1

ในร่าง...นั่นใคร

บทที่ ๑ 

ในร่าง...นั่นใคร

 

Wanjun’s talk

ไม่เคยคิดเลยว่าการส่งลูกไปโรงเรียนจะเป็นเรื่องยากขนาดนี้ ใครจะไปคิดว่าวันสุขจะดรามาน้ำตาแตกยิ่งกว่าดาราเด็กที่กำลังออนแอร์อยู่ในทีวีตอนนี้ด้วยซ้ำ การได้เห็นป้ายโรงเรียนของวันสุขนั้นเหมือนเป็นการเปิดทำนบกั้นน้ำตาของเธอ น้ำตาที่สั่งได้ อินเนอร์มาเต็ม เทกเดียวผ่าน

จะว่าไปฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าช่วงแรกที่ไปโรงเรียนนั้นแม่พาฉันไปในสภาพไหน ร้องไห้ขี้มูกโป่งแบบนี้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ สงสัยต้องโทร. ไปถามคุณยายนวล ยายของวันสุขอีกที...แม่ของฉันเอง

ช่วงที่วันสุขเกิดฉันไปอยู่กับแม่ได้พักหนึ่งก่อนจะย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ จะว่าไปก็เกือบสี่ปีแล้วที่พวกเราย้ายมา ส่วนพ่อกับแม่ของฉันอาศัยอยู่บนเขานู่น ท่านบอกอยากใช้ชีวิตอย่างสงบ ปลูกผักเลี้ยงไก่กันตามประสาตายาย และเราทั้งหมดเห็นควรว่าวันสุขควรจะได้มาเจออะไรที่มันเจริญในเมืองหลวงแห่งนี้

ก็ไม่รู้คิดถูกหรือผิด...

อย่างที่บอกว่าฉันกับวันสุขอยู่กันสองคนมาโดยตลอด ส่วนพ่อของวันสุขก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าไหร่ เรื่องมันเกิดมาหลายปีและฉันก็ไม่ได้คิดติดใจอะไร เราสองคนก็แค่คนเมาที่ไม่รู้จักกัน พอเกิดเรื่องขึ้นมา ฉันก็ไม่ได้อยากจะผูกมัดตัวเองไว้กับใคร และเลือกที่จะเก็บลูกไว้ เราตกลงกันทั้งสองฝ่ายว่าเราจะไม่อยู่ด้วยกันและฉันไม่ต้องการการรับผิดชอบใดๆ แต่เขาก็ยังใจดีนะ ส่งเงินมาให้ลูกทุกเดือน

ฉันไม่เคยสอนให้วันสุขเกลียดพ่อ วันสุขรู้จักหน้าพ่อของเขา พวกเขาเจอกันทุกเดือน...วันที่เขาเอาเงินมาให้ 

แม้ว่าวันสุขจะไม่ได้อยู่กับพ่อ แต่ความน่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น เพราะปกติวันสุขจะไม่ยอมให้ใครอุ้ม นอกจากฉัน พี่เลี้ยงคนเก่าของเธอ และ...พี่เอย พ่อเขาน่ะ หรือว่ามันเป็นสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกันนะ และนั่นทำให้การไปโรงเรียนยากลำบากขึ้นไปอีก กว่าเธอจะยอมให้คุณครูอุ้มก็ร้องไห้จนเหนื่อย เลยให้คุณครูอุ้มได้

จะเรียกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดพลาดในชีวิตฉันก็ไม่ได้ เพราะตั้งแต่รู้ว่าวันสุขมาอยู่ในท้อง ทุกๆ วันของฉันก็คือวันที่มีความสุข และนั่นเป็นสาเหตุที่ฉันตั้งชื่อนั้นให้เธอ

ฉันเลือกที่จะบอกพ่อกับแม่ว่าฉันไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ ฉันยอมโดนด่าแค่ครั้งเดียวแล้วก็จบ เพราะหลังจากนั้นพ่อกับแม่ก็ไม่ถามเรื่องนี้อีก ยิ่งพอเห็นหน้าวันสุขพวกท่านก็หลงหลานจนลืมทุกสิ่งไป มันอาจจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีเท่าไหร่ แต่ฉันคิดว่ามันเป็นทางเลือกที่เหมาะกับฉันที่สุดแล้ว

ฉันเลื่อนรถออกมาจากหน้าโรงเรียนเล็กน้อยพอให้ยังมองเข้าไปเห็น เหมือนว่าตอนนี้วันสุขจะหยุดร้องไห้และเข้าไปในห้องเรียนแล้ว ฉันจึงสบายใจมากพอที่จะขับรถออกมาได้

รถญี่ปุ่นสีแดงมือห้าคันนี้อยู่กับฉันมาตั้งแต่วันสุขอายุได้สามเดือน แม้ว่าจะซ่อมบ่อยหน่อย แต่ก็ดีกว่าการที่ต้องพาวันสุขขึ้นรถเมล์เบียดเสียดกับผู้คนอีกร้อยพัน การเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวที่ต้องหอบลูกไปไหนมาไหนด้วยมันก็พอไหวนะ ไม่ได้ลำบากสำหรับฉัน แต่สำหรับทารกตัวน้อยที่แสนบอบบาง ให้มาโหนรถบ่อยๆ ก็น่าสงสาร วันสุขเคยติดหวัดจากคนในรถด้วย และนั่นทำให้ฉันต้องกัดฟันถอนเงินเก็บออกมาซื้อรถส่วนตัว

ฉันรับงานฟรีแลนซ์ถ่ายแบบบ้าง พิธีกรอีเวนต์บ้าง หรือบางทีก็เป็นพิธีกรภาคสนามของรายการต่างๆ อย่างเช่นวันนี้ การทำงานฟรีแลนซ์ดูเหมือนจะมีอิสระ แต่จริงๆ แล้วต้องใช้ความรับผิดชอบสูงมาก เพราะถ้าพลาดหนึ่งงานจะเสียชื่อ และทำให้มีผลต่อการรับงานในครั้งต่อๆ ไป ชื่อเสียงมันสร้างยาก และเรื่องเสียๆ ก็มักจะแพร่กระจายได้ไว

วันนี้ฉันรับงานพิธีกรภาคสนามของรายการเกี่ยวกับอาหาร สถานที่จึงเป็นเหมือนตลาดนัดและอยู่ไกลจากโรงเรียนของวันสุขพอสมควร จากโรงเรียนมาถึงที่นี่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงรวมเวลารถติดแล้ว โชคดีที่เวลานัดคือตอนเที่ยง ทำให้ฉันมาถึงก่อนเวลาค่อนข้างนาน

“เดี๋ยวบรีฟกันเลยนะจ๊ะวันจันทร์” เสียงพี่พลอย ผู้จัด หรือพูดง่ายๆ นายจ้างฉันนั่นเอง

“ได้ค่ะ”

ทีมงานครั้งนี้เราทำงานร่วมกันมาหลายครั้งแล้ว สมัยวันสุขยังเด็กฉันต้องพาเธอไปไหนมาไหนด้วยทุกที่รวมทั้งที่ทำงาน ช่วงที่ยังเล็กมากๆ สบายหน่อย เอาใส่รถเข็นนอนหลับปุ๋ย แต่พอโตขึ้นมาหน่อยก็ต้องเลือกรับงานที่ไม่ยาวนานมาก บางครั้งก็ต้องจ้างพี่เลี้ยงมาอยู่เป็นเพื่อน น่าเสียดายที่พี่เลี้ยงของวันสุขลาออกไปแต่งงานเมื่อเดือนก่อน การจะหาพี่เลี้ยงที่ไว้ใจได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

หนึ่งปีแรกตอนที่คลอดวันสุขออกมา ฉันไม่ได้ทำงาน อาศัยเงินพ่อแม่และเงินที่พี่เอยเอามาให้ แต่ฉันก็มาคิดได้ว่าฉันจะพึ่งแต่คนอื่นไม่ได้ ฉันต้องหาอนาคตให้ตัวเองและวันสุข และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนั้น

การบรีฟงานผ่านไปอย่างราบรื่น หน้าที่ของฉันคือเป็นพิธีกร แนะนำสถานที่ และสัมภาษณ์แม่ค้าร้านที่เราเตี๊ยมกันไว้ก่อนแล้ว งานครั้งนี้เป็นงานง่ายๆ แต่ความสำคัญคือได้ออกทีวี แน่นอนว่าถ้าทำได้ดี มันจะดึงดูดงานต่อๆ ไปเข้ามาอีก

“เดี๋ยวเริ่มเลยนะคะน้องจันทร์” ทีมงานตะโกนเรียกฉันที่กำลังนั่งท่องบทอยู่

“โอเคค่า”

อึก...

ทันทีที่ฉันลุกขึ้น ความรู้สึกปวดร้าวที่หน้าอกก็เข้ามาโจมตี ตามมาด้วยอาการแน่นหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก ฉันพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับหยัดกายขึ้น แม้จะรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยแต่ก็ยังพอสู้ไหว จึงรีบลุกไปเข้ากล้อง 

ฉันพยายามฉีกยิ้มทั้งที่ยังรู้สึกอึดอัด ในหัวเริ่มมึนๆ อาการหายใจไม่ออกนี้เกิดขึ้นตามหลังอาการแน่นหน้าอกเมื่อครู่ ฉันรู้สึกหายใจลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ มือที่กำไมโครโฟนเริ่มสั่นเล็กน้อย

“วันจันทร์ทำไมหน้าปากดูซีดๆ จอย เติมปากให้หน่อย” พี่ออฟผู้กำกับตะโกนบอกพี่จอยซึ่งเป็นช่างแต่งหน้า

แต่ก่อนที่พี่จอยจะได้วิ่งเข้ามา ทุกอย่างรอบกายฉันก็เริ่มดับมืดลง การหายใจช่างเป็นเรื่องยากลำบาก ไม่มีครั้งไหนเลยที่รู้สึกอึดอัดมากขนาดนี้ ความรู้สึกคลื่นไส้ถาโถมเข้ามา ทุกอย่างรอบตัวเหมือนจะโคลงเคลง ในหัวฉันตอนนี้คิดถึงแค่วันสุข ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

แล้วถ้าฉันจะเป็นอะไรไปจริงๆ...

วันสุข...อยู่ที่โรงเรียน

พี่เอย ไปรับลูกด้วย!

.

ผลัวะ!

ประตูขนาดใหญ่สีขาวเปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงสาวที่ถูกเข็นมาบนเตียง ทุกคนรอบตัวดูตื่นตระหนกวุ่นวาย แต่เธอคนนั้นกลับนอนนิ่งสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงร้องใดๆ ราวกับว่าเวลานี้เธอไม่รับรู้สิ่งรอบตัวใดๆ อีกแล้ว และเมื่อเพ่งพิศมองหญิงสาวตรงหน้า ฉันก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าเธอคนนั้นคือผู้หญิงที่ฉันรู้จักดีที่สุด

“หญิงไทยยี่สิบเจ็ดปี หมดสติเมื่อห้านาทีที่แล้วค่ะ Vital sign แรกรับ BP 100/60 RR 18 Pulse 120 ค่ะ” พยาบาลประจำรถฉุกเฉินกำลังรายงานประวัติกับผู้หญิงที่น่าจะเป็นหมอในห้องฉุกเฉินด้วยภาษาที่ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่นัก จำได้ว่าตลาดที่ถ่ายทำนั้นอยู่ติดกับโรงพยาบาล การเดินทางมาที่นี่จึงใช้เวลาไม่นานนัก

“แต่บีพีตอนนี้วัดไม่ได้แล้วค่ะ” ใครอีกคนตะโกนมาจากด้านหลังคุณหมอ

“มอนิเตอร์อีเคจีเลยค่ะ” 

หมอผู้หญิงหน้าตาน่ารักตะโกนสั่งทีมพยายามในห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ระว่างนั้นเธอก็พยายามคลำที่ข้อมือฉัน ก่อนจะย้ายไปจับๆ คลำๆ แถวบริเวณต้นคอ สายระโยงระยางถูกต่อเข้ากับร่างกายของฉันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะปรากฏเส้นสีเขียววิ่งอยู่บนจอมอนิเตอร์ข้างเตียง ถ้าจากที่เคยดูซีรีส์หมอของเกาหลี นั่นน่าจะเป็นเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

เสื้อของฉันถูกตัดผ่ากลางอย่างไม่มีชิ้นดี เสื้อชั้นในถูกถอดออกไปโดยที่ฉันไม่สามารถทักท้วงอะไรได้ ใช่แล้ว ฉันได้แต่ยืนมองร่างกายถูกกระทำอยู่ข้างๆ หมอโดยที่ไม่มีใคร...มองเห็น

“ไม่มีพัลส์แล้วค่ะ ซีพีอาร์เลย”

ไม่ทันขาดคำพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ข้างคุณหมอก็กระโดดขึ้นไปคร่อมเหนือร่างกายของฉัน ก่อนจะกดมือทั้งสองข้างลงที่หน้าอกฉันเป็นจังหวะรัวๆ แรงกดนั้นทำให้หน้าอกของฉันยุบลงไปราวกับจะบุบสลาย สีหน้าของเธอมุ่งมั่น หยาดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาบริเวณไรผม...เธอกำลังปั๊มหัวใจฉันอยู่

“ขอทิวบ์ด้วยค่ะ” คุณหมอตะโกนอีกครั้ง 

ไม่นานอุปกรณ์โลหะสีเงินวาวหน้าตาแปลกตาก็ถูกนำมาง้างปากของฉันด้วยท่าทางหวาดเสียว ก่อนที่หมอจะยัดท่อพลาสติกขนาดเล็กลงไปในคอฉัน แล้วต่อท่อนั้นเข้ากับอุปกรณ์อะไรสักอย่างที่มองดูคล้ายลูกโป่งสีเขียวซึ่งฉันแอบได้ยินใครสักคนเรียกว่า ‘แอมบู’

ไม่นานก็มีคนมายืนบีบอุปกรณ์บางอย่างที่มีลักษณะเหมือนลูกโป่งสีเขียวๆ ถูกครั้งที่บีบจะมีเสียงดังครืดๆ ดูน่ากลัว ไม่อยากนึกสภาพเลยว่าตอนนี้ตัวฉันเองจะเจ็บแค่ไหน

ฉันไม่รู้ว่าฉันเฝ้ามองตัวเองถูกกู้ชีพมากี่นาทีแล้ว แต่สำหรับฉันมันรู้สึกยาวนานมาก ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังอยากอยู่กับลูก วันสุขกำลังรอฉันอยู่ ฉันอยากจะร้องไห้...แต่รู้อะไรไหม ตอนนี้แม้แต่น้ำตาฉันยังไม่มีเลย

ฉันได้แต่สะอื้นออกมาเป็นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน วันสุขของแม่ แม่อยากกลับไปหาหนู ภาพของวันสุขที่ร้องไห้ปานจะขาดใจที่โรงเรียนย้อนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง ตอนที่ฉันบอกลูกว่าแม่จะไปรับ มันทำให้ฉันรู้สึกจุกขึ้นมาในอก 

“เป็น PEA รันอะดรีนาลินทุกสามนะคะ” หมอสาวยังคงสั่งอย่างต่อเนื่อง สีหน้าเอาจริงเอาจังภายใต้หน้ากากอนามัยนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอดูเท่เหมือนในหนังไม่มีผิด แต่ฉันคงจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าคนที่เธอกำลังช่วยอยู่ไม่ใช่ตัวเอง

ปั๊มหัวใจอยู่สักพัก พยาบาลคนนั้นก็หยุดปั๊มก่อนที่คุณหมอจะใช้หูฟังฟังที่หน้าอกของฉัน และคลำต้นคอของฉันอีกครั้ง แวบแรกฉันใจแป้วไปแล้ว นึกว่าหมอจะหยุดช่วย แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้ฉันรอคอยอย่างมีความหวัง

“โซลปั๊มต่อเองค่ะ” พูดจบร่างเล็กของคุณหมอสาวก็ขยับขึ้นมายืนคร่อมบนเตียงพร้อมกับลงมือกดหน้าอกเป็นจังหวะ

“คุณหมอ ช่วยฉันด้วยนะคะ ฉันยังไม่อยากตาย” 

ฉันพยายามตะโกนข้างๆ หูคุณหมอสาวที่ตอนนี้กำลังขึ้นคร่อมปั๊มหัวใจฉันด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะตะโกนสุดเสียงแค่ไหน เธอก็ไม่ได้ยิน

“ไม่มีใครได้ยินคุณหรอก” เสียงของใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง ฉันขมวดคิ้วทันที ประโยคดังกล่าวเหมือนเขากำลังพูดกับฉัน

ฉันหันขวับกลับไปมองก็พบชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนสีซีดพร้อมกับหมวกแก๊ปเท่ๆ เขายืนพิงผนังพร้อมกับเอามือสองข้างล้วงกระเป๋าและเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ฉันมองเขาอย่างฉงนสงสัย เขาดูเหมือนคนปกติ แต่นี่ห้องฉุกเฉิน เขาไม่ให้ญาติคนไข้เข้านี่...หรือเขาเป็นหมอ

บางทีฉันอาจจะหูฝาด...

“ผมพูดกับคุณนั่นแหละ” เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง

กับฉัน?” คราวนี้ฉันหันไปเผชิญหน้าเขาตรงๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาเป็นใครกันแน่ เป็นผีงั้นเหรอ 

“วิญญาณเพิ่งออกจากร่างไม่มีพลังพอที่จะให้มนุษย์มองเห็นหรือได้ยินเสียงหรอกนะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแต่กลับพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน 

ตอนนี้ฉันเป็นวิญญาณ?

“แล้วคุณเป็นใคร” ฉันถามกลับ สายตายังคงจับจ้องเขาอย่างไม่ไว้ใจ

“ผมเป็น...ยมทูต”

การที่ฉันเห็นร่างตัวเองถูกปั๊มหัวใจไปแล้ว ทำให้การมาเจอยมทูตไม่ได้ทำให้ฉันตกใจอะไรมากนัก แต่ที่ฉันแปลกใจมากกว่าก็คือ...ยมทูตต้องหล่อขนาดนี้ไหม!

ฉันตั้งสติอยู่สักพัก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ฉันเป็นวิญญาณแถมยังอยู่ต่อหน้ายมทูต อย่าบอกนะว่าเขามารับฉัน หรือว่าฉันตายแล้วจริงๆ

“คุณมา...เอ่อ..รับฉัน...เหรอคะ” ฉันถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ กลัวคำตอบเหลือเกิน

“เปล่า ยังไม่ถึงเวลาของคุณ” ยมทูตส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับจ้องมองร่างของฉัน เขาขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่างก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “งานยาก...”

“อะไรยาก” ฉันถามด้วยความไม่เข้าใจ

“รอดูเอาแล้วกัน” เขาตอบพร้อมกับพยักพเยิดไปทางร่างของฉัน

ภาพที่ปรากฏคือคุณหมอผู้หญิงคนนั้นหยุดปั๊มหัวใจพร้อมกับเอาหูฟังฟังที่หน้าอกของฉันทั้งสองข้าง เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะตะโกนลั่น

“เสียงปอดสองข้างไม่เท่ากัน”

มือเล็กเรียวรีบควานไปที่บริเวณคอของฉันอย่างรวดเร็วพร้อมกับคลำตรงกลาง และร้องขึ้นอีกครั้ง

“หลอดลมเอียงไปด้านซ้าย คนไข้เป็น Tension pneumothorax ขอเข็มเบอร์ใหญ่สุดค่ะ” หมอสาวสั่งการอย่างรวดเร็ว สีหน้าเธอดูมีความหวัง ฉันไม่รู้ว่าที่เธอพูดเป็นภาษาอังกฤษเมื่อครู่หมายถึงอะไร แต่มันก็ทำให้ฉันลุ้นไปกับเธอด้วย

“Tension pneumothorax เป็นภาวะที่มีลมรั่วในปอด ทำให้มีแรงดันในช่องอกเพิ่มขึ้นจนไปกดการทำงานของหัวใจ นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหัวใจคุณหยุดเต้นยังไงล่ะ” ยมทูตอธิบายเสียงเรียบเมื่อเห็นฉันมีสีหน้างงงวย

จากนั้นคุณหมอก็หยิบหน้ากากและถุงมือมาใส่อย่างรวดเร็ว ไม่นานเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ก็ถูกส่งเข้ามือคุณหมอ เธอใช้สำลีชุบน้ำยาบางอย่างเช็ดไปที่หน้าอกขวาส่วนบน ก่อนจะเงื้อมือขึ้นเล็กน้อยแล้วปักเข็มลงไปโดยไม่ลังเล

ฟู่...

เสียงลมแทรกผ่านกระบอกฉีดยาออกมาเบาๆ แต่เหมือนจะได้ยินกันทุกคน สีหน้าของทั้งพยาบาลและคุณหมอตอนนี้เหมือนจะโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง

“ปั๊มต่อเลยค่ะ ขอเซตไอซีดีด้วยนะคะ”

พูดจบพยาบาลในทีมก็ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง คนหนึ่งขึ้นปั๊มหัวใจต่อ อีกคนไปเตรียมอุปกรณ์บางอย่างมา ไม่นานพวกเขาก็หยุดอีกครั้งพร้อมกับจ้องมองหน้าจอที่แสดงผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ก่อนที่ทุกคนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกัน และมีเสียงของหมอดังขึ้นอีกครั้งว่า

“ROSC ขอ Post-cardiac arrest care หลังใส่ไอซีดีด้วยนะคะ”

ฉันไม่เข้าใจหรอกว่าที่คุณหมอพูดคืออะไร รู้แต่ว่าทุกคนมีสีหน้าโล่งอก บางคนยิ้มอย่างยินดี โดยเฉพาะสายตาของคุณหมอที่บ่งบอกว่าเธอกำลังยิ้มกว้างอยู่ภายใต้หน้ากากนั้น แม้ว่าสีหน้าโดยรวมจะดูเหนื่อยล้ามากก็ตาม

กราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจกลับมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูสวยงาม ไม่เป็นคลื่นหยึกหยักเหมือนก่อนหน้านี้

ROSC เป็นคำที่หมอมักจะพูดตอนที่กู้ชีพสำเร็จ” เสียงเยือกเย็นของยมทูตดังขึ้นข้างหูของฉัน ทำให้ฉันรู้สึกขนลุกแปลกๆ

“ทำไมยมทูตถึงรู้ศัพท์แพทย์ด้วยล่ะ” ฉันหรี่ตามองเขาด้วยความสงสัย ตั้งแต่เรื่องลมในช่องอกก่อนหน้านี้แล้ว 

อันที่จริงสงสัยตั้งแต่เห็นใบหน้าหล่อใสสไตล์เกาหลีของยมทูตแล้ว กรอบความคิดเดิมๆ ของฉันคือยมทูตควรจะตัวสีแดง อาจจะมีเขาหรือหางด้วย สวมใส่โจงกระเบน เปลือยลำตัวช่วงบน ไม่น่าจะแต่งตัวฮิปฮอปขนาดนี้

“สงสัยในตัวผมหรือไง” ร่างสูงเหล่ตามองแบบเหยียดๆ ก็มันน่าแปลกใจไม่ใช่หรือไงกันเล่า

“ใช่” ฉันยอมรับแต่โดยดี 

“คิดว่าผมต้องมารับวิญญาณที่ห้องฉุกเฉินนี้วันละกี่ครั้งกันล่ะ นี่ยังไม่นับโรงพยาบาลอื่นในแถบนี้นะ ผมฟังคำนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และผมคิดว่าผมรู้มากกว่าที่คุณคิดอีกนะ” เขาเหล่มองฉันอีกครั้ง ถ้ามองไม่ผิด ดวงตาคู่สวยนั่นดูมีความหนักใจซ่อนอยู่

“แต่แทนที่คุณจะมาสงสัยในตัวผม...” เขาหยุดพูดพร้อมกับบุ้ยใบ้ไปทางร่างของฉันที่ตอนนี้รายล้อมไปด้วยพยาบาลชุดขาวที่มีสีหน้าโล่งอก

มันควรจะเป็นเรื่องน่ายินดีที่ตอนนี้ทีมคุณหมอและคุณพยาบาลได้ช่วยกู้ชีพให้หัวใจของฉันกลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง ทว่า...

“แล้วทำไมฉันยังอยู่ตรงนี้ล่ะ” ฉันหันกลับไปถามยมทูตด้วยความสงสัย หรือว่าต้องรอสักพักก่อน วิญญาณถึงจะกลับเข้าร่างกันนะ

“นั่นแหละที่บอกว่างานยาก” สายตาเย็นชาจับจ้องร่างของฉันที่ตอนนี้คุณหมอกำลังต่อสายอะไรบางอย่างเข้าไปที่ช่องอก

“เดี๋ยวนะ หมายความว่ายังไง”

“ร่างของคุณฟื้นแล้ว แต่คนที่อยู่ในนั้น...ไม่ใช่คุณ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น