4

อย่าปล่อยลูกไว้กับพ่อสองคน

บทที่ ๔ 

อย่าปล่อยลูกไว้กับพ่อสองคน

 

Wanjun’s talk

การล่องลอยติดตามพี่เอยไปมาทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มชินกับการเป็นผีเข้าไปทุกที ถ้าให้เหมือนในหนังฉันควรจะขึ้นไปนั่งขี่คอเขาด้วย 

ตอนอยู่ที่คอนโด หลังจากยมทูตบอกให้ฉันกระซิบข้างหูวนไปเรื่อยๆ เกือบสิบนาที ในที่สุดพี่เอยก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เหงื่อออกท่วมตัวแถมยังทำหน้าตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าในฝันเขามองเห็นอะไรบ้าง แต่ก็ดูเหมือนความพยายามของฉันจะได้ผล เมื่อเขากดโทรศัพท์ออกไปที่เบอร์ฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และสุดท้ายเราก็ได้มาอยู่ที่โรงพยาบาล

ฉันรู้สึกอายอย่างมากตอนที่เขาค้นข้าวของของฉันในถุงที่คุณพยาบาลส่งให้ เขาเห็นเสื้อในของฉันแถมยังทำหน้าแดงอีก คนบ้า โรคจิต คนป่วยก็ไม่เว้น โชคดีนะที่วันนี้ฉันเลือกใส่บราและแพนตีที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ถ้าเป็นตัวที่มัน เอ่อ...ยานหน่อย คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คิดแล้วมันน่าโมโหจริงๆ

แต่แล้วคำพูดของเขาที่บอกว่าจะดูแลลูกให้กลับทำให้ฉันลืมความโกรธทุกอย่าง สายตาประหลาดของเขาที่กำลังจ้องมองร่างของฉันเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน...

ย้อนไปเมื่อห้าปีก่อน ช่วงนั้นฉันเพิ่งจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ เป็นเด็กฝึกงานในเครือบริษัทของเขา รวมทั้งรับงานถ่ายแบบและงานโฆษณาเล็กๆ น้อยๆ แท้จริงแล้วฉันก็เป็นแค่เด็กต่างจังหวัดที่เข้าไปอยู่กรุงเทพฯ ได้ไม่กี่ปี มีความฝันที่จะเติบโตในวงการบันเทิง แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องจบลงเมื่อฉันท้อง

เรื่องมันเกิดในคืนที่มีงานเลี้ยงของบริษัท ฉันเมา เขาก็เมา ตอนนั้นรู้สึกเหมือนภาพตัด ตื่นขึ้นมาอีกทีร่างกายฉันก็เปลือยเปล่าอยู่บนเตียงของเขา พร้อมกับคำพูดที่ว่า ‘ซิงเหรอ เท่าไหร่ล่ะ’ วันนั้นฉันเกือบได้เป็นฆาตกรไปแล้ว ฉันไม่รู้หรอกนะว่าตอนนั้นเขาคิดอะไรอยู่ หรือเขาพูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนจนเป็นนิสัย ฉันรู้แค่ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่ฉันควรเอาตัวเข้าไปยุ่ง

ต่อให้รวยล้นฟ้า ถ้านิสัยเหมือนสัตว์สี่ขา ฉันก็ไม่แคร์หรอกนะ

หลังจากนั้นแม้ว่าเราจะเจอกันที่บริษัทบ้าง ฉันก็เลือกที่จะเลี่ยงและไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเขา แม้แต่ตอนที่รู้ว่าตัวเองท้อง ฉันก็ไม่ได้คิดจะไปทวงถามความรับผิดชอบอะไรจากเขา ตอนนั้นฉันคิดว่าผู้ชายแย่ๆ แบบนั้นไม่ควรจะได้เป็นพ่อของลูกฉันด้วยซ้ำ

แต่ความลับก็ไม่มีในโลก ในที่สุดข่าวท้องไม่มีพ่อของฉันก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งบริษัทโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว ถามว่าอายไหม...ก็นิดหน่อย แน่นอนว่างานถ่ายแบบและงานโฆษณาของฉันถูกยกเลิกไปทั้งหมด และเหมือนว่าข่าวจะดังไปถึงหูพี่เอยเข้า เขาถึงได้มาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีกครั้ง

เขาบอกเขาพร้อมรับผิดชอบ แต่ฉันก็ไม่คิดจะเอาชีวิตไปผูกไว้กับเขา แต่เห็นแก่ความพยายามของเขาที่แวะเวียนมาถามถึงลูกในท้องของฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างน้อยเด็กก็ควรจะมีพ่อ ฉันจึงยอมให้เขาอยู่ในฐานะ ‘พ่อของลูก’ 

แน่นอนว่าเราไม่เคยคิดจะสานสัมพันธ์กันอย่างอื่น เขาก็ยังคงเป็นไฮโซเพลย์บอย มีข่าวควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าอยู่เหมือนเดิม พ่วงด้วยตำแหน่งพ่อลับๆ ของวันสุข

แต่แล้วในวันนี้ สีหน้ามุ่งมั่นและความตั้งใจไปรับลูกของเขาทำให้ฉันเริ่มฉุกคิด...จริงๆ แล้วเขาเป็นคนยังไงกันนะ

รถสปอร์ตสีสาวเปิดประทุนเข้ามาจอดหน้ารั้วโรงเรียน ‘อนุบาลรักดี’ ในเวลาบ่ายสามโมงพอดีเป๊ะ ขอยอมรับพี่เอยในเรื่องการทำเวลา แต่การเอารถสปอร์ตเปิดประทุนมารับเด็กที่อายุเพิ่งจะสี่ขวบได้ไม่กี่เดือนแถมยังไม่มีคาร์ซีตเนี่ย มันอันตรายรู้ไหม

“เอารถที่มันดูปลอดภัยกว่านี้ไม่ได้หรือไง มารับลูกนะ ไม่ใช่มาแข่งรถ” ฉันบ่นเขาอยู่ข้างๆ หูโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ยิน

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายังคงเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้าไปในโรงเรียนท่ามกลางสายตานับสิบของผู้ปกครองคนอื่นและคุณครูโดยเฉพาะคุณครูสาวๆ

“สวัสดีครับ ผมมารับวันสุขครับ” พี่เอยตรงไปที่จุดประชาสัมพันธ์พร้อมกับบอกจุดประสงค์ในการมา

“เอ๋ ปกติวันสุขมีแต่คุณแม่มารับ คุณเป็น...” คุณครูถามด้วยความแปลกใจ 

“พ่อครับ พอดีคุณแม่ของวันสุขไม่สบาย ผมเลยต้องมารับแทน นี่ครับบัตรผู้ปกครอง” พูดจบพี่เอยก็ยื่นบัตรผู้ปกครองที่เขาได้มาจากการค้นกระเป๋าสตางค์ของฉันส่งให้คุณครู

คำว่า ‘พ่อ’ ที่เขาเอ่ยเมื่อครู่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ ไม่คุ้นเลย

“รบกวนขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ” คุณครูเอ่ยซ้ำอีกครั้งหลังจากก้มหน้ามองบัตรนั่นอยู่สักพัก ปกติบัตรนี้ฉันไม่เคยได้ใช้ เพราะมารับด้วยตัวเองตลอด บัตรใบนี้เอาไว้ในกรณีที่ฝากคนอื่นมารับ 

ตามกฎของโรงเรียนถ้าจะฝากให้คนอื่นมารับเด็กจะต้องมีบัตรผู้ปกครองพร้อมกับจดหมายและลายเซ็นระบุว่าให้ใครเป็นคนมารับ แต่ในกรณีที่พี่เอยบอกว่าเป็นพ่อ เขาเลยต้องขอดูบัตรประชาชนเพื่อเทียบกับชื่อที่ระบุไว้ในช่องบิดา

“นี่ครับ” พี่เอยยื่นบัตรประชาชนให้เธออย่างว่าง่าย 

ชวิศ บริพจน์ เป็นชื่อของเขาที่ปรากฏอยู่บนบัตรประชาชน ซึ่งก็ตรงกับชื่อบนบัตรผู้ปกครองทุกประการ อีกทั้งนามสกุลของเขาค่อนข้างดัง ใครบ้างจะไม่รู้จัก ต่อให้ไม่รู้จักเขาก็ต้องรู้จักพระเอกที่กำลังดังเป็นพลุแตกตอนนี้ที่นามสกุลเดียวกัน ฉันจึงไม่ค่อยแปลกใจสีหน้าตื่นตะลึงของคุณครูเท่าไหร่นัก

“ระ...รอสักครู่นะคะ” คุณครูตอบก่อนจะเดินไปที่ไมโครโฟนเพื่อประกาศเสียงตามสาย

“น้องวันสุข อนุบาล ๑/๓ ได้เวลากลับบ้านแล้วนะคะ”

“น้องวันสุข อนุบาล ๑/๓ ได้เวลากลับบ้านแล้วนะคะ”

นั่นเป็นเสียงประกาศที่ฉันได้ยินเป็นประจำ แต่ครั้งนี้กลับเป็นการได้ยินในมุมที่ต่างออกไป

“เธอๆ ดูคนนั้นสิ พ่อใครอะ หล่อมาก” ครูพี่เลี้ยงสาวสองคนกระซิบกระซาบกันอยู่อีกฝั่งของสนามเด็กเล่น

“พ่อใครไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้ฉันอยากเป็นแม่” อีกคนตอบกลับมาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก 

 

ระหว่างที่รอวันสุขออกมา ฉันถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรียนในส่วนที่ไม่เคยได้เข้า ห้องเรียนของวันศุกร์อยู่ด้านในสุดของชั้นหนึ่ง ในห้องมีเด็กนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกับวันสุขนั่งอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน บ้างกำลังเล่นดินน้ำมัน บ้างกำลังเล่นมือเล่นเท้าตัวเอง หรือไม่ก็วิ่งเล่นวุ่นวาย ส่วนวันสุขนั้นกำลังนั่งใส่ถุงเท้าอยู่หน้าห้อง

บริเวณมุมหนึ่งของหลังห้อง ฉันเหลือบไปเห็นร่างจางๆ ของใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น เธอเป็นผู้หญิงรูปร่างท้วมสวมชุดกระโปรงสุภาพสีเปลือกมังคุด อายุน่าจะห้าสิบกว่าๆ สีหน้าของเธอดูเศร้าสร้อยยามจ้องมองเด็กๆ ฉันจึงลอยเข้าไปใกล้ๆ ด้วยความสงสัยเพื่อดูว่าเธอเป็นใคร มีจุดประสงค์ดีหรือร้ายกับพวกเด็กๆ

แต่ก่อนที่ฉันจะได้เข้าไปทักทายสุภาพสตรีสูงวัยท่านนั้น ก็มีเสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้น ฉับพลันร่างของผู้หญิงคนนั้นก็หายไป

ใครกันนะ

“วันสุข ผู้ปกครองมารับแล้ว เร็วๆ เลยจ้ะ” ครูประจำชั้นร้องเรียกวันสุข เป็นจังหวะที่เด็กหญิงใส่ถุงเท้าเสร็จพอดี วันสุขรีบวิ่งไปที่ประตูโรงเรียนทันทีด้วยสีหน้าเริงร่า ต่างจากตอนมาส่งเมื่อเช้าลิบลับ

เมื่อไปถึงประตูโรงเรียน วันสุขชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่มารอรับเป็นผู้ชายร่างสูง หาใช่มะม้าคนเดิมของเธอไม่ แต่เมื่อเธอมองเห็นหน้าชายคนนั้นชัดๆ ใบหน้ากลมของเด็กหญิงก็กลับมาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

“ป่าาาา ป๊าาาา” วันสุขลากเสียงยาวพร้อมกับวิ่งเข้าไปหาพี่เอยราวกับคิดถึงมานานแสนนาน 

มันใช่ไหมลูก เห็นหน้าพ่อแวบเดียวทำอย่างสนิทกันมานาน แล้วมะม้าล่ะ!

“ว่าไงคนเก่ง” พี่เอยยิ้มกว้างพร้อมกับอุ้มวันสุขขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะทำท่าโยนลูกขึ้นลงสูงๆ เรียกเสียงหัวเราะของคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดี

“เบาๆ หน่อยสิ ลูกตกมาจะทำยังไง” ฉันบ่นเสียงเขียวพร้อมกับส่งสายตาไม่พอใจไปให้...แน่นอนว่าเขาไม่รับรู้

“ทำไมปะป๊ามารับล่ะคะ” เด็กน้อยเอียงคอถามด้วยความสงสัย

คำถามของวันสุขทำให้พี่เอยอึกอักเล็กน้อย เขาคงรู้สึกลำบากใจที่จะตอบคำถาม การบอกว่ามะม้าเข้าโรงพยาบาลสำหรับเขาอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับวันสุข ถ้าบอกแบบนั้นจริงๆ เธอจะทำตาแป๋วแล้วถามกลับมาว่า ‘เข้าโรงพยาบาลคืออะไร’ แล้วจากนั้นก็จะต้องตอบคำถามที่ตามมาอีกประมาณร้อยคำถามได้

“วันนี้ปะป๊าอยากกินไอติมครับ เลยอยากให้วันสุขไปกินเป็นเพื่อน” 

นับว่าเป็นการตอบคำถามที่มีไหวพริบดี แต่เรื่องแบบนี้ต้องดูกันอีกนาน

“วันสุขอยากไป แต่ว่ามะม้า...” วันสุขทำหน้าสลดลง คิ้วน้อยๆ ของเธอขมวดเข้าหากันพร้อมกับทำตาละห้อย

“มะม้าทำไมครับ”

“มะม้าบอกว่าไม่ให้ไปไหนกับคนอื่น” วันสุขตอบเสียงอ่อย

โถ...เด็กน้อยของแม่ เชื่อฟังดีเหลือเกิน

“ปะป๊าไม่ใช่คนอื่น แล้วปะป๊าก็ขอมะม้าแล้วครับ” พี่เอยยิ้มกว้างยามตอบคำถามเด็กหญิง ใบหน้าน้อยๆ นั้นจึงคลี่ยิ้มตามอย่างไร้เดียงสา

“มะม้าอนุญาตให้วันสุขอยู่กับปะป๊าได้พักใหญ่เลย” ฉันพึมพำคนเดียวเมื่อได้ยินบทสนทนาของพ่อลูก...เดี๋ยวมะม้าจะรีบกลับมาหานะคะ มะม้าสัญญา

 

รถสปอร์ตหรูของพี่เอยแล่นออกจากหน้าโรงเรียนกลับเข้าสู่ถนนอีกครั้ง ตอนนี้ฉันขอถอนคำพูดเรื่องที่ฝากวันสุขไว้กับเขาได้ไหม ก็ตาพ่อมือใหม่หัดขับดันพาลูกนั่งเปิดประทุนซิ่งด้วยความเร็วร้อยสามสิบบนทางด่วน โดยมีวันสุขนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยของผู้ใหญ่อยู่ข้างคนขับ

“นังพี่เอย ขับเร็วไปแล้ว นี่จะพาลูกไปกินไอติมหรือไปไหน โอ๊ยยย” ฉันได้แต่กรีดร้องระบายอารมณ์ ทั้งหงุดหงิดทั้งหวาดเสียว

ฉันพยายามเลื่อนตัวไปนั่งให้ตรงกระจกหลังของเขา เผื่อฟลุกแล้วเขามองเห็นฉัน จะได้เตือนซะบ้างว่าอย่าทำแบบนี้อีก

“ขับช้าลงเดี๋ยวนี้นะ”

ไม่เป็นผล สิ่งที่พี่เอยทำคือขับรถด้วยความเร็วคงที่ โชคดีที่วันสุขนั่งอย่างเรียบร้อย เธอกำลังยิ้มและหัวเราะกับประสบการณ์การนั่งรถที่เธอไม่เคย...และไม่ควรได้สัมผัส

“ปะป๊าดริฟต์ได้ด้วยนะ” พี่เอยเอ่ยอย่างภูมิใจพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้วันสุข

บ้าไปแล้ว ขับเร็วแล้วยังไม่มองถนนอีก แล้วดริฟต์เดิฟอะไรเนี่ยมันใช่เวลาอวดไหม นั่นลูก ไม่ใช่สาว ไม่ต้องอวดโว้ย!

“คิกๆๆ วันสุขชอบมากกก ปะป๊าขับเร็วกว่านี้ได้มั้ยคะ”

“จัดไป”

โอ๊ยยย อกอีแม่จะแตก ยมทูต อยู่ไหน ช่วยมาหยุดเจ้าบ้านี่ที

ความเร็วของรถเร่งขึ้นมาอีกเล็กน้อยจากร้อยสามสิบขึ้นมาเป็นร้อยสี่สิบ ดีที่เขาไม่บ้าจี้เหยียบไปมากกว่านี้ ส่วนวันสุขก็หัวเราะชอบใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่ฉันนั่งตัวเกร็งอยากจะบีบคอเขาเหลือเกิน ถ้าหัวใจของฉันยังเต้นอยู่ มันก็คงจะได้หยุดเต้นอีกรอบตอนนี้

“เดี๋ยวเราจะลงทางด่วนกันแล้ว ปะป๊าจะต้องขับช้าลงแล้วนะครับ” 

ในที่สุดพี่เอยก็เอ่ยคำที่ฉันรอคอยออกมา วันสุขทำหน้าเสียดายเล็กน้อย ปากเล็กคว่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ใครได้ยินก็ต้องสงสาร

“ก็ได้ค่ะ”

แต่แทนที่ฉันจะได้โล่งอกที่พี่เอยชะลอความเร็วลง ประโยคต่อมาก็ทำเอาฉันอยากจะทำตัวเป็นผีวิ่งตัดหน้ารถเขาและตามหลอนไปทุกเส้นทางที่เขาไปทันที

“วันหลังปะป๊าจะพาไปแข่งรถนะครับ”

“พี่เอย!”

ในที่สุดช่วงเวลาใจหายใจคว่ำก็สิ้นสุดลงเมื่อพี่เอยจอดรถในลานจอดซูเปอร์คาร์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ฉันมองตามเขาที่จูงวันสุขเข้าไปในห้างด้วยสายตาคาดโทษ คอยดูนะ แม่จะเข้าฝันให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย

ฉันลอยตามสองพ่อลูกที่กำลังเดินเข้าไปในตัวอาคารอย่างเงียบๆ ในใจก็ก่นด่าพี่เอยไปด้วย ดูสิ เขาพาลูกมากินไอศกรีมตั้งแต่บ่ายสาม แล้วทีนี้วันสุขจะยอมกินข้าวเย็นได้ยังไง คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าให้พี่เอย แต่เขาก็ดูเข้ากันได้ดีกับวันสุขนะ

แต่ถ้าคิดว่าการเลี้ยงลูกมันง่ายละก็...บอกเลยว่านั่นคือภาพลวงตา

“วันสุขเอาไอติมอะไรดีครับ” คุณพ่อมือสมัครเล่นถามเด็กหญิงที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับไอศกรีมหลากสี ฉันเลือกที่จะขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์เพื่อจะได้แอบมองพวกเขาทั้งสองคน

“เอาสีชมพูค่ะ” วันสุขตอบพร้อมกับชี้ไปในตู้ที่มีไอศกรีมโทนสีชมพูอยู่เกือบสิบถัง

“เอ่อ...ชมพูอันไหนครับ” พี่เอยถามซ้ำด้วยสีหน้าลำบากใจ ในขณะที่ฉันได้แต่ยิ้มเหยียดให้เขา 

ก็บอกแล้วว่าเลี้ยงเด็กมันไม่ง่าย ไหนดูซิว่าพี่เอยจะไปได้ไกลสักแค่ไหน

“สีชมพูไงคะปะป๊า” เด็กหญิงตัวเล็กตอบตาแป๋ว เธอไม่ได้ตั้งใจจะกวนใครหรอก แต่วันสุขชอบเรียกไอศกรีมที่ชอบซึ่งก็คือรสนมเย็นว่าสีชมพู 

ท่าทางสับสนของพี่เอยทำให้ฉันเริ่มขำ ใครจะไปคิดว่าเจ้าของช่องบีทีวีควบด้วยตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารของเครือบริพจน์ต้องมาจนมุมกับการเลือกไอศกรีมของเด็กสี่ขวบ

“ปะป๊าขา วันสุขอยากกินไอติมแล้ว” วันสุขเร่งรัดอย่างรู้งาน สายตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวังนั้นไม่ว่าใครจ้องมองก็ต้องเข่าอ่อน

“โอเคครับ ปะป๊าสั่งให้ตอนนี้เลย” คำตอบของพี่เอยทำให้เด็กหญิงยิ้มกว้าง และแล้ววิธีการจัดการปัญหาของพี่เอยก็ทำให้ฉันต้องอ้าปากค้างอีกครั้งเมื่อเขาหันไปสั่งพนักงานว่า

“เอาทุกรสเลยครับ”

ไม่ใช่แค่ฉันที่อ้าปากค้าง แม้แต่พนักงานก็ดูจะตะลึงเช่นกัน ไอศกรีมมากกว่ายี่สิบรสในร้านเขากลับสั่งง่ายๆ ว่าเอาทุกรส การแก้ปัญหาแบบนี้...ไม่มีเงินทำไม่ได้สินะ

“ทำไมปะป๊าสั่งเยอะจังเลยล่ะคะ มะม้าบอกว่าถ้าสั่งเยอะเกินจำเป็นมันเปลือง” 

คำพูดร่ายยาวของเด็กน้อยทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาอย่างดีใจที่เธอจำคำสอนของฉันได้ ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันฉันมักจะสอนให้วันสุขเห็นค่าของเงินและสิ่งของต่างๆ อยู่เสมอ 

“ก็ตอนนี้มันจำเป็นนี่ครับ”

“จำเป็นยังไงคะปะป๊า” วันสุขถามกลับ ตากลมโตจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าสงสัย อย่าว่าแต่วันสุขเลย ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นยังไง

“ก็ปะป๊าอยากรู้ว่าวันสุขชอบไอติมรสไหนบ้าง เลยต้องให้หนูชิมทุกรส ปะป๊าอยากรู้จักวันสุขมากขึ้นไงครับ” 

คำตอบของพี่เอยทำให้วันสุขยิ้มกว้างอย่างดีใจที่จะได้ชิมไอศกรีมครบทุกรส ในขณะที่คนแอบฟังแบบฉันกลับมีความรู้สึกแปลกๆ...อยากรู้จักมากขึ้นงั้นเหรอ

“สามีคุณก็หน้าตาดีนะ”

“เฮ้ย!”

เสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหูทำให้ฉันสะดุ้งจนเผลอลอยทะลุร่างพนักงานที่กำลังตักไอศกรีม ก็จู่ๆ นายยมทูตนั่นก็โผล่มาแบบไม่บอกไม่กล่าว ใครเล่าจะไม่ตกใจ

“ตกใจอะไรเนี่ย แค่ทักทายเอง” ยมทูตเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับจ้องมองฉันด้วยสีหน้ากวนๆ

“ช่วยบอกให้รู้ล่วงหน้าก่อนได้มั้ย ไม่ใช่จู่ๆ โผล่มาข้างๆ แบบนี้ หัวใจจะวาย” ฉันบ่นคนตรงหน้า

“หัวใจคุณวายไปแล้วรอบหนึ่งไง ไม่เห็นต้องตื่นเต้น” เขาตอบหน้าตาย 

เออ...แต่ก็จริง

“เอาเถอะ ว่าแต่มีอะไรคืบหน้าไหม” ฉันถามเขาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาบอกว่ามีธุระบางอย่างต้องไปจัดการ ฉันเลยเข้าใจว่าอาจจะเป็นเรื่องของฉัน

“ก็นิดหน่อย เดี๋ยวคืนนี้คุยกันอีกที พอดีผ่านมาเก็บวิญญาณแถวนี้เลยแวะมาทักทายก่อน” เขาตอบพร้อมกับส่งสายตาไปที่เชือกสีดำที่อยู่ในมือ เมื่อมองตามเชือกไปก็พบว่าเชือกนั้นผูกอยู่ที่ข้อมือของผู้หญิงวัยกลางคนที่กำลังลอยออกมาจากร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“ฉันสงสัยมานานละว่า...”

“อย่าเพิ่งถาม ค่อยคุยกันคืนนี้” เขายกมือขึ้นปรามฉันก่อนที่จะได้ถามจบประโยค สีหน้าของเขาดูเหนื่อยหน่ายเล็กน้อยเมื่อหันไปมองร่างของหญิงคนนั้นที่กำลังลอยเข้ามาหาเขาอย่างเชื่องช้า

ที่ฉันกำลังสงสัยก็คือ ทำไมวิญญาณบางตนถึงมียมทูตมารับ แต่บางตนกลับไม่มี เพราะถ้ายมทูตมารับทุกคนจริงละก็ ไม่ควรจะเหลือวิญญาณเร่ร่อนให้เห็นแล้วถูกไหม แต่กระนั้นก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ 

“โอเค คุณจะมาหาฉันใช่ไหม” ฉันถามเขาซ้ำเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน

“ใช่ คุณอยู่กับสามีและลูกคุณไปก่อนเลย ผมจะมาหาคุณเอง”

“เขาไม่ใช่สามีฉัน” ฉันปฏิเสธเสียงดังพร้อมกับทำหน้าย่นอย่างไม่พอใจ แค่ทำฉันท้องไม่จำเป็นที่ฉันต้องยกตำแหน่งสามีให้เขาเสียหน่อย

“ก็เห็นมองเขาตาเยิ้มเลย”

“ไม่จริง”

“อ้อ...เหรอ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไปละ ไว้เจอกัน” 

ยมทูตโบกมือลาเมื่อเห็นว่าร่างที่มีเชือกสีดำผูกอยู่นั้นลอยมาถึงเขาพอดี เธอมองฉันพร้อมกับส่งยิ้มให้เล็กน้อยราวกับต้องการทักทาย ฉันจึงส่งยิ้มกลับไป

“ไปละ เจอกัน อ้อ...พนักงานเสิร์ฟกำลังจ้องสามีคุณนะ อย่าลืมไปเฝ้าล่ะ”

“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง!”

ยมทูตได้ฟังก็แค่เลิกคิ้วขึ้น ส่งยิ้มกวนๆ ก่อนจะจากไปพร้อมวิญญาณที่เขามาตามเก็บ จากนั้นฉันจึงกลับไปเฝ้าวันสุขอีกครั้ง 

อย่างที่ยมทูตบอก พนักงานสาวในร้านต่างส่งสายตาให้พี่เอยอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ได้สนสักนิดว่าเขามากับลูกหรือไม่ ส่วนเจ้าตัวก็ใช่ว่าไม่รู้ตัว เขายังแอบส่งยิ้มมุมปากให้พนักงานที่มาเสิร์ฟไอศกรีมอีกด้วย ฉันได้แต่กลอกตามองบน จะทำอะไรก็ทำ กลับเข้าร่างเมื่อไหร่ฉันก็จะพาวันสุขกลับไปอยู่ด้วยเหมือนเดิม

“โอ้โห...ไอติมเยอะมากเลยปะป๊า” วันสุขเอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่วันสุขได้กินไอศกรีมเยอะขนาดนี้ 

“ของวันสุขทั้งหมดเลย เลือกกินตามใจชอบเลยครับ” พี่เอยตอบพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เธอ

“มันเยอะมาก วันสุขกินคนเดียวไม่หมด” เด็กหญิงตัวน้อยจ้องปะป๊าของเธอด้วยสายตาออดอ้อน 

ที่ผ่านมาเราสองแม่ลูกต้องกินอะไรด้วยกันเสมอ ข้าวก็จานเดียวกัน น้ำก็ขวดเดียวกัน แม้แต่ไอศกรีมเราก็กินด้วยกัน เพราะต้องประหยัดเงินไว้ให้มาก บางอย่างก็ต้องแบ่งกัน ส่วนมากฉันจะยกให้วันสุข เพราะฉันกินนิดเดียวก็อิ่มแล้ว วันสุขเลยติดนิสัยว่าต้องแบ่งกันกินกับฉันตลอด

“ไม่หมดก็ไม่เป็นไรครับ เงินปะป๊าเยอะ”

“อวดรวยกับลูกแบบนี้ไม่ได้นะ!” ฉันพยายามตะโกนใส่หน้าพี่เอยสุดเสียง จะบ้าตายกับตรรกะของเขา เข้าใจว่ารวย แต่จะสอนลูกแบบนี้ไม่ได้นะ

“แต่วันสุขไม่อยากกินคนเดียว มะม้าบอกว่ากินคนเดียวมันไม่อร่อย” วันสุขเอ่ยต่อ 

พี่เอยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองหน้าลูกอย่างแปลกใจ 

“ไม่จริงหรอก กินคนเดียวก็อร่อยได้นะ ไอติมร้านนี้ดังมากเลยนะ” คนเป็นพ่อแย้ง

แต่แล้วจู่ๆ เด็กหญิงกลับทำหน้าตื่นเต้นราวกับอยากเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ให้พ่อรู้ 

“ปะป๊าต้องไม่เคยลองแน่ๆ วันสุขกับมะม้าเคยลองแล้ว”

พูดจบเด็กหญิงก็ยื่นช้อนให้พี่เอยพร้อมกับดึงถ้วยไอศกรีมรสนมเย็นแยกออกมาจากรสอื่นๆ เอามาวางตรงกลางระหว่างเธอกับผู้เป็นพ่อ 

“ไหนปะป๊าลองตักกินซิ” เด็กหญิงสั่งด้วยท่าทางคล่องแคล่ว แถมยังทำหน้าตื่นเต้นเหมือนกำลังได้ทดลองวิทยาศาสตร์

พี่เอยทำตามอย่างว่าง่าย เขาตักไอศกรีมคำเล็กๆ ใส่ปากพร้อมกับจ้องมองเด็กหญิงด้วยความสงสัย “แล้วไงต่อครับ”

“อร่อยมั้ยคะ” 

“ก็อร่อยดีครับ” พี่เอยตอบเรียบๆ ดูท่าก็รู้ว่าเขาไม่ได้มีจิตพิศวาสไอศกรีมตรงหน้าเท่าใดนัก แต่วันสุขก็ยังคงไม่ละความพยายาม

“คราวนี้ปะป๊าตักไอติมไว้ก่อนน้า” วันสุขเอ่ยต่อพร้อมกับจับมือพ่อของเธอไปตักไอศกรีม ก่อนที่เธอจะหยิบช้อนอีกคันขึ้นมาและตักไอศกรีมบ้าง 

“หืม” พี่เอยจ้องมองท่าทางตักไอศกรีมจริงจังของคนตัวเล็กด้วยความสนใจ 

เพราะกล้ามเนื้อมือของเธอยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ การตักไอศกรีมจึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าผู้ใหญ่เป็นสองเท่า ในที่สุดไอศกรีมสีชมพูอ่อนก็ถูกตักขึ้นมาไว้ตรงหน้า

“ปะป๊าอ้าปากน้า” เด็กหญิงเอ่ยต่อพร้อมกับใช้มือข้างที่ว่างแตะปากของตัวเองอย่างเป็นจังหวะ 

“อ้าาา” 

ร่างสูงทำตามอย่างว่าง่าย ในจังหวะเดียวกันวันสุขก็ส่งไอศกรีมในมือเข้าปากเขา ก่อนจะหันไปงับช้อนของพี่เอยที่อยู่ข้างๆ แล้วส่งยิ้มหวานให้เขาทั้งๆ ที่ยังคาบช้อนอยู่

“อร่อยขึ้นมั้ยคะ”

พี่เอยนิ่งค้างไปชั่วครู่ ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าตาไม่ฝาด ฉันว่าฉันเห็นหยาดน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของเขา

“ปะป๊า...ตกลงอร่อยมั้ยคะ” วันสุขทวงคำตอบเมื่อเห็นว่าพี่เอยนิ่งไป

“อร่อยครับ...อร่อยมาก อร่อยจริงๆ ด้วย” ในที่สุดพี่เอยก็ตอบคำถามของเด็กตัวเล็ก มือหนาจับช้อนไว้แน่นและตักไอศกรีมอีกครั้ง 

“เห็นมั้ยล่ะ วันสุขบอกแล้ว” คนตัวเล็กยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ สีหน้าของเธอทำให้ฉันรู้สึกอยากนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย

“งั้นปะป๊าจะกินกับวันสุขทั้งหมดเลยโอเคมั้ย”

“เย้~”

มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกเขาสองคนที่สลับกันป้อนไอศกรีมกันไปมา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กหญิงตัวน้อยเป็นสิ่งที่ฉันอยากจะบันทึกเก็บไว้ทุกช่วงเวลา วันที่เธอยิ้มได้สดใส หัวเราะได้เริงร่าแบบนี้ อยากจะเห็นภาพนี้ตลอดไป

หลังจากกินไอศกรีมเสร็จ พี่เอยตามใจวันสุขด้วยการพาไปนั่งรถไฟเล่นและเล่นเกมอีกเล็กน้อย ก่อนจะพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าและของใช้ของเด็ก ก็ดี อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าควรเตรียมอะไรบ้างจากการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต

“ปะป๊าขา ทำไมเราต้องซื้อของเยอะแยะคะ” วันสุขถามเมื่อเห็นพี่เอยซื้อของจำนวนมาก ตอนนี้รอบตัวเขามีถุงพะรุงพะรังไปหมด

“ก็เพราะเราต้องใช้ไงครับ”

“ที่บ้านก็มีนี่คะ” เด็กน้อยท้วงพร้อมกับทำตาแป๋ว 

คำถามของเธอทำเอาคนฟังสะอึก เขาเม้มปากเหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง 

“ก็ปะป๊าจะพาวันสุขไปนอนกับปะป๊าไงครับ” พี่เอยตอบเสียงเรียบ

“ทำไมต้องไปนอนกับปะป๊า แล้วมะม้าล่ะคะ”

“...”

“มะม้าไปไหนคะ”

รู้อะไรไหม เหรียญน่ะมันมีสองด้าน ฉันอยากจะบอกพี่เอยเหลือเกินว่า ลูกน่ะไม่ได้น่ารักตลอดเวลา ของจริงน่ะมันหลังจากนี้ต่างหาก

End Wanjun’s talk

 

Chavis’ talk

“มะม้าไปไหนคะ”

คำถามง่ายๆ จากเด็กที่มีแววตาใสซื่อกลับกลายเป็นคำถามที่ผมตอบไม่ได้ เธอแค่ถามว่าแม่ของเธอไปไหน แต่ผมกลับรู้สึกหายใจติดขัด จะให้บอกเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้อย่างไรว่าแม่ของเธอนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องไอซียู

“ช่วงนี้วันสุขต้องอยู่กับปะป๊าก่อนนะครับ”

“ทำไมล่ะคะ แล้วมะม้าล่ะ” คนตัวเล็กเสียงเริ่มสั่นเครือ ดูท่าเส้นทางความเป็นพ่อของผมจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด

“มะม้าบอกปะป๊าว่ามะม้าจะไปซื้อตุ๊กตาให้วันสุข แต่มันไกลมาก มะม้าต้องเดินทางหลายวันเลย” เสียงของผมแผ่วเบา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องโกหก แถมยังเป็นการโกหกเด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่ประสีประสา ในใจก็อดคาดโทษคนเป็นแม่ไม่ได้ รีบฟื้นขึ้นมาไวๆ เลยนะ

“ตุ๊กตาอะไรคะ” ได้ผล น้ำตาที่คลออยู่หายไปเมื่อเธอได้ยินอะไรที่น่าสนใจกว่า

“ตุ๊กตาหมีขั้วโลกครับ น่ารักมากๆ เลยนะ” ผมขายฝันวันสุขต่อ สัญญาว่าถ้าแม่ของเธอฟื้น ผมจะหาตุ๊กตาหมีขั้วโลกที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้มาให้เธอ

“โห...มะม้าไปซื้อที่ขั้วโลกเหรอคะ” นัยน์ตาของเด็กน้อยฉายแววตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเธอเป็นประกาย ปากเล็กๆ พยายามอ้าให้กว้างที่สุด

“ก็ประมาณนั้น” เหงื่อโง่ของผมเริ่มจะตก ผมโกหกลูกไปคำโตโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันจันทร์จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ 

“ว้าว ดีจัง วันสุขจะรอนะคะ” 

รอยยิ้มของวันสุขกลับมาสดใสอีกครั้ง เสียงหัวเราะของเธอดังขึ้นตลอดทางกลับคอนโด สายตาของเธอเต็มไปด้วยความหวังและความสุข ไม่แปลกใจนักที่แม่ของเธอตั้งชื่อให้ว่า ‘วันสุข’ เธอเป็นเด็กที่ใครได้อยู่ด้วยก็ต้องยิ้มตาม

ก่อนเข้าคอนโด ผมพาเธอแวะกินข้าวต้มง่ายๆ ข้างทาง คิดว่ากิจกรรมที่โรงเรียนวันนี้ของเธอคงเยอะพอสมควร ทั้งๆ ที่กินไอศกรีมไปแล้ว แต่เธอก็ยังกินข้าวอีกเยอะมาก จะว่าไปการเลี้ยงเด็กก็ไม่ได้ยากอย่างที่ผมคิด โชคดีที่วันสุขเป็นเด็กน่ารัก และเลี้ยงง่าย...

...ใช่ ชีวิตการเป็นพ่อของผมมันควรจะเป็นแบบนั้น จนกระทั่งผมได้พบความจริง

 

๒๓:๐๐ น.

“ฮือออ วันสุขไม่ง่วง ไม่อยากนอนนน” 

“แต่ปะป๊าง่วงแล้วครับ” ผมตอบเธอด้วยน้ำเสียงโรยแรง 

ความสดใสของเธอจบลงตั้งแต่สองทุ่มหลังจากผมอ่านนิทานเรื่องที่เก้าให้เธอฟังจบ หลังจากนั้นวันสุขก็เริ่มเปลี่ยนไป รอยยิ้มของเธอถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องไห้ดังลั่น ดวงตาสดใสของเธอถูกกลบด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลออกมายิ่งกว่าเขื่อนแตก

“โฮ...ฮือๆๆๆๆ” 

บางทีผมว่าวันสุขอาจจะร้องไห้ได้ดีกว่านักแสดงในช่องของผมบางคน หรือผมควรจะดันลูกเข้าวงการ

“ฮือออ มะม้า มะม้าไปไหนนน” วันสุขร้องโวยวายราวกับว่าผมไม่เคยคุยเรื่องนี้กับเธอมาก่อน

ผมพยายามปลอบเธอด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะอ่านนิทาน ร้องเพลงที่ผมไม่เคยคิดจะร้อง เต้นด้วยท่าทางประหลาดชนิดที่ว่าถ้าเพื่อนผมมาเห็นเข้ามันจะต้องเก็บไปล้อจนหลานผมบวช 

“วันสุข ดูสิปะป๊าแปลงร่างเป็นแมว เมี้ยววว”

“ฮือออออ ไม่อาววว แมวปะป๊าน่ากลัว ฮือออออ”

นอกจากจะร้องไห้แล้ว เธอยังลงไปดิ้นกับพื้นราวกับเป็นคนละคนกับเด็กที่กินไอศกรีมกับผมเมื่อเย็น นี่เป็นสิ่งที่วันจันทร์ต้องรับมือทุกวันจริงๆ เหรอ

“วันสุข วันสุขครับ เราคุยกันแล้วไง มะม้ากำลังไปซื้อตุ๊กตามาให้หนูไง จำได้มั้ย” ผมพยายามใช้ความใจเย็นกับลูกอีกครั้งพร้อมกับทวนสิ่งที่เราเพิ่งคุยกันตอนเย็น

“ฮึกๆ จำได้ค่ะ” 

น้ำเสียงที่ใจเย็นดูเหมือนจะทำให้เธอสงบขึ้นมาหน่อย วันสุขพยักหน้าตอบรับผมทั้งน้ำตา ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นสัญญาณที่ดี...แต่ก็ไม่

“ฮือออออ มะม้าไปไหน ฮือๆๆๆ ง่าๆๆๆ แงๆๆๆ” วันสุขร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม ที่พูดไปไม่ได้เข้าหูเธอเลยสักนิด

ผมค้นพบแล้วว่าเด็กๆ ต่างหากที่โกหกพวกเราตาใส ปากก็บอกว่าเข้าใจ แต่พอผ่านไปไม่ถึงนาทีเธอก็ทำราวกับว่าเราไม่เคยได้คุยกัน

ชีวิตผมผ่านผู้หญิงตั้งมากมาย แต่สุดท้ายต้องมาโดนเด็กผู้หญิงหลอกเนี่ยนะ!

“ฮือออออ”

“มามะ ปะป๊าอุ้มน้า” 

ผมอุ้มเธอไว้เป็นพักๆ เพราะน้ำหนักของเธอเริ่มเยอะ และแรงดิ้นของเธอทำให้ผมไม่สามารถอุ้มเธอไว้ได้ตลอดเวลา และระหว่างที่ผมกอดเธอไว้ เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจนเราสองคนต้องหันไปมอง

ตุ้บ!

จู่ๆ โทรศัพท์ของวันจันทร์ก็ตกกระแทกพื้นพร้อมกับที่หน้าจอสว่างวาบขึ้น แสงสว่างจากหน้าจอดึงความสนใจของวันสุขและทำให้เธอหยุดร้องไห้ เหลือเพียงอาการสะอื้นเท่านั้น

ผมหยิบโทรศัพท์ที่ตกอยู่ขึ้นมา ก่อนจะพบว่าโทรศัพท์นั้นเปิดค้างอยู่ที่หน้าของอัลบัมรูป ภาพของวันสุขนอนหลับตาพริ้มท่ามกลางผ้าห่มสีเหลืองกองมหึมา เธอดูมีความสุขท่ามกลางผ้าห่มขนสีเหลืองนุ่มฟูเหล่านั้น

ผ้าห่ม!

“วันสุขอยากได้ผ้าห่มใช่มั้ย” ผมถามเธอซ้ำอีกครั้ง ภาพในโทรศัพท์เหล่านั้นราวกับจงใจจะบอกใบ้อะไรผม

คนตัวเล็กในอ้อมกอดของผมไม่ได้ตอบอะไรแต่พยักหน้าหงึกๆ มีเพียงเสียงสะอื้นดังมาเป็นระยะๆ คำถามถัดมาคือผมต้องไปหาผ้าห่มพวกนั้นจากไหน

บ้านของวันจันทร์อยู่ที่ไหนผมยังไม่เคยรู้เลย ปกติเราจะนัดเจอกันข้างนอกเท่านั้น แล้วจะให้ผมค้นหาบ้านของเธอทั้งๆ ที่ต้องโอ๋ลูกไปด้วยมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายผมก็ต้องหาตัวช่วย

“เดี๋ยวปะป๊าจะพาไปเอาผ้าห่มน้า”

“ฮึกๆๆ วันสุขจะเอาผ้าห่มนุ่มนิ่ม” นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอร้องไห้โวยวายไม่ยอมนอนตั้งแต่สองทุ่มสินะ

เมื่อวันสุขเริ่มสงบ ผมโทร. หาใครบางคนทันที เขาเป็นคนที่ผมสามารถเรียกหาได้ทุกเมื่อ เป็นคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผมมาตั้งแต่เด็กจนโต น้องชายที่คลานตามกันมาจากท้องแม่...อาย

“เฮีย โทร. มาทำไมดึกดื่นเนี่ย”

“กูมีเรื่องด่วน มึงมาช่วยกูหน่อย” ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ด้วยสำเนียงที่คุ้นเคย แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ผมก็รู้สึกเสียวที่ต้นคอ แถมยังขนลุกแปลกๆ

“มีอะไร ด่วนขนาดนั้นเชียว”

“ด่วนมาก มึงสตาร์ตรถรอล่างคอนโดเลย เดี๋ยวกูลงไป” ผมตอบ ไม่มีเวลาอธิบายมาก เมื่อวันสุขเริ่มจะทำหน้าเบะอีกรอบ

“สามนาที เจอกัน”

ความโชคดีคือผมกับน้องชายอยู่คอนโดเดียวกัน ทำให้เราเจอกันได้ตลอดเวลา ผมไม่อยากคิดว่าหลังจากนี้ผมจะโดนซักจนพรุนแค่ไหนเรื่องวันสุข แต่ตอนนี้เสียงร้องของเธอมันเข้าขั้นวิกฤติ ก่อนที่ผมจะหูแตกหรือใครสักคนในคอนโดจะร้องเรียนผม ผมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดเสียงร้องนี้

ก่อนออกจากห้องผมไม่ลืมคว้ากระเป๋าของวันจันทร์ติดมือมาด้วย อย่างน้อยมันคงมีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับบ้านของเธอบ้าง 

ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง ทำให้ผมได้เห็นรถสปอร์ตสีดำของอายที่จอดรออยู่หน้าคอนโด ประตูรถฝั่งคนขับเปิดออกทันทีพร้อมกับร่างสูงที่รีบก้าวเท้าลงมาหาผมพร้อมกับทำหน้าตกใจสุดขีด เมื่อเห็นว่าผมหอบร่างของเด็กน้อยที่กำลังสะอื้นไห้เอาไว้แนบอก

“เฮีย! ไปลักพาตัวเด็กที่ไหนมา อย่าบอกนะมึงกินเด็ก เชี่ยยย” อายลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

ไอ้น้องเวร จิตอกุศล

แต่แล้วใบหน้าของอายที่ตกใจอยู่แล้วกลับตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อเขาได้ยินคำตอบจากปากผม

“ลูกกู!”

“ลูก...เฮ้ย!”

ก่อนที่อายจะได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น ผมก็รีบวิ่งขึ้นรถของเขา นี่ไม่ใช่เวลาจะมาอธิบาย จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว วันสุขยังไม่หยุดร้องไห้เลยด้วยซ้ำ

อายทำหน้ามึนงง แต่สุดท้ายก็ยอมกลับมาขึ้นรถแต่โดยดี

“เฮีย...”

“อย่าเพิ่งถาม ออกรถ” ผมสั่งน้องชาย มือข้างหนึ่งต้องกอดวันสุขไว้ ส่วนมืออีกข้างก็หาเปิดหาข้อมูลในโทรศัพท์ของจันทร์ โดยมีสายตาแปลกๆ จากคนข้างๆ มองมาเป็นระยะๆ

ดูจากข้อมูลในโทรศัพท์ วันจันทร์น่าจะเป็นคนชอบถ่ายรูป เธอถ่ายรูปลูกทุกที่ที่เธอไป แถมยังเช็กอินว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ร้ายที่สุดคือเธอถ่ายรูปและเช็กอินที่บ้านเช่าของเธอด้วย และนั่นทำให้ผมอยากจะบ้า เธอไม่รู้หรือไงว่ามันอันตรายแค่ไหน ผู้หญิงอยู่กันสองคนกับเด็ก แถมยังแชร์โลเคชันของคนทั้งโลกว่าบ้านอยู่ที่ไหน

แต่ที่แย่กว่าวันจันทร์ก็คือผมเอง ที่ทิ้งพวกเขาให้อยู่กันสองคน...

ความโคลงเคลงของรถบวกกับการที่ถูกอุ้มไว้ในอ้อมกอด ทำให้หลังจากออกรถได้ไม่นานเด็กน้อยจอมโวยวายก็เผลอหลับไปจนได้ ใบหน้าเคลือบน้ำตานั้นทำให้เธอดูน่าสงสารและน่าเอ็นดูในเวลาเดียวกัน

“หลับแล้วว่ะ” ผมเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับหันหน้าไปมองน้องชาย

“เฮียจะเอาเด็กไปทิ้งไหน แต่ผมว่าอย่าทิ้งเลย สงสาร” อายกระซิบกลับมา

ดูความคิดมันดิ มันน่าแพ่นกบาลสักสองสามที ในสายตาน้องเห็นผมเป็นคนยังไงกันนะ

“F*** ไม่ได้จะเอาไปทิ้ง มึงนี่เห็นกูเป็นคนยังไง” ผมถามกลับเสียงเขียว ขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมเสียงไม่ให้ดังจนปลุกวันสุขไปด้วย

“ก็เห็นเป็นเฮียไง”

อ้าว ไอ้นี่!

“พอเลย ขับไปตามแผนที่นี้นะ” ผมเลิกใส่ใจการมองโลกในแง่ร้ายของอายพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ที่เปิดโปรแกรมนำทางให้เขา ก่อนจะก้มหน้ามองคนตัวเล็กที่หลับตาพริ้ม

“บ้านใครอะ เอาไปส่งเหรอ” อายถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“บ้านแม่เด็กคนนี้ไง”

“เมียเฮีย?”

“ก็ไม่เชิง” จะให้พูดยังไงดีล่ะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ความสัมพันธ์ของเราคือมีลูกด้วยกัน และเธอยกตำแหน่งให้ผมเป็นแค่ดีเอ็นเอของลูก

“แล้วมันยังไงวะเฮีย นี่ซุกลูกมาจนจะโตแล้วเนี่ย” อายเริ่มหงุดหงิดจากการตอบคำถามกำกวมของผม

“เรื่องมันยาว มึงใจเย็นๆ แล้วขับรถไป”

“กลับคอนโดเมื่อไหร่ต้องคุยกันยาวๆ เลยเฮีย” อายทำสายตาคาดโทษใส่ผม 

มีน้องชายดุขนาดนี้ บางทีผมก็เข้าใจผิดเหมือนกัน นึกว่ามันเป็นพ่อ!

เราขับรถไปเรื่อยๆ ผ่านเขตชุมชนแออัดก่อนจะถึงซอยแคบๆ แห่งหนึ่ง ที่พักของวันจันทร์เป็นอะพาร์ตเมนต์เก่าๆ ตัวอาคารเป็นคอนกรีตสูงสามชั้น มีที่จอดรถ บริเวณรอบอาคารเป็นสวนที่มีระเบียบ ตอนกลางวันน่าจะสวยไม่น้อย แต่ที่นี่ไม่มีระบบคีย์การ์ด ไม่มีแม้แต่ยาม การเข้าออกไม่มีการตรวจสอบ เรียกได้ว่าระดับความปลอดภัยติดลบ

อยู่กันไปได้ยังไงวะเนี่ย

สีหน้าของอายยามมองที่พักของสองแม่ลูกไม่ต่างจากผมมากนัก เขาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินลงไปสำรวจชั้นล่าง และเมื่อผมจะก้าวตามลงไป แรงขยับของผมก็ทำให้คนตัวเล็กที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“วันสุขตื่นแล้วเหรอ” ผมทักเธอเมื่อเธอเริ่มมองไปรอบตัวแบบงงๆ

“ฮึก...” ไม่ทันที่เธอจะรู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน เด็กหญิงก็สะอื้นไห้ขึ้นมาอีกครั้ง “ฮึก...”

“ปะป๊าพามาที่บ้าน มาเอาผ้าห่มนุ่มนิ่มไง”

วันสุขกะพริบตาปริบๆ จ้องมองผม ส่งผลให้น้ำตาของเธอไหลลงมาตามแก้มสองสามหยด มันเป็นภาพที่ค่อนข้างสะเทือนจิตใจผมเป็นอย่างมาก ผมเคยบอกเพื่อนๆ แก๊งเสือว่าผมไม่เคยแพ้น้ำตาผู้หญิง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมแพ้น้ำตา ‘เด็กผู้หญิง’

“บ้านวันสุขอยู่ตรงไหน พาปะป๊าไปหน่อยได้มั้ย”

เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มมองไปรอบตัวอีกครั้ง เมื่อพบว่าเธอได้อยู่ในที่ที่คุ้นเคย อาการสะอื้นไห้ของเธอก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เธอกระโดดออกจากอ้อมกอดของผมและลงจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวอาคารด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ผมจึงเดินตามเธอไปโดยปล่อยให้อายรออยู่ด้านล่าง

วันสุขเดินขึ้นไปชั้นสองก่อนจะหยุดที่ห้องริมสุดของทางเดิน ไฟหน้าห้องกะพริบเป็นจังหวะเนื่องจากหลอดใกล้ขาดเต็มที แสงไฟตามทางเดินก็ไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่นัก เป็นรอบที่ร้อยของวันแล้วมั้งที่ผมต้องอุทานในใจว่า ‘อยู่ไปได้ยังไงวะเนี่ย’

ผมค้นกระเป๋าของวันจันทร์ที่ถือติดมือมาด้วย ภายในมีกุญแจอยู่หนึ่งพวงซึ่งมีกุญแจอยู่สี่ห้าดอก แต่ดูจากขนาดแล้วเดาได้ไม่ยากว่าดอกไหนใช้ไขประตูห้อง เมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมสัมผัสได้ถึงความเย็นรอบกาย ภายในห้องค่อนข้างมืด แต่วันสุขกลับเดินไปยังสวิตช์ไฟก่อนจะปีนเก้าอี้ตัวเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ และเปิดไฟอย่างง่ายดาย 

เมื่อมีแสงสว่างก็ทำให้ผมได้เห็นบรรยากาศภายในห้อง แม้ว่าภายนอกจะดูเก่าและโทรม แต่ภายในกลับเป็นคนละเรื่อง ผนังห้องทาสีขาวสว่างสะอาดตา พื้นไม้สีอ่อนช่วยให้ห้องดูอบอุ่น เปิดประตูเข้าไปจะเจอห้องโถงกลางที่มีโซฟาเล็กๆ ตั้งอยู่พร้อมกับโต๊ะรับแขกที่เป็นไม้ ด้านขวาเป็นห้องครัวขนาดเล็กที่มีอุปกรณ์ทำอาหารครบครัน จานชามเน้นของเด็กเป็นหลัก ด้านซ้ายเป็นห้องนอนขนาดเล็กที่มีส่วนแยกกับห้องแต่งตัวชัดเจน เตียงนอนปูด้วยผ้าปูที่นอนสีเหลืองอ่อน และมีผ้าห่มขนนุ่มๆ สีเหลืองพับวางอยู่ นั่นน่าจะเป็นผ้าห่มนุ่มนิ่มที่วันสุขพูดถึง

ไม่ทันไรวันสุขก็วิ่งเข้าไปหาผ้าห่มที่ว่าพร้อมกับเอาหน้าซุกราวกับโหยหามานาน แขนเล็กๆ ของเธอโอบกอดผ้าห่มเอาไว้แน่น โอเค ปะป๊าเข้าใจแล้วว่าหนูคงรักมาก...

ผมแอบสำรวจห้องต่อเล็กน้อยโดยการเดินไปที่ด้านหลังซึ่งเป็นระเบียงเล็กๆ มีเก้าอี้ไม้ตัวจิ๋วอยู่สองตัว มีแปลงผักขนาดเล็กพอดีกับสถานที่ โดยมีต้นผักบุ้ง สะระแหน่ และต้นอ่อนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไรอีกกลุ่มหนึ่ง ริมสุดของระเบียงเป็นกระถางต้นมะลิที่ออกดอกเต็มต้น กลิ่นละมุนของดอกมะลิทำให้ผมนึกถึงฝันตอนกลางวัน

วันจันทร์...

“ปะป๊าขา เอาไปหมดนี่เลยได้มั้ย”

ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กที่หอบผ้าห่มขนนุ่มสีเหลืองไว้ท่วมตัวทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา ดูยังไงก็ลูกไก่ชัดๆ

“ได้สิ เอาไปให้หมดเลย เอาอย่างอื่นไปด้วยนะ ของที่วันสุขชอบน่ะ”

ดวงตากลมแป๋วจ้องมองผมอีกครั้งอย่างใสซื่อ ก่อนที่ปากเล็กนั้นจะค่อยๆ ขยับเพื่อเปล่งเสียงออกมา

“เอาไปทั้งห้องเลยได้มั้ยคะ”

ผมผิดไปแล้วที่ถามแบบนั้น!

สุดท้ายเราสองพ่อลูกก็ต้องมานั่งแยกของว่าจะเอาอะไรกลับไปบ้าง อย่างแรกคือกองผ้าห่มจำนวนสี่ผืน หมอนลายลูกไก่สีเหลือง ตุ๊กตารูปสตรอว์เบอร์รีขนาดเล็ก ชุดนักเรียน แล้วก็ครีมทาตัว

ผมใช้ผ้าห่มผืนใหญ่ที่สุดห่อของทั้งหมดไว้รวมกันแล้วแบกขึ้นหลัง โดยมีวันสุขกระโดดเชียร์อยู่ข้างๆ เมื่อเดินไปถึงรถ ก็พบว่าอายกลับเข้าไปนั่งรอในรถเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของเขาดูแปลกๆ

“ไปเหอะเฮีย อยากกลับแล้ว” อายเปิดหน้าต่างออกมาเร่งผม พร้อมกับทำท่ามองซ้ายมองขวาราวกับกำลังระแวดระวังอะไรบางอย่าง

“ใจเย็น เห็นมั้ยว่าของมันเยอะแค่ไหน” ผมบ่นก่อนจะยัดข้าวของใส่ท้ายรถซึ่งมีขนาดเล็กมากจนผมต้องบ่นซ้ำอีกรอบ “ทำไมไม่เอารถคันใหญ่กว่านี้มา”

ผมคาดว่าจะต้องเจออายเถียงกลับมา แต่เปล่า เขาเลือกที่จะเงียบ ทำหน้านิ่วและพยายามเพ่งไปที่พวงมาลัยรถ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเขามากนักและเหลือบตาไปมองคนตัวเล็กแทน

วันสุขยืนรออยู่ข้างๆ พร้อมกับทำหน้าลุ้นไปด้วย ก่อนจะกระโดดดีใจเมื่อเห็นว่าผมยัดของใส่ท้ายรถได้สำเร็จ จะว่าผมหลงลูกก็ได้ แต่รอยยิ้มของเธอมันช่างน่ารัก

เนื่องจากรถของอายมีแค่สองที่นั่ง วันสุขจึงต้องนั่งตักผมเหมือนขามา แต่ว่าตอนนี้เธอตื่นอยู่

“ปะป๊าขา พี่คนนี้เป็นใครคะ” วันสุขถามพร้อมกับจ้องมองอายที่กำลังขับรถอยู่ตาไม่กะพริบ สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยวางใจเขาเท่าไหร่ตามประสาเด็กเวลาเจอคนแปลกหน้า

“อาอายครับ อาอายเป็นน้องชายของปะป๊า” ผมอธิบาย 

“อ้อ...” เด็กหญิงปรายตามองอายด้วยหางตา ก่อนจะร้องอ้อและพยักหน้าหงึกๆ เหมือนรับรู้แล้ว ท่าทางน่าหมั่นไส้ของเธอตอนนี้มันเหมือนแม่ของเธอไม่มีผิด

ตลอดเวลาที่ขับรถกลับ วันสุขนั่งมองทางไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน แต่อายมีอาการแปลกๆ ตลอดเวลา ปกติเขาเป็นคนขับรถนิ่งและมีสมาธิ แต่วันนี้เขากลับเหลียวซ้ายแลขวา หันหน้าหันหลังตลอด แถมยังมีเหงื่อผุดซึมทั่วใบหน้าทั้งที่แอร์ในรถค่อนข้างเย็น

“เป็นอะไร ทำไมแปลกๆ”

“ก็รู้สึกแปลกๆ ไงเฮีย เหมือนมีคนตามมา” 

“ใครวะ” ผมหันไปมองรอบรถอีกครั้ง เวลาเกือบเที่ยงคืน ถนนโล่ง ไม่มีรถสักคันตามมา 

“เดี๋ยววันสุขหลับค่อยคุยกัน”

เที่ยงคืนเศษๆ ในที่สุดเราก็กลับมาถึงคอนโด อายขอตัวกลับห้องก่อนและบอกว่าจะกลับมาใหม่หลังจากที่วันสุขหลับ ส่วนผมก็พาวันสุขขึ้นห้องและจัดการจัดที่นอนให้เธอใหม่ 

ผ้าห่มสีเหลืองถูกปูเข้าไปเต็มเตียงผม สีเหลืองกับดำที่ตัดกันทำให้ผมรู้สึกเหมือนห้องนอนตัวเองกำลังจะกลายเป็นผึ้ง เด็กหญิงตัวน้อยที่ก่อนหน้านี้ร้องไห้โวยวายกลับกลายเป็นนอนลูบผ้าห่มอย่างมีความสุข ท่าทางเธอดูจะเคลิบเคลิ้มกับผ้าห่มมากๆ

รอยยิ้มและแววตาของวันสุขทำให้ผมคิดว่าคืนนี้จะจบแล้ว ถ้าเธอไม่เดินออกจากห้องมาหาผมแล้วพูดเสียงงัวเงีย

“ปะป๊า...”

“อ้าว ปะป๊านึกว่าหลับแล้ว”

“วันสุขง่วงมาก” เธอเอ่ยเสียงยานคาง ตาสองข้างแทบจะปิดอยู่แล้วแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมา

“แล้วทำไมไม่นอนล่ะครับ นอนไม่หลับเหรอ”

เด็กหญิงตัวน้อยส่ายหน้าพร้อมกับทำหน้างอ ก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “อยากกินนม”

จริงด้วย ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าเด็กวัยนี้อาจจะต้องกินนมก่อนนอน ผมคงไม่มีนมให้เธอตอนนี้ แต่ถ้าเป็นเบียร์กระป๋องเย็นๆ ก็ว่าไปอย่าง

“วันสุขอยากกินนมอะไรล่ะ เดี๋ยวปะป๊าหาให้” ผมถามเธอ ในหัวคิดไปถึงตู้เย็นห้องอาย รายนั้นมีของมีประโยชน์อยู่เต็มไปหมด ไม่แน่อาจจะมีนมกล่องอยู่หลายชนิด แต่คำตอบของวันสุขกลับทำให้ผมต้องเอาหัวโขกกำแพงและเก็บความคิดที่จะไปขอความช่วยเหลือจากอาย เมื่อเธอตอบว่า

“วันสุขอยากกินนมมะม้า!”

แล้วปะป๊าจะไปหาจากไหนล่ะครับ!

End Chavis’ talk

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น