้มาสังสรรค์กับเพื่อนได้

ผมเคยคิดว่าการเป็นโสดมันดี จบปาร์ตีเราจะคว้าใครมานอนแก้เหงาก็ได้ จนกระทั่งวันที่เกิดเรื่อง ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ตอนนี้สถานะของผมกลายเป็นคนครึ่งๆ กลางๆ โสด...มีลูกแล้ว

แม้ว่าผมจะยังโสดเหมือนเดิม จะคว้าใครมานอนด้วยก็ได้เหมือนเดิม แต่เอาเข้าจริงผมทำไม่ลง แค่นึกถึงหน้าเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่หน้าเหมือนผมทุกองศา ผมก็ไปไหนกับใครไม่ลง อย่างมากก็ได้แค่พูดคุย กินข้าว แต่ไม่สามารถสานสัมพันธ์ไปมากกว่านั้น ผมไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน หรือสุดท้ายผมอาจจะต้องกลายเป็นสมณเพศ

พูดถึงลูก...

ประโยคของวันจันทร์ที่พร่ำบอกผมในฝันยังคงติดหูมาจนถึงตอนนี้ ทั้งๆ ที่เธอย้ำกับผมนักหนาว่าห้ามแอบไปเจอลูกโดยไม่ได้รับอนุญาต และให้เจอได้เพียงเดือนละครั้งด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นวันที่ผมเอาเงินไปให้เธอ 

ตอนที่เธอท้อง ผมบอกว่าผมยินดีรับผิดชอบ แต่ผู้หญิงหัวแข็งคนนั้นกลับปฏิเสธหัวชนฝา เธอบอกว่าผมไม่คู่ควรกับเธอ ให้ตายสิ ทั้งที่ผมดีพร้อมขนาดนี้ไม่ว่าหน้าตา ชาติตระกูล ฐานะ แต่เธอกลับบอกว่าผมดีไม่พอ แถมยังยืนกรานว่าจะเลี้ยงลูกคนเดียว กว่าเธอจะยอมรับเงินจากผมก็ลำบากพอควร ผมให้เหตุผลเธอว่าผมต้องการให้ลูก เธอถึงยอม

แต่สายตาของเธอที่เห็นในฝันมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดี สายตาเธอดูเจ็บปวด ซึ่งผมไม่เคยเห็นเธอทำสายตาแบบนั้นเลย ในมุมมองของผม เธอคือผู้หญิงที่ใจแข็ง หัวแข็ง และเย่อหยิ่ง 

ผมจ้องมองเบอร์ในโทรศัพท์ที่บันทึกชื่อไว้ว่า ‘วันจันทร์’ อย่างชั่งใจ ความฝันเมื่อครู่ทำให้ผมกังวลและเป็นห่วงลูก เบอร์ที่วันจันทร์ให้ผมไว้ เธอก็ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่จำเป็นไม่ต้องโทร. ไป แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกว่าผมควรจะโทร.

ตู๊ด...

เสียงดังจากโทรศัพท์เป็นสัญญาณว่ากำลังต่อสายถึงปลายทาง ผมแทบจะต้องกลั้นหายใจตอนกดโทร. ออก รอลุ้นว่าเธอจะรับสายแล้วตวาดกลับมาหาผมหรือไม่

ตู๊ด...

เสียงโทรศัพท์ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นาน จนในที่สุด...

“สวัสดีค่ะ นั่นคุณดีเอ็นเอของวันสุขใช่ไหมคะ”

เสียงปลายสายเป็นเสียงที่ผมไม่คุ้นเคยนัก น้ำเสียงของคนรับแหบพร่ากว่าที่ผมเคยได้ยิน หรือว่าวันจันทร์จะเป็นหวัด แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เธอเรียกผมว่าอะไรนะ

“อะไรนะครับ”

“คุณดีเอ็นเอของวันสุขใช่ไหมคะ พอดีดิฉันรับสายแทนคุณวันจันทร์ค่ะ” เธอตอบกลับมาพร้อมกับการเรียกชื่อที่แสนประหลาดด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ

อย่าบอกนะว่าวันจันทร์บันทึกชื่อผมแบบนั้น...ยายเด็กบ้า

“เอ่อ ครับ” ผมรับคำแบบจนใจ จะว่าใช่ก็ใช่นั่นแหละ คิดแล้วมันก็น่าโมโห แม้แต่ตำแหน่งพ่อของวันสุขเธอก็ไม่ยอมเรียกผม กลับใช้คำว่าดีเอ็นเอแทน

“พอดีเลยค่ะ คือดิฉันเป็นพยาบาลประจำห้องไอซียูที่คุณวันจันทร์รักษาตัวอยู่ค่ะ เรากำลังพยายามติดต่อญาติของเธอ แต่ในโทรศัพท์ของเธอมีแต่ชื่อแปลกๆ ดิฉันเลยไม่รู้ว่าควรติดต่อเบอร์ไหนค่ะ ถ้าคุณรู้จักเธอหรือญาติของเธอ รบกวนมาติดต่อรับของเธอด้วยนะคะ”

ประโยคบอกเล่ายาวเหยียดของคุณพยาบาลทำให้ผมมึนงง คำเดียวที่ผมจับใจความได้คือเธอนอนอยู่ในห้องไอซียู ฉับพลันผมก็เกิดอาการขนลุกทั่วร่างขึ้นมาทันที ก่อนจะมองไปรอบตัวอย่างหวาดๆ 

“ธะ...เธอเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวนะคะ ถ้ายังไงรบกวนมาติดต่อรับของที่เคาน์เตอร์พยาบาล ห้องไอซียู ชั้นเจ็ด ตึก สว. ๑๑ โรงพยาบาลวิชาญเวชนะคะ”

“ขะ...ขอบคุณครับ” ผมตอบรับไปแบบติดๆ ขัดๆ รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่คอ 

เกิดอะไรขึ้นกับวันจันทร์ แล้วที่ผมเห็นในฝัน...มันคืออะไร

 

๑๔:๐๐ น.

ผมเดินทางมาถึงโรงพยาบาลตามคำบอกกล่าวของคุณพยาบาล ตึก สว. ๑๑ เป็นตึกใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จปีนี้ สภาพดูค่อนข้างใหม่เมื่อเทียบกับตึกรอบข้าง ทว่าคำว่าห้องไอซียูทำให้ผมรู้สึกหดหู่ทุกครั้งเมื่อได้ยิน 

ประตูสีขาวบานใหญ่นั้นดูสวยงามแต่กลับให้ความรู้สึกไม่น่าคบหา แต่แล้วในที่สุดผมก็ต้องผลักมันเข้าไป เบื้องหลังของประตูนั้นยังไม่ใช่เตียงผู้ป่วย แต่เป็นโซนสำหรับเปลี่ยนชุดคลุมและล้างมือ ก่อนจะมีประตูเล็กๆ เข้าไปข้างในอีกที

เตียงผู้ป่วยตั้งเรียงรายอยู่จำนวนมาก แต่ภาพที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดคือเตียงสุดท้ายที่มีวันจันทร์นอนใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ เธอยังไม่รู้สึกตัว ใบหน้าดูซีดเซียว...นี่เหรอวันจันทร์จอมเย่อหยิ่งที่ผมรู้จัก

“วันจันทร์...” 

ผมเอ่ยชื่อเธอออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว ความฝันประหลาดได้นำพาให้ผมมาพบกับเธอในสภาพนี้ ไม่แปลกใจนักที่ในฝันเธอจะส่งสายตาวิงวอนแบบนั้นให้ผม

ฉับพลันผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันใด เรื่องบางเรื่องวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้ เรื่องนี้ก็เช่นกัน ผมอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าวันจันทร์ตั้งใจไปเข้าฝันผม

“ญาติคุณวันจันทร์รึเปล่าคะ” พยาบาลที่ยืนอยู่อีกเตียงเอ่ยทัก เธอจ้องผมมาสักพักแล้ว “คุณเป็นอะไรกับเธอคะ”

“เอ่อ ผมเป็นพ่อของลูกเธอครับ”

คำตอบนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ตรงกับสถานะของผมมากที่สุด ผมไม่ได้เป็นญาติเธอ ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่สามี เรามีส่วนที่เกี่ยวข้องกันอย่างเดียว...คือลูก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอมีญาติที่ไหน บ้านอยู่ไหน ภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดอะไร ว่าง่ายๆ ผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย 

“อ้อ โอเคค่ะ นี่เป็นสัมภาระของคุณวันจันทร์นะคะ รบกวนคุณเก็บไว้ให้เธอด้วยค่ะ พอดีเพื่อนของเธอลืมเอาไปด้วยเมื่อตอนกลางวัน” คุณพยาบาลเอ่ยต่อพร้อมกับยื่นถุงพลาสติกที่มีเสื้อผ้าของเธอ กระเป๋าถือ และโทรศัพท์มาให้

“ขอบคุณครับ ว่าแต่...เกิดอะไรขึ้นกับเธอครับ”

“เธอหัวใจหยุดเต้นกะทันหันค่ะ จากการที่มีลมรั่วในช่องปอด โชคดีที่มาโรงพยาบาลทันเวลา” คุณพยาบาลตอบพร้อมกับชำเลืองมองวันจันทร์เล็กน้อย

“แล้วเธอจะฟื้นมั้ยครับ” นั่นคือสิ่งที่ผมกลัว ผมไม่รู้ว่าถ้าวันสุขรู้เรื่องนี้เข้าเธอจะเป็นยังไง

“เท่าที่คุณหมอประเมิน น่าจะฟื้นนะคะ เพราะคนไข้หัวใจหยุดเต้นในโรงพยาบาลและได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ก็ต้องสังเกตอาการค่ะ อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย” เธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ผม ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“ขอบคุณมากนะครับ”

“เวลาเยี่ยมเหลืออีกสิบนาทีนะคะ ตามสบายค่ะ” เธอส่งยิ้มให้ผมก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงเดิม

เมื่อคุณพยาบาลจากไป ผมหันกลับมาจ้องมองหญิงสาวที่อยู่บนเตียงอีกครั้งพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวความฝันของผมก่อนหน้านี้ คงห่วงลูกมากละสิ ส่วนผมบอกความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ไม่ถูกเลย 

ส่วนวันสุข จากนี้ไปที่พึ่งของเธอก็คงมีแค่ผม ผมคงต้องไปรับลูกตามคำขอร้องของวันจันทร์ในความฝัน แต่ประเด็นก็คือวันจันทร์ไม่เคยบอกผมว่าวันสุขเรียนที่ไหน ผมเลยจำเป็นต้องละลาบละล้วงค้นข้าวของของเธอที่คุณพยาบาลฝากไว้ เผื่อจะได้ข้อมูล

เสื้อผ้าของเธอกินพื้นที่ของถุงไปมากกว่าครึ่ง ซากเสื้อที่โดนตัดขาด เสื้อชั้นในลายลูกไม้สีเนื้อ...คัปซี และกางเกงในที่เข้าชุดกันทำให้ผมเผลอหน้าแดงพร้อมกับนึกถึงภาพเธอในฝัน

บ้าฉิบ! คิดอะไรไอ้เอย

ถัดจากเสื้อผ้าเป็นกระเป๋าถือและโทรศัพท์ของเธอ ผมลองกดโทรศัพท์เธอดู โชคดีที่เธอไม่ได้ใส่รหัสอะไรไว้ เบอร์โทร. เข้าออกล่าสุดของเธอมีแต่รายชื่อแปลกๆ อย่างที่คุณพยาบาลเคยบอก ไม่แปลกใจเลยที่ใครก็ติดต่อหาญาติของเธอไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น...

‘พี่พลอยสวยรวยเสน่ห์’

‘เมียเจ้าของไร่อ้อย’

‘เจ้าของไร่อ้อย’

‘ชะนีน้อยขายครีม’

‘ตุ๊ดร้อยปีไม่มีผัว’

และเบอร์โทร. เข้าล่าสุด ‘DNAของวันสุข’ นั่นหมายถึงผมสินะ ตอนแรกผมนึกโมโหชื่อที่เธอตั้งให้ผม แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่เธอตั้งให้แล้วละก็...เอาวะ มันก็ยังดีกว่าชื่อก่อนหน้านี้

ในโทรศัพท์ของเธอเต็มไปด้วยรูปเธอกับลูก หลายๆ มุมของวันสุขที่ผมไม่เคยได้เห็น ไม่ว่าจะตอนกิน ตอนนอน หัวเราะ หรือร้องไห้ จนผมอดคิดไม่ได้ว่าผมมันก็พ่อแย่ๆ คนหนึ่ง ผมเลื่อนรูปไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงรูปหนึ่งที่เป็นรูปถ่ายของป้ายโรงเรียนที่มีวันสุขยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าป้าย และนี่ก็คือคำตอบของสิ่งที่ผมกำลังตามหา

โรงเรียนของวันสุข...อนุบาลรักดี

ผมไม่แน่ใจว่าทางโรงเรียนจะยอมให้วันสุขกลับมากับผมหรือไม่ จากที่เคยได้ยินญาติๆ ผมพูดกันมา โรงเรียนอนุบาลมักจะมีบัตรรับส่งเด็กสำหรับผู้ปกครอง จึงเป็นอีกครั้งที่ผมต้องค้นพื้นที่ส่วนตัวของวันจันทร์...กระเป๋าสตางค์ของเธอ

ภายในกระเป๋าสตางค์ของวันจันทร์ มีบัตรประชาชน ใบขับขี่ และบัตรเอทีเอ็มอยู่สองใบ เธอไม่มีบัตรเครดิต เงินติดกระเป๋ามีอยู่ประมาณพันกว่าบาท ทำไมถึงได้พกเงินน้อยนักนะ 

นอกจากนี้เธอยังมีรูปถ่ายนักเรียนของวันสุข รูปคู่ของเธอกับวันสุขและรูปครอบครัวที่มีพ่อแม่ของเธอและวันสุข...ขาดก็แต่รูปพ่อแม่ลูก

จนในที่สุดผมก็ไปพบบัตรสี่เหลี่ยมสีชมพูที่เขียนหัวว่า ‘บัตรรับส่งนักเรียน’ ที่ระบุชื่อของวันสุขและชื่อผู้ปกครองเอาไว้ ขอบคุณสวรรค์ที่เธอยังอุตส่าห์ระบุชื่อของผมลงในช่อง ‘บิดา’

เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ผมเงยหน้าขึ้นมาจ้องใบหน้าเนียนละเอียดของคนที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนจะเอ่ยลาเธอเบาๆ

“เดี๋ยวพี่จะดูแลลูกให้ก่อนนะ รีบฟื้นไวๆ ล่ะ”

End Chavis’ talk 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น