7
อยู่อย่างเหงาๆ
ความเย็นเยียบหนาวเหน็บเหมือนมีน้ำแข็งผุดจากหัวใจกระจายไปตามเส้นเลือดทั่วร่างภุมริน เธอไม่รู้สึกถึงความมีอยู่ของปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ไม่รู้ว่าร่างกายของตนยังเคลื่อนไหวได้ไหม เพราะหัวใจของเธอหยุดนิ่งไปตั้งแต่มหรรณพเอ่ยตัดความสัมพันธ์ เขาไม่จำเป็นต้องพูดออกมาตรงๆ เพราะแค่บอกว่าทั้งคู่เป็นได้แค่ลุงหลาน มันก็ชัดพอแล้วว่าความรู้สึกของเธอไม่ได้มีความสำคัญสำหรับเขา
ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ภุมรินถึงรู้ว่าที่เธอรู้สึกเย็นเยียบแข็งทื่อนี้ไม่ใช่เพราะร่างกายของเธอผิดปกติ แต่เป็นเพราะเธอเจ็บจนหัวใจรับไม่ไหว
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าแผนการที่วางไว้เป็นสิ่งผิด ภุมรินคาดเดาผลลัพธ์ในทางร้ายของมันเอาไว้ล่วงหน้าด้วยซ้ำ และรู้ว่าหลบเลี่ยงการถูกตำหนิจากมหรรณพได้ด้วยการโกหก แค่เธอบอกไม่รู้ว่าแม่จะทำอย่างนั้น เขาก็คงเชื่อในคำพูดของเธอ แต่เธอทำไม่ได้
ชั่ววินาทีที่เห็นมหรรณพเดินเคียงข้างลดาริน หัวใจของภุมรินเหมือนโดนบางอย่างกระตุกเตือนให้นึกถึงวันที่สองคนนั่นแต่งงานกัน ตอนเขาเอื้อมมือไปดึงแขนอดีตภรรยาให้หยุดพูด เธออยากจะไปกระชากตัวเขาออกมาแล้วตะโกนว่าปล่อยให้ลดารินพูดต่อไป เธอรับคำประณามได้ ขอแค่เขาไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายไปตลอดชีวิตก็พอ ดังนั้นเมื่อมหรรณพกล่าวแทงใจดำเธอ ภุมรินจึงยอมรับออกไป เพราะเธอเลือกแล้วที่จะทำอย่างนั้น และไม่มีวันจะนึกเสียใจ
หญิงสาวดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบัน เดินขึ้นชั้นบน อาบน้ำ แปรงฟัน เตรียมตัวเข้านอนพร้อมตุ๊กตาหมีตัวโตที่เธอนอนกอดมาสิบกว่าปี เตือนตัวเองว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป ในเมื่อเธอหยุดรักเขาไม่ได้ก็อย่าหยุดอยู่กับความทุกข์ที่ถูกเขาปฏิเสธในคราวนี้
แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ภุมรินก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้น้ำตาร้อนๆ อาบลงบนใบหน้า ตลอดมาทุกครั้งที่มีปัญหา คนแรกที่เธอจะนึกถึงก็คือมหรรณพ มือของเธอจึงเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์ ก่อนจะคิดได้ว่าจะโทร. ไปหาเขาทำไม
ไม่แค่โทร. หาเขาไม่ได้ พรุ่งนี้เธอยังไม่รู้ด้วยว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร เธอเปิดหัวใจให้เขามองมาข้างในแล้ว แต่เขาเลือกจะเบือนหน้าหนี ในเวลาอันสั้นภุมรินไม่คิดว่าตนจะพบหน้ามหรรณพแล้วยิ้มให้เขาได้ดังเดิม เธอรู้ว่าเขาหวังดี คิดเผื่อเธอทุกด้าน แต่เขาคงลืมคิดไปว่าเธอไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จากโกรธ เธอก็เปลี่ยนเป็นโมโห แล้วก็มีแรงผลักดันให้ทำบางอย่าง
มือที่ว่างจากถือโทรศัพท์ยกขึ้นปาดน้ำตา ผ่านการครุ่นคิดพักใหญ่ ภุมรินก็พิมพ์ข้อความสั้นๆ ห้าคำ เก้าพยางค์ลงไปในโปรแกรมแชต แล้วก็ต้องรออีกนานหลายนาทีกว่าจะได้รับข้อความที่สั้นกว่าส่งคืนกลับมาจากมหรรณพ เพียงสามคำ ห้าพยางค์เท่านั้น บอกถึงความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ
น้ำตาของภุมรินไหลออกมาอีกแล้ว เธอใช้เวลาทั้งคืนไปกับการร้องไห้ แม้ต่อให้อยากไปหามหรรณพมากเพียงใด เธอก็เลือกจะอยู่กับน้ำตาตัวเอง
ขณะที่ภุมรินนอนอยู่กับน้ำตา มหรรณพก็อยู่กับความปวดใจ สิ่งที่เขาไม่อยากเจอที่สุดก็คือเธอร้องไห้ สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือเธอเสียใจ เขารู้ว่าตอนนี้เธอต้องทั้งร้องไห้และเสียใจแน่นอน แต่เขากลับไม่อาจเดินไปหาเพื่อปลอบเธอให้หยุดร้องไห้ แล้วก็บอกว่าอย่าเสียใจ
ผ่านไปหลายชั่วโมงกับการนั่งฟังเสียงถอนหายใจของตัวเอง มหรรณพใกล้จะล้มเลิกความตั้งใจที่จะรักษาระยะห่างให้เขาและภุมรินเป็นเพียงแค่ลุงกับหลาน เขาใกล้จะทำตัวบ้าระห่ำ เดินไปเคาะประตูหน้าบ้านเธอ แล้วบอกว่าเขาเป็นคนสารเลวบัดซบที่คิดไม่ซื่อกับสาวน้อยที่เขาดูแลมาตลอดหลายปี แต่เขาจะไม่ทำอย่างนั้น
วันนี้เธออาจจะรักเขา พรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า เธอก็คงจะยังรักเขา แต่ผ่านไปสิบปี ยี่สิบปี รอจนเขาอายุหกสิบ เธออายุสี่สิบห้า ปล่อยวัยสาวให้หมดไปกับผู้ชายแก่กว่าอย่างเขา เธออาจจะเสียใจภายหลังก็ได้
เดี๋ยวนะ หกสิบ สี่สิบห้า มหรรณพเหมือนจะนึกอะไรได้จากตัวเลขสองตัวนี้ แต่สมองของเขาสับสนวุ่นวายเกินกว่าจะแยกย่อยมันออกมาทีละเรื่อง ขณะหน้านิ่วคิ้วขมวด โทรศัพท์มือถือก็ส่งสัญญาณว่ามีคนส่งข้อความมาหา ชายหนุ่มคว้ามันขึ้นมาเปิดอ่าน แล้วคิ้วก็ยิ่งผูกเป็นปมยิ่งขึ้น
‘พรุ่งนี้น้ำผึ้งจะไปอยู่บ้านพ่อ’
อ่านข้อความจากภุมรินจบ มหรรณพก็แทบจะกดโทรศัพท์ไปถามเธอทันทีว่าจะไปอยู่ที่บ้านนั้นทำไม แต่นิ้วมือของเขาใหญ่เกินไปทำให้กดพลาด และก็ช่วยให้เขามีสติยั้งคิดว่าไม่ควรจะโทร. ไปถามคำถามนี้ ในเมื่อเขาควรจะรู้แก่ใจดีว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เธอย้ายที่อยู่
บ้านสองหลังมีเพียงรั้วกั้น ทุกเช้าภุมรินต้องมาทำกับข้าวให้มหรรณพกิน ทุกเย็นต้องมากินข้าวด้วยกัน มันไม่ยุติธรรมต่อเธอสักนิดที่ต้องฝืนใจพบหน้าเขาหลังจากถูกปฏิเสธความรัก เขาต้องเป็นไอ้สารเลวสุดชั่วแน่นอนถึงได้คิดจะทรมานเธอเช่นนั้น
การไปอยู่บ้านพ่อชั่วคราวเป็นเรื่องดีต่อความรู้สึกของภุมริน แต่มหรรณพมีเหตุผลสารพัดที่อยากจะห้ามปราม บ้านหลังนั้นมีทุกอย่าง ยกเว้นเจ้าของบ้าน ห้องชุดขนาดสองห้องนอนไม่ได้มีประโยชน์อะไร นอกจากเป็นสถานที่ให้เจ้าของมานอนพักหลังจากไม่รู้จะไปอยู่บ้านไหน ภมรทำธุรกิจกลางคืน ตัดเรื่องเขาจะอยู่บ้านกับลูกสาวไปได้เลย กลางวันเขาก็ชอบไปนอนบ้านบรรดาแฟนสาวหรือภรรยาน้อยใหญ่ให้พวกเธอๆ เหล่านั้นปรนนิบัติ ภุมรินไปอยู่บ้านพ่อก็คือไปอยู่คนเดียว ใครจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ คอยดูแลเธอ รับส่งเธอไปมหาวิทยาลัย แล้วถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน ใครจะช่วย
ไม่เพียงแค่คิด นิ้วมือใหญ่ๆ ของมหรรณพที่พิมพ์ข้อความมือถือได้ชักช้าก็พิมพ์คำถามยาวเหยียดเตรียมจะส่งไปหาภุมรินแล้ว แต่ก่อนจะกดส่ง เขาก็ชะงักกลางคัน
เธออยู่คนเดียวได้ เธอดูแลตัวเองเป็น ส่วนเรื่องเดินทางไปมหาวิทยาลัย ภุมรินไม่ใช่เด็กห้าขวบ ทุกวันนี้เธอเดินทางไปเรียนเองแล้ว มีแค่วันไหนฝนตก หรือเธอต้องกลับดึก มหรรณพถึงจะขับรถไปรับส่ง และกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ขอแค่เธอกดโทรศัพท์มาหาเขา ต่อให้เธอไปอาศัยอยู่บนเรือในทวีปยุโรป เขาก็พร้อมจะดั้นด้นไปหา อย่าว่าแต่คอนโดมิเนียมที่อยู่ห่างออกไปเพียงระยะขับรถครึ่งชั่วโมงเลย
ต่อให้มหรรณพมีจินตนาการเลวร้ายว่าครึ่งชั่วโมงเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง มือของเขาก็ยังลบข้อความที่เตรียมจะส่งไปออกจนหมด แล้วพิมพ์ข้อความใหม่ส่งไปแทน
‘ระวังตัวด้วยนะ’
ระวังความปลอดภัยของตัวเองให้ดี ระวังอันตรายจากรอบด้าน ระวังอย่าไปเชื่อใจใคร ระวังคน ระวังสิ่งของ ระวังทุกๆ อย่าง ฯลฯ และสุดท้ายระวังหัวใจของตัวเอง อย่ามารักคนที่ไม่ดีพออย่างเขา
ส่งข้อความออกไปแล้วมหรรณพก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองออกนอกหน้าต่างไปยังบานตรงข้ามที่เป็นห้องนอนของภุมริน เขาอยากจะมองทะลุหน้าต่าง ผ้าม่าน และความมืดในห้อง มองว่าเธอร้องไห้หรือไม่ ต่อให้เห็นแล้วปวดใจก็ยังดีกว่ามองไม่เห็น
เขานั่งอยู่ตลอดคืนรอเวลาเช้ามาถึง อย่างน้อยเขาก็จะได้พบหน้า แล้วพาเธอไปส่งยังที่ที่เธออยากจะไป แม้ว่ามันจะไม่ใช่ข้างกายเขาก็ตาม
เช้านี้มหรรณพรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนับจากก้าวลงจากเตียงนอน อย่างแรกก็คือเขาไม่รู้สึกถึงความสดชื่นแจ่มใสใดๆ เลย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาอดนอนทั้งคืน หรือไม่ก็เพราะเขาไม่อยากจะตื่นไปบอกลาภุมริน เขาอาบน้ำลวกๆ แล้วสวมเสื้อผ้า ระหว่างเดินลงมาก็พบว่าภายในบ้านเงียบเหงาไปถนัดใจ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการที่ไม่มีเธอกำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัว
ถึงจะเป็นหนุ่มโสดที่มีคนเตรียมอาหารเช้าให้กินมาตลอดหลายปี แต่มหรรณพก็รู้จักวิธีทำอาหารง่ายๆ เขากับภุมรินเป็นพวกเห็นความสำคัญของมื้อเช้า แล้วเขาก็จำได้ว่าบ้านเธอไม่มีของสดในตู้เย็น เพราะเธอจะมากินข้าวพร้อมเขาที่บ้านนี้ทุกเช้าเย็น ดังนั้นชายหนุ่มจึงหุงข้าว เตรียมกับข้าวง่ายๆ เอาไว้ ก่อนไปส่งเธอที่บ้านพ่อ เขาไม่อยากให้เธอหิว เพราะไม่รู้ว่าที่นั่นภมรจะเตรียมของสดเอาไว้บ้างหรือเปล่า กว่าจะไปถึง กว่าจะหาข้าวกิน เสียเวลาไปเป็นชั่วโมง ถ้าต้องหิ้วท้องไปนานๆ เธออาจจะไม่สบายก็ได้
มหรรณพเพิ่งจะกดสวิตช์หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ขณะก้มหน้าค้นตู้เย็นหาของสดมาทำมื้อเช้าก็ได้ยินเสียงกดกริ่งประตูบ้านภุมริน เนื่องจากเธอต้องไปเรียนในช่วงกลางวัน เขาจึงพ่วงสายสัญญาณให้ดังมาที่บ้านเขาด้วย ชายหนุ่มทิ้งประตูตู้เย็นให้เปิดอ้าเอาไว้อย่างนั้น รีบร้อนออกไปทางประตูหลังบ้านเพื่อดูว่าใครมาหาเธอที่บ้านแต่เช้า พบว่าเป็นรถแท็กซี่เหลืองเขียว ติดสัญลักษณ์แกรบแท็กซี่กับไลน์แมนเอาไว้ บอกว่าเป็นรถแท็กซี่ที่สั่งออนไลน์ให้มารับจากต้นทางไปยังจุดหมายปลายทาง ก่อนเขาจะถามเพื่อความแน่ใจ ก็เห็นภุมรินเดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เกือบจะเท่าตัวเธอออกมา
กระเป๋าเดินทางขนาดสามสิบสองนิ้วไม่ได้ใหญ่โตมโหฬาร แต่กับภุมรินที่สูงแค่ร้อยสี่สิบเก้าเซนติเมตร กระเป๋าที่รวมล้อแล้วสูงเจ็ดสิบเซนติเมตรก็สูงเกือบถึงเอวของเธอ มองเธอลากกระเป๋าที่ปกติเขาจะคอยลากให้เวลาไปเที่ยวด้วยท่าทางยากลำบากมหรรณพก็ปวดใจ แต่ขาที่ควรก้าวไปช่วยเธอกลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
ถ้าเธออยากให้เขาช่วย เธอคงบอกเขาแล้ว ภุมรินย่อมรู้ว่าเขาต้องไปส่งเธอทุกที่ การที่เธอใช้บริการแกรบแท็กซี่บอกมหรรณพว่าเธอไม่ต้องการไปบ้านพ่อของเธอพร้อมเขา หรืออีกนัยก็คือเธอไม่อยากเจอหน้าเขา เพราะขณะลากกระเป๋าออกจากบ้าน เธอไม่เหลียวมองมาทางนี้สักนิด
มือสองข้างของมหรรณพกำแน่นอยู่ข้างตัว เตือนตัวเองว่าอย่าตะโกนเรียกภุมริน อย่าถามเธอว่าจะไปแล้วหรือ อย่าถามเธอว่าหิวไหม อย่าชวนเธอกินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยไป เขาเป็นคนขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์นี้เอง ถ้าเขาขยับทำตัวเป็นคนโลเล ก็มีแต่จะทำร้ายเธอโดยไม่จำเป็น
ระยะห่างยี่สิบกว่าเมตรจากประตูหลังบ้านเขาถึงประตูรั้วบ้านเธอไกลเกินกว่ามหรรณพจะมองสีหน้าของภุมรินได้ชัด แต่เขากลับเห็นรอยช้ำบนดวงตาที่บอกว่าเธอร้องไห้ตลอดคืน ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าเขาเป็นคนใจร้าย คนขับรถพูดอะไรกับเธอบ้างเขาก็ไม่รู้ เขารู้แค่ว่าขัดใจมากที่ชายคนนั้นไม่ช่วยเธอหิ้วกระเป๋าขึ้นรถ ปล่อยให้สาวน้อยตัวเล็กบอบบางของเขายกขึ้นไปวางบนเบาะหลังอย่างยากลำบาก
ตอนประตูรถแท็กซี่ปิด เขาเกือบจะทนไม่ไหวจนวิ่งไปหาเธออยู่แล้ว แต่เสียงเตือนจากตู้เย็นที่บอกว่าเขาเปิดมันทิ้งเอาไว้นานเกินไปทำให้เขาเผลอหันไปมอง หันกลับมารถแท็กซี่ก็แล่นออกไปพ้นสายตา เมื่อคืนภุมรินร้องไห้ทั้งคืน ตอนนี้ได้เวลาที่มหรรณพต้องกล้ำกลืนน้ำตาไม่ให้ร้องไห้บ้างแล้ว
ต่อให้ไม่หันไปมอง ภุมรินก็รู้ว่ามหรรณพกำลังจับจ้องมองตามหลังเธออยู่ เขาต้องเห็นแล้วว่าเธอลากกระเป๋าใบโตมาด้วย แต่เขาไม่มีทางรู้ว่าพื้นที่ครึ่งหนึ่งในกระเป๋าใช้ยัดเจ้าตุ๊กตาหมีตัวโตลงไป ซึ่งทำให้กระเป๋าไม่หนักเท่าไรนัก เขาต้องรู้สึกว่าคนขับแท็กซี่ใจดำไม่ยอมช่วยเธอยกกระเป๋าขึ้นรถ แต่เขาไม่ได้ยินว่าเธอปฏิเสธน้ำใจที่คนขับเสนอ
ใช่แล้ว เธอมันเป็นเด็กนิสัยเสียชอบเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่ภุมรินไม่คิดว่าเธอจะปรับปรุงตัวเร็วๆ นี้ อาจจะเป็นชาติหน้า เธอคงพอจะทำตัวดีขึ้นบ้าง ตราบใดที่มหรรณพยังมีชีวิตอยู่ เธอก็จะเป็นน้องน้ำผึ้งของลุงหมี เป็นเด็กที่เขาคอยห่วงใย เขาจะได้ไม่เหลือบแลสายตามองคนอื่นชั่วชีวิต
“คนใจดำ” ภุมรินหลุดปากบ่นออกมา ทำให้คนขับที่โดนเข้าใจผิดว่าเป็นคนใจร้ายหันมามองผ่านกระจกมองหลังด้วยแววตาเหวอๆ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ไม่แปลกที่เขาจะถาม เพราะตั้งแต่รถเคลื่อนตัวพ้นหน้าบ้าน ผู้โดยสารก็ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ เมื่อรถติดไฟแดงเขาเลยอดจะสอบถามไม่ได้ หรือไม่เขาก็สงสัยว่าเธอด่าเขาหรือเปล่า
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่คิดถึงแฟน เขาใจดำเกินไปแล้ว จะออกมาส่งสักหน่อยก็ไม่ได้”
มหรรณพยังไม่ใช่แฟนของภุมริน แต่เธอไม่ถือสาที่จะโมเมสร้างสถานะแฟนให้เขาล่วงหน้า และเธอรู้อยู่แก่ใจว่าที่เขาไม่มาส่งก็เพราะกลัวเธอตัดใจจากเขาไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ถือสาอีกเช่นกันที่จะว่าร้ายเขา
คนใจดำ ดูแลเธอมาสิบห้าปี พอถึงเวลานี้กลับมาบอกให้เธอตัดใจ ชาติหน้าเถอะ เผลอๆ จะชาติหน้าของชาติหน้าอีกที เพราะภุมรินตั้งใจเอาไว้ว่าชาติหน้าเธอจะเกิดมาในเวลาไม่ห่างจากมหรรณพนัก แล้วจองเขาเอาไว้เป็นสามีตั้งแต่ทั้งคู่ยังเด็ก จะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ
“นี่ทะเลาะกับแฟนเลยออกจากบ้านเหรอ ไม่ดีนะ อย่าหาว่าพี่...” คนขับพูดแล้วก็ชะงักเพราะสายตาที่เขม้นมองรอยตีนกาของเขา เลยเปลี่ยนสรรพนามกลางคัน “อย่าหาว่าลุง...”
“แทนตัวว่าพี่เถอะค่ะ พี่ไม่ได้แก่ขนาดนั้น” เธอแทรกประโยคกลางคัน ถึงเขาจะอายุห้าสิบ แต่สรรพนาม ‘ลุง’ เธอเก็บเอาไว้ให้คนอื่นใช้
“คือพี่จะบอกว่า แฟนกันทะเลาะกันอย่าแยกกันอยู่ ยิ่งหนูอายุไม่เยอะ ท่าทางจะคบกับแฟนคนนี้ไม่นาน พอแยกกัน ถ้าผู้ชายอายุน้อยไม่หนักแน่นพอ ไม่นานก็จะลืมกันไปได้ง่ายๆ แล้วหนูนั่นแหละที่จะมาเสียใจทีหลัง” คนขับประเมินจากหน้าตาภุมริน แล้วเข้าใจผิดเหมือนคนส่วนใหญ่ว่าเธอเพิ่งอายุสิบห้าสิบหกปี
“เราคบกันมาสิบห้าปีแล้วค่ะ เพิ่งแยกกันวันนี้แหละ”
ภุมรินประสบความสำเร็จในการทำคนขับแท็กซี่อ้าปากค้าง เขาถึงกับลืมตัวจ้องหน้าเธอเพื่อพิจารณาหาร่องรอยของอายุที่น่าจะไม่ต่ำกว่าสามสิบ จนลืมขับรถออกตอนสัญญาณไฟเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว แล้วพึมพำอะไรบางอย่างคล้ายๆ คนสมัยนี้หน้าเด็ก แต่เธอไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดของเขา เพราะต้องเอาเวลาคิดหาทางแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมหรรณพ
เช้านี้ชั่วโมงเร่งด่วนดูจะด่วนกว่าปกติ ระยะทางจากบ้านของภุมรินไปยังคอนโดมิเนียมของภมรที่ปกติกินเวลาครึ่งชั่วโมงยืดยาวไปกว่าชั่วโมง ซึ่งแปลว่าเลยเวลาอาหารเช้าของเธอไปแล้ว
ตอนอยู่กับมหรรณพ ทั้งคู่มีกฎที่ไม่ร่างเป็นลายลักษณ์อักษรร่วมกันข้อหนึ่ง คือกินข้าวตรงเวลา ทั้งสองกินข้าวเช้าหลังจากตื่นนอนไม่เกินหนึ่งชั่วโมง กินข้าวเที่ยงตอนสิบสองนาฬิกาตรง เพราะเขาต้องให้คนงานในอู่ซ่อมรถไปพักกลางวันเช่นกัน กินข้าวเย็นตอนหกโมง หลังจากเขาปิดอู่ตอนห้าโมงเย็น อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย ท้องของเธอประท้วงโดยไม่สนใจสมองที่กำลังซึมเศร้า ถึงภุมรินอยากจะประชดชีวิตด้วยการอดข้าว แต่จะมีประโยชน์ตรงไหนถ้ามหรรณพไม่รู้
ก่อนรถเลี้ยวเข้าคอนโดมิเนียม ภุมรินขอให้คนขับรถจอดรอชั่วคราวริมถนนเพื่อซื้อข้าวไข่เจียวสองกล่องให้ตัวเองและเผื่อไปยังคนขับด้วย เขารับน้ำใจเธอด้วยรอยยิ้ม และประเมินว่าเธออาการดีขึ้น ตามด้วยชมว่าคนเราต้องรักตัวเองถึงจะดี น่าเสียดายที่เธอฝืนยิ้มรับคำชมไม่ไหว เลยเปลี่ยนเป็นส่งเงินทิปให้เขาแทน เพราะเขาช่วยเธอยกกระเป๋าใบใหญ่ซึ่งเบากว่าที่คิดมาส่งถึงหน้าลิฟต์
พอถึงปลายทาง ภุมรินไม่พบพ่อของเธอตามคาด แล้วก็ไม่อยากส่งข้อความไปถาม เพราะเมื่อคืนตอนโทร. หา ภมรกำลังอยู่ที่ไหนสักที่เงียบๆ ที่ไม่ใช่ผับ บาร์ หรือธุรกิจกลางคืนหลายแห่งที่เขาต้องดูแล หนำซ้ำเธอยังได้ยินเสียงผู้หญิงแกล้งถามแว่วๆ ว่าพี่มรอยากดื่มอะไรเพิ่มไหม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาคงไปอยู่กับผู้หญิงคนใหม่ ซึ่งก็ดีกับเธอ เพราะเวลานี้เธอไม่อยากให้พ่อต้องมาเสียเวลาแสร้งทำเป็นห่วง ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะเท่าที่รู้มีแค่คนคนเดียวที่ห่วงเธอเสมอ แล้วเขาก็ส่งข้อความมาหาทันทีที่เธอนึกถึง
ถึงบ้านพ่อหรือยัง มีข้าวกินไหม มหรรณพถามได้สั้นกระชับ
ภุมรินตอบกลับสั้นยิ่งกว่า ถึงแล้วค่ะ กำลังกิน
ข้าวไข่เจียวข้างทางไม่ได้แย่ ไข่เพิ่งเจียวหลังจากมีลูกค้าสั่ง ตั้งแต่เสร็จจากเตามาถึงที่นี่กินเวลาไม่นาน ข้าวยังร้อน ไข่ยังหอม แค่สองปัจจัยนี้มันก็เป็นอาหารมื้อเช้าที่อร่อยได้แล้ว แต่ตักเข้าปากได้คำเดียว ภุมรินก็น้ำตาร่วงเผาะๆ ลงไปบนข้าว
“สู้ลุงน้ำทำไม่ได้เลย” เธอบ่นอาหารที่ต้องฝืนยัดใส่ปากป้องกันไม่ให้โรคกระเพาะถามหา แต่กินไปได้ครึ่งกล่องก็ทนไม่ไหวร้องไห้โฮจนแทบจะเกิดอาการขาดน้ำ
ระหว่างตำหนิไข่เจียวที่แม่ค้าแสดงฝีมือได้ไม่ทัดเทียมมหรรณพ ภุมรินก็ตำหนิตัวเองไปด้วยที่ไม่เลือกเมนูข้าวเหนียวหมูปิ้งร้านข้างๆ หรืออย่างน้อยก็ร้านขายไก่ย่างที่ตั้งไม่ไกลกัน ร้านขายสารพัดน้ำพริกกับผักสารพัดอย่างก็ไม่เลว รสเผ็ดน่าจะช่วยกระแทกกระเพาะอาหารของเธอแรงๆ จะได้เบี่ยงเบนความสนใจของสมองออกจากหัวใจ อะไรก็ดีกว่าข้าวไข่เจียวทั้งนั้น
มหรรณพไม่ใช่คนทำอาหารไม่เป็น เขาเคยช่วยแม่ทำข้าวราดแกงขายตอนเด็ก ถึงต่อมาคนรับหน้าที่ดูแลบ้านทำกับข้าวจะเป็นมาโนช ตามมาด้วยภุมริน แต่เขาก็ยังทำเองบ้างนานๆ ครั้ง แล้วก็อร่อยเสมอ ทว่าเมนูสร้างชื่อของเขากลับเป็นอาหารง่ายๆ อย่างไข่เจียว
มื้อแรกที่เขาทำให้เด็กแปลกหน้าข้างบ้านที่ร้องไห้จนตัวโยนกินก็คือไข่เจียว ตอนยังเด็กมื้อไหนที่เธออารมณ์ไม่ดี เขาก็จะทำไข่เจียวแล้วเอาซอสพริกกับซอสมะเขือเทศวาดเป็นหน้ายิ้มมาให้กิน หลอกล่อจนเธอยิ้มได้ ถ้าป่วยจะต้มข้าวต้มกินกับไข่เจียวที่มีทั้งโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตให้เธอ เธอจะได้หายป่วยไวๆ ช่วงเข้าเรียนวันไหนมีสอบก็จะเจียวไข่ให้กินแก้เคล็ด
‘กินไข่ก่อนสอบ สอบแล้วจะได้ไม่ไข่ ไข่ก็เหมือนเลขศูนย์ เอาชนะไข่ได้ก็เอาชนะเลขศูนย์ได้’ เหตุผลตลกๆ ของเขาทำให้เธอไม่เครียดก่อนสอบ เอาชนะข้อสอบได้เสมอ
“คราวนี้น้ำผึ้งก็จะชนะอีก”
ภุมรินประกาศกร้าวต่อหน้าไข่เจียว เพราะที่เธอจะเอาชนะไม่ใช่การสอบที่สอบซ่อมได้ แต่เป็นหัวใจของมหรรณพ ที่พลาดแล้วพลาดเลย ไม่มีโอกาสแก้ตัว
ตลอดสัปดาห์มหรรณพตื่นมาพิจารณาข้าวไข่เจียวฝีมือตนเองทุกวัน มองไปถอนใจไป แล้วค่อยกล้ำกลืนไข่เจียวที่เต็มไปด้วยความรันทดลงท้อง
วันแรกที่ภุมรินจากไป มหรรณพทำไข่เจียวไม่ใส่เครื่องแล้วรู้สึกว่ามันว่างเปล่าเหมือนหัวใจของเขา
วันที่สองมหรรณพวาดหน้ายิ้มลงไปบนไข่ แต่พลาดไปเทซอสพริกที่ใช้ทำดวงตาเยอะไปหน่อย เลยเหมือนไข่เจียวกำลังร้องไห้
วันที่สามมหรรณพเลยทำไข่เจียวใส่ผัก ก่อนจะนึกได้ว่าคนชอบกินไข่เจียวใส่ผักเยอะๆ ไม่ได้อยู่ข้างบ้าน และจะไม่มากินข้าวเช้ากับเขาแล้ว
วันที่สี่มหรรณพทำไข่เจียวใส่แหนม แล้วเผลอนึกถึงตอนที่ภุมรินทำแหนมเอาไว้ให้เขากิน ทั้งแหนมหมู แหนมเห็ด และบอกว่ามันสะอาดกว่าของที่ขายทั่วไป เขายังแนะนำเธอให้ลองทำขายออนไลน์ ก่อนจะเปลี่ยนใจเพราะกลัวเธอจะเหนื่อยเกินไป แหนมที่ใส่ในไข่อยู่นี่ก็เป็นฝีมือเธอ เขาเลยกินไปปวดใจไป
วันที่ห้ามหรรณพทำไข่เจียวทรงเครื่อง ใส่หมูสับ ไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า กุ้ง หอมใหญ่ มะเขือเทศ ตั้งใจทอดจนกรอบนอกนุ่มใน แล้วนึกขึ้นได้ว่าสูตรนี้ภุมรินเอามาจากคลิปวิดีโอรายการ ครัวคุณต๋อย แล้วเขามาดัดแปลงให้เป็นไข่เจียวริมกรอบแบบที่เธอชอบ ข้างในนุ่มเป็นวุ้นแบบที่เขาชอบ มองไข่แล้วมหรรณพเกือบโยนหลักการต่างๆ ทิ้ง แล้ววิ่งเอาไข่เจียวไปส่งภุมริน
วันที่หกมหรรณพเตรียมทำไข่เจียวหมูสับ แต่เผลอเดินออกไปนอกบ้าน เด็ดใบชะพลู ตัดตะไคร้ ตามด้วยพริกขี้หนู แล้วซอยหอมแดงมาทำไข่เจียวสมุนไพร ซึ่งเป็นสูตรที่ภุมรินคิดค้นขึ้นเพื่อสุขภาพของเขา ทำเอาผู้ชายตัวโตๆ แทบจะร้องไห้ไปกินข้าวไป
วันที่เจ็ดมหรรณพตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนเมนูอาหารเช้าไปเป็นไข่ดาว แต่อนิจจา ตอนตอกไข่ใส่ชามหวังจะทำไข่ดาวแฝด เขาดันนึกสงสัยว่าภุมรินกินข้าวหรือยัง เลยตอกแรงไปนิดทำไข่แดงแตก ถ้าลงไปทอด ไข่แดงจะสุก เขาไม่ชอบไข่ดาวที่ไข่แดงสุกแข็ง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ภุมรินรู้ดีอยู่แล้ว เพื่อให้เขาได้กินอร่อยขึ้น เธอมักจะแยกไข่ขาวออกจากไข่แดง ตีมันเล็กน้อยให้ฟู ลงทอดให้กรอบ ก่อนจะใส่ไข่แดงลงไปทอดแค่พอเป็นพิธี แล้วยกมาเสิร์ฟเขา มื้อนี้เขาเลยกินข้าวไข่เจียวด้วยอารมณ์รันทดกว่าเดิมสามเท่า
เขาเหงา มันเป็นอารมณ์ที่มหรรณพไม่เคยพบเจอมาหลายปี ล่าสุดน่าจะเป็นตอนไปฝึกทหารที่ไม่มีเด็กข้างบ้านมาเดินตามต้อยๆ เรียกเขาว่าลุงน้ำบ้าง ลุงหมีบ้าง แล้วอ้อนให้เขาทำข้าวไข่เจียวให้กินเป็นมื้อเช้า
มหรรณพพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอาการโคม่า ถึงไม่เชี่ยวชาญสารคดีสัตว์โลก แต่เขาก็รู้ว่าหมีเป็นสัตว์ที่อยู่ตัวเดียวเสมอ ยกเว้นเวลามีคู่ และมันก็ไม่มีอาการเหงาหงอยเวลาคู่จากไป ทว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ควรอยู่คนเดียวได้ แต่แค่ภุมรินจากไป เขาก็เหงาจนจะตายอยู่แล้ว
ความคิดเห็น |
---|