บทนำ
คนที่ทำดีต่อกันไว้ผลบุญก็จะเกื้อหนุนให้ได้พบ
ให้มีวาสนาต่อกันอยู่เรื่อยๆ
สิบสองปีก่อน
เสียงกรีดร้องและอาการปาข้าวของใกล้มือทุกอย่างทิ้งของเด็กหญิงวัยสิบสี่ปีเรียกความสนใจของทีมอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยให้หันมองด้วยความสนใจ ยิ่งเมื่อเหล่าพยาบาลสามสี่คนพยายามร้องห้าม ข้าวของก็ยิ่งถูกขว้างมากขึ้น และบางชิ้นก็กระเด็นออกนอกวงมาถึงกลุ่มอาสาสมัครที่กำลังดูแลผู้ป่วยอยู่
“คุณเปรียวขา พอแล้วค่า พอแล้ว ข้าวของคุณหมอพังหมดแล้วนะคะ” จรรยา พี่เลี้ยงสาวและลูกไล่ประจำตัวของเด็กหญิงร้องห้ามพลางวิ่งไล่เก็บทุกอย่างมากองรวมกันไว้ แต่ไม่กล้าเข้าไปจับตัวเด็กหญิงเพราะฝ่ายนั้นเงื้อถาดสเตนเลสใบใหญ่อยู่
“ก็เปรียวบอกแล้วว่าไม่กิน กลืนข้าวไม่ได้ พี่จรรยาก็ยังจะตื๊อให้กินอยู่ได้ แถมยังพาออกจากห้องมาเป็นตัวตลกให้พยาบาลพวกนี้ดูอีก” เด็กหญิงตะโกนเสียงดังจนหน้าแดงก่ำ จ้องผู้เป็นพี่เลี้ยงตาเขม็ง
“โธ่...ตัวตลกที่ไหนกันล่ะคะ พี่แค่อยากให้น้องเปรียวได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เผื่อจะอยากทานอาหารมากขึ้น” พี่เลี้ยงบอกเสียงอ่อนหวาน นอกจากค่าจ้างราคางามแล้ว บิดาของเด็กหญิงยังเป็นผู้มีพระคุณของเธอด้วย
“ไม่อยาก และจะไม่กินด้วย มาพาเปรียวเข้าห้องเดี๋ยวนี้ อ้อ...แล้วใครจะตามไปฉีดยาก็รีบมา ถ้าหลับแล้ว ใครปลุกให้ตื่นจะด่าไม่ไว้หน้าจริงด้วยๆ”
นางพยาบาลสาวสามคนมองหน้ากันด้วยความไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะอำนาจเงิน เด็กหญิงจอมวีนคงถูกเชิญออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่สองวันแรกแล้ว ค่าที่สร้างเสียงรบกวนแก่ผู้ป่วยคนอื่นและทีมแพทย์ตลอดเวลา
“แต่ถ้าน้องเปรียวไม่กินข้าวก็จะไม่มีแรง ไม่หายป่วยนะคะ และพี่ก็ต้องให้น้ำเกลือน้องเพิ่มอีก” นางพยาบาลที่อาวุโสที่สุดพยายามเกลี้ยกล่อม
“ไม่ต้องมาขู่หรอก อยากฉีดยาก็มาฉีดเลย ไม่ได้กลัวสักนิด แล้วอย่าให้เห็นใครถือถาดข้าวมาอีกนะ จะขว้างด้วยถาดจริงๆ ด้วย” เด็กหญิงบอกเสียงแข็งหน้าเชิด ทั้งที่ร่างกายกำลังอ่อนล้าเต็มที ท่าทางของเด็กสาวอยู่ในความสนใจของใครคนหนึ่งโดยตลอด
“เด็กคนนั้นป่วยเป็นอะไรหรือครับอาจารย์” บุริศร์ซึ่งในขณะนั้นเข้าร่วมโครงการอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยสอบถามอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมซึ่งเป็นผู้ดูแลนักศึกษาทั้งหมด ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่ในโครงการเป็นนักศึกษาสายวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยกเว้นบุริศร์และเพื่อนอีกสองคนที่มาจากคณะอื่น
“พยาบาลบอกว่าเป็นโรคเอ็มจี หรือที่เรียกกันว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง คนป่วยจะมีอาการอ่อนแรงง่าย หนังตาตก กลืนอาหารลำบากและบางครั้งก็สำลักอาหาร อาจารย์เดาว่าคงเพราะสำลักบ่อยๆ นี่แหละที่ทำให้เขาไม่ยอมกินข้าว” คนพูดหมายถึง Myasthenia Gravis (MG) ซึ่งเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการหนังตาตก ยิ้มได้น้อยลง หายใจลำบาก มีปัญหาการพูด การเคี้ยว การกลืน รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย
“แต่ถ้าไม่กินข้าว ร่างกายจะเอาพลังงานมาจากไหน“ เสียงพูดพึมพำคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่าทำให้อาจารย์สาวเพียงยิ้มตอบ ก่อนเสเดินไปดูการสอนหลักการกายภาพบำบัดเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ ปล่อยให้บุริศร์ยืนครุ่นคิดเพียงลำพัง
ทางฝ่ายเด็กหญิงปรีชญาณ์หลังจากออกฤทธิ์เดชไปสุดแรงเกิดแล้ว ร่างกายก็อ่อนแรงจนเปลี้ยไปทั้งตัว แต่เพราะทิฐิและความอวดดีจึงไม่คิดร้องขอให้ใครช่วย ร่างผอมบางเดินเลาะระเบียงกลับห้องพักอย่างโงนเงนเต็มแก่ โดยมีพี่เลี้ยงสาวถือถาดสเตนเลสใส่อาหารเดินตามมาข้างหลัง
“คุณเปรียว” จรรยาร้องเสียงหลงเมื่อเด็กหญิงปรีชญาณ์รูดกองลงกับพื้นจากอาการหนังตาตกและดวงตาพร่ามัว แต่พอพี่เลี้ยงก้าวประชิดเพื่อประคองปีก เด็กหญิงกลับหันมาตวาดใส่
“จะร้องเสียงดังทำไมพี่จรรยา อยู่ใกล้กันแค่นี้ แล้วก่อนที่จะพยุงเปรียวน่ะ เอาถาดอาหารออกไปไกลๆ ก่อนได้ไหม เปรียวเหม็น!”
เสียงตวาดแหวดังชัดเจนในทีแรก ก่อนเจ้าตัวจะหอบเพราะความเหนื่อย หนังตาข้างซ้ายก็ช่างไม่รักดีคอยแต่จะปิดลง แม้ว่าจะพยายามใช้มือช่วยถ่างไว้ ในระหว่างที่เด็กหญิงปรีชญาณ์และจรรยากำลังตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเอง ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าพร้อมวีลแชร์
“ถ้าล้มแล้วไม่คิดจะลุก เขาเรียกว่าขี้แพ้ แต่ถ้าล้มแล้วพยายามลุกขึ้นใหม่ เขาเรียกว่านักสู้ เลือกเอาว่าจะเป็นคนแบบไหน หนึ่งหรือสอง”
แต่เพราะร่างกายไม่เอื้อต่อการออกฤทธิ์เดชจึงจำต้องนิ่งคิด ซึ่งแน่นอนเด็กหญิงปรีชญาณ์เป็นนักสู้และไม่เคยยอมแพ้อะไร จะให้ตะกายขึ้นรถเข็นคนป่วยเองในภาวะที่ร่างกายแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย
ตาจ้องตาอย่างต่างไม่ยอมกัน บุริศร์พิจารณาเด็กหญิงผิวขาว ตาชั้นเดียว ที่มีฟันเกไปทั้งปากแล้วอดนึกขันไม่ได้ ‘หน้าตาก็ขี้ริ้ว นิสัยยังขี้เหร่อีก’
ฝ่ายเด็กหญิงปรีชญาณ์มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนจะยกมือขึ้นกวักให้ร่างสูงก้มลงมาใกล้เพื่อถาม “เห็นคนล้มแล้วข้ามเป็นไอ้ขี้หมา เห็นคนล้มแล้วช่วยพยุงเขาเรียกว่า คนมีน้ำใจ นายล่ะเป็นคนแบบไหน หนึ่งหรือสอง”
บุริศร์นิ่งงันไปด้วยไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะโต้คารมทั้งที่ตาปรือจะปิดไม่ปิดแหล่ และเมื่อเข้าใจเจตนายอกย้อนแล้วก็รู้สึกชอบใจในความแสบสันของเด็กหญิงตรงหน้า ใบหน้าที่มักเคร่งขรึมเปิดเป็นรอยยิ้มส่งให้แล้วบอกว่า “สรุปว่าน้องเป็นนักสู้ ส่วนพี่ก็เป็นคนมีน้ำใจ โอเคไหม”
เมื่อคำตอบคืออาการพยักหน้าเพียงนิดอย่างไว้เชิง บุริศร์ก็ยิ้มขำ ให้ประมาณเอาจากร่างเล็กตรงหน้า เขาคิดว่าน้ำหนักน่าจะสามสิบต้นๆ หากจะให้อุ้มวางบนรถเข็นคงยังไม่ทันเหนื่อย แต่จากท่าทีดื้อดึงและแววตาระแวดระวังก็รู้ว่าไม่ควรทำอย่างนั้น บุริศร์จึงเอ่ยขออนุญาตเสียงเบาก่อนกระชับมือลงบนแขนเล็ก
“เอาละ ทีนี้เราก็มาลุกขึ้นพร้อมกัน นับถึงสามแล้วลุกเลยนะ เอ้า...หนึ่ง สอง สาม”
สิ้นคำว่าสาม ร่างผอมบางของเด็กหญิงก็ปลิวขึ้นจากพื้นมานั่งลงบนรถเข็น ใจของเด็กหญิงไหววูบด้วยความรู้สึกประหลาด ทีแรกเธอคาดว่ามาจากความตกใจที่ตัวลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะค่อยๆ รู้ตนว่าไม่ใช่ เพราะเมื่อนั่งได้เรียบร้อยแล้ว หัวใจกลับเต้นรัวเร็วมากยิ่งขึ้นไปอีก
อาการนั่งนิ่งของเด็กหญิงทำให้บุริศร์ส่งยิ้มให้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้าของตนเองและยื่นมือไปจับข้อเท้าเล็ก “จะทำอะไรหนูน่ะ” เด็กหญิงปรีชญาณ์ร้องพลางดึงเท้าหนี แต่นอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว มืออุ่นจัดนั้นยังยกขาของเธอขึ้นวางบนที่พักเท้า
“ไม่ได้เอารองเท้าแก้วมาสวมให้หรอกน่า แค่จะให้วางเท้าให้เรียบร้อย ตอนเข็นไปจะได้ไม่กระแทกอะไรเข้า ว่าแต่...เราพักห้องไหน”
เด็กหญิงมองหน้าจรรยาเชิงปรึกษา เมื่อสาวใช้ส่วนตัวพยักหน้ายิ้มๆ ปรีชญาณ์จึงยอมบอกเลขห้องพักผู้ป่วย
ราวห้านาทีต่อมาบุริศร์ก็เข็นรถของปรีชญาณ์มาส่งถึงหน้าห้อง มองใบหน้างอง้ำ เอาแต่ใจของเด็กหญิงใจร้อนแล้วบุริศร์ก็แกล้งยั่วว่า
“นี่จะบอกอะไรให้นะ นักสู้ที่ฉลาดน่ะเขาไม่ได้ตะบี้ตะบันสู้อย่างเดียวหรอก เขาต้องรู้จักพัก รู้จักรักษาร่างกายให้แข็งแรงก่อน เอ้านี่...นมจืด กินแล้วก็นอนพักซะ ตื่นมาจะได้มีแรง จะได้มาโต้คารมกันใหม่” บอกแล้วบุริศร์ก็ตั้งใจจะหันหลังกลับ แต่เสียงถามของเด็กหญิงทำให้เขาก้าวขาไม่ออก
“พี่คิดจะจีบหนูหรือไง” ถามด้วยคำพูดไม่พอ สายตายังระแวงแคลงใจ ไม่ยอมรับกล่องนมจืดง่ายๆ
บุริศร์เบ้หน้าใส่ก่อนวางกล่องนมจืดลงบนตักเด็กหญิงดื้อๆ “หนึ่ง พี่ไม่จีบเด็ก สอง พี่ไม่ชอบคนขี้เหร่ สาม...ใครจะอยากเป็นแฟนกับคนป่วยเดินไม่ได้ ฉะนั้น...ข้ามสามข้อนี้ให้ได้ แล้วค่อยมาตู่ว่าพี่จีบเรา”
เด็กหญิงปรีชญาณ์ฟังแล้วนิ่งไปครู่ก่อนยักไหล่ใส่ “ให้มันจริงเถอะ หนูน่ะเบื่อเต็มทีพวกทำดีเพราะหวังผล อ้อ...พรุ่งนี้หนูขอเป็นนมจืดไขมันศูนย์เปอร์เซ็นต์นะ”
บอกเสร็จเด็กหญิงปรีชญาณ์ก็สั่งให้พี่เลี้ยงเข็นเธอเข้าห้องพัก ปล่อยให้บุริศร์ยืนอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะปลงตกและหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง ‘เด็กบ๊อง’
บุริศร์ให้เหตุผลกับตัวเองในการแวะซื้อนมจืดไขมันศูนย์เปอร์เซ็นต์ทุกวันว่าเพราะเขาเองก็ดื่มอยู่แล้ว และการซื้อเพิ่มอีกหนึ่งกล่องก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก แถมยังได้ลับสมองประลองคารมกับเด็กหญิงแก่แดดที่ยิ่งรู้จัก ยิ่งรู้สึกมันเขี้ยวมากขึ้น
“ซื้ออะไรมาบ้างคะวันนี้” ร้องถามพลางหยิบถุงพลาสติกใบเล็กใบน้อยมาเปิดดูอย่างถือวิสาสะ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายในก็ทำหน้าเบ้ “แหวะ! ขนมห่อใบตองอีกแล้ว พี่ริศร์นี่โบราณชะมัด”
“เขาไม่ได้เรียกขนมห่อใบตอง อันนี้เรียกข้าวต้มมัด อันนี้ใส่ไส้ และนี่ก็ตะโก้เผือก ลองชิมดู แล้วจะรู้ว่าโบราณน่ะมีดีกว่าที่คิด”
เด็กหญิงมองหน้าเขานิ่งไปครู่ ก่อนหัวเราะเบาๆ พลางบอก “เอ้า...ลองดูหน่อยก็ได้ เพราะผู้ชายโบราณแถวนี้ก็มีดีกว่าที่คิดเหมือนกัน”
แม้จะรู้แก่ใจว่าไม่ได้คิดอะไรกับ ‘เด็ก’ ออกจะระอาปนขำความ ‘เยอะ’ ของเจ้าตัวเสียด้วยซ้ำ แต่การได้ยินคำพูดเกินวัยบ่อยๆ ก็ทำให้บุริศร์อดไม่ได้ที่จะปรามตามวิสัยคนจริงจังกับทุกเรื่อง
“อย่าเที่ยวไปพูดกับใครอย่างนี้นะยายหนูเปีย คนอื่นเขาจะมองเราเป็นผู้หญิงไม่ดีรู้ไหม” บุริศร์ยิ้มอย่างคลายใจเมื่อเด็กหญิงฟังตาแป๋ว แต่พอฟังคำตอบของเด็กหญิง บุริศร์ก็อยากถอนหายใจดังๆ สักสามรอบ
“ได้สิ หนูจะไม่พูดแบบนี้กับใคร สัญญาว่าจะพูดกับพี่ริศร์แค่คนเดียว ไว้ใจได้เลยค่ะ”
แรกที่ได้ฟังวาจาลดเลี้ยวก็มีบ้างที่บุริศร์รู้สึกฉุนและอยากตีตัวออกหาก แต่ดวงตาใสแจ๋วที่ส่องกระจ่างราวกับกระจกสะท้อนความคิดอันใสซื่อก็ทำให้บุริศร์มองข้ามความล้นของเด็กหญิงไป เพื่อจะได้พบว่าฉากหลังความแก่นกล้า ความร้ายกาจสารพัดคือความอ้างว้าง เพราะแม้จะมีพี่เลี้ยงและพยาบาลเฝ้าดูแลไม่ห่าง แต่บิดากลับไม่ว่างมาเยี่ยมบุตรสาวคนเดียว
“พ่อไปเกาหลีค่ะ มีประชุมสำคัญ บอกว่าถ้าเคลียร์งานได้จะรีบกลับมา” เด็กหญิงบอกเล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับไม่รู้สึกรู้สา แต่ไม่วายประชดประชัน “แต่งานคงยุ่งมาก เพราะสองอาทิตย์แล้วที่พ่อยังประชุมอยู่”
“น้อยใจสิเรา?” บุริศร์ถามยิ้มๆ จะไม่แปลกใจเลยหากเด็กหญิงจะร้องไห้โฮแสดงความอ่อนแอออกมาบ้าง
“ไม่หรอกค่ะ หนูรู้ว่าพ่อไปทำงาน ไปหาเงินมาให้ใช้ และพ่อก็รักก็ห่วงหนูมากด้วย เพียงแต่หนูยังเด็กไงคะ อยากได้รับการเอาอกเอาใจตามประสาลูกคนเดียว”
ได้ฟังอย่างนี้แล้วบุริศร์ก็ยิ้มพึงพอใจ เด็กที่รู้ตัวว่าเป็นเด็กนับว่ามีความเป็นผู้ใหญ่ในตนเพียงพอแล้ว “ถ้าอย่างนั้นระหว่างที่พ่อของเรายังไม่มา จะให้พี่ช่วยหรืออยากได้อะไรก็บอกมานะ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง พี่จะทำให้แทนท่าน” บุริศร์อาสาด้วยน้ำใจ
“ชิ! ใครเขาอยากให้ตัวมาเล่นบทพ่อกัน อย่างพี่ริศร์น่ะเขาอยากให้เป็นอย่างอื่นต่างหาก”
“แฮ่ม” บุริศร์กระแอมปรามเด็กหญิงที่ชอบพูดไถลลงคูคลอง
แต่เด็กหญิงปรีชญาณ์หรือจะกลัว ดวงตารีเล็กพริบพราวไปด้วยความเจ้าเล่ห์เมื่อบอก “แน้! พี่ริศร์คิดอะไรน่ะ เขากำลังจะบอกว่าอยากให้พี่ริศร์เป็นบุรุษพยาบาล เป็นพี่เลี้ยงที่ปรึกษาแบบนี้ต่างหาก”
ฟังเด็กแก่แดดแถไปน้ำขุ่นๆ แล้วบุริศร์ก็ทั้งขำทั้งฉุน แต่ไม่อยากพูดให้เข้าตัวมากกว่านี้ จึงทำเสียงเข้มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“นอนได้แล้ว” คนตัวโตกว่าว่าเมื่อคนป่วยกินยาไปกว่าชั่วโมงแล้วยังไม่ยอมพัก เตรียมพร้อมจะหาเรื่องซนได้ตลอด
“ไม่อยากนอน เมื่อเช้าหนูตื่นเกือบเก้าโมง อาบน้ำแต่งตัวไม่ทันไรก็ต้องกินยาแล้วนอนใหม่ น่าเบื่อจะตาย” คำว่าเบื่อมาพร้อมกับอาการยื่นริมฝีปากออก ทำให้บุริศร์อดเห็นใจไม่ได้ ฝ่ามือใหญ่ควานลงในกระเป๋า หาอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เตรียมไว้ใช้เล่นเกมในงานรับน้องออกมา
“เอ้านี่...ไข่วิเศษ สนใจหัดทำไหม”
เด็กหญิงมองอย่างไม่เชื่อถือสักนิด และไม่รอช้าที่จะเถียง “ไข่วิเศษที่ไหน เห็นกันอยู่ว่าไข่ไก่ อ้อ... ไม่ใช่ไข่ดิบ แต่เป็นเปลือกไข่ต่างหาก”
บุริศร์จุปากดุเมื่อเด็กหญิงยื่นเปลือกไข่คืนอย่างไม่ใส่ใจ มือใหญ่จงใจหมุนเปลือกไข่ให้เห็นรอยเจาะขนาดเล็ก “นี่ไงความวิเศษของมัน ส่องดูดีๆ ซิ จะเห็นว่ามันมีพรวิเศษซ่อนอยู่”
“หือ?” เด็กหญิงเหล่ตามองอย่างไม่เชื่อถือนัก แต่พอบุริศร์พยักหน้ายืนยันก็ยอมเชื่อ ก็...พี่ริศร์น่ะไม่มีทางโกหกหรอก พูดเล่นสักครั้งยังไม่เคย คิดแล้วเด็กหญิงปรีชญาณ์ก็ส่องมองตามรอยเจาะที่ว่า และะพบว่าภายในมีกระดาษแผ่นเล็กม้วนอยู่
“พี่ริศร์ยัดกระดาษอะไรไว้อะ” ถามด้วยเขย่าด้วย เผื่อว่ากระดาษที่ว่านั่นจะร่วงลงมา
“เฮ้! เบาๆ ซิ ไข่ใบนี้พี่เตรียมไว้ให้น้องรหัสนะ” บุริศร์ว่าพลางยื้อแย่งคืน
“อ้าว...ไหนว่าจะให้เค้า” เด็กหญิงว่าหน้าง้ำ ในใจคิดขย้ำไข่ไก่ใบนั้นไปเรียบร้อย มีอย่างที่ไหน เอาของที่เตรียมไว้ให้คนอื่นมาอวด นิสัยไม่ดี!
“ไม่ได้บอกว่าจะให้ แต่ถามว่าอยากหัดทำไหม ถ้าจะทำ พี่ก็จะสอน”
สบแววตาจริงจังจริงใจของพี่ชายใจดีแล้วเด็กหญิงปรีชญาณ์ก็พยักหน้า อย่างน้อยการทำเปลือกไข่วิเศษที่ว่าก็คงน่าสนุกกว่านอนหลับตาแน่ๆ
...
จรรยาที่ถูกเด็กสาวใช้ให้ไปหาไข่ไก่มาให้ก็ได้ไข่มาร่วมสิบฟอง บุริศร์สาธิตวิธีทำให้ปรีชญาณ์ดูก่อน โดยจงใจเขียนข้อความในกระดาษไม่ให้เธอเห็น ก่อนจะเร่งให้เธอทำไข่วิเศษของตัวเองบ้าง ซึ่งเด็กหญิงปรีชญาณ์ที่มีทักษะด้านศิลปะเป็นอย่างดีก็ระบายสีออกมาได้สวยงามไม่แพ้คนสอน ระหว่างที่เธอกำลังรอให้สีแห้งนั้นเอง บุริศร์ก็ยื่นเปลือกไข่ที่เขาเพิ่งทำเสร็จให้
“เอ้า...นี่ของเรา” บอกและพยักหน้าซ้ำให้รู้ว่าให้จริงๆ
รีบตะครุบไว้และละล่ำละลักขอบคุณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พี่ริศร์ อวยพรเค้าว่าอะไรมั่งอะ” ถามพลางส่องดูกระดาษภายใน ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีแล้วว่าไม่มีทางอ่านได้หรอก
บุริศร์ยิ้มขำอาการเห่อของเด็กหญิงก่อนบอก “อยากรู้ก็ตอกไข่สิ อ่านหนังสือออกไม่ใช่รึ”
“ตอกไข่!” เด็กหญิงทวนคำเสียงดังแล้วก็ส่ายหน้าหวือ ตีหน้าบึ้งใส่ “เรื่องอะไร...เค้าทำลายของที่พี่ริศร์ทำให้ไม่ลงหรอก พี่ริศร์นั่นแหละบอกมาว่าเขียนว่าอะไร ถ้าไม่ยอมบอก เค้าจะตอกไข่ของน้องรหัสพี่แทน”
บุริศร์ส่ายหน้าระอาเมื่อเด็กหญิงไม่ได้แค่ขู่ แต่คว้าเปลือกไข่ของเขาไปเงื้อง่าเตรียมตอกจริงๆ และแม้คำอวยพรที่เขียนจะออกจากใจ ไม่ได้มีนัยซับซ้อน แต่การอวยพรกันต่อหน้าก็ทำเขาเขินพิลึก
“ตอกไปเสียก็สิ้นเรื่อง แล้วถ้าอยากได้ใหม่ พี่ทำให้อีกสองฟองเลยเอ้า”
“ไม่เอา...ชอบฟองนี้แล้ว และก็อย่างที่บอก หนูทำลายของที่พี่ริศร์ให้หนูไม่ลงหรอก พี่ริศร์อย่ามาต่อรอง บอกมาว่าเขียนอะไรไว้ บอกรักเขาละสิ ถึงได้เขินจนหูแดงเลยอะ” ปรีชญาณ์แซวขำๆ ตามประสาเด็กสาวที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ขำด้วยแถมถลึงตาดุใส่
“เหลวไหล พี่เขียนอวยพรให้เราสุขภาพดี แข็งแรงไวๆ ต่างหาก รู้แล้วก็ช่วยทำให้คำอวยพรของพี่เป็นจริงด้วยการกินยาให้ตรงเวลาและนอนพักได้แล้ว”
เสียง ‘ชิ’ ดังจากปากเล็กอย่างจงใจ กระนั้นบุริศร์ก็ได้เห็นว่าคนป่วยจอมร้ายกาจยอมนอนโดยง่าย แน่นอนว่าไข่วิเศษของเขาถูกวางไว้เหนือศีรษะ โดยมีผ้าขนหนูผืนเล็กห่อหุ้มเป็นอย่างดี
ตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็มที่มี ‘พี่ริศร์’ เป็นเพื่อนคุยและพี่ชายใจดี พี่เลี้ยงจรรยาและพยาบาลต่างเห็นพ้องกันว่าเด็กหญิงปรีชญาณ์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น กล่าวคือยังคงเอาแต่ใจเหมือนเก่า แต่ฟังเหตุผลมากขึ้น ยอมเข้ารับการบำบัดอาการป่วย และยอมกินยาตามเวลา จะมีงอแงบ้างก็ตอนที่พี่ริศร์ของเธอไม่สนใจและไปช่วยดูแลผู้ป่วยคนอื่นๆ
“มาช้า”
แก้มป่องจากการพองลมเข้าไปทำให้บุริศร์เลิกคิ้ว แต่มีหรือที่คนดุอย่างเขาจะง้อเด็กดื้อ
“ไม่ต้องมาโยกโย้ ไป...ได้เวลาไปทำกายภาพบำบัดแล้ว และหลังจากทำกายภาพบำบัดแล้ว เราต้องมากินข้าวให้หมด”
เด็กหญิงเบ้หน้าเมื่อพูดถึงข้าวกลางวัน นอกจากจะสำลักข้าวเป็นบางครั้งแล้วเด็กหญิงยังไม่ชอบกินอาหารจืดๆ ของโรงพยาบาลนัก “ข้าวอีกแล้ว ใจคอพี่ริศร์จะขุนให้เป็นหมูหรือไง ไม่เอาละ หนูไม่อยากทำกายภาพบำบัดและก็ไม่อยากกินข้าวด้วย”
บุริศร์กลั้นยิ้มไว้เมื่อเห็นหน้างอง้ำและอาการปากยื่นของเด็กหญิง แสร้งทำทีขึงขังและเสียงเข้มใส่เหมือนทุกครั้ง “คนป่วยไม่มีสิทธิ์บ่น บ่ายวันนี้เรานัดกันไว้ว่าจะทำข้อสอบสอบเทียบ ม. 3 จำได้ไหม”
ฟังโปรแกรมหฤโหดของบุริศร์แล้วเด็กหญิงปรีชญาณ์ก็ทำหน้ายู่ ตัดพ้อให้ได้ยินว่า “พี่ริศร์โหดกับทุกคนอย่างนี้หรือเปล่าเนี่ย”
บุริศร์หัวเราะหึๆ ก่อนบอก “เรียกว่าเข้มงวดกับทุกคนและทุกอย่างนั่นแหละ แต่ต้องทั้งบ่นและดุมากเป็นพิเศษเนี่ยมีเราคนเดียว”
ใบหน้าจ๋อยของเด็กหญิงกลายเป็นรอยยิ้มกระจ่างตา และไม่ทันให้บุริศร์ได้ไหวตัว มือบางเฉียบของเด็กหญิงที่น้ำหนักตัวเพียงสามสิบห้ากิโลกรัมก็ยื่นถึงแก้มพี่ริศร์และบีบ “พี่ริศร์น่ารักอะ โอเค ขอแค่ได้เป็นคนพิเศษของพี่ริศร์ จะดุจะว่าอย่างไร หนูก็ยอมละ ไปค่ะ จะให้ทำอะไรก่อนว่ามาเลย”
บุริศร์ส่ายหน้า ทั้งขำ ทั้งระอา ไม่เก็บเอาคำของเด็กไปถือสา คิดเพียงว่าเป็นเรื่องราวสนุกสนานในช่วงปิดเทอมเท่านั้น แต่เด็กหญิงปรีชญาณ์ เธอเหมาว่าตนเองเป็นคนพิเศษของบุริศร์นับแต่นั้น
หากแต่เวลาแสนพิเศษมักจะสั้นและรวดเร็วเสมอ เพราะหลังจากรับยาต่อเนื่องและทำกายภาพบำบัดสม่ำเสมอ ร่างกายปรีชญาณ์ที่อ่อนเปลี้ยก็กลับมามีเรี่ยวแรงมากขึ้น อาการดีวันดีคืนจนแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่กลายเป็นว่าเด็กหญิงปรีชญาณ์ดื้อดึงไม่ยอมกลับ อ้างว่าอยู่บ้านแล้วแรงใจไม่ดีเท่าอยู่โรงพยาบาล ร้อนถึงบุริศร์ต้องเข้ามาเกลี้ยกล่อม
“ทำไมไม่กลับบ้าน ไม่คิดถึงบ้าน ไม่คิดถึงเพื่อนที่โรงเรียนหรือไง” บุริศร์ว่า ทำหน้าไม่ถูกนักกับการถูกเรียกตัวมาด่วนเพราะทั้งหมอและพยาบาลต้องการความช่วยเหลือ
“คิดถึง...แต่คิดถึงพี่ริศร์มากกว่า ไปอยู่บ้านแล้วก็จะไม่ได้เจอกับพี่ริศร์น่ะสิ” เด็กหญิงปรีชญาณ์ว่าหน้าตาเฉย ดื้อตาใสจนบุริศร์ร่ำร่ำอยากจะหาก้านมะยมแถวนั้นมาหวดสักสามที แต่เพราะทำไม่ได้จึงจำต้องใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“ทำไมจะไม่ได้เจอ รู้ไหม คนที่ทำดีต่อกันไว้ ผลบุญก็จะเกื้อหนุนให้ได้พบ ให้มีวาสนาต่อกันอยู่เรื่อยๆ นั่นแหละ ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า”
เด็กหญิงปรีชญาณ์ทำหน้าเบ้ใส่คำว่า ‘ชาติหน้า’ เบรกโดยไม่เกรงใจคนที่ตั้งท่าจะถือกัณฑ์เทศน์ “หนูไม่ได้อยากเจอพี่ชาติหน้า หนูอยากมีวาสนาร่วมกับพี่ในชาตินี้”
บุริศร์กลืนน้ำลายลงคอดัง ‘อึก’ เริ่มหมดคำแย้ง แต่เสียงหัวเราะคิกของเพื่อนสนิทกับเสียงซุบซิบของพยาบาลทำให้บุริศร์ฮึดอีกหนึ่งครั้ง เรื่องอะไรจะปล่อยให้เด็กตัวเท่าเมี่ยงไล่ต้อนเอาได้
“อยากเจอพี่ชาตินี้ก็ต้องเร่งทำบุญ และบุญเรื่องแรกที่เราควรทำก็คือการทำให้คุณพ่อสบายใจ ทำตามที่ท่านปรารถนา เห็นคุณพยาบาลเล่าว่าน้องควรกลับบ้านตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ก็ดื้อไม่ยอมกลับ ไม่รู้หรือว่าทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจถือเป็นบาป”
เด็กหญิงปรีชญาณ์ดื้อ แต่ไม่โง่ ในเมื่อดูท่าแล้วว่า ‘พี่ริศร์’ คงไม่ยอมอ่อนข้อให้เธอแน่ เธอก็จำต้องยอมรับวาสนาที่เขาว่า แต่ไม่รอถึงชาติหน้าแน่นอน
“ก็ได้ค่ะ หนูจะกลับบ้าน จะเป็นเด็กดี จะเร่งทำบุญเพื่อให้เรามีวาสนาต่อกัน” ร่ายยาวก่อนจะยิ้มตาใสพร้อมแบมือ “ว่าแต่...พี่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ให้หนูไว้หน่อยหรือคะ แบบว่า...เผื่อวาสนามันช้า จะได้พึ่งสายเคเบิลไปก่อน”
ถ้าไม่ติดว่ามีผู้ชมร่วมรับฟังด้านหลังจำนวนมาก บุริศร์คงเขกหน้าผากยายเด็กเปียไปสักหน แต่เมื่อทำไม่ได้และทำไม่ลง จึงเลือกทำหน้านิ่งบอกไปตามตรงว่า “พี่ไม่มีใช้หรอกโทรศัพท์ที่เราว่า ยังเรียนอยู่จึงไม่เห็นความสำคัญที่จะพก เอาละ หมดเรื่องแล้วพี่ไปก่อน แล้วเจอกันนะหนูเปีย”
บอกจบ ‘พี่ริศร์’ ก็เดินดุ่มแทรกตัวหายไป ปล่อยให้เด็กหญิงปรีชญาณ์ร้องเรียกซ้ำๆ ก่อนจะตั้งสติและล็อกตัวเพื่อนสนิทของบุริศร์ที่เห็นว่าไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ แทน แน่นอนว่าเด็กหญิงปรีชญาณ์ไม่ได้ข้อมูลใดๆ เพิ่ม นอกจากรู้ว่า ‘พี่ริศร์ของเธอ’ มีชื่อจริงนามสกุลจริงว่าอย่างไร รู้และจำขึ้นใจเพราะเชื่อมั่นว่าจะสืบหาทุกอย่างต่อจากนี้ได้จากเทพเจ้ากูเกิล
ความคิดเห็น |
---|