8

บทที่ 7 การไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก

7

การไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก


“ไข่ตุ๋นอีกแล้วหรือ”

บุริศร์ถามพลางมองปรีชญาณ์นำชามเซรามิกเนื้อดีเข้าไมโครเวฟ ถ้าจำไม่ผิดสัปดาห์นี้เขากินไข่ตุ๋นมาห้ามื้อแล้ว ถึงอาหารจะจำเจ แต่บุริศร์ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวคนทำ จากที่เคยตื่นสายกลายเป็นเธอตื่นเช้ากว่าเขาเพื่อจัดเตรียมมื้อเช้าให้ทุกวัน งานในบ้านก็สะอาดเรียบร้อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังสำรวมคำพูดมากขึ้นด้วย

“ค่ะ วันนี้ฉันลองใส่เห็ดและก็ลดซีอิ๊วขาวลง วานชิมให้ทีสิคะ ยังเค็มอยู่อีกไหม” เมนูไข่ตุ๋นนี้มาจากคำแนะนำของมาริษาที่ให้เธอหัดทำอาหารง่ายๆ ด้วยไมโครเวฟ ซึ่งอย่างที่เห็น เธอทำได้สำเร็จถ้าไม่นับรวมวันแรกที่ไข่ยังดิบอยู่เล็กน้อย และวันที่สองที่เธอทำไหม้ไปกว่าครึ่ง

บุริศร์มองไข่ตุ๋นเนื้อเนียนที่มีแครร์รอตหั่นรูปหัวใจตกแต่งไว้อย่างชั่งใจ แต่พอสบแววตาสุกใสราวกับเด็กรอครูตรวจการบ้าน มือแข็งแรงก็หยิบช้อนขึ้นมาตักไข่ตุ๋นใส่ปาก และเริ่มต้นรับประทานอาหารคำแล้วคำเล่าจนหมดจาน ซึ่งเพียงแค่นั้นก็ทำให้ใบหน้าสะสวยเกิดรอยยิ้มกว้าง ดวงตาพราวระยับอย่างมีความสุข

“วันนี้พี่ริศร์จะไปไหนหรือเปล่าคะ” ปรีชญาณ์ถามขึ้นระหว่างลำเลียงจานไปยังอ่างล้าง วันนี้เป็นวันหยุด เธอจึงหวังว่าจะมีโอกาสได้ออกไปนอกบ้านกับเขาบ้าง 

“ช่วงเช้ากับบ่ายผมจะไปช่วยงานเจ้าอาวาสที่วัด น่าจะกลับเข้าบ้านช่วงค่ำ มีอะไรหรือ”

คำว่า ‘วัด’ ทำให้ปรีชญาณ์นึกได้ว่าวันนี้เป็นวันพระ และทุกวันพระที่ตรงกับวันหยุดบุริศร์จะถือศีลกินเจที่วัด ฉะนั้นการที่เธอคะยั้นคะยอให้เขากินไข่ตุ๋นเป็นมื้อเช้าจึงเท่ากับทำให้เขาเสียความตั้งใจ 

“วันนี้วันพระ พี่ริศร์ก็ต้องทานเจสิคะ โอย...ฉันขอโทษนะคะที่ให้พี่ทานไข่ตุ๋นเสียได้”

มองแววตาสำนึกผิดของคนที่หน้ามัน หัวยุ่ง ยอมตื่นนอนแต่เช้ามาทำอาหารให้แล้วบุริศร์ก็ซ่อนยิ้มในหน้า นึกขันตัวเองที่ชอบมองใบหน้ามอมแมมเหมือนเด็กจอมซนมากกว่าตอนที่เธอผัดหน้านวล อาจเพราะท่าทางตอนไม่ห่วงสวยดูเป็นธรรมชาติและน่ารักกว่าเดี๋ยวนะ...น่ารักหรือ

ปรีชญาณ์เลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ บุริศร์ก็กระแอมขึ้นมา เสียงไอโขลกดังเพียงสองครั้ง บุริศร์ก็หันหน้าไปทางอื่น และบอกด้วยเสียงเรียบๆ ของเขา

“ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมเต็มใจกินเอง และก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรขนาดนั้น ตั้งใจจะกินเพื่อสุขภาพมากกว่า อย่ามากังวลเพราะผมเลย อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ถ้าอันไหนผมไม่กิน ผมจะบอกเอง” 

ปรีชญาณ์ฟังคำตอบพลางคิดว่าประเดี๋ยวหลังจากบุริศร์ออกจากบ้านแล้ว เธอจะโทร. ไปหาจักรินทร์และมาริษาเพื่อขอคำแนะนำเมนูเจที่ไม่ยากจนเกินไป ซึ่งเพราะคิดเพลินนี่ละ ปรีชญาณ์จึงคิดไม่ทันตอนที่บุริศร์หันมาถาม 

“อยากไปทำบุญไหม ถ้าจะไปต้องรีบหน่อยนะ เพราะผมนัดคนอื่นๆ ไว้ก่อนเจ็ดโมงเช้า”

อาการชะงักค้างอย่างแปลกใจทำให้บุริศร์อดขำคนตรงหน้าไม่ได้ ครู่หนึ่งเชียวละใบหน้าเรียวใสจึงพยักเร็วๆ ตามด้วยเสียงตอบตะกุกตะกัก

“ไป...ไป...ไปค่ะ ขอเวลาอาบน้ำเปลี่ยนชุดสิบนาทีนะคะ” บอกแล้วปรีชญาณ์ก็รีบหมุนตัวเตรียมวิ่งเข้าห้อง แต่ติดว่าจานยังไม่ได้ล้าง ครัวยังไม่ได้เก็บ ร่างบางจึงดูยึกๆ ยักๆ ห่วงงานบ้านก็ห่วง อยากไปก็อยากไป

“ไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวผมเก็บกวาดในครัวให้ อ้อ...สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวไปวัดนะ”

“เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รับทราบค่ะ” ปรีชญาณ์ตะเบ๊ะรับคำแล้ววิ่งปร๋อออกไป มัวดีใจที่ได้ออกนอกบ้านจนไม่ทันสังเกตว่าบุริศร์มองเธอแล้วยิ้มขัน


ปลายทางที่บุริศร์พาปรีชญาณ์ไปคือวัดแห่งหนึ่งซึ่งเปิดศาลาด้านหน้าเป็นโรงเจ ปรีชญาณ์มองป้ายผ้าสีเหลืองขลิบแดงแล้วก็นึกท้อ ก็เธอน่ะไม่ชอบอาหารเจ ไม่ชอบเต้าหู้ ไม่ชอบโปรตีนเกษตร ไม่ชอบธัญพืช ปรีชญาณ์ชอบกินเนื้อ หมู ไก่ ปลา กุ้ง หรืออย่างน้อยอาหารที่อร่อยก็ควรใส่กระเทียม แต่...เธอจะมีสิทธิ์สักเท่าไรกันนะ

เพราะมัวแต่ห่วงกิน ปรีชญาณ์จึงไม่ได้สังเกตว่าบุริศร์หยุดยืนเพื่อทำความเคารพคนกลุ่มหนึ่งอยู่ เท้าเรียวพาเจ้าของร่างเดินไปจนชนบุริศร์ ดีที่เขายืนปักหลักแข็งแรงจึงไม่เซล้มและยังช่วยพยุงเธอไว้ด้วย 

“มีสติหน่อยปริศนา” 

คำเตือนที่ฟังคล้ายคำดุทำให้ปรีชญาณ์พูดไม่ออก กิริยากะพริบตาปริบๆ ของเธอทำให้ใบหน้าเรียวใสดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของบรรดาผู้สูงวัยที่ยืนสนทนาอยู่กับบุริศร์

“ฮั่นแน่ พาใครมาด้วยน่ะริศร์ แฟนเหรอ” คนถามเป็นหญิงวัยกลางคนคาดผ้ากันเปื้อน ซึ่งนับจากนี้ปรีชญาณ์จะขอเรียกว่า ‘คุณป้าตาถึง’

“ไม่ใช่หรอกครับ แค่มาด้วยกันเท่านั้น” บุริศร์ปฏิเสธโดยจงใจไม่ลงรายละเอียดเพื่อเลี่ยงการซักถามให้มากความ แต่กลายเป็นทำให้หลายคนมองอย่างสนใจ

คุณป้าตาถึงไม่เชื่อถือคำตอบของบุริศร์นัก ก็เห็นกันอยู่โต้งๆ ว่าแม่สาวหน้าใสคนนี้มองบุริศร์ตาเชื่อม ไหนจะท่าประคองกอดกันเมื่อกี้อีก ดูกะหนุงกะหนิงสมกันใช่หยอก เชื่อมั่นดังนั้นคุณป้าจึงแซวต่อว่า 

“นี่ถ้าแม่เขารู้ว่าริศร์พาสาวหน้าตาน่ารักมาวัดนะ ต้องรีบตีรถด่วนมาจากสุราษฎร์แน่ๆ ขานั้นน่ะอยากมีสะใภ้เต็มแก่แล้ว” 

ปรีชญาณ์แทบจะวิ่งเข้าไปสวมกอดและหอมแก้มคุณป้าตาถึงสักสองฟอดซ้อนค่าที่พูดถูกใจ ผิดกับบุริศร์ที่มีสีหน้าเครียดขรึม

“ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ แม่เขารู้ดีว่าผมไม่คิดเรื่องนี้ และผมกับคุณคนนี้ก็ไม่ได้สนิทสนมกัน คุณป้าอย่าแซวผมกับเขาเรื่องนี้อีกเลยนะครับ”

ปรีชญาณ์หุบยิ้ม ตีหน้าบึ้งใส่ทันทีทันควัน ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องปฏิเสธแข็งขัน ไม่ชอบใจที่เขาประกาศชัดเจนว่าไม่สนิทสนมกัน และนึกชังสรรพนาม ‘คุณคนนี้’ ที่เขาใช้เรียกแทนชื่อ หึ ขีดกรอบให้เธอนักใช่ไหม ได้สิ!

“จริงอย่างที่พี่ริศร์บอกค่ะป้า หนูไม่ใช่แฟนเขา ไม่ได้สนิทสนมกัน” ทอดเสียงหวานก่อนจะช้อนตามองบุริศร์ “หนูแค่นอนบ้านเดียวกับพี่ริศร์เท่านั้นค่ะ” 

คำตอบของปรีชญาณ์ทำให้หลายคนในโรงทานหยุดกิจกรรมของตัวเองลง คุณป้าคนถามถึงกับอ้าปากค้างมองบุริศร์อึ้งๆ ในขณะที่คนอื่นๆ หันมองกันเลิ่กลั่ก มีเพียงปรีชญาณ์เท่านั้นที่ยังเปิดยิ้มหวานฉ่ำโปรยให้ทุกคนเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ในขณะที่บุริศร์นั้น หน้าเขียวสลับแดงจนน่าจับไปทำหน้าที่แทนสัญญาณไฟจราจร

อึดใจต่อมาคุณป้าช่างถามหันไปสนใจกับเครื่องปรุงตรงหน้าในขณะที่คนอื่นๆ ก็ผัด ทอด หั่น ล้างกันไปตามกิจกรรมเดิมที่ทำอยู่ 

ปรีชญาณ์มั่นใจว่าลับหลังบุริศร์เมื่อไร สมาชิกในครัวต้องวิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างสนุกปาก แต่ที่มั่นใจกว่านั้นคือบุริศร์คงอยากจะจับเธอขังในโบสถ์จะแย่แล้ว


“ตามผมมา!” 

ปรีชญาณ์ลากขาเดินตามคนตัวสูงอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก รู้ตัวเหมือนกันว่าเมื่อครู่เธอคะนองปากมากเกินไป แต่ใครใช้ให้เขาทำเหมือนเธอเป็นคนแปลกหน้าล่ะ

“นึกอย่างไรถึงแนะนำตัวอย่างนั้น” เสียงกระซิบถามเรียบกริบพอๆ กับแววตา และเมื่อเธอไม่ยอมตอบ บุริศร์ก็ตำหนิเสียงเครียด “กล้าพูดก็ต้องกล้ายอมรับสิ อย่าขี้ขลาด”

คำว่าขี้ขลาดทำให้ปรีชญาณ์เม้มริมฝีปาก ในใจเต็มไปด้วยไฟโทสะ ใครกันแน่ที่ขี้ขลาด รักษาภาพตัวเองด้วยการผลักไสเธอให้เป็นคนแปลกหน้าฮะอีตาบุริศร์!

“ก็ฉันเห็นคุณลำบากใจที่จะพูด แล้วที่ฉันบอกก็ไม่ได้โกหกสักคำ หรือคุณจะให้ฉันบอกว่าคุณเลี้ยงฉันไว้ล่ะ” ปรีชญาณ์ตีหน้าซื่อตอบ ท่าทีทอดถอนใจของบุริศร์ทำให้เธอสะใจไม่น้อย ‘เอาใจเราไปทั้งดวงแล้วยังกล้าบอกใครๆ ว่าไม่รู้จักกันอีก พี่ริศร์นะพี่ริศร์ ใจดำอำมหิตที่สุด’

บุริศร์มองปรีชญาณ์ด้วยสายตาเย็นเยียบ และถ้อยคำของเขาก็แสนจะเย็นชา “อย่าคิดแทนผม และอย่าคะนองปากนัก มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะที่ใครๆ จะเข้าใจความสัมพันธ์ของเราสองคนผิดไปจากความจริง” 

ท่าทีมึนตึงของบุริศร์ทำให้ปรีชญาณ์ถึงองศาเดือด ดวงตาเรียวรีจ้องนิ่งที่ใบหน้าของบุริศร์ก่อนเอ่ยชัด “ฉันไม่แคร์ปากคนหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณแคร์...ฉันจะไปบอกป้าๆ เองว่าฉันเป็นแค่คนเร่ร่อนที่คุณสงเคราะห์ไว้ ซึ่งคุณก็กำลังหาวิธีไล่ฉันออกจากชีวิตอยู่เหมือนกัน ดีไม่ดีป้าคนใดคนหนึ่งในครัวนั่นอาจจะยอมรับฉันไปสงเคราะห์ต่อก็ได้” ปรีชญาณ์ก้าวไปได้เพียงสองก้าว เสียงเรียกเฉียบขาดก็รั้งเธอไว้ 

“หยุดเดี๋ยวนี้นะปริศนา!” บุริศร์ไม่ชอบดุใครด้วยเชื่อว่าการพูดด้วยเหตุผลจะสื่อสารได้ดีกว่าอารมณ์ แต่กรณีปริศนาคงต้องยกเว้นไว้บ้าง ผู้หญิงอะไร ดื้อรั้น เอาแต่ใจ! 

อันที่จริงบุริศร์ไม่ใช่คนกลัวการนินทา เพราะการไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก ให้เราทำดีแค่ไหน วางตนเหมาะสมเพียงไร จิตใจอันเต็มไปด้วยอคติของคนก็ยังปั้นคำขึ้นมากล่าวร้ายได้ ทางเดียวที่จะแก้ไขคืออุเบกขา วางเฉยและมีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่โต้แย้ง ไม่โกรธเคือง แต่ให้ตั้งหน้าตั้งตารับผิดชอบและทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ซึ่งในกรณีของผู้หญิงตรงหน้า การที่เขาพูดตัดรอนว่าเธอไม่ใช่แฟนก็เพราะต้องการรักษาเกียรติของเธอไว้ แต่ดูเธอจะไม่เข้าใจความปรารถนาดีของเขานัก

เสียงเรียกดังไม่ได้ทำให้ปรีชญาณ์ชะงักเท่านั้น แต่ยังทำให้ใครอีกคนที่เดินเข้ามาสังเกตเห็นบุริศร์ได้ง่ายขึ้น 

“อ้าวริศร์ มาขลุกตัวอยู่นี่เอง เรานึกว่าแกจะมาไม่ทันเสียอีก” 

ปรีชญาณ์และบุริศร์หันไปมองผู้มาใหม่พร้อมกัน ภาพที่ทั้งสองเห็นคือชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวขาว หน้าตาหล่อเหลาคมสันชนิดสะกดตาสะกดใจ ปรีชญาณ์มองเขาซ้ำด้วยความตื่นตะลึง ก่อนจะเร้นกายหลบอยู่ด้านหลังของบุริศร์ โลกมันกลมเกินไปไหม ผู้ชายตรงหน้าคือสามีของเพื่อนสนิท!

“ก็เกือบมาไม่ทันเหมือนกัน” บุริศร์ตอบและเลิกคิ้วขึ้นเมื่อศิวัชเขม้นมองไปด้านหลังของเขา จากประสบการณ์เมื่อครู่ทำให้บุริศร์เลือกจะแนะนำแม่สาวปริศนาให้เพื่อนรู้จักก่อนที่เธอจะแนะนำตัวเองอีกครั้ง

“ปริศนา นี่เพื่อนสนิทผมเอง ชื่อศิวัช วัช ผู้หญิงที่เราเล่าให้แกฟังไง ตอนนี้เราเรียกเธอว่าปริศนา” 

เสียงแนะนำตัวเธอให้คนชื่อ ‘ศิวัช’ รู้จักทำให้ปรีชญาณ์จำต้องยื่นหน้าออกมา ซึ่งเมื่อศิวัชได้เห็นหน้าเธอก็เกือบร้องทัก แต่ปรีชญาณ์รีบส่ายหน้าและยกมือไหว้ท่วมหัวแทนการบอกว่าขอร้อง ศิวัชจึงเขม้นมองเธอครู่หนึ่งแล้วทักทาย

“สวัสดีครับ ผมชื่อศิวัชนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณปริศนา”

บุริศร์มองเพื่อนด้วยแววตาเคลือบแคลงเมื่อเสียงทักทายทุ้มนุ่มเกินเหตุ และดวงตาคมของศิวัชก็เต็มไปด้วยประกายวาววาม เห็นอย่างนั้นแล้วก็เริ่มไม่สบายใจนัก เพราะมีเหตุผลกับตัวเองว่า ‘ชู้สาวเป็นเรื่องผิดศีลธรรม’

“วัช เราขึ้นไปบนศาลากันดีกว่า” 

เสียงบอกขรึมกับสีหน้าเคร่งเครียดทำให้ศิวัชเหล่ตามองเพื่อนสลับกับมองปรีชญาณ์ แล้วรอยยิ้มขันก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา ‘น่าสนุกดีนะ ฤๅษีตบะกล้ากับแม่มดสาวจอมป่วน’

เมื่อศิวัชเอาแต่มองปริศนาด้วยดวงตาพินิจพิจารณา บุริศร์ก็ให้รำคาญใจ จึงตัดสินใจจัดการกับคนที่น่าจะเชื่อฟังกันมากกว่า“ปริศนา คุณตามผมมาทางนี้” พูดจบบุริศร์ก็พยักหน้าให้ปรีชญาณ์เดินตามไปพบคุณน้าร่างอวบคนหนึ่ง ก่อนยัดเยียดงานสำคัญให้เธอ

ปรีชญาณ์กัดฟันกรอดเมื่อบุริศร์สั่งงานเสร็จแล้วก็เดินดุ่มทิ้งเธอไป ก็น่าโกรธน้อยอยู่เมื่อไร เรื่องเก่ายังเคลียร์ไม่จบก็ตัดบทเดินหนีหน้า เท่านั้นไม่พอ บุริศร์จงใจกีดกันเธอไม่ให้ติดสอยห้อยตามเขาด้วยการส่งเธอเข้าไปทำงานในโรงครัว แล้วงานปอก หั่น สับ ผัดยังพอว่า เขากลับส่งเธอมาล้างจาน คอยดูนะ ถ้าจบงานแล้วมือเธอเป็นผื่นแดงแม้แต่นิดเดียว ปรีชญาณ์จะฟ้องศาลเรียกร้องสินไหมทดแทนด้วยการให้นายบุริศร์แต่งงานกับเธอ!


ศิวัชที่เดินตามหลังบุริศร์ครุ่นคิดถึงท่าทีของปรีชญาณ์ด้วยความกังขา เขามั่นใจว่าปรีชญาณ์จดจำเขาได้ เธอจึงไม่น่าจะมีอาการความจำเสื่อมอย่างที่บุริศร์เล่าให้ฟัง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจึงแปลความได้ว่าปรีชญาณ์จงใจปลอมตัวเข้ามาอยู่ในบ้านของบุริศร์ ซึ่งมูลเหตุจูงใจของปรีชญาณ์ไม่ใช่เรื่องเงินแน่นอน เพราะเท่าที่เขาทราบบิดาของปรีชญาณ์มีฐานะดี และมีเธอเป็นบุตรสาวคนเดียว

“แม่สาวปริศนาของแกหน้าตาดีกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยว่ะ ฉันนึกว่าจะเป็นน้องนางบ้านนาตัวดำ ฟันห่าง ผมหยิกอะไรอย่างนั้น สวยอย่างนี้ ไม่รู้ฤๅษีชีไพรจะตบะแตกบ้างหรือเปล่า” แซวยิ้มๆ พลางจับสังเกตสีหน้าของบุริศร์ในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันมานาน แต่นอกจากไม่มีอาการผิดปกติแล้ว บุริศร์ยังยิ้มเยื้อนเป็นปกติ

“ถ้าพูดดีไม่ได้ก็ควรหัดปิดวาจา คิดให้ดีให้ถ้วนถี่แล้วจึงพูดออกมา ตอนไม่พูดเราเป็นนายของถ้อยคำ แต่พอพ่นคำ มันเป็นนายเรา”

“เทศน์คล่องขนาดนี้บวชเลยไหม ผ้าไตรว่าง” ศิวัชเย้าเอาขำ ไม่สนใจหน้าเคร่งของบุริศร์ กระเซ้าต่อว่า “น่าแปลกไหม เขาจำแกได้ แต่จำฉันที่แทบจะตัวติดกับแกตลอดไม่ได้เลยว่ะ เป็นไปได้ไหมที่เขาอาจเป็นคนแถวๆ บ้านเก่าของแก หรือไม่ก็รุ่นน้องตอนเรียนมหาวิทยาลัย ไม่แน่นะเว้ย เขาอาจเป็นเนื้อคู่ที่ตามแกมาจากชาติที่แล้วก็ได้”

“นายวัช บุญน่ะไม่ใช่แค่ใส่บาตรพระแล้วก็จบนะ แกต้องสำรวมกาย วาจา ใจให้ตั้งอยู่ในศีลห้า อย่าเอาเรื่องอกุศลมาทำให้ใจมัวหมอง ไม่เอาละ คุยกับแกแล้วเสียเวลา ฉันไปกราบท่านพระครูดีกว่า” 

ศิวัชทำหน้าเมื่อยที่ถูกดุอีกครั้ง ตอนเรียนเป็นเพื่อนกัน ไหงเรียนจบแล้วมันกลายเป็นพ่อไปได้! แต่ถึงจะถูกดุ ถูกเทศนาอย่างไร ศิวัชก็ยังไม่วายตะโกนไล่หลัง

“แกไม่คุยกับฉัน ฉันไปคุยกับน้องปริศนาเองก็ได้วะ ดีเหมือนกัน เผื่อว่าเขาจะจำได้ว่ารู้จักเราเหมือนกัน จะได้พาไปพักที่บ้านบ้าง ไปละ” 

ศิวัชคงหัวเราะงอหาย ถ้าหันกลับมาเห็นว่าคนที่สำรวมกาย วาจา ใจเป็นอย่างดีมองตามจนกระทั่งเห็นว่าเขาปรี่ไปช่วยปรีชญาณ์ล้างจาน 

ด้านบุริศร์นั้นพอเห็นว่าทั้งสองคนสนทนากันถูกคอก็พยายามข่มใจว่า ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ เขาทำได้แค่แนะนำในฐานะมิตร ไม่อาจบังคับให้ทั้งสองคนกระทำหรืองดเว้นได้ 


ฝ่ายศิวัชหลังจากเดินหันหลังให้บุริศร์แล้ว เขาก็สลัดท่าทีทะเล้นอารมณ์ดีของตัวเองออก เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมเคร่งเครียดใส่ปรีชญาณ์ที่รีบยกมือไหว้พร้อมแก้ตัว

“ขอบคุณที่คุณวัชช่วยตามน้ำให้นะคะ คือเปรียวจะเรียนให้ทราบว่าเปรียวมีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ ไม่ได้ทำเพราะต้องการเล่นแผลงๆ หรือกลั่นแกล้งใครจริงๆ นะคะ”  

ปรีชญาณ์รีบบอกเพราะครั้งแรกที่เจอกันนั้นศิวัชรู้จักเธอในฐานะต้นคิดจัดงานสละโสดให้ชลดา เจ้าสาวของเขาด้วยการจ้างผู้ชายกล้ามใหญ่นุ่งน้อยห่มน้อยมาเอาอกเอาใจเจ้าสาวและผู้หญิงในงาน ทั้งที่เธอพยายามอธิบายแล้วว่ามวลหมู่ผู้ชายกล้ามโตที่เธอคัดสรรมาล้วนดำรงสปีชีส์เก้งกวาง เป็นชายรักชายทั้งสิ้น แต่ศิวัชก็ยังโมโหจัดและโกรธเธอมาก ซึ่งเขาอาจเอาคืนเธอด้วยการทำให้แผนเธอพังพินาศก็เป็นได้

“ครับ ผมรอฟังเหตุผลอยู่” ศิวัชปั้นหน้าเครียดใส่เพื่อนสนิทของภรรยา ทั้งไม่ไว้ใจและจับผิด

ปรีชญาณ์กัดริมฝีปากอย่างยุ่งยากใจ จะให้เธอบอกศิวัชตามตรงก็พอได้ แต่ก็มานึกกระดากใจที่ตนเองเป็นหญิง แต่วางแผนจีบผู้ชายเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ปัญหาคือโอกาสสำเร็จยังเป็นศูนย์นี่สิ น่าอายจะตาย!

“ว่าอย่างไรครับคุณเปรียว เหตุผลจำเป็นแค่ไหนกันถึงต้องปลอมตัวมาอยู่กับนายริศร์มัน หรือว่า...หาอะไรทำสนุกๆ ตามประสา โดยมีเพื่อนของผมเป็นเหยื่อให้คุณต้มตุ๋น” เมื่อปรีชญาณ์ไม่ยอมบอกเหตุผล ศิวัชก็แกล้งยั่วให้โมโห แต่ปรีชญาณ์ที่ตั้งสติได้แล้วก็ไม่ได้เต้นตาม เธอรู้ตัวว่าตนเองเคยทำผิดจึงอธิบายช้าชัด

“ไม่ใช่นะคะ เปรียวทำเพราะ...เพราะ เพราะรักพี่ริศร์ค่ะ” โพล่งออกไปแล้วปรีชญาณ์ก็หายใจโล่งขึ้น เออหนอ หรือว่าเธอควรจะบอกบุริศร์อย่างนี้บ้าง บอกออกไปโต้งๆ วัดใจกันไปเลย

ศิวัชฟังคำสารภาพรักของปรีชญาณ์ที่มีต่อบุริศร์อย่างไม่อยากจะเชื่อหูนัก คิดภาพไม่ออกว่าโลกกลมๆ ใบนี้หมุนโคจรในองศาใด ผู้หญิงเปรี้ยวจี๊ดจอมป่วนจึงรักปักใจต่อฤๅษีอย่างบุริศร์ได้ แถมไม่ใช่แค่หลงใหลได้ปลื้มธรรมดา แต่ถึงขั้นปลอมตัวมาใกล้ชิดเพื่อนของเขา หนักกว่านั้นคือ...ศิวัชมั่นใจว่าบุริศร์ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย

มองดวงตาเปี่ยมความหวังของปรีชญาณ์แล้วศิวัชก็ยอมใจร้ายตั้งคำถามที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริงว่า “ถ้าผมบอกคุณว่านายริศร์ไม่มีทางรักคุณล่ะ คุณเปรียวจะทำอย่างไรต่อไป”

ปรีชญาณ์เบิกตาโพลงใส่ กลัวสุดใจว่าจริงๆ แล้วบุริศร์จะเป็นชายรักชายในคราบฤๅษีมาดเคร่ง แต่ศิวัชก็รู้ทันเสียก่อน รีบขยายความให้เธอฟังชัดๆ “ผมหมายถึงถ้านายริศร์มันต้องการอยู่เป็นโสดตลอดชีวิต ไม่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงคนใดในโลกนี้ คุณจะยังรักมันไหม”

ปรีชญาณ์หายใจไม่ออกไปครู่ใหญ่เพราะคำถามนั้น มันเป็นคำถามที่เธอถามตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ที่ยังรออยู่และยังมีพลังจะรักเขาอยู่ก็เพราะเธอ ‘เชื่อ’ ว่าตนเองจะทำให้เขารักได้ เชื่อว่าความสำเร็จมาจากความทุ่มเทและตั้งใจ ซึ่งตอนนี้ปรีชญาณ์ให้เขาหมดแล้วทั้งสองสิ่ง และคาดหวังว่าจะได้ใจเขาตอบแทนกลับมา

“เปรียวรักพี่ริศร์ และจะไม่เลิกรักเขาเด็ดขาด แต่ถ้าพยายามจนถึงที่สุดแล้วพี่ริศร์ยังยืนยันว่าไม่ต้องการมีเปรียวในชีวิต เปรียวก็จะยอมรับการตัดสินใจของเขา”

คำตอบหนักแน่นกับน้ำตาที่คลอคลองหน่วยตาของปรีชญาณ์ทำให้ศิวัชยอมเชื่อว่าผู้หญิงตรงหน้ารักเพื่อนเขาจริงๆ และนั่นก็ทำให้ศิวัชยอมเปิดใจด้วยการแนะนำว่า

“นายริศร์มันเป็นคนชอบสร้างกฎ กำหนดเกณฑ์ให้กับตัวเอง และเคร่งครัดต่อทุกแผนที่ได้วางไว้ หลังจากสนใจเรื่องธรรมะนายริศร์มันก็ตั้งมั่นจะถือศีลแปด และไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น” 

“พี่ริศร์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงทุกคนก็ดีแล้ว แต่ควรยกเว้นเปรียวไว้สักคนสิคะ เปรียวก็แค่ผู้หญิงที่รักเขาเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่พี่ริศร์จะต้องกังวลใจ บางครั้งพี่ริศร์ก็ทำอย่างกับว่าเปรียวจะสร้างความเสื่อมเสีย หรือทำให้ชีวิตเขาเสียหายพังพินาศไปอย่างนั้นละ เฮอะ! ทำเป็นเคร่งศีลดีนัก สักวันเถอะเปรียวจะกระโดดกอดให้ศีลขาดเลย” 

ศิวัชฟังปรีชญาณ์ฟ้องฉอดๆ เหมือนน้องสาวฟ้องพี่ชายแล้วก็ยิ้มขันออกมา ยิ่งเมื่อพูดจบแล้วเจ้าตัวถูมือคล้ายมันเขี้ยวบุริศร์นักหนา ศิวัชก็อดหัวเราะท่าทีของเธอไม่ได้ คิดไกลไปว่าหากบุริศร์ได้ผู้หญิงแสบสันอย่างปรีชญาณ์ไปเป็นคู่ครอง ชีวิตคงเหมือนตีลังกาอยู่บนสายรุ้งเจ็ดสี!

“ผู้ชายบางคนยิ่งไล่ เขาก็ยิ่งหนี ยิ่งผู้ชายที่มีศีลธรรมเต็มขั้นอย่างนายริศร์ด้วยแล้ว หมอนี่ไม่มีทางตกลงในหลุมเสน่ห์ของคุณเปรียวเด็ดขาด และนายริศร์ก็เป็นคนหัวโบราณมาก ขืนคุณเปรียวกระโดดกอดมันตามที่พูด ถูกนายริศร์โยนออกนอกบ้านไม่รู้ด้วย” 

ปรีชญาณ์ทำแก้มป่องทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น ศิวัชเห็นเข้าก็ยิ้มกว้าง มองซ้ายมองขวาก่อนพูดด้วยเสียงเบาลง

“รักของผู้ชายคนอื่นอาจเป็นรักที่ใช้ความใคร่เป็นตัวนำ แต่นายริศร์ไม่ใช่คนแบบนั้น คุณเปรียวต้องชนะใจเพื่อนของผมด้วยศีลด้วยธรรมที่เท่าเทียมกันครับ”

ปรีชญาณ์กะพริบตาปริบๆ ฟังอย่างไม่เข้าใจนัก ศีลนั้นพอท่องได้ห้าข้อ ส่วนธรรมนั้นจำได้แค่ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำใจให้บริสุทธิ์ เฮ้อ! ใครจะนึกล่ะว่าการจะรักผู้ชายสักคนจะต้องแม่นวิชาพุทธศาสนาขนาดนี้

“เรื่องศีลเรื่องธรรม เปรียวจะพยายามสำรวมกาย วาจา ใจให้ทัดเทียมพี่ริศร์ค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าทำได้แล้วพี่ริศร์แกจะนึกรักตอนไหน ผู้ชายอะไรไม่รู้ ความรู้สึกช้าจัง” ปรีชญาณ์บ่นอุบอิบ

ศิวัชฟังแล้วหัวเราะเบาๆ “นายริศร์มันไม่ได้ความรู้สึกช้าหรอกครับ แต่มันเป็นพวกกดความรู้สึกเก่งมากกว่า เอาเถอะ...ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมา ถ้าช่วยได้ ผมจะช่วยเต็มที่” 

เมื่อศิวัชเสนอมาอย่างนั้น ปรีชญาณ์ก็ไม่ขัดศรัทธา รีบเล่าเรื่องที่ต้องการให้ช่วยเสียยาวเหยียด ก่อนแบไพ่ที่มีให้รู้เลยว่า “เปรียวมีเวลาเหลืออีกไม่มาก เพราะถ้าเปรียวทำให้คุณบุริศร์รักไม่ได้ เปรียวต้องกลับไปแต่งงานกับคู่หมั้นปลายเดือนหน้า” 

ศิวัชครางอะไรบางอย่างออกมาก่อนถาม “คุณเปรียวคิดว่าถ้านายริศร์รักแล้วจะช่วยล้มงานแต่งให้หรือ” 

ปรีชญาณ์ส่ายหน้าทันทีเมื่อฟังจบ ไม่มีทาง เธอรู้ดี การทำให้เขารักว่ายากแล้ว แต่การจะให้เขาทำให้คนอื่นเดือดร้อน ร้อนใจ เป็นทุกข์ บุริศร์ไม่มีทางยอมทำ เขาอาจมองว่ามันคือการผิดศีลที่เขาจะแย่งชิงของรักของผู้อื่นด้วยซ้ำ

“พี่ริศร์ไม่ต้องล้มงานแต่งให้เปรียวหรอกค่ะ ขอแค่เขารักและต้องการให้เปรียวอยู่เคียงข้างก็พอ ที่เหลือเปรียวจัดการเองได้” ถ้าจัดการแปลว่าหนี ปรีชญาณ์คิดว่าเธอก็ได้จัดการไว้บ้างแล้วละ

ศิวัชพินิจพิจารณาเธออยู่ครู่ก่อนถามคำถามที่ปรีชญาณ์ไม่เคยคิดถึง “คุณเปรียวไม่คิดบ้างหรือว่าตัวเองกับนายริศร์ต่างกันมาก คุณยังชอบสังคม ชอบการสังสรรค์ แต่นายริศร์มันเจ้าแห่งความสันโดษเลยนะครับ เคยลางานไปถือศีลครึ่งเดือนก็ยังมี”

ปรีชญาณ์คิดตามแล้วก็ยอมรับ จริงอยู่ว่าเธอชอบพบปะสังสรรค์กับญาติมิตรที่สนิทสนมกัน ซึ่งการสานสัมพันธ์ในหมู่กัลยาณมิตรไม่น่าจะใช่ปัญหา และขวบปีที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเฉียดกรายไปงานปาร์ตีรื่นเริงสักครั้ง ด้วยใจไม่ได้ต้องการความสนุกสนานชั่วครู่ชั่วคราวอีกแล้ว

“คนเราไม่จำเป็นต้องฟังเพลงอยู่แค่จังหวะเดียวนี่คะ ร็อกอาจจะฟังมัน ฟังสนุกในบางโอกาส แต่แจ๊สหรืออกูสติกก็ฟังเพลินเมื่อยามต้องการพักผ่อน เปรียวแน่ใจค่ะว่า...ความสุขของเปรียวมีชื่อว่าบุริศร์ และเปรียวก็พร้อมจะก้าวในจังหวะเดียวกับเขา”

แม้ปรีชญาณ์จะตอบได้ถูกใจตัวเองขนาดไหน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พอสำหรับศิวัช เพราะเขายังมีคำถามต่อมาอีกว่า “ผมไม่ได้ดูถูกความรู้สึกของคุณนะ แต่คุณเปรียวมั่นใจได้อย่างไรว่าความรู้สึกนี้คือความรัก ไม่ใช่แค่ต้องการเอาชนะเพียงเพราะนายริศร์เคยไม่สนใจคุณมาก่อน”

ปรีชญาณ์สบตากับศิวัชแล้วยิ้มให้ บอกจากก้นบึ้งของหัวใจว่า “เปรียวไม่ได้เชื่อว่าสิ่งที่รู้สึกคือรัก แต่เพราะเปรียวรัก จึงเชื่อว่าความรู้สึกที่ส่งไปจะทำให้พี่ริศร์รักตอบได้ในสักวัน ซึ่งถ้าถึงสุดท้ายแล้วพี่ริศร์ไม่ได้คิดเหมือนกัน เปรียวก็ไม่คิดว่าตัวเองแพ้ แค่รักก็ชนะแล้วค่ะ”


“ผมไปก่อนนะครับปริศนา แล้วเจอกันเร็วๆ นี้ครับ”

“รอด้วยใจจดใจจ่อเลยค่ะ” ปรีชญาณ์เอนตัวไปกระซิบ ก่อนจะกลับมายืนตรง เปิดยิ้มกว้าง โบกมือตอบศิวัช นัยน์ตาของเธอเป็นประกายเจิดจ้าด้วยความสุขใจ เพราะนอกจากศิวัชจะไม่ขัดขวางเธอแล้ว เขาบอกว่าจะชวนเธอและบุริศร์ไปเที่ยวในสัปดาห์หน้า แค่คิดว่าจะมีทริปแสนโรแมนติกกับบุริศร์ หญิงสาวก็อยากจะเร่งวันเร่งคืนให้โลกหมุนไปถึงเวลานั้นเร็วๆ

“มารยาทไทย การลาผู้ใหญ่เขาให้ไหว้ ไม่ใช่โบกมือ” 

เสียงเรียบเย็นจากด้านหลังทำให้ปรีชญาณ์สะดุ้งตกใจ ก่อนจะหันไปยิ้มแหยให้บุริศร์ที่วางหน้านิ่งคงที่คงวา บางทีเธอก็อยากลองโยนงูยางใส่สักครั้ง อยากรู้นักว่ายังตกใจเป็นไหม

“ค่ะ...ฉันจะจำค่ะ ว่าแต่...ธุระพี่ริศร์เสร็จแล้วหรือคะ หรือว่าจะให้ฉันไปช่วยที่โรงครัวต่อ”

ท่าทางกระตือรือร้นของคนตรงหน้าทำให้บุริศร์มองอีกฝ่ายนิ่งนาน เมื่อครู่ตอนที่เดินออกมาเขาเห็นว่าเธอกระซิบกระซาบกับศิวัช และทั้งสองก็ยิ้มให้แก่กัน ซึ่งมันจะไม่ใช่เรื่องของเขาเลยถ้าศิวัชไม่ใช่เพื่อน และผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่คนในความดูแล

“งานเสร็จหมดแล้ว กลับบ้านดีกว่า”

คนพูดคิดอะไรไม่รู้ แต่คนฟังยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงเพียงเพราะแอบเติมคำว่า ‘เรา’ ให้กลายเป็น ‘กลับบ้านเราดีกว่า’ โดยไม่รู้ตัวว่าอาการตาลอยฝัน ยิ้มหวานหยดของตัวเองนั้นทำให้คนมองหน้าเครียด

กว่าปรีชญาณ์จะออกจากฝัน บุริศร์ก็นั่งหน้าเคร่งอยู่หลังพวงมาลัย สีหน้าเครียดๆ ของเขาทำให้ปรีชญาณ์เริ่มรู้ตัวว่าเธอน่าจะทำอะไรไม่เหมาะ ไม่ดีสักอย่าง ซึ่งถ้าพิจารณาจากทำจานแตกไปหนึ่ง แก้วสอง เด็ดขั้วมะเขือใส่แกงแล้วทิ้งผลลงถังขยะ ก็...สมควรโดนดุอยู่เหมือนกัน คิดแล้วปรีชญาณ์ก็ยิ้มจืดเจื่อนให้ และรีบก้าวขึ้นรถด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัว 

บนรถขากลับบรรยากาศในรถเงียบกว่าขามา เหตุเพราะตอนขามาปรีชญาณ์ซักถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ราวกับเด็กเพิ่งเคยออกมาเจอโลกกว้าง และบุริศร์ก็มีแก่ใจจะตอบ ในขณะที่ขากลับปรีชญาณ์กลัวถูกดุจึงนั่งหันหน้ามองข้างทาง โดยไม่รู้ว่าคนขับเห็นเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ผ่านเงาสะท้อนของกระจก!

“ยิ้มอะไรนักหนา ชอบ...วัด ขนาดนั้นเลยรึ”

เสียงขรึมจากคนที่ขับรถเงียบๆ มาตลอดทางทำให้ปรีชญาณ์ไม่กล้าตอบในทันทีทันใด ชอบวัดไหม ตามตรงแล้วเธอก็ค่อนข้างศรัทธาท่านพระครูที่วัดนี้นะ เพียงแต่เธอเพิ่งมา ยังไม่คุ้นเคยกับแนวทางการปฏิบัติและการสนทนาธรรมนัก แต่ถ้าเทียบกับวัดอื่นๆ ที่เคยไป ปรีชญาณ์ก็รู้สึกว่าวัดนี้ให้ความรู้สึกสงบและร่มเย็นกว่า

“ก็น่าสนใจนะคะ แต่จะให้บอกว่าชอบไหมคงต้องค่อยๆ ศึกษาไปค่ะ สัปดาห์หน้าฉันขอติดรถพี่มาอีกนะคะ”

คำตอบไม่มี มีแต่แววตาเคร่งๆ ที่มองเธอแวบหนึ่ง ก่อนเขาจะหันไปสนใจถนนตรงหน้า เห็นอย่างนั้นแล้วปรีชญาณ์ก็ไม่กล้าเซ้าซี้ถาม แต่แอบนินทาในใจว่า ‘พี่ฤๅษีของเราก็อินดี้เหมือนกันนะ ถามเขาก่อนเองแท้ๆ แต่พอเขาถามกลับบ้างทำเป็นไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น’


จนเมื่อรถแล่นมาถึงบ้านและเข้ามาจอดในโรงรถเรียบร้อยแล้วนั่นละ บุริศร์จึงหันมาสนทนากับเธออีกครั้ง

“ครั้งหน้านายวัชจะพาภรรยามาร่วมทำบุญด้วย คุณยังสนใจจะไปไหม”

“สนใจค่ะ ฉันอยากไป” ปรีชญาณ์ตอบแทบจะทันที อยากไปวัดกับเขา อยากไปทำบุญร่วมกัน และคงดีมากๆ ถ้าเธอได้เจอกับชลดา ภรรยาของศิวัช ว่าแต่...เธอตอบอะไรผิดหรือเปล่านะ

ปรีชญาณ์ไม่ต้องสงสัยนานนัก บุริศร์ก็เตือนด้วยน้ำเสียงเครียดว่า “ผมเข้าใจว่าคุณลืมเรื่องราวความเป็นมาในชีวิตของตัวเองและลืมความสามารถที่เคยทำได้หลายๆ อย่าง แต่ศีลธรรม จริยธรรมเป็นสามัญสำนึกพื้นฐานที่ผมเชื่อว่าสมองจะไม่ลบเลือนส่วนนี้ไป อย่าเพิ่งคิดว่าผมตำหนิ ผมเพียงแค่อยากให้คุณไตร่ตรองให้ดี ไม่อยากให้คุณเสียใจหรือเสียความนับถือตัวเองไป ยิ่งถ้าคุณมีใครรออยู่ข้างหลัง ปัญหามันจะไม่จบไม่สิ้น”

ปรีชญาณ์นิ่งอั้นอยู่นานอย่างพยายามทำความเข้าใจทีละประโยค เขาบอกว่าเข้าใจที่เธอความจำเสื่อม แต่เชื่อว่าเธอจำเรื่องศีลธรรม จริยธรรมได้ เขาไม่ตำหนิ แต่พูดคล้ายไม่พอใจสักเท่าไร แล้วคนที่รอเธออยู่ข้างหลังคือใครล่ะ

เป็นอีกครั้งที่ปรีชญาณ์ขยับตัวอย่างอึดอัด รู้สึกเหมือนยืนอยู่หน้าครูฝ่ายปกครองระเบียบจัดที่พร้อมจะฟาดก้นและสั่งให้เธอวิ่งรอบสนามฟุตบอลถ้าทำผิด เดี๋ยวนะ ทำผิดเหรอ

“พี่ริศร์คิดว่าฉันชอบคุณวัชหรือคะ”

บุริศร์อึ้งไม่น้อยเพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถามตรงๆ และไม่มีท่าทีเขินอาย มีแต่แววตาคล้ายผิดหวังเสียใจ แววตาที่ทำให้เขารู้สึกผิด

ปรีชญาณ์ยิ้มขื่นออกมา พยายามจะเข้าใจเขาว่าเธอคือคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้หัวนอนปลายเท้า จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ไว้ใจเธอ แต่ไม่มีสักเสี้ยวใจเชียวหรือที่เขาจะรับรู้ว่าเธอรู้สึกต่อเขาอย่างไร แววตาของเธอ ท่าทีของเธอชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว เขายังเข้าใจผิดว่าเธอชอบศิวัชได้ หัวใจของพี่อยู่ที่ไหนกันนะ พี่ริศร์!

“ถึงฉันจะพร่องศีลพร่องธรรมไปบ้าง แต่เรื่องผิดผัวผิดเมียคนอื่น ฉันไม่ทำแน่นอนค่ะ และถ้าฉันชอบคนอื่นได้จริงก็คงไม่มาอยู่ที่จุดนี้หรอกค่ะ พี่ริศร์อย่ากังวลไปเลย” พูดจบปรีชญาณ์ก็ก้าวลงจากรถไป ปล่อยให้บุริศร์นิ่งขึงอยู่กับคำบอกรักที่ยากจะคาดเดาว่าเขาเข้าใจมันบ้างหรือไม่ หรือบางทีเขาอาจจะเข้าใจ...แต่ไม่ใส่ใจจะรับรู้


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น