10

ไม่อ่อนโยน


๑๐

ไม่อ่อนโยน

 

“คุณเข้าไปไม่ได้นะคะ!” เสียงของจิตราที่โวยวายอยู่หน้าห้องทำให้สองหนุ่มสาวพร้อมใจกันหันไปมอง แล้วก็ยิ่งงงหนักเมื่อมีสาวสวยคนหนึ่งโผล่พรวดพราดเข้ามา

“ขอโทษค่ะ คือป้าห้ามแล้วแต่เธอไม่ฟัง”

แสนศรันย์พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรจิตราจึงถอยร่นออกไป คงเหลือแต่แม่ผู้หญิงแปลกหน้าที่ยืนมองเขาด้วยท่าทีโกรธขึ้ง

“ทำอะไรกันอยู่คะ!”

คำถามดังกล่าวทำให้แสนศรันย์ต้องก้มมองตัวเองอีกที เขาก็ไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียด ก็แค่ยืนอยู่ใกล้มินนภัสบริเวณโต๊ะทำงานของเธอ

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” เขากระซิบถาม ด้วยจำได้ว่าไม่เคยมีคนรู้จักที่หน้าตาแบบนี้มาก่อน

“คุณเสือ! นี่ไม่สนใจกันขนาดนี้เลยเหรอคะ”

“คุณเสือ…” แสนศรันย์ทวนคำแล้วหันไปขอคำตอบจากมินนภัส ได้ยินเธอพูดเบาๆ ว่าหล่อนคือ ‘เมลินี’ เป็นนางแบบชื่อดังก่อนจะผันตัวมาเป็นนักแสดง และเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่สรวิศคบหาและเคยมาที่นี่บ่อยครั้ง

“คุณจะทิ้งเมย์ง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะคะ” นักแสดงสาววีนแตก เดินกระแทกเท้าเข้ามาเกาะแขนคนที่คิดว่าเป็นแฟนหนุ่มหมับ

“แล้วนี่อะไรคะ ไหนบอกไม่ได้คิดอะไรกับแม่นี่ไง นั่งยันนอนยันว่าแค่พี่น้องกัน ท่าทีแบบนี้พี่น้องท้องชนกันมากกว่ามั้งคะ” คนไม่รู้เหนือรู้ใต้ประกาศศักดาเต็มที่ จ้องมินนภัสเขม็งดั่งจะกินเลือดกินเนื้อ

“นี่คุณ!” มินนภัสขยับเข้าหาอย่างเอาเรื่อง อันที่จริงเธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับเมลินีเป็นทุนเดิม ช่วงสรวิศอยู่ก็ปะทะคารมกันบ่อยครั้งด้วยฝ่ายนั้นเอาแต่ใจ ขี้หึง และไร้เหตุผลมาก

“อะไรยะ! ร้อนตัวหรือไง”

“ไม่ได้ร้อนตัว แต่ก่อนมาเอาสมองมาด้วยหรือเปล่า ไร้สาระจริงๆ” มินนภัสกระแทกไหล่คู่กรณีแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างหงุดหงิด อย่าริมายุ่งกับเธอเชียว วันนี้ยิ่งกว่ากินรังแตนอีก เพราะอะไรๆ ก็ขัดหูขัดตาไปเสียหมด

“นี่! ยายมิน!” นักแสดงสาวเต้นเร่า ก่อนจะหันมาออเซาะคนตัวโตอย่างหาพวก “คุณเสือดูคุณมินสิคะ ไม่ไว้หน้าเมย์เลย”

“มินก็ทำถูกแล้วนี่ครับ”

“อะไรนะคะ!”

หญิงสาวแปลกหน้าวีนเสียงแหลมจนแสนศรันย์ต้องรีบยกมือขึ้นอุดหู

“นี่คุณจะเลิกกับเมย์จริงๆ เหรอ คุณจะหันไปคบนังมินใช่ไหม บอกเมย์มานะ!” เมลินีอาละวาดโวยวาย ยกมือทุบตีแสนศรันย์อย่างเอาเป็นเอาตาย

“หยุด!”

เสียงตวาดดังลั่นทำเอาเมลินีชะงักมือ เงยหน้ามองสรวิศภาคโหดร้ายตาค้าง

“คะ…คุณเสือ” คนเคยมีอดีตรักหวานชื่นตาแดงก่ำ น้ำตาคลอหน่วย ไม่คิดเลยว่าจะถูกคนเคยอิงแอบแนบกายทำร้ายจิตใจขนาดนี้

“ถ้าคุณรักนายเสือขนาดมาพร่ำเพ้อแบบนี้ได้ ก็น่าจะดูออกนะว่าผมไม่ใช่มัน!”

“นี่คุณ…พูดอะไร” เมลินียังกะพริบตาปริบๆ

ไม่ใช่มัน! ไม่ใช่สรวิศเหรอ แล้วผู้ชายที่หน้าเหมือนเขาทุกกระเบียดนิ้วมีเพียงแว่นตาที่เพิ่มเข้ามานี่ใครกัน

“ออกไปจากบริษัทผม!”

“คุณเสือ!”

“บอกให้ออกไป!”

ผู้ชายตัวโตไม่พูดเปล่า ยังเดินกระแทกไหล่เมลินีจนเซถลา ในระหว่างมึนงงยังมีเสียงดังมาจากทานด้านหลังซ้ำอีก

“อ่อ! ถ้านายเสือมันบอกคุณว่าเลิกก็คือเลิก หวังว่าคงเข้าใจภาษาคนได้ไม่ยาก!”

เสียงปิดประตูดังสนั่นหวั่นไหวดังตามมาจนเมลินีสะดุ้ง ยืนเคว้งอยู่กลางห้องด้วยความมึนงง ครู่ใหญ่จึงรู้ถึงแรงสะกิดจากแม่บ้านประจำชั้น

“คุณคะ กลับเถอะค่ะ” จิตรายืนมองด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ระเบิดลูกเมื่อกี้นี้ดังพอที่คนแอบฟังจะได้ยินชัดเจน

“นี่มัน…อะไรกัน คุณเสือ…ทำไม” เมลินียังจับต้นจนปลายไม่ถูก สรวิศทั้งโทร. ทั้งส่งข้อความมาบอกเลิกวันละหลายหนในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยอ้างถึงข้อตกลงที่เคยทำกันไว้ช่วงก่อนคบหาว่าไร้การ

ผูกมัด แต่คนที่คิดว่าอยู่เหนือเขามาตลอดอย่างเธอไม่สามารถยอมรับได้ จึงต้องการนัดเจอเพื่อคุยกันตัวต่อตัว แต่สรวิศกลับบอกว่าไม่สะดวก เธอเลยต้องบุกมาหาถึงที่ ยังไม่ทันได้ปรับความเข้าใจก็โดนตอกหน้าว่าจำคนผิด

“นั่นไม่ใช่คุณเสือค่ะ แต่เป็นคุณแสน พี่ชายฝาแฝดคุณเสือ”

“คะ?” ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้เมลินีเหวอ เนื่องจากไม่เคยรู้มาก่อนว่าสรวิศมีฝาแฝด

“นี่คุณไม่รู้เหรอคะ” แม่บ้านส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ เมลินีก็คงเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่สรวิศคบหาแค่ผิวเผิน เธอรึอุตส่าห์แอบหวังว่าจะมีนายผู้หญิงเป็นดาราดัง

“เชิญกลับเถอะค่ะ ถ้าคุณแสนกลับมาเจอเดี๋ยวได้ระเบิดลงอีกรอบ รายนี้ไม่อ่อนโยนนะคะ” จิตราย้ำ ไม่อยากจะอธิบายต่อหรอกว่าจะอ่อนโยนกับคนบางคน ซึ่งนักแสดงสาวไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่ๆ

“แล้วคุณเสือล่ะ” แม้จะหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ เมลินีก็ยังเชิดหน้าถามหาคนที่ต้องการพบตัวอีก

“ไม่อยู่ค่ะ หายไปไหนไม่ทราบ ไม่ได้บอกไว้”

“โกหก!”

“คุณค้า…” คู่สนทนาลากเสียงยาว เริ่มไม่ปลื้มกับอากัปกิริยาดังกล่าวขึ้นมาบ้าง

“ถ้าคุณเสืออยู่คุณแสนก็คงไม่บินด่วนจากเมกา มาทำงานแทนหรอกค่ะ ยูโน้ว?” คนแอบจำคำศัพท์ที่คนอื่นพูดกันมาพูดบ้างกอดอก ที่ออกหน้ามาเคลียร์สถานการณ์อยู่นี่ไม่ใช่สงสารแม่นักแสดงสาวหรอก แต่กลัวระเบิดจะมาลงที่ตนเสียมากกว่า ตอนแสนศรันย์เดินออกไปเมื่อครู่นี้หน้าหงิกขั้นสุดเลยก็ว่าได้ คุณเสือยังเคยแอบเมาท์เลยว่าคุณแสนไม่ชอบให้ผู้หญิงคนไหนมายุ่งวุ่นวาย โดยเฉพาะถ้าถูกเนื้อต้องตัวนี่แทบจะวิ่งกลับไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่เลยทีเดียว สาวๆ ที่ตามกรี๊ดสมัยมหา’ลัยยังโดนด่าจนกลับบ้านไม่ถูกไปหลายคน

“กลับเถอะค่ะ ถ้าคุณแสนกลับมาเจอแล้วจะยุ่ง”

เมลินีก็ผวาเหมือนกัน ยอมรับว่าขยาดกับว่าที่พี่สามีคนนี้จริงๆ เข้าใจผิดไม่เท่าไหร่ ยังเล่นใหญ่แสดงกิริยาไม่สมควรไปอีก สะพานสู่การเป็นสะใภ้เล็ก ‘ศิลป์ศุภา’ ของเธอคงมีอุปสรรคเพิ่มขึ้นแน่ๆ

 

ฝั่งมินนภัสที่หลบเมลินีมาอยู่ในห้องครัวก็ชงโกโก้ขึ้นมาจิบ หวังใช้ความหวานดับความโมโห

“หนีมาทำไม”

คำถามที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทำให้เธอแทบสำลัก หมุนตัวกลับไปก็เห็นแสนศรันย์ยืนอิงกรอบประตูอยู่

“จะยืนนิ่งให้โดนด่าทำไมล่ะคะ”

“แสดงว่าโดนบ่อย”

“เปล่าค่ะ ปกติคุณเมย์ไม่อาละวาดหนักขนาดนี้ สงสัยจะตามตัวพี่เสือไม่เจอจริงๆ” มินนภัสถือแก้วโกโก้มานั่งที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอทำงานกับสรวิศมาเป็นปี เห็นเขาควงผู้หญิงหลายต่อหลายคนจนบางครั้งก็รู้สึกเข็ดขยาดผู้ชายเหมือนกัน

คิดแล้วก็อดเหลือบมองคนที่หน้าเหมือนสรวิศราวกับคนคนเดียวกันไม่ได้

“มองอะไร”

“เปล่าค่ะ”

“พูดเป็นคำเดียวหรือไง” เขาว่าแล้วหยิบแก้วโกโก้ของเธอขึ้นมาจิบหน้าตาเฉย

“คุณแสน!” มินนภัสร้องเสียงหลง ก็ปากแก้วที่เขายกขึ้นไปจดริมฝีปากตัวเองมันตำแหน่งเดียวกับที่เธอเพิ่งสัมผัสไปชัดๆ

แสนศรันย์เหล่มองพร้อมกับเลิกคิ้วแล้วดื่มโกโก้ต่อ

“อยากดื่มทำไมไม่ชงเอง” มินนภัสบ่นอุบ แล้วลุกขึ้นหวังไปคว้าแก้วมาชงโกโก้ใหม่ แต่แสนศรันย์ก็คว้าต้นแขนไว้พร้อมกับยื่นแก้วคืนให้

“ผมชิมแค่นิดเดียว”

“ใครจะไปกินต่อลง” มินนภัสขยับหนี เรื่องอะไรจะไปดื่มแก้วเดียวกับเขา

“แค่นี้ก็หวง” แสนศรันย์ไม่เซ้าซี้ มุมปากยกยิ้มนิดๆ “มินชงเองเหรอ”

“แล้วเห็นมีคนอื่นหรือไงคะ” คนต่อปากต่อคำไม่หันไปสนใจ ยังคงสาละวนกับการชงโกโก้แก้วใหม่

“อร่อยดี”

มินนภัสอดไม่ได้ที่จะเหลียวมอง อยากรู้นักว่าจะมาไม้ไหน

“ผมชมจริงๆ”

“ถ้ามาจากใจก็ขอบคุณค่ะ” เธอว่าแล้วหันไปชั่งตวงวัดสัดส่วนที่เป็นสูตรเฉพาะของตนต่อ

“คราวหน้าถ้าคุณชงอีกก็ชงเผื่อผมด้วยสิ”

มินนภัสไม่ทันหันมองเพราะสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่เข้ามาประชิดแผ่นหลัง

“ผมชอบ”

เธอย่นคอหนีเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจที่พ่นรดอยู่ข้างหู จากนั้นแสนศรันย์ก็เอาแก้วเปล่ามาวางไว้บนเคาน์เตอร์ข้างกายเธอแล้วเดินออกไป

มินนภัสยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยหัวใจที่เต้นแรง สองแก้มขึ้นสีแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่

“คนบ้า!”

“คะ? คุณมินพูดกับป้าหรือเปล่าคะ”

คำถามของจิตราเล่นเอามินนภัสสะดุ้ง รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเสถามถึงเมลินีเพื่อกลบเกลื่อน

“เปล่าค่ะ คุณเมย์กลับไปแล้วเหรอคะ”

“ค่ะ กว่าจะยอมกลับป้าละเหนื่อย นั่นคุณมินทำอะไรคะ”

“ชงโกโก้ค่ะ พอดีร่างกายต้องการความหวาน” มินนภัสแอบผ่อนลมหายใจที่อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องได้อย่างรวดเร็ว

“แล้วนี่ แก้วใครคะ”

“ของคุณแสนค่ะ” เธอตอบตามตรง

“คุณมินชงเผื่อคุณแสนด้วย?”

มินนภัสส่ายหน้าแทบจะทันที “เปล่าค่ะ แค่โดนแย่ง”

“โดนแย่ง!” คนฟังทวนคำอย่างงงๆ

มินนภัสพยักหน้าแล้วเดินเลี่ยงออกไปโดยไม่อธิบายอะไรมากกว่านั้น ทว่าจุดมุ่งหมายไม่ใช่ห้องทำงาน เธออยากรับลมสักหน่อยเพราะวันนี้เจอแต่เรื่องเครียดๆ มาทั้งวัน

จิตราตามมาแอบมองที่ประตู มองซ้ายทีขวาทีแล้วยิ้มกริ่ม

“ต้องมีอะไรแน่ๆ” คนสูงวัยล้วงสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋า จัดการเข้ากรุ๊ปแชต ‘กามเทพเฉพาะกิจ’ หน้าที่แม่บ้านไม่ขาดตกบกพร่องแล้วหน้าที่สายข่าวก็ห้ามบกพร่องเช่นกัน

 

มินนภัสนั่งรับลมชมวิวอยู่ไม่เกินสิบห้านาทีพอกลับมาที่ห้องก็พบว่าเจ้านายหายไปแล้ว คิ้วบางขมวดเข้าหากัน คิดทบทวนว่าตนเองลืมประชุมสำคัญอะไรหรือเปล่าเพราะเมื่อครู่ไม่ได้หยิบสมาร์ตโฟนติดไปด้วย จึงรีบกลับไปที่โต๊ะเพื่อดูคิวงานยังไม่ทันเปิดไอแพดก็พบกับกระดาษสีแปะติดที่มีลายมือของแสนศรันย์ติดอยู่ที่หน้าจอโน้ตบุ๊กเสียก่อน

‘มีธุระด่วน กลับบ้านได้เลยไม่ต้องรอ’

อ่านจบริมฝีปากบางก็เบ้เล็กน้อย “ใครจะรอ” ว่าแล้วก็ขยำทิ้งแล้วหันไปแบะปากใส่โต๊ะทำงานที่ว่างเปล่าหนึ่งที

“จะไปไหนมาไหนทำไมไม่บอกล่วงหน้า” คนเป็นเลขาฯ ส่วนตัวบ่นกระปอดกระแปดพลางเปิดไอแพดดูคิวงานของเขา โชคดีที่ช่วงบ่ายไม่มีอะไรด่วน ช่วงเย็นก็ไม่มีนัดรับประทานมื้อค่ำที่ไหน

“ถือว่าโชคดีไป ไม่งั้นแม่จะโทร. จิกให้กลับมาไม่ทันเลย” มือเล็กวางไอแพดแล้วขยับเมาท์เพื่อทำงานต่อ แต่ดูเหมือนโหมดสกรีนเซฟเวอร์จะทำงานช้าไปเลยรู้สึกขัดอกขัดใจจึงคลิกเมาส์รัวๆ ‘หงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้’

“ทำไมช้าขนาดนี้เนี่ย เดี๋ยวโยนทิ้งซะเลย” มินนภัสคิดจะจิ้มนิ้วชี้รัวๆ บนปุ่มเอนเทอร์ของคีย์บอร์ดแบบที่เคยทำ แต่แล้วก็หวนนึกถึงคำพูดของใครบางคนขึ้นมา

‘ไม่พอใจอะไรก็มาลงที่ผม อย่าไปลงที่ข้าวของเดี๋ยวพังขึ้นมาแล้วจะยุ่ง’

เสียงรัวคีย์บอร์ดดังขึ้นหลังจากนั้น ก็คนอยากให้ระบายอารมณ์ไม่อยู่ก็ลงกับของแทนนี่แหละ!

 

เป็นเวลาเย็นมากแล้วที่แสนศรันย์ฝ่ารถติดมาจนถึงคาเฟ่แห่งหนึ่งใจกลางกรุง เขาได้รับข้อความจาก ‘ใครบางคน’ เมื่อชั่วโมงก่อนจึงรีบแจ้นออกมาทันที มือที่กำพวงมาลัยรถกระชับแน่น สันกรามนูนขึ้นอย่างระงับสติอารมณ์ด้วยกลัวจะเผลออาละวาดก่อนได้คุยธุระสำคัญ

การตกแต่งของคาเฟ่หรูหราตรงตามรสนิยมของคนที่นัดมาไม่มีผิดเพี้ยน แต่แสนศรันย์ไม่มีอารมณ์ชื่นชม เขากวาดตามองทั่วร้านจนสะดุดตากับใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่มุมลับตาคนจึงปรี่เข้าไปทันที

หญิงสาวในชุดเดรสสายเดี่ยวสีครีมสวมแว่นกันแดดเบรนด์เนมสีชาละสายตาจากสมาร์ตโฟน แล้วเงยหน้ามองคนที่มาหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะ จากนั้นริมฝีปากบางก็ยกยิ้มกว้าง

“ไฮ คุณแสน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”

“น้ำหนึ่ง!”

หญิงสาวมองเลยแสนศรันย์ไปทางด้านหลัง เมื่อไม่เห็นมีใครอื่นตามมาก็มีสีหน้าผิดหวัง

“นึกว่าคุณจะพามินมาด้วย”

“ไม่มีทาง!” แสนศรันย์ตอบเสียงห้วน อารมณ์ยิ่งคุกรุ่นเมื่อผู้หญิงตรงหน้าบังอาจถามถึงมินนภัส

น้ำหนึ่งไหวไหล่แล้วปรับเปลี่ยนสีหน้า ผายมือเชื้อเชิญให้ผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอดีตคนรักนั่ง

“ดื่มอะไรดีคะ”

“ไม่จำเป็น เอาของมาหรือเปล่า” แสนศรันย์เข้าเรื่องทันที ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว

“อะไรกันคะ เราเพิ่งเจอกันไม่ถึงนาทีเองนะ” น้ำหนึ่งหัวเราะ

“เราคงไม่มีอะไรต้องคุยกันนอกจากเรื่องนี้”

“ยังหายใจเข้าหายใจออกเป็นมินเหมือนเดิมสินะ ได้ยินว่าคุณทำงานด้วยกัน นี่ฉันเสียใจมากเลยรู้ไหม” หญิงสาวเอนกายพิงพนัก แม้ถ้อยคำจะตัดพ้อแต่สีหน้าแววตาตรงข้ามกับที่เอ่ยออกมาอย่างมาก

“ไม่เกี่ยวกับคุณ!” น้ำเสียงกร้าวมาพร้อมดวงตาวาวโรจน์ แสนศรันย์ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่หล่อนล่วงรู้ เพราะบิดาของน้ำหนึ่งกว้างขวางมาก

“น่าน้อยใจจัง” หญิงสาวกล่าวอย่างนึกสนุก การได้เห็นผู้ชายตรงหน้าร้อนรนทุรนทุรายคือความสุขอย่างหนึ่งของเธอ

“อย่ามาโอ้เอ้ เอาของมา!”

“เสียใจด้วยนะคะ วันนี้ฉันไม่ได้เอามา” เปลือกตาที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามกะพริบปริบๆ ตีหน้าสลดอย่างเสแสร้ง

“นี่คุณ!”

“ก็ฉันเพิ่งกลับมาไม่กี่วันเอง ยังไม่ได้หาเลยด้วยซ้ำ ของเก่าๆ พวกนั้นก็ไม่รู้ว่ามีใครแอบเอาไปทิ้งแล้วหรือยัง”

“น้ำหนึ่ง!” แสนสรันย์เรียกเสียงลอดไรฟัน กำมือแน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้นมา

“อย่าทำหน้าเครียดขนาดนั้นสิคะ เราจะได้เจอกันบ่อยๆ ไง ฉันคิดถึงคุณจะตาย” หญิงสาวแสยะยิ้ม ยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมาดื่มดับกระหาย กิริยาท่าทางเป็นไปอย่างเชื่องช้า ขัดกับอารมณ์คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามลิบลับ

“จะเอาของมาให้ผมเมื่อไหร่!” แสนศรันย์ไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย เขาอยากจัดการเรื่องราวที่ยืดเยื้อมากว่าหกปีให้จบเร็วที่สุด

“ให้เวลาฉันหาหน่อยสิ” สาวเจ้ายังกล่าวอย่างอารมณ์ดี เธอชอบนัก! สถานการณ์ที่เป็นต่อเช่นนี้

“เมื่อไหร่!”

“ว้า! คุณนี่…อืม เอาเป็นเวลาสักเดือนหน้าดีไหมคะ เดี๋ยวฉันติดต่อคุณไปอีกที”

“ผมให้เวลาคุณหนึ่งอาทิตย์”

“ฉันจะพยายามหาก็แล้วกัน”

“หวังว่าจะไม่ผิดคำพูดเป็นครั้งที่สาม!” แสนศรันย์ผุดลุกขึ้น ในใจเต็มไปด้วยความเดือดดาล เขาคงคาดหวังกับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้จริงๆ เพราะหล่อนโกหกเรื่อง ‘ของ’ ชิ้นนี้มาถึงสองครั้งแล้ว

หนึ่งคือ หลังจากที่เขาไปถึงอังกฤษพร้อมเธอ

สองคือ วันนี้…วันที่หล่อนบอกว่ากลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่จะเอาของชิ้นนั้นให้เขาทันที

“บอกมินด้วยนะคะว่าฉันคิดถึง ว่างๆ แล้วจะไปหา” น้ำหนึ่งเงยหน้ามองคนที่ยืนขึ้นเต็มความสูง คำพูดของเธอยังคงสะกิดต่อมอารมณ์ของเขาได้เหมือนเคย

คนตั้งท่าเดินออกจากร้านชะงัก ก่อนจะหันมาก้มกระซิบด้วยเสียงลอดไรฟัน

“อย่ายุ่งกับมิน!”

“นั่นเพื่อนรักฉันนะคะ”

คำว่า ‘เพื่อนรัก’ ทำให้แสนศรันย์รู้สึกสะอิดสะเอียน ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นแม้แต่คนรู้จักของมินนภัสด้วยซ้ำ

“มินไม่อยากพบคุณ!”

“คุณรู้ได้ยังไง เราน่ะ…สนิทกันมากเลยนะคะ”

ยิ่งฟังมือของแสนศรันย์ก็ยิ่งกำแน่น “ถ้าคุณเจอมินอีก ข้อตกลงของเราเป็นอันจบ”

“คุณทำอะไรฉันไม่ได้หรอกค่ะ คุณแสน…” คนเป็นต่อยิ้มในหน้า แม้แสนศรันย์จะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่เธอไม่เชื่อหรอกว่าผู้ชายคนนี้จะทำอะไรได้ เมื่อก่อนเป็นอย่างไรเดี๋ยวนี้ก็คงไม่ต่างกัน

“ก็คอยดู!” แสนศรันย์เดินออกจากร้านด้วยความโกรธเกรี้ยว เมื่อเข้าไปนั่งในรถได้ก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาต่อสายถึงบรรดาพรรคพวกที่พยายามสร้างคอนเน็กชันไว้ตั้งแต่เรียนที่อังกฤษและการทำงานที่อเมริกา หลังจากสอบถามเวลาของแต่ละคนแล้วจึงแจ้งจุดประสงค์ทันที

“โอเค เจอกันที่เดิม ฉันจะไปถึงในอีกหนึ่งชั่วโมง” เขาหันกลับไปจ้องคนที่นั่งอยู่ในร้านด้วยแววตาแข็งกร้าว ก่อนจะสตาร์ตรถออกไปอย่างรวดเร็ว

น้ำหนึ่งมองตามรถของแสนศรันย์พร้อมกับกระตุกยิ้ม สมาร์ตโฟนที่วางตรงหน้ายังเปิดภาพของเธอกับมินนภัสในช่วงมัธยมค้างอยู่

‘ในเมื่อเธอไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าใครหน้าไหนจะมีความสุข’

 

คลับหรูใจกลางกรุงเต็มไปด้วยผู้คนและเสียงอึกทึก พิมพ์พิชที่เมามายนั่งพิงไหล่กรชวัล แต่มือก็ยังคว้าน้ำสีอำพันเข้าปากไม่หยุดหย่อน

“พอได้แล้วพิช” กรชวัลรั้งแก้วที่กำลังจะถึงปากเพื่อนสนิทไว้ เขามานั่งที่นี่เป็นเพื่อนเธอตั้งแต่หัวค่ำจนปาไปดึกดื่นก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะหยุดดื่ม

“ไม่เอา ฉันจะเมา…เมาให้ตายไปเลย” คนไม่ได้สติปัดมือออก แล้วกระดกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าปากอึกใหญ่

“จะตายให้ได้อะไรขึ้นมา” กรชวัลถอนหายใจ สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย

“เผื่อพี่พีจะเสียใจบ้าง” ตอบแล้วก็สะอื้นฮัก น้ำหูน้ำตาที่หยุดไหลไปนานไหลอาบแก้มอีกรอบ “ถ้าฉันตายพี่พีจะเสียใจไหม”

กรชวัลไม่มีคำตอบให้ ได้แต่โอบพิมพ์พิชไว้แล้วลูบที่ต้นแขนอย่างปลอบประโลม

“ฉันเสียใจ ทำไมพี่พี…ถึงทำแบบนี้ ฉันทำอะไรผิด” ยิ่งนึกถึงชายคนรักพิมพ์พิชก็ยิ่งสะอึกสะอื้น รับไม่ได้จริงๆ กับเหตุผลของการบอกเลิก ‘มีคนใหม่’ แค่ได้ฟังก็เจ็บจี๊ดถึงขั้วหัวใจ ในหัวเกิดคำถามมากมาย

เธอทำอะไรผิด

เธอเป็นคนรักที่ไม่ดีตรงไหน

เธอไม่เคยเหนี่ยวรั้งหรือห้ามปรามใดๆ

เธอให้อิสระแก่เขาเต็มที่ หรือว่าเท่านั้นยังไม่พอ

“กร…” พิมพ์พิชซุกใบหน้ากับอกกรชวัล ที่พึ่งหนึ่งเดียวตอนนี้ “พี่พีเขาไม่รักฉันแล้วจริงๆ เหรอ”

“ไม่รู้สิ” กรชวัลตอบด้วยดวงตาวูบไหว

“ฉันเจ็บ…เจ็บไปหมดเลย เจ็บจนจะหายใจไม่ออก ฉัน…ฉัน…” พูดออกมาได้เท่านั้นพิมพ์พิชก็ยกมือขึ้นปิดปากแล้วลุกขึ้นยืนทันใด

“พิชเป็นอะไร” กรชวัลลุกตาม มองเพื่อนหน้าตาตื่น

“อะอ้วก!” คนเมาหมุนตัวแล้วเดินสะเปะสะปะไปยังห้องน้ำ กรชวัลจึงปรี่เข้าไปประคองแล้วพาไปยังจุดหมายให้เร็วขึ้น

พิมพ์พิชใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานพอสมควรก่อนจะออกมาในสภาพหมดเรี่ยวแรง

“ไหวไหม” กรชวัลที่ยืนรออยู่หน้าประตูถลาเข้าไปประคอง สภาพเพื่อนรักตอนนี้ดูไม่จืดเลยจริงๆ

“กลับบ้านกันนะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ห้ามปรามเขาจึงประคองพาออกไปทางหลังร้านเพื่อไม่ให้สะดุดตาผู้คน แต่ระหว่างนั้นเองกลับมีใครบางคนดึงแขนพิมพ์พิชไว้

“คุณพิช!”

กรชวัลหันกลับไปดู พบว่าเป็นผู้ชายรูปร่างสูงซึ่งเขาไม่รู้จัก

“ขอโทษนะครับ กรุณาปล่อยเพื่อนผมด้วย” เขากล่าวอย่างสุภาพ คิดว่าคงเป็นหนึ่งในผู้ชายที่พิมพ์พิชเคยดื่มด้วย

“คุณจะพาเธอไปไหน” ชายคนดังกล่าวไม่ปล่อยมือ แถมยังถามกลับเสียงเข้ม

“ไม่น่าจะเกี่ยวกับคุณ”

“ผมเป็นเพื่อนเธอ”

กรชวัลขมวดคิ้วเพราะรู้จักเพื่อนพิมพ์พิชแทบทุกคนแต่ไม่มีผู้ชายตรงหน้าแน่นอน

“ส่งเธอมาให้ผมดีกว่า ผมจะไปส่งเอง”

กรชวัลชักสีหน้า รู้สึกไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายทำท่าจะดึงพิมพ์พิชไปเสียดื้อๆ

“นี่คุณ!”

“ปล่อย!”

สองหนุ่มมัวแต่ดึงกันไปมา คนกลางจึงนิ่วหน้าก่อนจะเงยขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด

“โอ๊ยเจ็บ! ทำอะไรกันเนี่ย” พิมพ์พิชปรือตาขึ้นมามองซ้ายทีขวาทีก่อนจะส่งยิ้มไปยังคนที่ไม่คิดว่าจะเจอที่นี่

“หือ…คุณแสน มาด้ายยังไงคะ”

“พิชรู้จักเขาเหรอ” กรชวัลถาม ยังคงมองชายที่ยืนอีกฝั่งอย่างไม่ไว้วางใจ

“รู้จัก ก็คุณแสน…เจ้านายมินไง วันก่อนนู้น....เขาก็พาช้านกลับคอนโด”

คำอธิบายของเพื่อนสาวทำให้กรชวัลใจชื้น เพราะจำได้ว่าวันที่พิมพ์พิชโดนบอกเลิกมินนภัสกับเพื่อนๆ เป็นคนมาช่วย

“ผมขอโทษด้วยนะครับที่เข้าใจผิด”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะเป็นเพื่อนคุณพิชจริงๆ” แสนศรันย์ไม่ติดใจ ที่เข้ามาห้ามปรามก็เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทมินนภัส แถมกำลังเสียใจอยู่ด้วย เกิดโดนใครที่ไหนหิ้วไปอีกก็กลัวจะเป็นการซ้ำเติมมากเกินไปจึงได้ออกตัวขวาง

“อ่อ!”

จู่ๆ พิมพ์พิชก็ผงกหัวขึ้นมา ราวกับเพิ่งนึกอะไรได้

“คุณแสนยังพ่วงตำแหน่ง…แฟนเก่ายายมินด้วย ตอนนี้กำลังพยายามง้อขอคืนดีอยู่”

แสนศรันย์กับกรชวัลหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กไม่คิดว่าคนเมาจะเอ่ยออกมาเช่นนี้

“แต่ยายมินไม่ยอมหรอก เพราะผู้หญิงเราต้องเจ็บแล้วจำ”

คำว่า ‘จำ’ หันมาทางแสนศรันย์เต็มๆ คนที่ตั้งใจเข้ามาช่วยเลยหน้าชา

“คุณพิช” เขาเรียกเธอเพื่อให้ได้สติ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล

“ม่ายต้องมาเรียก! ผู้ชายก็เหมือนกันทู้กคน หลอกให้รักแล้วก็ทิ้ง!” เสียงพิมพ์พิชเริ่มดังขึ้นพร้อมกับมือไม้ที่เริ่มออกกิริยาท่าทาง

“แล้วงาย ทีนี้ครายเสียใจ ก็ผู้หญิงไง ผู้หญิงอย่างช้าน อย่างยายมินนี่”

คนเมาผลักอกแสนศรันย์เต็มแรงจนอีกฝ่ายเสียหลักถอยหลังไปสองสามก้าว

“พิช…พอเถอะ” กรชวัลเห็นท่าไม่ดีจึงห้ามปราม “ขอโทษแทนพิชด้วยนะครับ พิชเมามากน่ะครับ”

“ขอโทษทามมาย ผู้ชายแบบเนี้ยต้องตอนให้หมด! เอาให้สูญพันธุ์ไปเลย”

กรชวัลสวมกอดคนที่อาละวาดหนัก อีกมือหนึ่งก็พยายามอุดปากให้เงียบเพราะคนที่ผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมอง ดีไม่ดีจะคิดว่าแสนศรันย์นี่แหละที่ทำให้เสียใจจนเมามาย

“ผมคงต้องพาพิชกลับก่อน”

“แน่ใจนะครับว่าไหว” แสนศรันย์ถามอย่างเป็นห่วง กรชวัลสูงน้อยกว่าเขาหลายเซ็นต์ แถมยังผอมบางจนอดคิดไม่ได้ว่าน่าจะต้านแรงคนเมาไม่อยู่

“ก็น่าจะ…” กรชวัลยิ้มอ่อน ตอนแรกมั่นใจว่าไหวเพราะพิมพ์พิชไม่ได้อาละวาดขนาดนี้ แต่ตอนนี้ชักไม่มั่นใจแล้ว

“ผมไปส่งที่รถดีกว่า”

กรชวัลลังเลอยู่ครู่ แต่พอเห็นคนอาละวาดเมื่อครู่ทำท่าจะหลับกลางอากาศก็ไม่ปฏิเสธ

“ขอบคุณครับ รถผมจอดอยู่ใกล้ๆ นี่เอง”

แสนศรันย์พยักหน้า แล้วเข้าไปช่วยหิ้วปีกพิมพ์พิชอีกข้างซึ่งคราวนี้เธอก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี คงเพราะสติสตังใกล้หมดเต็มที

“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ คราวก่อนพิชโชคดีที่มีน้องมินกับคุณ” กรชวัลเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งสองเดินมาถึงรถแล้วช่วยกันจับพิมพ์พิชเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งได้เรียบร้อย

“ยินดีครับ” แสนศรันย์ขยับถอยออกมาเมื่อกรชวัลขอตัวไปขึ้นรถ รอจนรถคันหรูแล่นออกไปเขาก็ยังยื่นนิ่งอยู่กับที่ สิ่งที่พิมพ์พิชพูดออกมาถูกทุกอย่าง เขาผิดเองที่ทำให้มินนภัสเสียใจ ผิดเองที่ตอนนั้นเลือกทางนั้น

มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดปูน ต่อให้ย้อนเวลาได้เขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่น สิ่งที่พอจะทำได้ในตอนนี้คือทำทุกอย่างให้มินนภัสอภัยให้และทำทุกวิธีให้คนพวกนั้นชดใช้อย่างสาสม!

 

การทำงานในแต่ละวันยังเต็มไปด้วยความหนักหน่วง แถมแสนศรันย์ก็ดูเคร่งเครียดตลอดเวลาทำให้มินนภัสที่ต้องนั่งร่วมห้องด้วยรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก บ่อยครั้งจึงต้องเฟดตัวเองออกมารับอากาศบริสุทธิ์ที่ด้านนอก

“คุณแสนเป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณมิน พักนี้ดูเครียดๆ” จิตรารีบปรี่เข้ามาถาม เมื่อมินนภัสเดินมาชงโกโก้เองในตอนบ่าย

“ไม่รู้ค่ะ” คนโดนถามไหวไหล่ เธอก็จนปัญญาจะคาดเดาเหมือนกัน

“เมื่อเช้านี่ระเบิดลงทุกฝ่ายเลยใช่ไหมคะ”

คำถามดังกล่าวทำให้มินนภัสหวนนึกถึงการประชุมประจำเดือนในรอบเช้า บรรดาหัวหน้าฝ่ายโดนใส่ยับแบบไม่ไว้หน้า หนักสุดเห็นจะเป็นผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่สามารถสรุปผลการทดลองเลนส์ตัวใหม่ และน้ำยาที่จะใช้ทดแทนเลนส์ตัวเดิมที่ลูกค้าขอให้ลดราคาขายได้

มินนภัสพยักหน้า ผู้อยู่ในเหตุการณ์อย่างเธอนี่ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม แสนศรันย์ภาคโหดนี่ไม่มีใครเข้าหน้าติดจริงๆ

“หรือจะเกี่ยวกับที่คุณดากับคุณแม่คุณมินไปอเมริกา”

“จะเกี่ยวยังไงคะ” มินนภัสเลิกคิ้ว ทั้งสองแม่บินไปอเมริกาได้สองสามวันแล้ว แต่เท่าที่เธอเห็นเหมือนแสนศรันย์จะอารมณ์เสียมาก่อนหน้านั้นแล้ว

“ก็คุณแสนงานเยอะขึ้นไงคะ”

“คงไม่หรอกค่ะ ถ้านับเรื่องนั้นมินงานเยอะกว่าเขาอีก” มินนภัสแย้ง ปกติดารินก็ไม่ได้ดูแลกิจการอะไรที่สำคัญ ส่วนมากจะเป็นหุ้นส่วนเสียมากกว่า มีแต่เธอนี่แหละที่ต้องดูแลกิจการร้านอาหารแทนมารดา แม้ไม่ต้องเข้าไปที่ร้านทุกวันเพราะสามารถตรวจสอบบัญชีผ่านโปรแกรมของระบบร้านได้เลยแต่ก็นับว่ามีเรื่องให้ต้องทำมากขึ้น

“หรือจะเกี่ยวกับคุณเสือ” คู่สนทนายังตั้งสมมุติฐานอย่างไม่ลดละ

“คงไม่ใช่หรอกค่ะ มินเห็นเขาก็ยังคอลคุยกันปกติ”

“งั้นก็เหลือแค่…” คราวนี้อีกฝ่ายใช้สายตาแทนคำพูด จ้องคู่สนทนาสาวสวยเขม็ง

แต่เหมือนมินนภัสยังไม่รู้ตัว คนสูงวัยเลยยกมือขึ้นชี้

“มินเหรอคะ” เธอชี้เข้าหาตัวเอง แล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่แน่นอน มินยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“จริงเหรอคะ”

มินนภัสพยักหน้าแทนคำตอบ

“ไม่เคยเถียงกันเลย?”

“ก็…ไม่” คนตอบชักไม่แน่ใจ เพราะเมื่อวันก่อนก็ทะเลาะกันเรื่องที่เขาจะไปส่งที่บ้าน แต่เธอไม่ยอมแล้วชิ่งหนีกลับไปก่อน พอเมื่อวานเขาบอกอยากกินแกงจืดลูกรอกฝีมือป้าเนียม เธอก็เอาผัดผักมาแทน เช้านี้ก่อนประชุมก็ปะทะคารมกันเรื่องวาระการประชุมที่เขาจะเพิ่มเข้ามาอีก สรุปว่าทะเลาะกันแทบทุกเรื่อง

แค่คำพูดติดๆ ขัดๆ คนสูงวัยก็คิดได้ว่าเดาไม่ผิด จึงถอนหายใจแล้วหันไปคว้าแก้วมายื่นใส่มือให้

“ทำอะไรคะ”

“ชงโกโก้ค่ะ แล้วเอาไปให้คุณแสน”

“ทำไมมินต้องทำด้วย เป็นหน้าที่ป้าจิตนี่คะ” คนมีตำแหน่งเลขาฯ ยังงง ไม่ใช่ว่าหนักหนาเกินกำลังเพียงแต่ไม่เข้าใจเหตุผล

“ก็คุณมินดื้อบ่อย คุณแสนเลยโกรธ”

“มินเนี่ยนะคะ”

“อือฮึ! คุณเสือบอกว่ามีแต่เรื่องคุณมินเท่านั้นละค่ะที่จะทำให้คุณแสนเครียดได้”

คนมีความผิดโดยไม่รู้ตัวตาโต

“จริงค่ะ คุณเสือบอกในกรุ๊ป…” คนสูงวัยเหมือนจะนึกขึ้นได้จึงหุบปากโดยพลัน

“กรุ๊ปอะไรคะ”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณมินรีบไปชงโกโก้ให้คุณแสนดีกว่าจะได้อารมณ์ดีขึ้น”

“ฮึ! ไม่เอาค่ะ มินไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แล้วมินก็ไม่เอาไปให้เขาด้วย” เรื่องอะไรเธอจะต้องเป็นฝ่ายง้อ แค่ต้องเห็นหน้าบูดทุกวันก็ไมเกรนขึ้นแล้ว

“เถอะค่ะ ถ้าป้ายกไปให้คงไม่ยอมทาน เมื่อกลางวันก็ทานข้าวไปนิดเดียว” คนสูงวัยยังย้ำคำเดิม แล้วหันไปหยิบของหวานออกจากตู้เย็น

“คุณมินชงโกโก้ไปนะคะ เดี๋ยวป้าจัดชูครีมกับผลไม้เพิ่มให้ โอเค้”

มินนภัสอยากปฏิเสธแต่พอเห็นความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายก็ได้แต่ถอนหายใจ หันไปคว้าผงโกโก้ นม และน้ำตาลหญ้าหวานมาผสมในสูตรที่เธอดื่มประจำ เพราะเขาเคยบอกเองว่าอร่อย

ใช้เวลาเตรียมของไม่นานมินนภัสก็ยกของว่างเข้าไปในห้องทำงาน แต่กลับไม่พบแม้เงาของเจ้านายแล้ว

“ไปไหนนะ” เธอบ่นอุบ เดินไปดูที่โต๊ะทำงานเห็นโน้ตบุ๊กยังเปิดอยู่แต่ล็อกหน้าจอไว้ เอกสารบนโต๊ะก็วางระเกะระกะ ลองกลับมาดูที่โต๊ะตัวเองก็ไม่เห็นข้อความใดๆ จึงคิดว่าเขาคงไม่ได้ออกไปไหน เพราะฉะนั้นก็เหลือสถานที่เดียวที่น่าจะอยู่

มินนภัสเดินไปเคาะประตูห้องพักซึ่งหลบมุมอยู่ทางด้านหลัง รออยู่ครู่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป แล้วก็เป็นอย่างที่คิด แสนศรันย์นอนอยู่ด้านในจริงๆ จึงเดินเข้าไปวางถาดของว่างไว้ที่โต๊ะแล้วขยับเข้าใกล้เตียงอย่างระมัดระวัง

“คุณแสนคะ”

ปฏิกิริยาตอบสนองยังถือว่าดี เพราะเขาปรือตาขึ้นมามอง

“ไม่สบายเหรอคะ”

“ปวดหัวนิดหน่อย” เขาตอบแล้วหลับตาลงอีกครั้ง มินนภัสพิศมองก็เห็นว่าใบหน้าค่อนข้างแดงและมีเหงื่อซึมตามไรผมทั้งๆ ที่ในห้องเปิดแอร์ค่อนข้างเย็น

“แล้วทานยาหรือยัง”

คราวนี้คนตัวโตไม่ตอบ กลับพลิกกายหนีไปอีกฝั่ง

“คุณแสน” มินนภัสเพิ่มความเข้มในน้ำเสียง ด้วยจำได้ดีว่าสมัยก่อนเขากินยายากขนาดไหน

“ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก นอนพักก็คงหาย”

คนฟังกลอกตาสามร้อยหกสิบองศา แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เดินออกไปหายาที่ด้านนอกแล้วกลับเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำเปล่าหนึ่งใบ

“ลุกขึ้นมาทานยาก่อนค่ะ”

“ผมไม่เป็นอะไร”

มินนภัสเห็นคนตัวโตยังกินยายากเหมือนเดิมก็รู้สึกหงุดหงิด

“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”

ยังคงไร้การตอบสนองจากคนป่วย มินนภัสจึงวางยาและน้ำลงแล้วจับไหล่เขาให้พลิกกลับมา

“คุณแสน…ว้าย!” มินนภัสอุทานเสียงหลง เมื่อจู่ๆ ก็โดนกระตุกที่ข้อมือ และกว่าจะทันได้รู้ตัวเธอก็ลงมานอนอยู่บนเตียงโดยมีคนป่วยคร่อมอยู่ด้านบน ดวงตากลมโตสบประสานกับดวงตาฉ่ำเยิ้มของคนป่วยด้วยความตระหนก

“ผมไม่อยากกินยา ผมอยากกิน…”

“งั้นก็กินของว่างก็แล้วกันค่ะ” มินนภัสยังมีสติพอจึงสวนกลับทันที แถมยังผลักคนตัวโตให้ออกห่างซึ่งเขาก็ไม่ขัดขืนยอมลงไปนอนแผ่หลาบนเตียงแต่โดยดี

“วางอยู่ตรงนี้นะคะ อยากกินอะไรก่อนก็ตามสบายเลย” มินนภัสว่าแล้วเผ่นแน่บออกจากห้องไป

แสนศรันย์ยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม มีคนเคยบอกว่าตอนป่วยคนเรามักจะอารมณ์อ่อนไหว เมื่อกี้เขาก็เกือบแล้ว เกือบจะทำให้มินนภัสเกลียดมากขึ้นกว่าเดิม

 

คนเดินหนีออกมายืนพิงประตูใจเต้นระส่ำ เธออธิบายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ไม่ได้กลัวเหมือนการเข้าใกล้ผู้ชายคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ชอบให้เขาทำเช่นนี้

“คนบ้า ป่วยแล้วสมองกลับหรือไง” มินนภัสบ่นอุบ แล้วปรี่ไปที่โต๊ะทำงานจัดการเก็บข้าวของแล้วหนีกลับไปทันที

‘วันนี้อยู่สู้หน้าเขาไม่ได้จริงๆ’

 

ทันทีที่รถสัญชาติอังกฤษแล่นออกจากลานจอดของบริษัทเลนส์ออฟติก สมาร์ตโฟนของแสนศรันย์ก็แผดเสียงดัง

“ว่าไงนายป้อง”

“คุณมินออกจากบริษัทแล้ว ให้ฉันตามไปไหม”

“ตามสิ ถ้ามีอะไรผิดปกติก็บอกฉันได้ตลอดเลยนะ” จบประโยคคำสั่งปลายสายก็วางไป แต่คนที่นั่งอยู่ในห้องเล็กยังคงเคร่งเครียด หลังจากวันที่น้ำหนึ่งนัดพบเขาก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เพราะมีกลุ่มคนมากกว่าสองกลุ่มที่กำลังตามมินนภัสอยู่ รู้ว่าเป็นใครแล้วหนึ่ง แต่อีกหนึ่งยังไม่สามารถยืนยันได้ เขาจึงต้องเพิ่มคนติดตามเธอแล้วยังต้องคิดแผนการที่รัดกุมเพื่อจัดการน้ำหนึ่งและแบ็กของเธอในคราวเดียว แล้วไหนจะงานที่ดาหน้าเข้ามาอีก สุดท้ายจึงครั่นเนื้อครั่นตัวจนต้องหลบมานอนพักอยู่ที่นี่

ดวงตาใต้กรอบแว่นหันไปมองถาดของว่างกับยาที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง ใบหน้าเคร่งขรึมละมุนขึ้น แค่นี้ก็ดีเกินไปสำหรับเขาแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น