3

ของสำคัญ

 

ของสำคัญ

 

กว่าเกล้าเศียรจะก้าวออกจากกระโจมผู้สืบทอดท้องฟ้าก็มืดสนิท ดวงดาวเล็กๆ ทอเต็มผืนฟ้าระยิบระยับแข่งกับเสียงจิ้งหรีดเรไรที่พากันส่งเสียงร้องดังระงม ให้ความรู้สึกวังเวงอ้างว้างเหลือใจ

วูบ!

สายลมเย็นยะเยือกระลอกหนึ่งพัดเข้ามาปะทะร่าง เหมือนการต้อนรับจากภัยสงครามที่ไร้ซึ่งความอบอุ่น กลิ่นคาวเลือดจางๆ คละคลุ้งในอากาศ เหมือนการเรียกร้องความยุติธรรมจากดวงวิญญาณอันไร้เสียง คิ้วหนาขมวดมุ่นและอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นกอดอกอย่างหนาวเยือกในหัวใจ

ที่นี่…ทิวเขาสูงชันตระหง่าน เส้นแบ่งระหว่างชายแดนไทย-ตาลูลา อันห่างไกลจากกรุงเทพมหานครเกือบเก้าร้อยกิโลเมตร ตั้งอยู่ในป่าทึบเพราะเกรงการลอบโจมตีของฝ่ายกบฏเพื่อตัดกำลังของผู้สืบทอด ไม่มีถนนคอนกรีต ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ อาศัยเพียงการปั่นไฟที่ไม่มากนักเพื่อใช้ในการผ่าตัด และหัวใจที่พร้อมยอมพลีเพื่อเพื่อนมนุษย์ของทุกๆ คนเท่านั้น 

เกล้าเศียรมองไปเบื้องหน้า ก่อนมาเขาไม่ได้จินตนาการที่นี่ไว้ดีเท่าไรอยู่แล้ว เพราะคำว่าสงครามย่อมวุ่นวายและเลวร้าย แต่ไม่คาดคิดว่าจะเลวร้ายกว่าที่จินตนาการไว้หลายขุม จากการประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ ที่นี่มีกระโจมอยู่ราวๆ สิบหลังเท่านั้น ด้านหน้าคือกระโจมใหญ่สามหลังไว้สำหรับปฏิบัติงานทางการแพทย์ ตรวจรักษา ผ่าตัด และพักฟื้น เขาเห็นตั้งแต่มาถึง ส่วนด้านหลังเป็นกระโจมขนาดลดหลั่นลงไป น่าจะเป็นที่พักของทีมแพทย์และพยาบาล โดยมีกระท่อมไม้ไผ่สำหรับทำครัวทางขวามืออยู่เยื้องกระโจมพักไปด้านหลังสุด ตอนนี้มีแสงสว่างจากด้านในทำให้เห็นกลุ่มควันน้อยๆ ที่กำลังพวยพุ่งสู่อากาศด้านนอก 

“ไปพบตาเนซาเรียบร้อยแล้วเหรอ” เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เกล้าเศียรหันกลับไปตอบกลับอย่างยินดี เพราะจำน้ำเสียงนั้นได้

“ครับพี่พงษ์” จริงๆ เขายังมีเรื่องต้องรู้จากผู้สืบทอดอีกมาก ทว่าฟ้ามืดแล้วจึงได้แต่ยกยอดไปถามวันอื่น

“นายคงเหนื่อยมากเลยละสิ ไปพักผ่อนเถอะ พี่จะพาไปที่พัก" 

นายแพทย์พัฒนพงษ์ตบบ่าแพทย์รุ่นน้องที่ไปได้ไกลกว่าตนหลายขุม เขาชื่นชมอีกฝ่ายมากกว่าจะอิจฉา เพราะรู้ดีว่าความสำเร็จที่ได้มาต้องแลกกับความเหนื่อยยากแสนสาหัส เขาเลือกเองที่จะไม่ทรมานตัวเองเช่นนั้น

“ที่นี่ดูเล็กกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย”

เกล้าเศียรพยักหน้าเดินตามแพทย์รุ่นพี่ที่เคยรู้จักกันครั้งเรียนมหาวิทยาลัยและเป็นผู้เกริ่นเรื่องราวที่นี่แก่เขา ก่อนแพทย์ผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่แห่งนี้จะติดต่อเชิญให้เขามาร่วมภารกิจการช่วยเหลือครั้งนี้ด้วยตนเอง

“ไม่ใช่เล็ก แต่ใหญ่กว่านี้ไม่ได้แล้วต่างหาก…” 

แพทย์หนุ่มไหวไหล่ไม่ยี่หระ อธิบายต่อไปว่า…พื้นที่รอบๆ ยังเหลืออีกมาก แต่เพราะตั้งอยู่บนความเสี่ยงจึงทำได้แค่นี้ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกตได้ง่าย โชคดีที่ทุกคนที่นี่เป็นหน่วยกล้าตายจึงมีสมาชิกไม่มาก กระโจมหนึ่งหลังอยู่กันสามสี่คนก็ไม่ให้ความรู้สึกเล็กจนกลายเป็นพื้นที่เท่าแมวดิ้นตาย

“นายโชคดีมากเลยรู้ไหม อาจารย์ให้อภิสิทธิ์ให้นายพักคนเดียวเลยนะ”

“ผมไม่ต้องการอภิสิทธิ์”

เกล้าเศียรปฏิเสธทันควัน เท่าที่ฟังมาที่นี่ก็คับแคบอยู่แล้ว หากเขายึดครองกระโจมเพียงคนเดียว กระโจมอื่นๆ ก็ต้องคับแน่นจนเหลือแค่พื้นที่หายใจ

“ก่อนหน้านี้เป็นพยาบาลผู้หญิง หรือนายจะอยู่กับเขาล่ะ” 

พัฒนพงษ์หยอกเย้า เพราะรู้จักรุ่นน้องคนนี้พอสมควร จึงรู้ว่านิสัยใจคอไม่ได้ด้อยไปกว่าหน้าตาเลยสักนิด การจะให้อีกฝ่ายรับอภิสิทธิ์พิเศษเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายาก

“ก็จัดผู้ชายมาอยู่กับผมสิ”

“มาเสี่ยงตายนะไอ้น้อง ไม่ใช่โรงเรียนมัธยมถึงรับชายหญิงเท่ากัน ที่นี่ผู้หญิงน้อยและมีเพียงไม่กี่คนจึงไม่ครบคู่ ปกติกระโจมนี้เลยเป็นน้องกานเขาอยู่คนเดียว”

“กาน?…” เกล้าเศียรทวนถาม ใจเต้นแรงขึ้นมาหนึ่งระดับและเพิ่มขึ้นอีกเมื่อได้ยินการตอบกลับ...

“อืม...กานมณี เมื่อครู่ตอนไปหาตาเนซาไม่เจอกันเหรอ” กานมณีเป็นพยาบาลข้างเตียงผู้สืบทอดตลอดเวลา เขาคิดว่าได้เจอกันแล้วเสียอีก

“แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ไหน” 

เกล้าเศียรยกมุมปาก ไม่สนอัตราการเต้นของหัวใจ นอกจากกานมณี จีรติกุล คนที่เมื่อครู่เขาเจอเธอแล้ว แต่เธอไม่เห็นเขา...ผู้หญิงที่เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าเธอมาอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้จริงๆ

“กระโจมโน้น หลังใหญ่หน่อยอยู่สามคนได้ แต่ช่วงนี้น้องเขาไม่ค่อยได้พักที่กระโจมหรอก”

“เอ้า...แล้วไปพักที่ไหนครับ” คงไม่ใช่...

“ต้องดูแลตาเนซายี่สิบสี่ชั่วโมง พักอยู่ข้างเตียงโน่น” 

พัฒนพงษ์ชี้ไปทางกระโจมพักหลังเล็ก ห่างจากกระโจมผ่าตัดราวๆ ร้อยเมตรเห็นจะได้ มันเพิ่งทำขึ้นมาใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สืบทอดโดยเฉพาะ

“น้องกานของพี่เขาเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ” ตอนแรกเขาคิดว่าแค่คอยดูแลยามกลางวันเสียอีก

ถึงจะเป็นผู้ป่วย แต่การให้ผู้หญิงคอยดูแลยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ดูจะไม่เข้าท่าเท่าไรหรือเปล่า ยิ่งนอนหลับอยู่ข้างเตียง... ทำไมเขารู้สึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูก

“ใช่ที่ไหนล่ะ เป็นผู้ชายมากกว่าพี่อีก” พัฒนพงษ์หัวเราะเสียงดัง จนจิ้งหรีดพากันตกใจเงียบเสียงไปพักหนึ่ง “จริงๆ แมนมาก มากจนผู้ชายยังอายเลยละ”

“แมนยังไงสรีระก็เป็นหญิง ไม่เหมาะสมที่จะให้ไปอยู่กับผู้ชายยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนั้นเท่าไหร่นะ” 

เกล้าเศียรท่าจะลืมไปกระมังว่า เธอก็เคยอยู่กับเขาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงตลอดหนึ่งปีเต็มมาเหมือนกัน แค่ไปอยู่กับผู้สืบทอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพียงไม่กี่วันคงไม่เป็นไรมั้ง

“เจ้าตัวยังไม่ว่า นายจะเดือดร้อนอะไร”

“อยากตายจนทนไม่ไหวแล้วมากกว่า” เกล้าเศียรเผลอสบถออกมาเสียงฉุน

“นายรู้ได้ไงว่าเขาอยากตาย” พัฒนพงษ์หยุดฝีเท้าลง หันมาจ้องมองแพทย์รุ่นน้อง

“เปล่าครับ แค่เห็นว่าไม่ค่อยเหมาะเลยพูดไปอย่างนั้น” ความเป็นแพทย์ที่รักษาสีหน้าเก่ง ทำให้คนจ้องมองยอมเชื่อในเหตุผลที่ยกมาง่ายๆ

“ไม่ต้องคิดมาก พักให้สบาย สงบมาหลายวันพี่สังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงที่สุดขึ้น และอาจจะร้ายแรงยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาด้วย” คราวนี้สีหน้าพัฒนพงษ์เคร่งเครียดอย่างชัดเจน

“ครับพี่พงษ์”

อันความว่าทะเลสงบคือฉากหน้าของมรสุมยักษ์ สงครามที่หยุดลงและนิ่งสนิทจึงไม่ต่างจากภาพลวงตาของหายนะครั้งใหญ่ ตาลูลาจะสูญสิ้นหรือเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง คงจะชี้ชะตาในคราวนี้

คอของเขายื่นเข้าไปรอบนคมมีดแล้ว!

 

“จะไปไหนคะพี่กาน ไม่อาบน้ำสักที เดี๋ยวน้ำก็เย็นหมดหรอกค่ะ”

จามิกรท้วงรุ่นพี่ร่วมกระโจมคนใหม่ เพราะที่นี่อากาศเย็นจนน้ำกลายเป็นน้ำแข็งต้องต้มจนเดือดผสมให้ได้สักถังจึงจะพออาบได้ และฟืนที่มีจำกัดไม่เพียงพอจะต้มน้ำปริมาณมากๆ หากไม่ช่วงชิงกับเวลา เมื่อฟืนหมดก็ต้องทนอาบน้ำเย็นจัดอย่างช่วยไม่ได้

“พี่ลืมของจะกลับไปเอาแป๊บเดี๋ยว” 

คืนนี้เธอได้หยุดพร้อมกับต้องย้ายกระโจมใหม่ ไม่ต่างจากให้กลืนยาพิษพร้อมน้ำหวาน ความรีบและเคืองขุ่นใจเล็กๆทำให้เก็บของแบบขอไปทีจึงทำให้ลืมนั่นลืมนี่หลายอย่าง ทั้งชุดชั้นในที่ผึ่งอยู่ในห้องน้ำเพราะไม่กล้านำมาตากข้างนอก สบู่เด็กก้อนละสิบหกบาทที่ใช้ล้างหน้าอาบน้ำ จริงๆ เธอชอบกลิ่นหอมของสบู่ผู้ใหญ่อีกยี่ห้อมากกว่า ราคาแค่สิบสองบาท ถูกกว่าไม่พอยังมีกลิ่นหอมกว่า แต่เพราะเพื่อนๆ พากันบอกว่ากลิ่นนี้ราคาถูก อีกกลิ่นดูบอบบางน่าทะนุถนอม เลยตัดใจใช้ก้อนละสิบหกบาทเรื่อยมา ไม่ใช่อะไร เพียงแค่ว่าในอดีตเธอเคยอยากให้มีคนรักและทะนุถนอม เคยโหยหากระทั่งเก็บไปเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา กระทั่งโตขึ้นจึงเลิกคิดเช่นนั้น

ยังมีอะไรอีกนะ…

จริงสิ...ขวดนมเปรี้ยว!

บ้าจริง ของสำคัญอย่างนั้น ลืมได้ยังไง!

กานมณีก้าวฉับๆ อะไรหายไปก็ช่าง จะเป็นชุดชั้นในชิ้นละห้าสิบเก้า สบู่เด็กก้อนละสิบหก แต่ขวดนมเปรี้ยวราคาสิบบาทที่รับประทานจนหมดเหลือแต่ขวดเปล่าๆ อายุสิบปีขวดนี้ หายไม่ได้เด็ดขาด!

เพราะอะไรน่ะหรือ

เพราะมันคือสัญลักษณ์แห่งความรักแท้ที่มีอยู่จริง รักแท้ที่ทำให้เธอผู้ไม่เคยเชื่อว่ามันมีอยู่จริงพ่ายแพ้ ศิโรราบอย่างไร้ข้อกังขา

ตลอดชีวิตเธอไม่เคยเชื่อในรักแท้ ไม่เคยศรัทธาเลยสักครั้งเดียว กระทั่งสี่ปีก่อนระหว่างช่วงเวลาแห่งการชดใช้ความสารเลวของตัวเอง เธอได้ค้นพบนมเปรี้ยวเปล่าๆ ขวดนี้ที่เต็มไปด้วยความรักบริสุทธิ์ รักที่ไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน ขอเพียงแค่ได้รักแค่นั้นจริงๆ

๗ ปี แอบรักมั่นไม่ผันเปลี่ยน

๗ ปี ปรารถนาดีไม่จางหาย

๗ ปี ยังจะรักเธอสืบไป

๗ ปี ขวดนมเปรี้ยวเก่าๆ ยังเก็บไว้บนชั้นโชว์

ตอนนี้สิบเอ็ดปีแล้ว เธอก็ยังเชื่อว่าเจ้าของขวดนมเปรี้ยวนี้ยังรักผู้มอบมันให้แก่เขาไม่เสื่อมคลาย และหัวใจดวงนี้ของเธอก็เจ็บปวดเหลือเกินกับความเชื่อนั้น!

กานมณีสั่นศีรษะแรงๆ ทีหนึ่งไล่ความเจ็บปวดที่ไม่ควรเกิดขึ้น เธอหยุดยืนหน้ากระโจมที่เพิ่งย้ายออกไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีนัก ลังเลว่าจะเข้าไปแบบปกติ หรือแอบเข้าไปแบบนักย่องเบาดี เพราะแสงตะเกียงภายในที่สว่างอยู่แสดงให้เห็นว่าเจ้าของคนใหม่ได้ย้ายเข้ามาอาศัยแล้ว และตอนนี้เขาก็อยู่ข้างในนั้น 

ถึงจะยังไม่เห็นหน้า แต่ก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย ถ้าเธอขอเข้าไปเอาของ ตอนหยิบขวดนมเปรี้ยวเก่าๆ ที่ไม่แน่ว่าเขาจะโยนทิ้งถังขยะไปแล้วขึ้นมาจะต้องกระดากอายแน่นอน หรือต่อให้มันยังอยู่ที่เดิมก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดี แต่ถ้าเธอแอบเข้าไป กระโจมเล็กแค่นั้นจะหลบสายตาเขาพ้นได้อย่างไร

กานมณีละล้าละลังอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจก้าวขาอย่างเบาที่สุด ใช่ เธอตัดสินใจเป็นนักย่องเบา หลังจากตกผลึกความคิดจนแน่ใจ ไม่อาจให้เจ้าของกระโจมคนใหม่เห็นว่าเธอเข้าไปหยิบสิ่งใดติดมือออกมา เพราะมันจะเป็นความลับของเธอตราบชั่วชีวิต

ซ่า...

เขาอยู่ในห้องน้ำ!

กานมณีลิงโลดเมื่อได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้นดังมาจากห้องน้ำสังกะสีเรียบง่าย ที่มีประตูสานจากไม้ไผ่กั้นให้แยกจากกระโจมอีกชั้น แต่นั่นหมายถึงต้องเสียชุดชั้นในที่ผึ่งอยู่ในนั้นไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ขอแค่ได้ขวดนมเปรี้ยวกลับมาก็พอ

เธอกวาดสายตามองหาตำแหน่งที่เก็บซ่อนของสำคัญไว้อย่างมิดชิดเสียจนตัวเองยังลืม รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้น เมื่อเห็นว่ากล่องไม้สีโอ๊กขัดเงาวาวยังอยู่ใต้เตียง ข้างกล่องกระดาษค่อนข้างเก่าใบหนึ่งที่เธอตั้งใจวางไว้คู่กัน ถ้าไม่สังเกตดีๆ จะไม่เห็นกล่องไม้เลย  

ผลัวะ!

ให้ตาย!

กานมณีนอนราบกับพื้นดินในทันทีและรีบกระเถิบเข้าไปซ่อนตัวใต้เตียงไม้ไผ่สานอันแข็งแกร่ง

บ้าจริง จะรีบออกมาทำไม!

อีกแป๊บเดี๋ยวก็จะเสร็จสิ้นภารกิจแล้วแท้ๆ 

อ๊า...ไอ้คนบ้า!

นอกจากสบถ กานมณียังต้องรีบก้มลงใช้สองมือปิดตาจากภาพอุจาดตา ใช่ อุจาดตาอย่างที่สุด!

“อ๊า...เย็นชะมัด” 

เจ้าของกระโจมคนใหม่กระโดดออกมาจากห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า สะบัดศีรษะไล่หยาดน้ำที่ยังเกาะบนเส้นผมจนกระจาย เขาเดินวนไปรอบหนึ่งเหมือนจะโชว์ให้มดแมลงในกระโจมชมความยิ่งใหญ่ของตน ก่อนจะตรงมาที่เตียง ดึงผ้าเช็ดตัวขึ้นพันรอบลำตัวส่วนล่าง ปกปิดสิ่งที่กานมณีอยากจะยกมือขึ้นหยิกทิ้งเหมือนเด็ดมะเขือ เป็นพยาบาลมาก็หลายปี พบเห็นทั้งเล็กใหญ่มาจนจะครบร้อยขนาด เพิ่งจะรู้สึกเป็นปรปักษ์กับอวัยวะเพศชายก็หนนี้

“ที่นี่หนาวกว่าที่คิดจริงๆ” 

เกล้าเศียรสูดปาก เขาเพิ่งมาถึงจึงยังไม่รู้ว่าจะหาน้ำอุ่นได้จากไหน อีกทั้งไม่อยากรบกวนใคร จึงจัดน้ำเย็นเจี๊ยบจนได้ยินเสียงกระดูกตัวเองลั่นกรอบ หนาวยันขั้วหัวใจ แต่ก็สดชื่นจนหาที่เปรียบไม่ได้ บรรยายได้เพียง โค-ตะ-ระ เย็นสะใจ!

‘หนาวก็รีบใส่เสื้อผ้าเสียสิ’

“ยังไม่ใส่เสื้อผ้าดีกว่า นานๆ จะเจออากาศหนาวขนาดนี้ ประลองความแข็งแรงของร่างกายสักหน่อยสิ ว่าแกยังแข็งแรงอยู่หรือเปล่า”

‘อาบน้ำเย็นราวน้ำแข็งอย่างนั้นได้ ยังจะประลองอะไรอีก’

“จำได้ว่าเอาครีมวางไว้บนเตียงนี่ ตกไปใต้เตียงหรือเปล่านะ”

‘โอ...ไม่นะ!’

กานมณีแทบกรีดร้อง ถึงแสงตะเกียงจะสว่างมาถึงใต้เตียงแค่เพียงน้อยนิด แต่ถ้าเขาก้มลงมาละก็...

“เอ้า...อยู่นี่เอง วางไว้ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

เกล้าเศียรเอื้อมหยิบขวดครีมมาละเลงบนตัว ไม่รู้เลยว่าคนใต้เตียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแช่งชักหักกระดูกเขาจนปวดกราม 

“สามทุ่มแล้วเหรอเนี่ย” 

‘ก็ใช่น่ะสิ รู้แล้วก็ไปนอนได้แล้ว’ กานมณีตอบโต้จนภายในใจร้อนรุ่ม 

“ยังไม่ง่วงเลย ทำไงดี” เกล้าเศียรเปรยออกมาราวกับได้ยินเสียงคนใต้เตียง และลุกขึ้นถอดผ้าเช็ดตัวเดินตัวเปล่าเล่าเปลือยไปพาดไว้ตรงราวไม้ไผ่ข้างห้องน้ำ “อ่านหนังสือสักเล่มดีไหม ตะเกียงนี่น่าจะสว่างได้อีกชั่วโมงสองชั่วโมง”

ชั่วโมง สองชั่วโมง ให้ตาย!

เธอไม่มีทางค้างเติ่งอยู่ใต้เตียงอีกชั่วโมงสองชั่วโมงแน่ เย็นก็เย็น หนาวก็หนาว

‘ไม่ไหวแล้ว!’

“หรือจะนอนดี แสงตะเกียงสว่างไม่เพียงพอ ทำลายสายตานะ”

‘นายจะเอายังไงก็เอาซะ เดี๋ยวนี้เลย!’

กานมณีรู้สึกเคืองเจ้าของกระโจมชนิดที่อดทนไว้ไม่ไหวแล้วจริงๆ หากเขายังชักช้า ได้เจอเธอแบบตัวต่อตัวแน่ ให้มันรู้ไปสิว่าหมอหน้าไม่อายอย่างเขา กับผู้บุกรุกเข้ามาในยามวิกาลอย่างเธอ ใครจะอายมากกว่ากัน

ที่แน่ๆ คือเขายังโป๊ ถ้าเผชิญหน้ากันจะๆ เธอได้เปรียบแน่

“เดี๋ยวนะ แล้วจะเอายังไงกับชุดชั้นในในห้องน้ำ พี่พงษ์บอกว่าที่นี่ทุกอย่างมีจำกัด เธอลืมไว้แบบนั้นคืนนี้จะสวมอะไร” เกล้าเศียรนึกขึ้นได้ก็เดินกลับไปทางห้องน้ำและถือชุดชั้นในสีดำออกมา 

‘ไอ้คนบ้ากาม ชุดชั้นในผู้หญิงกล้าถือทั้งสองมือแบบนั้นได้ยังไง!’

เห็นชุดชั้นในในมือเขาแล้วอกของเธอจะแตกตาย ตั้งแต่จำความได้ประสบการณ์ครอบครัวที่ไม่ดีนักสอนให้เธอกลายเป็นคนถือตัว ข้าวของเครื่องใช้ของเธอไม่เคยให้ใครแตะต้อง แต่ตอนนี้เขาทำยิ่งกว่าแตะต้อง เขากำลังพิจารณาชุดชั้นในของเธอด้วยใบหน้า...

“ฮ่าๆๆๆ เล็กขนาดนี้ต่อให้เธอไม่ใส่อะไรเลย ก็คงไม่มีใครรู้หรอก” เกล้าเศียรยกเสื้อชั้นในขึ้นมาใกล้จมูกและสูดดมฟุดฟิด “นี่เธอใช้สบู่เด็กอาบน้ำซักผ้าจริงเหรอเนี่ย ฮ่าๆๆๆ”

“แล้วมันหนักส่วนไหนของคุณไม่ทราบ!” เธอจะเล็กเป็นไข่ดาว หรือใช้สบู่เด็กอาบน้ำมันก็เรื่องของเธอไหม

“ใคร” 

ตายแล้ว!!!

กานมณีคิดว่าตนเองตวาดเขาในใจเสียอีก ใบหน้างดงามซีดเผือดเป็นกระดาษ ก่อนจะแดงก่ำเมื่อหันไปเจอสายตาซึ่งก้มมองมาจากข้างเตียง โดยยังกำชุดชั้นในของเธอในมือแน่น

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น