10

เบาะแส

บทที่ ๑๐

เบาะแส

 

Wanjun’s talk 

ฉันอ่านสีหน้าของพี่เอยตอนนี้ไม่ออก ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร และไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงขอมือไปแบบนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าเราคงสัมผัสกันไม่ได้ แต่กระนั้นฉันก็ยังยื่นมือออกไปราวกับมีความหวัง...หวังว่าจะมีเลือดเนื้อจริงๆ และสัมผัสเขาได้เช่นกัน แต่ก็ไม่

“แล้วต้องทำยังไงถึงจะกลับร่างได้” พี่เอยถาม ในขณะเดียวกันเขาก็พยายามเอานิ้วชี้ไล่ไปที่รอบๆ มือของฉันเหมือนพยายามจะร่างให้เป็นรูปร่าง เขาคงกำลังประหลาดใจกับสิ่งที่เจอ

“ก็ต้องหาว่าใครเข้าร่างจันทร์ แล้วค่อยหาวิธีให้เขายอมออกมา” ฉันตอบแบบสรุปเพื่อให้เขาเข้าใจง่าย เพราะถ้าให้เล่ายาวแบบละเอียด มีหวังได้คุยกันยันเช้า “ระหว่างนี้จันทร์ขอรบกวน...ฝากลูก...ได้ไหมคะ

พี่เอยสบตาฉันด้วยสีหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เขากัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะตอบ

“นั่นก็ลูกพี่ จะบอกว่ารบกวนทำไม”

ฉันเลี้ยงลูกคนเดียวมาตลอด และคิดว่าเรามีกันสองคนแม่ลูก แต่พอมีอีกคนเพิ่มเข้ามา มามีส่วนร่วมในการเลี้ยงดู มันจึงเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะอธิบาย แต่ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ฉันก็ต้องขอบคุณเขาอยู่ดี

“ขอบคุณค่ะ แล้วจันทร์จะรีบหาทางกลับมารับลูกนะคะ”

เพราะไม่อยากรบกวนเขาไปมากกว่านี้ ฉันคงต้องรีบหาทางกลับเข้าร่าง การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันต้องใช้ทั้งแรงกาย แรงใจ และเวลา ฉันเป็นห่วงลูก และเกรงใจพี่เอยกับคุณอายเป็นอย่างมาก เลี้ยงลูกไม่เหมือนการเล่นกับเด็กทั่วไป การที่เราอยู่กับเขาตลอดทำให้เราเห็นเขาในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่น่ารัก

เพื่อนร่วมงานฉันมักจะมองว่าวันสุขเป็นเด็กน่ารัก เรียบร้อย ใช่ นั่นคือช่วงเวลาดีๆ ของวันสุขที่พวกเขาได้เจอ แต่สำหรับคนที่เลี้ยงจริงๆ ฉันต้องเจอช่วงเวลาที่ไม่น่ารักมานับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งก็รู้สึกว่าเขางี่เง่า มันเป็นหน้าที่ฉันที่ต้องสอนและดัดนิสัยจุดนั้นก่อนที่เขาจะไปทำกับคนอื่น...แบบที่คุณอายเจอ

ทุกครั้งที่เราได้สอน ความไม่น่ารักของเขาก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ขัดเกลาจนมาเป็นวันสุขในทุกวันนี้...ขอโทษที่มะม้าไม่สามารถสอนอะไรหนูได้ในตอนนี้นะลูก

“หายไปไหนแล้ว” พี่เอยขมวดคิ้วมุ่น หันหน้าไปทางซ้ายทีขวาที 

“พี่เอย”

“จันทร์ ยังอยู่มั้ย” พี่เอยถามอีกครั้งพร้อมกับทำหน้าเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง เขาทำเหมือนกับมองไม่เห็นฉันอีกแล้ว

“พี่เอยได้ยินจันทร์มั้ย”

“จู่ๆ จะไปก็ไม่บอกกันเลย” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย 

ไปที่ไหนกันเล่า ก็นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ แต่มองไม่เห็นเอง

เหมือนสัญญาณโทรศัพท์ที่ขาดหาย เรากลับมาอยู่กันคนละโลกอีกครั้ง ฉันไม่สามารถพูดคุยอะไรกับเขาได้อีก แต่อย่างน้อยการที่เราได้นั่งคุยกันเกือบสิบห้านาทีวันนี้ก็นับเป็นการเริ่มต้นที่ดีของการคุยกันครั้งแรก วันหลังคงต้องลองใหม่

พี่เอยเอนหลังพิงโซฟาทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างพร้อมกับเอามือหนึ่งข้างก่ายหน้าผาก มันคงเป็นวันที่เหนื่อยสำหรับเขาพอสมควร ฉันได้แต่มองภาพนั้นด้วยความเห็นใจ อยากจะช่วยแต่ก็ทำไม่ได้

“ขอโทษนะคะที่ทำให้เหนื่อยไปด้วย”

เมื่อเห็นว่าไม่สามารถคุยอะไรกับพี่เอยได้อีก ฉันจึงลอยกลับเข้าไปหาลูกในห้องอีกครั้ง เจ้าตัวป่วนที่สร้างความเดือดร้อนให้ทุกคนในวันนี้นอนคุดคู้อยู่ข้างผ้าห่มขนฟูของเธอ เธอนอนหลับสนิทแบบไม่คิดจะรับรู้สิ่งอื่นใดบนโลก

กี่ปีแล้วนะที่ฉันเฝ้ามองใบหน้านี้มา แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอโตขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปตอนไหน จากเด็กตัวเล็กๆ ผิวสีแดง ฟันก็ไม่มี ตื่นเมื่อไหร่ก็ร้องไห้จ้าขอกินนม ผมก็บาง เดินก็ไม่ได้ วันคืนผ่านไปเธอกลับสูงขึ้น เดินได้คล่องแคล่ว ผมยาวดำขลับ แน่นอนว่าวันข้างหน้าเธอก็จะเติบโตไปมากกว่านี้

“วันนี้หนูทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนเยอะแยะเลยนะลูก” ฉันกระซิบข้างหูคนตัวเล็กด้วยเสียงแผ่วเบา “อาอายเขาช่วยหนูไว้รู้ไหม”

ไม่มีเสียงตอบรับใดนอกจากเสียงหายใจแผ่วเบา วันสุขขยับเปลือกตาเล็กน้อยก่อนจะกลิ้งตัวไปกอดผ้าห่มเอาไว้แน่น

“เป็นเด็กดีนะคะ แล้วมะม้าจะรีบกลับมา”

 

หลังจากที่การสื่อสารของเราขาดหาย พี่เอยก็จัดการตัวเองโดยการอาบน้ำ เปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน แต่ชุดนอนของเขาทำให้ฉันต้องกุมขมับเมื่อเขาใส่เพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียวและเปลือยช่วงบน ให้ตายสิ เขาคงลืมไปแล้วว่าฉันอยู่ด้วย ถึงเขาจะมองไม่เห็นฉัน แต่ฉันเห็นทุกอย่าง

มุมมองจากด้านหลังที่ฉันกำลังมองเขาเผยให้เห็นรอยสักครึ่งหนึ่งของรูป ช ช้างบริเวณเอว อีกครึ่งหนึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยกางเกงขาสั้นสีดำ ที่เขาเคยพูดถึงตอนอาบน้ำกับวันสุขคงเป็นอันนี้สินะ รอยสักเจ้าปัญหาที่ทำให้ฉันคิดไปไกล

“คนอะไรไม่ระวังตัวเอาซะเลย”

พี่เอยนั่งจิบน้ำอยู่ที่โซฟาครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะปิดไฟทั้งหมดแล้วเข้าห้องไปนอนข้างวันสุข เขาจ้องมองใบหน้าของคนตัวเล็กอยู่ครู่หนึ่ง ใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าเธอออกเบาๆ ก่อนจะจุ๊บแก้มเนียนใสนั่น จากนั้นแขนแกร่งก็เอื้อมไปโอบกายของเด็กหญิงไว้

คนตัวเล็กกลิ้งตัวเข้าซุกหน้าอกอุ่นๆ นั้นอย่างเร็วพลันราวกับเธอกำลังโหยหามัน จากนั้นเธอก็หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ

อิจฉาพี่เอยจัง...

สองพ่อลูกหลับสนิทไปแล้ว ฉันใช้เวลาที่เหลือก่อนจะถึงตีสามไปกับการนั่งๆ นอนๆ อยู่รอบกายพวกเขา ความว่างทำให้ฉันเริ่มเหงา เพื่อนก็ไม่มี ยมทูตก็ไม่มา ในใจรู้สึกอยากคุยกับใครสักคน

เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมวิญญาณถึงชอบออกมาสร้างความหลอนให้มนุษย์ บางทีพวกเขาอาจจะแค่เหงาและอยากหาเพื่อนคุยก็ได้ สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจออกจากห้อง แป๊กเคยบอกไว้ว่ายิ่งหลอกคนบ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้คนเห็นตัวได้เก่งขึ้นเท่านั้น บางทีฉันคงต้องหาเหยื่อสักคนเพื่อฝึกวิชา เวลาดึกดื่นแบบนี้ถ้าจะยังมีคนไม่นอน...ก็มีแต่ยามละมั้ง

ความลำบากในการขึ้นลงคอนโดอย่างหนึ่งคือการกดลิฟต์ ฉันไม่ใช่มนุษย์ที่จะจิ้มกดลิฟต์ได้อย่างง่าย ฉันต้องใช้เวลานานมากในการกดปุ่มลิฟต์ กดสักร้อยครั้งมันจะทะลุไปเก้าสิบเก้าครั้ง และจะมีหนึ่งครั้งที่ความพยายามสำเร็จ นอกจากต้องกดให้ลิฟต์เปิดแล้วยังต้องกดชั้นด้วย ถ้ามีใครสักคนมาขึ้นลิฟต์แล้วเห็นประตูลิฟต์เปิดค้างไว้อยู่ นั่นก็เพราะฉันกำลังพยายามกดเลขชั้นอยู่นั่นเอง

ติ๊ง!

เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก จากสายตาคนทั่วไปและกล้องวงจรปิดคงเห็นเป็นเพียงประตูลิฟต์เปิดธรรมดา และนั่นก็คือจังหวะที่ฉันเดินออกมาที่ชั้นหนึ่งของคอนโด ระหว่างเดินออกจากประตู เพียงเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคุณเป้กำลังขึ้นลิฟต์อีกตัวไปชั้นบน เนื่องจากประตูลิฟต์ปิดไปครึ่งหนึ่งแล้ว ฉันจึงได้เห็นคุณเป้และขาของใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง 

เพื่อนเธอละมั้ง

ดีจัง แม้แต่คนที่ดูเงียบๆ อย่างคุณเป้ยังมีเพื่อนผีไปไหนมาไหนด้วย ส่วนฉันสิเหงาจริงจัง ความคิดชั่วร้ายเรื่องการหลอกคนแล่นเข้ามาในหัวอีกครั้ง ฉันตั้งใจจะหาสีสันให้ชีวิตด้วยการไปทักทายยามที่เฝ้าคอนโด ฉันลอยวนไปจนทั่วชั้นหนึ่งก็ยังไม่เห็นวี่แววของพี่ยาม ดูท่าพี่แกจะทำงานได้ดี...แต่ที่ไหนได้ แกแอบมานั่งหลับบริเวณที่จอดรถ

สงสัยจะทำบาปไม่ขึ้น จะหลอกคน...คนก็หลับ

สุดท้ายจึงได้แต่ลอยคอตกไปที่สี่แยกซึ่งเป็นที่ประจำของแป๊ก ซึ่งคราวนี้ก็ไม่ผิดหวัง เมื่อได้เจอวิญญาณของหนุ่มน้อยที่กำลังทำท่าเดินเลียนแบบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอย่างสนุกสนาน ไม่อยากจะนึกภาพถ้าตัวฉันต้องเป็นผีจริงๆ นานเป็นปีๆ ฉันอาจจะเพี้ยนๆ แบบเจ้าแป๊กนี่ก็ได้ วันๆ ไม่มีอะไรทำ ไม่หลอกคนก็เล่นอะไรแผลงๆ ไปเรื่อย

“แป๊ก”

“อ้าว เจ้ อีกตั้งครึ่งชั่วโมง ไม่เฝ้าลูกเหรอ” แป๊กถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง ท่าทางยังสนุกกับการเลียนแบบท่านักท่องเที่ยวอยู่

“ลูกหลับอยู่ แถมมีพ่อเขานอนกอด ดูไปก็อิจฉา” ฉันตอบตามตรง 

“อิจฉาลูกเหรอเจ้” เด็กหนุ่มถามพร้อมกับทำหน้าทะเล้น

“เอ๊ะ ไอ้นี่ อิจฉาพ่อเขาสิ” ฉันค้อนขวับเข้าให้เมื่อเจ้าผีเด็กนั่นแซวอะไรไม่เข้าท่า นี่ถ้าเป็นแม่จะเขกกบาลเข้าให้

“แหม แซวนิดหน่อยทำดุ”

“นิดหน่อยก็ไม่ได้” ฉันตอบพร้อมกับทำตาขวางใส่เด็กหนุ่ม มันใช่เรื่องที่ไหน พูดจบฉันก็ทำท่าจะลอยหนี ปล่อยให้เจ้าเด็กเพ้อเจ้อนั่นเล่นสนุกต่อไปคนเดียว แต่เจ้าเด็กนั่นยอมที่ไหนกันล่ะ เขารีบลอยตามมาพร้อมกับทำหน้าสำนึกผิดที่ดูก็รู้ว่าเสแสร้ง

“เอาน่าเจ้ ไม่แซวแล้ว ระหว่างรอพวกเฮีย เราก็เล่นอะไรสนุกกันแถวนี้ดีกว่า” คนขี้เล่นเอ่ยชวนพร้อมกับหลิ่วตาไปทางชายไทยวัยประมาณสามสิบกว่าๆ ที่กำลังเมาและทำท่าจะคุกคามนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนอยู่บริเวณไฟแดงอีกฝั่งของถนน

“ค้างคืน จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา อย่าเล่นตัวได้มั้ย” ชายหนุ่มพูดจาด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว ใบหน้าและดวงตาของเขาแดงก่ำจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขาทั้งสองข้างดูเหมือนจะอ่อนเปลี้ยจนยืนไม่ตรง

“^$%^%#%^*!@” สาวชาวจีนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว เธอทำท่ามองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังมองหาเพื่อน 

“เล่นตัว พูดด้วยก็ไม่ตอบดีๆ พูดจาไม่รู้เรื่องเลยนะเราอะ” คนเมายังคงโวยวายพร้อมกับกระชากแขนหญิงสาว จังหวะนั้นฉันเข้าไปกระซิบข้างหูชายคนนั้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“มาเล่นกับหนูดีกว่ามั้ยพี่...”

คนเมาหันขวับมาทางฉันเพื่อมองหาต้นเสียง แต่ไม่ทันเพราะฉันขยับหนีเขาไปอีกทาง ก่อนจะกระซิบข้างหูเขาอีกครั้ง

“ทางนี้...”

จังหวะที่ชายคนนั้นกำลังสับสน นักท่องเที่ยวผู้โชคร้ายคนนั้นก็สบโอกาสวิ่งหนีไป เหลือเพียงชายหนุ่มที่ยังคงมองไปรอบกายด้วยความมึนงง

“อยู่นี่ไง...”

ฉันกระซิบจากด้านหลังของเขา ส่งผลให้เขาหันขวับกลับมาสบตาฉัน ใบหน้าของเราทั้งสองตรงกันพอดี ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะจ้องมองฉัน ปากขยับราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา เขาชี้มาที่ฉันด้วยมือสั่นเทา

“ผะ...ผะ...ผะ...”

ฉันจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า รอคอยว่าเขาจะพูดอะไรออกมา

“ผะ...ผะ...ผะ...”

“ผีก็ได้ คิดอะไรนาน”

แม้ว่าจะยังยืนค้างอยู่แบบนั้น แต่เหมือนว่าสติของเขาได้จากไปเรียบร้อยแล้ว ฉันเหล่ตามองเขาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะผละออกจากตรงนั้นโดยไม่ได้หันไปสนใจชายคนนั้นอีก กับผู้หญิงล่ะทำเป็นเก่ง เจอผีเข้าหน่อยก็เงียบไปเลย

“จังหวะเจ้ดีอะ โคตรหลอน” เจ้าแป๊กปรบมือชอบใจเมื่อเห็นฉันกลับมาหาเขา ท่าทางดูตื่นเต้นสนุกสนานราวกับได้ดูโชว์กายกรรมระดับโลก ก็แค่ห้อยหัวลงมาจากเสาไฟฟ้าเท่านั้นเอง

“ดูหนังผีมาเยอะ”

ฉันยักคิ้วให้เขาหนึ่งข้างเพื่อแสดงความเหนือ เรื่องการแสดงขอให้บอก ก็บอกแล้วว่าเคยฝันอยากเป็นดารา แต่ตอนนี้อยากเป็นแม่มากกว่าเท่านั้นเอง

“อีกหน่อยคงต้องยกให้เจ้เป็นอาจารย์แล้วเนี่ย” แป๊กชมน้ำเสียงจริงจัง เจ้าเด็กนี่มันอยู่เป็นจริงๆ

“พวกเมาแล้วกร่างนี่น่าเบื่อจริงๆ” ฉันส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย ไม่ชอบจริงๆ พวกผู้ชายที่คุกคามผู้หญิงแบบนั้น

แป๊กพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับยกนิ้วหัวแม่มือให้ฉัน จากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ เนื่องจากใกล้ถึงเวลานัดกับพวกเฮียเพ้งแล้ว เราแค่มองหน้ากันอย่างรู้ใจก่อนจะลอยไปที่ตลาดตามเส้นทางที่เคยไป เมื่อไปถึงก็พบเฮียเพ้ง พี่ตง และเจ๊มด แต่ไม่เห็นคุณเป้ ทั้งสามคนกำลังจับกลุ่มคุยกันอย่างเมามัน

“เฮีย จำลูกป้าสำลีได้มั้ย เดี๋ยวนี้มันแต่งงานไปอยู่ต่างประเทศได้ดิบได้ดีเลยนะ” เจ๊มดเล่าอย่างออกรส โดยมีเฮียเพ้งและพี่ตงพยักหน้าเนือยๆ

“เออ ก็ยินดีกับเขา” เฮียเพ้งตอบแบบไม่ใส่ใจนัก

“อ้าว เขาไม่ได้แต่งงานที่ภูเก็ตเหรอ” พี่ตงถามพร้อมกับทำสีหน้าสงสัย

“หืมมม อันนั้นน่ะข่าวเก่าปีมะโว้ ไม่อัปเดตเลย” เจ๊มดส่ายหน้าราวกับว่าเรื่องที่พี่ตงพูดมันช่างตกข่าวนักหนา

ท่าทางการสนทนาของทั้งสามทำให้ฉันกับแป๊กต้องหันมามองหน้ากันอย่างขำๆ ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าเจ๊มดสมัยมีชีวิตคงมีตำแหน่งเป็นหน่วยสืบราชการลับที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าซีไอเอ

“เฮีย เจ๊ พี่ตง หวัดดีฮะ” แป๊กยกมือไหว้ทักทายทั้งสามคน ดึงความสนใจจากทั้งสามให้หันมามองเราได้ดีนักแล

“สวัสดีค่ะ” ฉันทักพวกเขาบ้าง

“เอ้า วันจันทร์ มาๆ นั่งๆ” เจ๊มดเชื้อเชิญให้ฉันไปนั่งข้างๆ โดยมีพี่ตงและเฮียเพ้งคอยพยักหน้าเรียก ฉันจึงนั่งลงข้างเจ๊มด ส่วนแป๊กนั่งข้างเฮียเพ้ง

“นี่เจ๊ไปสืบมาแล้วนะ รายชื่อทั้งสี่น่ะ” เจ๊มดทำหน้าจริงจัง ทำให้ทุกคนหันไปจ้องมองเธออย่างสนใจ เธอเว้นจังหวะและมองหน้าทีละคนช้าๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “รายชื่อทั้งสี่น่ะ...”

“ยังไงเจ๊” แป๊กถามอย่างเร่งรัด ในขณะที่ทุกคนคอยลุ้นว่าเจ๊มดจะพูดอะไร

“เจ๊ไม่รู้จักเลย”

“โอ๊ยยย!”

“โว้ยยย!”

“ปัดโธ่!” 

แป๊ก พี่ตง และเฮียเพ้งถึงกับอุทานออกมาพร้อมกัน

“โหย แล้วจะพูดให้ลุ้นทำไมเจ๊” แป๊กบ่นพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“นั่นสิ เฮียก็รอฟังจะแย่” เฮียเพ้งบ่นบ้าง

“ไอ้เรื่องมีสาระนี่ไม่เคยจะรู้หรอก” พี่ตงส่ายหน้า

ส่วนเจ๊มดตอนนี้ก็ได้แต่เอามือเกาท้ายทอยทำท่าเหนียมอาย หัวเราะแหะๆ แก้อาการเคอะเขิน ฉันก็ได้แต่ยิ้มให้เจ๊มดแหยๆ ไม่อยากจะบอกเลยว่าฉันก็เผลอลุ้นไปเช่นกัน

“ก็แหม...”

“อย่าว่าแต่นังมดมันเลย ตอนนี้เฮียก็ยังไม่มีเบาะแสเหมือนกัน” เฮียเพ้งเอ่ยขึ้นบ้าง เขาทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่นามสกุลทวีโชคนี่เฮียว่ามันคุ้นๆ นะ เหมือนจะรู้จัก เดี๋ยวขอเช็กกับเพื่อนอีกที พอดีมันไปต่างจังหวัด เห็นว่าญาติที่กำแพงเพชรจัดงานบุญใหญ่ให้”

แม้จะเป็นความหวังเพียงน้อยนิด แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยทีเดียว

“พี่ไปถามเพื่อนๆ เขาบอกรู้จักคนนามสกุลชัยวัชรศิริ เห็นว่าทำบริษัทโฆษณาหรือไงนี่แหละ แต่ไม่รู้ว่าจะคนเดียวกันหรือเปล่า อาจจะต้องไปลองหาดู” พี่ตงเอ่ยขึ้นบ้าง

“ขอบคุณทุกคนมากเลยค่ะ”

บริษัทโฆษณา...พี่เอยน่าจะรู้จักบ้าง ถึงแม้จะไม่ใช่ข้อมูลมากมายอะไร แต่อย่างน้อยตอนนี้มันก็ไม่ใช่ศูนย์อีกต่อไป ความหวังที่ฉันจะได้กลับเข้าร่างเริ่มเพิ่มขึ้น ต่อให้เป็นแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าดี

หลังจากนั้นพวกเราก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระ ส่วนมากจะเป็นเจ๊มดที่เล่าเรื่องคนนั้นคนนี้ มีทั้งเรื่องราวของคนที่ตายแล้วและยังไม่ตาย เรียกได้ว่าใครไม่ได้นั่งอยู่ในวงนี้...โดนหมด 

“เอ...วันนี้คุณเป้ไม่มาแฮะ” เมื่อนินทาไปรอบโลกแล้ว เจ๊มดก็วกกลับมาที่คนในกลุ่มที่ตอนนี้ไม่ได้นั่งอยู่ที่นี่ด้วย

“เขาก็มาๆ หายๆ แบบนี้อยู่แล้วนี่” พี่ตงพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก จะว่าไปก่อนออกมาฉันเห็นคุณเป้ขึ้นไปบนคอนโดกับใครบางคนที่ฉันไม่เห็นหน้า สงสัยมีเพื่อนมาหาละมั้ง เลยไม่ได้มาร่วมวงสนทนาด้วยกัน

“จะว่าไปเราก็คุยกับเขามาตั้งนาน จนตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเขาฆ่าตัวตายจริงมั้ย แล้วเพราะอะไร” เจ๊มดตั้งข้อสังเกต ใบหน้าของเธอฉายแววอยากรู้อยากเห็นชัดเจน

“เอาน่านังมด เรื่องของเขา เว้นไว้สักคนเป็นไร” เฮียเพ้งตัดบทจนเจ้าของประเด็นอย่างเจ๊มดต้องทำหน้ายู่ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น

“เชอะ ก็ฉันอยากรู้ ฉันถามเขาก็ไม่ตอบ ฉันไปสืบเองที่อื่นก็ได้”

เรานั่งคุยเรื่อยเปื่อยไปจนถึงประมาณตีสี่ ผู้คนก็เริ่มมากขึ้น ร้านรวงต่างๆ เริ่มเตรียมจะเปิดกันอีกครั้ง และนั่นก็เป็นเวลาที่เราทั้งหมดต้องแยกย้ายกัน 

ฉันกลับมาที่ห้องพี่เอยอีกครั้ง พบว่าสองพ่อลูกยังคงหลับสนิทโดยที่วันสุขนอนขนาบข้างกับพี่เอย ทั้งสองนอนยกสองแขนขึ้นเหนือหัวด้วยท่าทางเดียวกันและหันหน้าไปทางซ้ายทั้งคู่ ใบหน้าและท่าทางเหมือนกันอย่างกับก๊อปวางจนฉันอดขำไม่ได้

ก็ได้แต่เฝ้ามองพวกเขาอยู่แบบนั้น...

นาฬิกาบนผนังบอกเวลาตีห้า นี่เป็นเวลาที่ปกติฉันจะตื่นมาเตรียมอาหารเช้าให้วันสุข จากนั้นก็จะปลุกเธอตอนหกโมงเพื่ออาบน้ำแต่งตัวและกินอาหารเช้า เราจะได้ออกจากบ้านกันเกือบเจ็ดโมงเช้าพอดี 

เพราะอยากให้วันสุขได้กินอาหารสดใหม่ทำเอง ไม่ใช่อาหารกล่องจากร้านสะดวกซื้อ ฉันจึงตัดสินใจปลุกพี่เอยอีกครั้งด้วยวิธีที่เคยทำ ฉันหมอบตัวลงไปหาพี่เอยทางด้านขวาของเขาและกระซิบปลุกเขา

“พี่เอยคะ ตื่นค่ะ”

“พี่เอยคะ ทำอาหารให้ลูกกินหน่อย”

“พี่เอยคะ”

“ตื่นค่ะ”

“อืม...ไม่เอา” เขาครางในลำคอพร้อมกับพลิกตัวมาทางฉัน แขนแกร่งของเขาวาดมาจากด้านบนก่อนจะพาดผ่านตัวฉันไป ถ้าเป็นคนคงโดนกอดไปแล้ว

“พี่เอย”

“อืม...ไม่เอา” เขาพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

ฉับพลันเปลือกตาที่เคยปิดสนิทก็ค่อยๆ เปิดขึ้น การพลิกตัวของเขาส่งผลให้ใบหน้าของเราหันมาอยู่ในระดับเดียวกัน ดวงตาของเราทั้งคู่ประสานกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“ไม่ปลุกแบบนี้”

“ได้ยินเหรอคะ ตื่นรึยัง” ฉันถามในขณะที่สายตาเรายังคงจ้องมองกันอยู่ ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบ

“ได้ยินครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอยราวกับกำลังละเมอ ดวงตาคู่สวยนั่นกะพริบเบาๆ อีกครั้งก่อนเขาจะเอ่ยต่อ “ตื่นแล้ว...”

เขาตื่นแล้ว แล้วฉันล่ะเป็นอะไรไป ใบหน้างัวเงียนั้นทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ...

ฉันขยับตัวออกห่างจากเขามาระยะหนึ่งและนั่งมองเขาทำท่างัวเงียจากปลายเตียง สักพักเขาก็ลุกขึ้นมานั่งขยี้ตา ผมเผ้ายุ่งเหยิงแต่กลับดูมีเสน่ห์แบบแปลกๆ การเปลือยกายส่วนบนทำให้เห็นกล้ามเนื้อของเขาชัดไปทุกสัดส่วน

บ้าจริง...อย่าไปมอง

“ปลุกพี่ทำไม” เขาถามทั้งๆ ที่ตายังลืมไม่เต็มที่ 

“เตรียมอาหารให้วันสุขหน่อยค่ะ ไม่อยากให้กินอาหารแช่แข็ง”

ไม่รู้ว่ามันเป็นคำขอที่มากไปสำหรับเขาหรือเปล่า แต่ถ้าเลือกได้ฉันก็แค่อยากให้วันสุขได้กินอะไรที่ดีที่สุดเท่านั้นเอง สุขภาพของลูกในวัยเด็กเป็นสิ่งที่เราให้เขาเป็นต้นทุนติดตัวได้

“อืม...โอเค” เขารับปากทั้งๆ ที่ยังกึ่งหลับกึ่งตื่น ก่อนจะลุกขึ้นเดินเซไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้า

เสียงก๊อกน้ำดังซู่ซ่าอยู่พักหนึ่งพร้อมกับเสียงงึมงำที่ฟังไม่ได้ศัพท์ของพี่เอย ฉันได้แต่นั่งมองเขาจัดการตัวเองอย่างเงียบๆ ไม่นานนักเขาก็ออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูสดชื่นขึ้น 

“ใส่เสื้อหน่อยมั้ย” ฉันถาม 

“ไม่เอา ร้อน” เขาตอบอย่างไม่ไยดีก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดูว่ามีอะไรพอจะทำให้ลูกกินได้บ้าง “มีไข่ แคร์รอต บรอกโคลีด้วยแฮะ”

น้ำเสียงเขาฟังดูประหลาดใจที่พบอาหารสดจำนวนหนึ่งในตู้เย็นของตัวเอง ที่จริงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำอาหารเช้ามื้อหนึ่งสำหรับเด็กตัวเล็กๆ

“ก็ดีนี่คะ” ฉันตอบพร้อมกับลอยไปส่องดูตู้เย็นที่เขาเปิดทิ้งไว้

“ประเด็นคือมันมีได้ไง” เขาหันมาถามฉันด้วยสีหน้าสงสัย 

“จะรู้มั้ยล่ะคะ” ฉันถามกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งประชด นี่ผีไง ไม่ใช่หมอดู จะไปตรัสรู้ได้ยังไง แต่อันที่จริงก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ที่เขาจะไม่รู้ เพราะการจัดการทุกอย่างในห้องนี้เป็นหน้าที่ของแม่บ้านที่เขาจ้างไว้นั่นเอง ฉันยังไม่เคยเห็นแม่บ้านของพี่เอย เดาว่าเธอน่าจะเข้ามาทำทุกอย่างในช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ซึ่งเป็นเวลาที่พี่เอยไม่อยู่บ้านนั่นเอง

“ช่างเถอะ มีเท่านี้ทำอะไรให้ลูกกินได้บ้าง” พูดพลางชูไข่ไก่และบรอกโคลีขึ้นมา “ไข่ต้มกับผักลวกไหม ง่ายดี”

มันก็ง่ายหรอก แต่สำหรับเด็กน่ะ หน้าตาอาหารก็สำคัญ วันสุขไม่ใช่เด็กที่กินง่ายเท่าไหร่นัก มีแค่บางเมนูหรือเวลาที่หิวมากๆ เท่านั้นที่เธอจะยอมกินอย่างง่ายดาย

“ทำไข่ตุ๋นได้มั้ย วันสุขชอบ” ฉันเสนอเมนูให้เขา

ไข่ตุ๋นเป็นเมนูที่ง่ายและสารอาหารครบ และที่สำคัญวันสุขชอบมาก ทั้งๆ ที่ปกติเธอไม่ชอบกินผัก แต่ถ้าใส่ผักลงไปในไข่ตุ๋นละก็เธอจะยอมกินโดยง่าย ที่สำคัญกินเยอะด้วย 

พี่เอยยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ จ้องมองไข่และผักราวกับกำลังคิดวิเคราะห์อะไรบางอย่าง จากนั้นร่างสูงก็เงยหน้าขึ้นมามองฉันพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงจำยอมว่า

“สอนด้วยครับ”

เหมือนว่าคุณพ่อมือใหม่อย่างพี่เอยจะไม่มีความสามารถด้านการทำอาหารเท่าไหร่นัก ฉันชี้อุปกรณ์ต่างๆ ที่พี่เอยต้องใช้ แต่ก่อนอื่นเลยเขาต้องหุงข้าวก่อน โชคดีที่พี่เอยยังพอหุงข้าวเป็นอยู่บ้าง จากนั้นเขาก็เตรียมชามสำหรับทำไข่ตุ๋นและหม้อที่ใช้นึ่งอาหาร 

ดูจากสภาพหม้อที่ปกคลุมด้วยฝุ่นแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาคงไม่ได้แตะต้องครัวนี้มาเป็นเวลานาน ภาชนะทุกอย่างต้องนำมาล้างก่อนใช้ทั้งหมด

“พี่ก็หั่นผักเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปในไข่แล้วตีให้เข้ากัน”

ท่าทางตอกไข่ของพี่เอยแม้จะดูเก้ๆ กังๆ เล็กน้อยแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีโดยไม่มีไข่หก จากนั้นเขาก็สับ...ขอใช้คำว่าสับ สับผักเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโปรยลงไปในไข่ก่อนจะใช้ส้อมตีไข่จนฟู

“แล้วทำไงต่อ”

“ใส่ซีอิ๊วนิดนึงก็ได้” ฉันตอบพร้อมกับมองหาขวดซีอิ๊วในครัวของพี่เอย ก่อนจะพบกับขวดที่มีคราบสีขาวติดที่ปากขวด “อี๊! ไม่ต้องใส่แล้ว ราขึ้น”

“จริงดิ ไหนอะ” ชายหนุ่มรีบหันมาที่ขวดเครื่องปรุงด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ดูแลความสะอาดบ้างเปล่าเนี่ย” ฉันบ่นพร้อมกับทำหน้าขยะแขยง เกือบใส่ให้ลูกกินไปแล้วไง “ทิ้งไปเลยนะ พรุ่งนี้ไปซื้อมาใหม่ด้วย”

“ครับๆ” พี่เอยดูเหมือนคนที่ทำอะไรไม่ค่อยถูก ท่าทางเขาดูมึนงงกับเครื่องปรุงและอุปกรณ์ในครัวไปเสียหมด “แล้วตอนนี้เอาไง”

“ใส่เกลือแทนแล้วกัน ลูกชอบจืดๆ อยู่แล้ว” ฉันตอบพร้อมกับชี้ขวดเกลือที่ดูสภาพดีขึ้นมาหน่อย ก็ใส่พอให้กลมกล่อมเท่านั้นแหละ

พ่อครัวหัวป่าก์ทำตามที่บอกได้ดี เขาเหยาะเกลือลงไปนิดหน่อยก่อนจะใช้ส้อมคนให้เข้ากัน จากนั้นก็นำชามไข่ไปวางไว้ในหม้อนึ่งที่ตั้งไฟเอาไว้แล้ว ก่อนจะถอยออกมายืนกอดอกมองหม้อนึ่งนั้นด้วยความภาคภูมิใจ

“แล้วทำอะไรต่อ” พี่เอยหันมาถามฉันซึ่งนั่งห้อยขาอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัวด้านข้าง

“รอ”

“นานมั้ย”

“สิบนาทีก็ได้มั้ง” ฉันตอบ ปกติก็ไม่ค่อยดูเวลาเท่าไหร่ แค่เปิดหม้อดูเรื่อยๆ สุกตอนไหนก็ปิดไฟเมื่อนั้น

เมื่อเห็นว่าต้องใช้เวลา พี่เอยก็เดินไปนั่งเอนหลังรอที่โซฟาพร้อมกับทำท่าเหมือนจะนอนหลับ และนั่นทำให้ฉันตกใจจนต้องรีบตามไปปลุกเขา ไฟในหม้อก็ยังเปิดไว้ จะมานอนแบบนี้ไม่ได้นะ

“พี่เอย อย่าหลับ เดี๋ยวไฟก็ไหม้หรอก” ฉันเอ่ยเสียงดุกับเขา แต่จู่ๆ พี่เอยก็ลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าฉัน

“ไม่ได้จะหลับ แค่ปวดตาเฉยๆ” เขาเหล่มองฉันด้วยสีหน้ามีเลศนัย “โดนจันทร์ปลุกแบบนั้นทุกวันพี่ก็ไม่ไหวนะ”

คราวนี้ฉันได้แต่มองหน้าเขางงๆ ปลุกแบบนั้นที่ว่านี่มันคือแบบไหนกันล่ะ จะว่าไปฉันก็ไม่เคยรู้เลยว่าเวลาไปเข้าฝันเขาฝันเห็นฉันในสภาพไหน เป็นคนหรือเป็นผีแบบน่ากลัว หรือได้ยินแค่เสียง

“ยังไงคะ”

“อย่ารู้เลย” พี่เอยอมยิ้มพร้อมกับหัวเราะอยู่ในลำคอก่อนจะเบือนหน้าหนี “ไม่อยากฟังหรอก”

คิ้วสองข้างของฉันขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ทำไมต้องไม่อยากฟังด้วยล่ะ

“ทำไมอะ อยากรู้”

“เย็นนี้พี่จะพาวันสุขไปงานศพ จะไปด้วยรึเปล่า” ไม่ทันที่ฉันจะได้พูดจบ พี่เอยก็พูดสวนขึ้นมาราวกับจงใจจะเปลี่ยนเรื่อง แต่นั่นก็ได้ผล เมื่อพูดถึงวันสุขก็ย่อมเป็นเรื่องที่ฉันให้ความสนใจมากกว่าความฝันเรื่อยเปื่อยของเขา

“ไปสิ ถ้าไม่เห็นจันทร์ก็รู้ไว้ด้วยว่าจันทร์ก็วนอยู่กับลูกนั่นแหละ” ฉันตอบ “อ้อ รีบพากลับด้วยนะคะ อย่าให้เธอง่วง” อาการง่วงไม่ใช่สิ่งพึงประสงค์เท่าไหร่นัก ยิ่งไปในงานพิธีสำคัญ ฉันไม่อยากให้วันสุขไปป่วนใครทั้งนั้น

“อื้อ จะรีบพากลับ” พี่เอยรับคำพร้อมกับจ้องมองฉันเหมือนสงสัย ก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่ผีเข้าวัดได้มั้ย”

ฉันได้แต่ยิ้มมุมปากกับคำถามของพี่เอย ในหัวนึกย้อนไปถึงแก๊งผีคุณป้าที่ยกขบวนกันไปสวดมนต์ที่โรงพยาบาลวันก่อน ถามว่าผีเข้าวัดได้มั้ยน่ะเหรอ พี่เอยไม่รู้ซะแล้ว

ไม่มีที่ไหนหรอก...ที่ไม่มีผีน่ะ!

 

เช้าวันนั้นนับว่าพี่เอยจัดการกับวันสุขได้ดี หลังจากที่เตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อย เขาก็ปลุกวันสุขด้วยวิธีการไล่หอมแก้มอีกเช่นเคย พาเธออาบน้ำ ระหว่างที่วันสุขตื่น ฉันพยายามซ่อนตัวไม่ให้เธอเห็น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบกระซิบบอกพี่เอยว่าให้มัดผมให้เธอด้วย เดี๋ยวครูที่โรงเรียนจะหาว่าเราไม่ดูแลลูก

ฉันเริ่มควบคุมร่างกายได้ดีขึ้นว่าตอนไหนอยากให้พี่เอยเห็นตัว ตอนไหนอยากซ่อนตัวจากสายตาของวันสุข แต่ก็อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เหมือนกันว่าฉันควบคุมมันยังไง อารมณ์เหมือนเวลาเราจะเดิน ที่เราก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าเราใช้สมองส่วนไหนสั่งการบ้าง

ช่วงเช้าพี่เอยไปส่งวันสุขได้ทันเวลา เขาไปถึงโรงเรียนก่อนแปดโมงเช้าตั้งเกือบสิบนาที แน่นอนว่าวันนี้ฉันเลือกที่จะตามติดพี่เอยอีกเช่นเคย เพราะเราคุยกันว่าจะไปเยี่ยมตัวฉันที่นอนอยู่โรงพยาบาลด้วย ตลอดทางฉันพยายามจดจำเส้นทางไว้ตลอด เผื่อวันไหนฉันต้องเดินทางเองจะได้ไปไหนมาไหนได้บ้าง ไม่ต้องเกาะติดเขาไปตลอด

“มานั่งข้างหน้าไม่ได้เหรอ” พี่เอยเอ่ยระหว่างที่เรากำลังออกจากโรงเรียนของวันสุขและมุ่งหน้าไปทางโรงพยาบาล “มองกระจกหลังทีไรหลอนทุกที”

“นึกว่าชินแล้ว” ฉันถามกลับพร้อมกับย้ายร่างไปนั่งข้างคนขับแทน ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยจะเห็นเขามีปฏิกิริยาอะไรเท่าไหร่นัก เข้าใจว่าเป็นพวกจิตแข็งซะอีก แกล้งหลอกแค่ไหนก็ไม่เห็นกลัว แถมยังชอบทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ อีก

“ต้องชินใช่มั้ยที่มีวิญญาณมาตามติดน่ะ” เขาเหล่มองฉันพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

“ตราบใดที่วันสุขยังอยู่กับพี่ จันทร์ก็จะตามไปเรื่อยๆ ทำใจเหอะ” ฉันตอบแบบไม่ไยดีและหันไปสบตาเขาตรงๆ

“อ้อ ลืมไป เป็นวิญญาณแม่ของลูก งั้นจะชินก็ได้”

นอกจากจะจิตแข็งแล้ว ดูเหมือนเขายังเป็นพวกชอบแกล้งที่แม้แต่ผีก็ยังไม่เว้น!

เราเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในช่วงเก้าโมงเช้า ซึ่งยังพอเหลือเวลาให้เข้าเยี่ยมอยู่บ้าง พี่เอยรีบตรงไปที่ห้องไอซียูทันที เขาบอกว่ามีเวลาเยี่ยมไม่นานเพราะต้องรีบกลับไปที่บริษัท

พวกวิญญาณสาวๆ ตามรายทางยังคงจ้องมองพี่เอยด้วยความหลงใหล มีบางคนแทบจะลอยมาเกาะติดพี่เอยเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าฉันเข้าไปห้ามเธอไว้ นี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าสมัยก่อนจะมีวิญญาณสาวๆ ตามติดพี่เอยสักกี่คนกัน

เมื่อไปถึงห้องไอซียู เรากลับพบว่าร่างของฉันไม่ได้นอนอยู่ในห้องนี้เหมือนเดิมแล้ว แต่ย้ายไปที่หอผู้ป่วยหญิงซึ่งอยู่ชั้นสามของอีกตึกแทน ฉันจำได้ดีตั้งแต่วันแรก ตึกนั้นเป็นตึกที่มีวิญญาณผู้หญิงกระโดดลงมาจากตึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้เป็นผีด้วยกันฉันก็ว่ามันยังหลอนอยู่ดี

สภาพตึกของหอผู้ป่วยหญิงแตกต่างกับตึกห้องไอซียูลิบลับ ตึกนี้ทั้งเก่าและค่อนข้างแออัด ตามทางเดินหรือแม้แต่หน้าบันไดมีเตียงผู้ป่วยวางเรียงราย ดีหน่อยไม่วางเข้าไปในลิฟต์ด้วย ส่วนที่ไม่ได้วางเตียงก็จะมีญาติผู้ป่วยมาปูเสื่อจับจองที่ราวกับเป็นที่พักชั่วคราว 

“ผมมาหาผู้ป่วยที่ชื่อ วันจันทร์ มีสุข ครับ” พี่เอยแจ้งพยาบาลที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยน้ำเสียงสุภาพ เธอมองพี่เอยด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะตอบ

“เตียงสิบเอ็ดค่ะ คุณเป็นญาติเธอเหรอคะ”

พี่เอยเหล่มองจุดที่ฉันอยู่เล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ มุมปาก ก่อนจะตอบพยาบาลสาว

“ครับ”

ญาติฝ่ายลูกสินะ...

“เธอเพิ่งย้ายลงมาจากห้องไอซียูเมื่อคืน เนื่องจากมีผู้ป่วยหนักที่จำเป็นต้องใช้เตียงค่ะ ตอนนี้เธอไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว ตื่นดี แต่ยังคงไม่พูดไม่จา ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบค่ะ”

คำบอกเล่าของคุณพยาบาลทำให้พี่เอยมองฉันด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาคงจะตกใจกว่านี้ถ้าฉันไม่ได้เล่าเรื่องวิญญาณปริศนาที่เข้าร่างฉันมาก่อน คุณพยาบาลเดินนำพี่เอยไปที่เตียงสิบเอ็ด ก่อนจะเห็นภาพของหญิงสาวที่มีใบหน้าคุ้นตา...ก็ต้องคุ้นสิ นั่นหน้าฉัน เธอกำลังนอนเอนหลังประมาณสี่สิบห้าองศา ทำหน้าเหม่อลอย และยังคงมีสายระบายต่อมาจากช่วงอกของเธอ 

ภาพที่เห็นทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก นั่นมันตัวฉัน เลือดเนื้อของฉัน ที่ตอนนี้มีใครก็ไม่รู้อยู่ข้างใน ฉันสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวรอบดวงตา แต่ตอนนี้ไม่มีน้ำตาจะให้ไหล ความรู้สึกมันจุกแน่นอยู่ในคอฉัน

“ไม่เป็นไรใช่มั้ย” เขากระซิบแผ่วเบา สายตายังคงจับจ้องร่างกายของฉัน

ถ้าจะบอกว่าไม่เป็นไรก็คงจะเป็นการโกหก ฉันรู้สึกแย่มากๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น อยากจะโทษดินโทษฟ้าและไอ้ยมทูตบ้านั่น โทษตัวเองที่ดันมีถุงลมโป่งๆ ในปอดแล้วดันแตกวันนั้น โทษทุกอย่างที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่สุดท้ายคำที่กระซิบตอบเขาไปก็มีเพียง

“ไม่เป็นไร”

“เชิญเยี่ยมได้ตามสบายนะคะ เวลาเยี่ยมของที่นี่จะนานกว่าห้องไอซีอยู่หน่อย คุณอยู่ที่นี่ได้ถึงสิบโมงค่ะ” คุณพยาบาลเอ่ยต่อพร้อมกับส่งยิ้มให้ “ถ้ามีอะไรสงสัย สอบถามได้ที่เคาน์เตอร์นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

พี่เอยโค้งตัวให้เธอหนึ่งครั้ง จากนั้นเธอก็เดินกลับไปประจำที่เคาน์เตอร์เหมือนเคย เหลือเพียงพี่เอยกับร่างของฉันที่ยังอยู่ด้วยกัน

พี่เอยขยับตัวไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียงพร้อมกับจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าของฉันซูบผอมและซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ริมฝีปากแห้งและแตกมีคราบเลือดติด ดูเหมือนวิญญาณที่เข้ามาในร่างฉันนั้นไม่ได้คิดจะดูแลร่างกายให้ฉันแม้แต่นิด 

คือเข้าร่างฉันก็หนักแล้ว...ยังทำให้ฉันอยู่ในสภาพแบบนี้ ฉันไม่ยอม!

“คุณเป็นใคร” 

พี่เอยถามเธอแบบไม่คิดจะอ้อมค้อม คำถามของเขาทำให้คนที่แอบฟังแบบฉันตกใจไม่น้อย แต่ร่างบางที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับยังคงนิ่งสนิทราวกับเสียงของเขาเป็นแค่สายลมที่พัดผ่าน ไม่มีคำตอบใดหลุดรอดออกมา สายตาของเธอยังคงเหม่อลอย ไม่ได้สนใจพี่เอยที่นั่งหน้าเครียดอยู่ข้างๆ เลยแม้แต่นิด

ระหว่างที่พี่เอยพยายามจะคุยกับร่างของฉัน ฉันก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ฉันอยากเจอพอดี ร่างสูงจูงเชือกวิญญาณจำนวนมากลอยเข้ามาในหอผู้ป่วยแห่งนี้ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แล้วเข้ามาตามเก็บวิญญาณคุณป้าที่อยู่ตรงมุมห้องไป

ยมทูต!

“ท่านยมทูต!” ฉันตะโกนเรียกยมทูตจากอีกฟากของห้อง เขามองฉันเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปดึงเชือกวิญญาณของคุณป้ามาไว้ในมือ

“ท่านยมทูต” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบสนอง ฉันจึงตะโกนเรียกอีกครั้งพร้อมกับลอยเข้าไปหาใกล้ๆ

“ได้ยินแล้ว” เขาเอ่ยพร้อมกับทำหน้าเหนื่อยหน่าย

“งานหนักขนาดนั้นเลยรึไง” ฉันถามเมื่อมองเห็นเชือกวิญญาณมากกว่าสิบเส้นที่อยู่ในมือเขา

“นี่แค่ที่ตามเจอนะ หนีไปอีกไม่รู้เท่าไหร่” 

น้ำเสียงของเขาบ่งบอกว่าเหนื่อยใจอย่างเห็นได้ชัด นี่แปลว่าการที่วิญญาณหนีคงเป็นเรื่องปกติสินะ แม้ฉันจะไม่รู้เรื่องระบบการทำงานของยมทูต แต่เท่าที่ดูแล้วคิดว่าคงหนักอยู่พอสมควร ก็วันหนึ่งมันมีคนตายคนเดียวเสียเมื่อไหร่ ไม่อยากจะนึกภาพยมทูตที่อยู่ในเขตสงครามเลย เขาจะตามเก็บวิญญาณกันยังไงถึงจะทันนะ 

“ว่างคุยสักหน่อยไหม” ฉันถามเหมือนจะเกรงใจ แต่ต่อให้เขาตอบว่าไม่ว่าง ฉันก็จะคุยอยู่ดี

“ตอบอะไรไปก็จะคุยอยู่ดี ว่ามาเลยดีกว่า” เขาเอ่ยอย่างรู้ทัน

ฉันแอบสังเกตเชือกวิญญาณในมือเขา มันเป็นเชือกที่ยาวมากๆ บ้างก็ยาวลอยออกไปนอกห้อง ไม่เห็นวิญญาณที่เป็นเจ้าของเชือกนี้ด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ฉันจะคุยกับเขา แต่เป็นเรื่องร่างของฉันตอนนี้ที่ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ในท่าเดิม

“ร่างของฉันฟื้นแล้ว” ฉันบุ้ยใบ้ไปทางเตียงที่ร่างกายฉันนอนอยู่ “แต่มันแปลกมากเลย เธอดูเหม่อลอยไร้สติ”

มันออกจะแปลกๆ นิดหนึ่งที่ต้องเรียกร่างของตัวเองว่าเธอ แต่ฉันก็เรียกไปแล้ว

“วิญญาณที่ไม่ใช่เจ้าของร่างน่ะทำอะไรมากไม่ได้หรอก ยิ่งวันแรกๆ ก็จะมีอาการแบบนั้นแหละ” ยมทูตตอบราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติ เขาเหล่มองร่างของฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสลับมามองหน้าฉันด้วยท่าทางเฉยชา

“แล้ววันหลังๆ ล่ะ เขาจะพาร่างฉันไปทำอะไรแปลกๆ มั้ย”

“เรื่องนี้ก็แล้วแต่ความสามารถของวิญญาณตนนั้นแล้วละ แต่ส่วนใหญ่ทำอะไรไม่ได้มาก พูดได้ไม่เป็นประโยค จะเดินไปไหนมาไหนไกลๆ ก็ไม่ได้ มันก็จะเอ๋อๆ หน่อยละนะ” 

ฉันเริ่มเห็นเค้าลางสภาพของตัวเองในไม่ช้านี้ ท่าทางเธอดูเอ๋อๆ อย่างที่ยมทูตว่าจริงๆ แล้วแบบนี้ถ้าออกจากโรงพยาบาลจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย

“แล้วฉันต้องทำยังไงดี”

“ก็ต้องดูแลร่างของตัวเองไป พาไปไว้ในที่ปลอดภัยสักที่ สภาพแบบนี้หนีไปไหนไม่ได้หรอก”

ได้ฟังยมทูตบอกฉันก็อยากจะถอนหายใจยาวๆ สักสิบรอบ นอกจากต้องเลี้ยงลูกแล้วนี่ฉันยังต้องเลี้ยงร่างกายของตัวเองที่มีวิญญาณที่ไหนไม่รู้มาสิงสู่ ก็ถ้ามาสิงแล้วทำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้ ไม่เข้าใจว่าจะมาสิงทำไมตั้งแต่แรก

“แล้ววิญญาณที่ให้ช่วยหา คืบหน้ามั้ย” ยมทูตถามฉันบ้าง นี่ตกลงว่าเขาจะช่วยฉันหรือฉันกำลังช่วยเขาอยู่กันแน่

“ยัง แล้วคุณล่ะ” ฉันตอบพร้อมกับจ้องมองเขาด้วยสายตาจับผิด หวังว่าคงไม่หลอกใช้ฉันข้างเดียวนะ และเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันคิดอะไร ดวงตาคมกริบนั้นจ้องตอบกลับมาอย่างเยือกเย็น

“อย่ามาจับผิดกัน บอกว่าจะช่วยก็จะช่วยไง”

“อ้อ อีกอย่าง ฉันจะติดต่อคุณได้ยังไงบ้าง นี่ถ้าไม่บังเอิญมาเจอที่โรงพยาบาลก็คงไม่เจอเลยมั้ง”  

อย่างที่บอก วิญญาณน่ะไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอีเมล จะเจอกันแต่ละทีก็ต้องเจอแบบตัวเป็นๆ ถ้าไม่นัดกันหรือเป็นสถานที่ประจำก็ไม่รู้ว่าจะเจอกันได้ยังไง แล้วยิ่งเป็นยมทูตที่ต้องเดินทางไปทั่วแบบนี้ ที่ฉันต้องถามเนี่ยก็เพราะเวลามีเรื่องต้องถามหรือคุยกับเขา กลับหาตัวเขาไม่เจอ

“เอางี้ ผมจะแวะไปหาคุณตอนตีสองของทุกวัน” หลังจากที่ทำหน้าคิดสักพักเขาก็ตอบ “แต่ถ้าวันไหนเลยตีสองไป แปลว่าไปไม่ได้ ไม่ต้องรอนะ โอเคมั้ย”

แล้วฉันจะปฏิเสธอะไรยมทูตได้บ้างไหม ถามมาแบบนี้ก็มีแค่คำตอบเดียว

“โอเค”

“งั้นก็ตามนั้น คืนนี้ถ้ามีอะไรคืบหน้าค่อยคุยกันตอนตีสอง” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนจะถามว่าเข้าใจที่พูดไหม

“อือ”

“ไปก่อนละ ต้องไปส่งวิญญาณ” 

เขาพูดพลางชูเชือกในมือขึ้นมาโชว์อีกรอบว่าตัวเองงานหนักแค่ไหน ไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบอะไรอีก ร่างของยมทูตก็หายวับไปกับตา ไปเร็วมาเร็วจริงๆ

เมื่อยมทูตจากไปแล้ว ฉันก็กลับไปหาพี่เอยอีกครั้ง ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเลิกพยายามคุยกับร่างของฉันแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นนั่งจ้องมองอย่างครุ่นคิดแทน ในขณะที่ร่างของฉันก็ยังคงนั่งเหม่อลอยเหมือนเป็นร่างเปล่าๆ ที่ไร้วิญญาณ อยากรู้จังว่าวิญญาณที่อยู่ในร่างฉันตอนนี้คิดอะไรอยู่

“พี่เอย” ฉันกระซิบเรียกเขาเพื่อบอกให้รู้ว่าฉันอยู่แถวนี้

“กลับกันมั้ย” พี่เอยถามกลับเสียงกระซิบเช่นกัน คนทั่วไปมองมาอาจจะดูเหมือนเขากำลังพูดคุยกับคนไข้ที่อยู่บนเตียง แต่ฉันรู้ดีว่าเขากำลังคุยกับฉัน

“ก็ได้ค่ะ”

เมื่อไม่เห็นประโยชน์ของการอยู่ต่อ เราก็ควรกลับ พี่เอยยังมีงานที่บริษัทที่ต้องทำอีกมาก การที่เขาต้องมาส่งลูกและพาฉันมาที่โรงพยาบาลก็รบกวนเขามากพอแล้ว 

พี่เอยเดินไม่พูดไม่จาจนไปถึงรถ ท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาจนฉันไม่กล้าเอ่ยปากถาม ฉันเลือกนั่งตรงที่นั่งข้างเขาก่อนจะค่อยๆ ปรากฏตัวให้เขาเห็น เขาหันมามองฉันเล็กน้อยก่อนจะออกรถ

“เมื่อกี้หายไปไหนมา” พี่เอยถามเสียงเรียบ เขารู้ด้วยเหรอว่าฉันอยู่หรือไม่อยู่ข้างเขา

“ไปคุยกับ...” ฉันเว้นคำตอบไว้เล็กน้อยด้วยความลังเล จะบอกเขาเรื่องยมทูตดีไหมนะ 

“กับใคร...” พี่เอยถามซ้ำด้วยเสียงนิ่งๆ

แต่เขาก็ช่วยฉันมาตั้งขนาดนี้ ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องปิดบังมั้ง อีกอย่าง ท่าทางพี่เอยก็เป็นคนจิตแข็ง ผีเขายังไม่กลัวเลย ยมทูตเขาก็คงไม่ตกใจหรอกมั้ง

“ยมทูต”

พี่เอยนิ่งไปเมื่อได้ยินคำตอบของฉัน ฉันสังเกตเห็นคิ้วของเขากระตุกหนึ่งข้าง หรือว่านั่นคืออาการกลัวของเขากัน

“ยมทูตนี่...” พี่เอยเว้นประโยคเหมือนจะถามอะไรต่อ

“คะ?”

“...ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้ชาย ทำไมเหรอคะ”

พี่เอยไม่ได้ตอบคำถามของฉัน แต่จ้องมองท้องถนนด้วยความตั้งใจ เท้าเหยียบคันเร่ง ทำให้ความเร็วของรถพุ่งขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่ช่วงสายบนทางด่วนไม่ค่อยมีรถเท่าไหร่นัก เข้าใจว่าเขาคงต้องรีบไปบริษัทเป็นแน่ ฉันจึงไม่คิดจะกวนใจอะไรเขาอีก แต่สุดท้ายก็ต้องทักเมื่อเห็นว่าความเร็วของรถมันชักจะสูงเกินไป ฉันเป็นผี ต่อให้รถชนฉันก็ไม่เป็นไร แต่เขายังเป็นคน คนที่มีลูกรออยู่ ทำให้ฉันอดห่วงไม่ได้

“ตอนเย็นยังต้องไปรับลูกนะคะ ทำอะไรนึกถึงความปลอดภัยด้วย”

“ครับ”

เท่านั้นความเร็วรถก็ค่อยๆ ลดลงมาอีกครั้งจนกลับสู่ระดับปกติ และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่เราได้คุยกันในช่วงเช้าวันนั้น

End Wanjun’s talk

 

ยมทูตรหัส Z05’s talk

ประตูสีฟ้าค่อยๆ ปรากฏขึ้นเป็นรูปเป็นร่างต่อหน้าผมและวิญญาณที่ผมพามาด้วยอีกนับสิบ แสงสีเงินสว่างวาบอยู่โดยรอบ ลวดลายวิจิตรงดงามถูกสลักอยู่ทั้งสองข้างของประตูนั้น เป็นลวดลายที่ไม่เคยมีจิตรกรคนไหนสรรค์สร้างขึ้นมาได้ ลวดลายที่อยู่เหนือจินตนาการของมนุษย์ 

การเปิดประตูนั้นใช่ว่าทุกคนจะทำได้ ต้องใช้พลังจิตเป็นอย่างมากในการเปิด มันไม่ใช่การบิดกลอนแล้วใช้มือผลักประตู แต่เป็นการทำให้ประตูนั้นยอมให้วิญญาณเข้าไปต่างหาก ยมทูตฝึกหัดบางคนยังไม่แม้แต่จะแตะต้องมันได้ด้วยซ้ำ พวกวิญญาณของมนุษย์นี่อย่าได้หวังเลย 

หลังจากที่ผมใช้จิตในการเปิดประตูนั้น สีฟ้าของประตูก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง เป็นสัญญาณว่าประตูพร้อมจะรับให้วิญญาณไปสู่อีกโลกหนึ่ง วิญญาณหลายดวงมักถามผมด้วยคำถามเดิมๆ ว่าประตูวิญญาณที่ว่าน่ะอยู่ที่ไหน คำตอบคือ ทุกที่...ที่มียมทูต

ประตูวิญญาณเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ หรือแม้แต่ทฤษฎีรูหนอนที่นักฟิสิกส์หลายคนใฝ่ฝันถึง ประตูวิญญาณและโลกวิญญาณเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าสมองของมนุษย์จะคิดหาทฤษฎีมาอธิบายได้

เอาเป็นว่าเรื่องส่งวิญญาณให้เป็นหน้าที่ของยมทูตแล้วกัน ส่วนมนุษย์...อย่ารู้เลย

ผมค่อยๆ ส่งเชือกวิญญาณให้ผ่านประตูเข้าไปทีละเส้น ที่เหลือประตูจะทำหน้าที่ของมันเอง ผมไม่เคยรู้หรอกว่าเบื้องหลังของประตูนั่นเป็นอย่างไร ผมเองก็ไม่เคยผ่านประตูนี้ไป ยมโลกหน้าตาเป็นแบบไหน ต้องมีไฟสีแดงสาดส่องหรือมีต้นงิ้วแบบที่มนุษย์คิดกันจริงๆ หรือเปล่า แม้แต่ยมบาลผมก็ไม่เคยคิดจะจินตนาการหน้าตา พวกเขาอาจจะตัวสีแดงมีเขาสองข้าง พุงพลุ้ย และมีหางเป็นรูปลูกศรก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะหน้าตากร๊าวใจแบบอะควาแมน...ผมก็ไม่รู้

หน้าที่ของผมคือวนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์แห่งนี้ คอยเก็บวิญญาณที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ‘หมดกรรม’ มาส่งที่ประตูวิญญาณแห่งนี้ หน้าที่ผมมีเท่านั้น จะว่าไปการทำงานของผมก็ไม่ได้ต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วไป วันๆ ก็ทำแต่งาน และผมก็ทำแบบนี้มา...จะร้อยปีแล้วมั้ง

วิญญาณดวงสุดท้ายผ่านเข้าประตูไปช้าๆ จนเมื่อผมมั่นใจแล้วว่าผ่านเข้าไปทุกส่วน ผมจึงปิดประตูลง แม้ว่างานของผมจะมีแค่อย่างเดียวคือการตามเก็บวิญญาณ แต่นั่นกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกอย่างในโลกวิญญาณไม่ได้เป็นระบบออโตเมติกอย่างที่มนุษย์เขียนไว้ในหนังสือนิยาย ยมทูตไม่ได้รู้ไปหมดทุกอย่าง และเราไม่ได้มีพลังวิเศษสำหรับเรียกวิญญาณเข้ามาหาตัวได้ เรามีแค่สมุดรายชื่อวิญญาณที่ต้องตามเก็บ และในนั้นมีข้อมูลแค่ชื่อ อายุ และวันตายเท่านั้น ที่เหลือเป็นเรื่องของความสามารถของยมทูตและการทำสัญญากับวิญญาณเร่ร่อนเท่านั้นที่จะช่วยให้ทำงานสำเร็จได้

บอกตามตรงว่าพวกเราก็อยากมีกูเกิลเหมือนพวกมนุษย์เช่นกัน...

เรื่องปัญหาวิญญาณหลบหนีเป็นปัญหาที่ยมทูตทุกคนต้องเจอและเผชิญหน้า หน้าที่ของพวกเราคือต้องตามหาและเก็บมาให้ครบภายในเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ก็เพื่อความสมดุลของวิญญาณที่อยู่บนโลกใบนี้ การทำสัญญากับวิญญาณเร่ร่อนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ วิธีการก็ง่ายๆ แค่ตกปากรับข้อแลกเปลี่ยน สัญญานั้นก็จะผูกวิญญาณดวงนั้นไว้กับยมทูตทันที และเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ถ้ายังหาวิญญาณที่ต้องเก็บนั้นไม่เจอ วิญญาณที่ทำสัญญาก็จะถูกส่งผ่านประตูวิญญาณไปแทน

...ก็เหมือนที่ผมทำกับวันจันทร์นั่นแหละ

แต่ใช่ว่าผมอยากเอาวิญญาณเธอไปแทนนะ การส่งวิญญาณอื่นไปแทนที่ก็มีข้อเสียอยู่ไม่น้อย รวมถึงพลังของผมก็จะลดลงไปด้วย การทำสัญญานี้จึงไม่ใช่การเอาเปรียบพวกวิญญาณแต่อย่างใด การมีอยู่ของยมทูตก็เพื่อรักษาจุดสมดุลของวิญญาณ และรู้อะไรไหม ยมทูตน่ะไม่ใช่ผี...พวกเราเป็นมากกว่านั้น

“ชาร์จค่ะ” 

เสียงของสิ่งมีชีวิตที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของห้องฉุกเฉินแห่งนี้ สถานที่ที่ยมทูตแวะเวียนไปมากที่สุด นอกจากสนามรบแล้วก็คงเป็นโรงพยาบาลละมั้ง

สายตาเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวที่ถือเครื่องกระตุ้นหัวใจไว้ดูเหมือนจะวูบไหวเล็กน้อยเมื่อเธอสบตาผม ก่อนที่เธอจะก้มลงไปมองคนไข้ของเธออีกครั้ง

“ปั๊มต่อเลยค่ะ” 

ประโยคคุ้นหูที่ผมแทบจะจำได้ทุกสเตปของการกู้ชีพ จับชีพจร ขึ้นปั๊ม อีเคจี เจาะเลือด อะดรีนาลิน และชาร์จ เธอพูดคำเหล่านี้แทบทุกครั้งที่ต้องเข้ามาห้องนี้

รู้อะไรไหม โชคชะตาของหมอแต่ละคนน่ะไม่เหมือนกัน บางคนดวงคุณนาย อยู่เวรทีไรก็นอนสบายยันเช้าเพราะไม่มีคนไข้มาเลย หรืออย่างมากก็เป็นแค่ไข้หวัดที่มักจะมาตอนเที่ยงคืน แต่สำหรับผู้หญิงที่ทำหน้าตื่นอยู่ตรงหน้าผมคนนี้ ฉายาที่เพื่อนๆ ยกให้เธอคือ ‘ดวงยมทูต’

ก็เธออยู่เวรทีไร ห้องฉุกเฉินก็เปลี่ยนเป็นสมรภูมิรบ คนไข้ของเธอมักไม่ค่อยมาในสภาพมีสติ บางคนก็อยู่ในสภาพร่อแร่ ถ้าลองนับครั้งจริงๆ เธอปั๊มหัวใจบ่อยเสียยิ่งกว่าไปเดินห้างอีกมั้ง ใช่ว่าเธอดูแลคนไข้ไม่ดี ผมรู้ว่าเธอทำเต็มที่แล้ว แต่ดวงเธอมักจะสมพงศ์กับคนที่ถึงฆาตแล้วนี่สิ

แต่คนไข้รายนี้คงเป็นรายที่นานๆ ทีจะเจอละมั้ง

“ROSC ขอ Post-cardiac arrest care ค่ะ” เสียงห้าวๆ ของเธอดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับสีหน้ายินดีของทุกคน

ร่างของชายชราบนเตียงพร้อมสายระโยงระยางถูกย้ายออกจากห้องฉุกเฉินในไม่ช้า ห้องที่วุ่นวายเป็นสมรภูมิรบเมื่อครู่กลับสู่ความสงบอีกครั้ง อุปกรณ์ต่างๆ ถูกจัดเก็บเข้าที่อย่างรวดเร็ว ส่วนหัวหน้าทีมที่คอยสั่งการทุกอย่างตอนนี้ก็ไปทำหน้าที่อธิบายเรื่องราวทุกอย่างกับญาติของผู้ป่วย

ประมาณสิบห้านาที ร่างบางในชุดผ้าฝ้ายสีเขียวก็เดินกลับเข้ามาในห้องพักแพทย์ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เธอทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างไม่คิดว่ามันจะหัก ก่อนจะโยนหน้ากากของเธอทิ้งไว้ข้างกายอย่างไม่ไยดี

แปะๆๆๆ

เสียงปรบมืออย่างจริงใจดังขึ้นจากผมซึ่งยืนมองเธออยู่ที่มุมห้อง เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

“บอกกี่ทีแล้วว่าอย่ามาโผล่ตอนกำลังปั๊ม” น้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่เป็นเสียงที่เธอมักจะใช้ทักทายผม “เห็นหน้านายแล้วหมดกำลังใจทำงานทุกที”

“อุตส่าห์มาให้กำลังใจ ทำไมพูดอะไรเย็นชาแบบนั้น”  

“ฉันควรจะมีกำลังใจใช่มั้ยที่กำลังช่วยชีวิตคนไข้อยู่แล้วเห็นยมทูตมายืนรอ” เธอพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ พร้อมกับมองผมด้วยสายตาเย็นชา

“ผมก็มาเชียร์คุณไง” ผมส่ายหน้าพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้เธอ “ผมกลัวว่าวันไหนคุณมาทำงานแล้วไม่เห็นผม คุณอาจจะรู้สึกขาดอะไรไป”

สมกับที่เธอได้ฉายาจากเพื่อนๆ ว่าดวงยมทูต เพราะทุกครั้งที่เธออยู่เวรจะต้องมีวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งดวงที่ผมต้องมารับจากคนไข้ของเธอ โชคชะตาของเธอเกี่ยวพันกับยมทูตอย่างผมอย่างไม่น่าเชื่อ

รวมทั้งวิญญาณของเธอด้วย...

“มีอะไรก็ว่ามา เหนื่อย จะนอน” 

“นอนอะไร นี่ยังไม่เที่ยงเลย” ผมตอบพร้อมกับชี้ไปที่นาฬิกาซึ่งเข็มสั้นตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเลขสิบเอ็ดอยู่เลย

“ฉันต้องอยู่อีกทั้งคืน ว่างตอนไหนก็ต้องนอนไว้ก่อน คืนนี้ฉันอาจจะไม่ได้นอนก็ได้” เธอตอบพร้อมกับทำท่าจะทิ้งตัวลงบนโซฟา

“อ้อ...ก็ดี คืนนี้มีรายชื่อต้องมารับที่นี่เพียบเลย” อย่างที่เธอบอก ดูท่าคืนนี้เธอคงไม่ได้นอนแน่ๆ

“ฉันเกลียดนายจริงๆ เลย ไม่เจอกันสักวันไม่ได้หรือไง” หญิงสาวเอาหัวโขกโซฟาพร้อมกับพูดออกมาอย่างเข่นเขี้ยว ท่าทางของเธอทำให้ผมอดขำไม่ได้

“ไม่ต้องมาหัวเราะ มีอะไรก็ว่ามา แล้วก็รีบๆ ไปซะ” 

น้อยครั้งที่ผมจะเห็นเธออารมณ์ดี โดยเฉพาะวันที่อยู่เวรแบบนี้ อารมณ์ของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงวัยทอง 

“อยากได้ที่อยู่กับชื่อญาติของคนนี้ ในข้อมูลบอกว่าอยู่ที่พัทยา แต่ตามไปแล้วก็ไม่เจอ” ผมยื่นชื่อของวิญญาณที่หายไปให้เธอ เธอเหล่มองเพียงชั่วครู่ก็หันกลับไปเอาหน้าซบโซฟาอีกครั้ง

“ข้อมูลคนไข้ถือเป็นความลับ” 

จังหวะที่เธอซบหน้า ผมขยับกายเข้าไปใกล้เธอจนเป็นระยะประชิด ก่อนจะกระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“เป็นความลับของมนุษย์ ไม่เกี่ยวกับยมทูต”

“นะ...นาย...” ดวงตาเล็กจ้องผมอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าของเธอตอนนี้ไร้สีเลือดจนกลายเป็นสีขาวซีด

“ให้เวลาถึงคืนนี้แล้วจะมาเอาคำตอบ รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”

นานๆ ทีเธอจะมองผมด้วยสายตาแบบนั้น สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอกำลังหวาดกลัวข้อตกลงที่เราทำร่วมกันไว้เป็นสัญญาที่ผูกมัดวิญญาณของเธอกับผมไว้ด้วยกัน และเป็นสัญญาที่ทำให้เธอปฏิเสธผมไม่ได้

End ยมทูตรหัส Z05’s talk

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น