7
บอกรัก
วันนี้ทั้งวันพชรหทัยไม่ยอมพูดกับเขาแม้แต้คำเดียว ไม่แม้กระทั่งตอนรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเหมือนทุกครั้ง ไม่ว่าเขาจะเพียรตัก เพียรเอาใจสักแค่ไหน อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น จะมีก็แต่การผงกหัวน้อยๆ ทุกครั้งที่เขาพูด หรือทำอะไรให้เป็นปฏิกิริยาตอบรับว่ารับรู้เท่านั้น นอกจากไม่ปริปากแล้ว สาวน้อยของเขายังไม่ยอมสบตา เอาแต่ก้มหน้าหงุด ไม่เปิดโอกาสให้เขาเห็นหน้าเห็นตาหวานคู่นั้นแม้แต่น้อย จนอรรคมึนว่าต้องไปทางไหนต่อ เพราะห่างหายจากการสร้างความสัมพันธ์กับคนต่างเพศมานาน เรียกว่าลืมวิธีจีบสาว ลืมวิธีง้อแฟนไปหมดแล้วจะดีกว่า
จนเกือบเลิกงานแล้ว ชายหนุ่มที่คิดจนหัวหมุนมาทั้งวันจึงตัดสินใจอีกรอบ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปตลอดทั้งสุดสัปดาห์ กลัวว่าจะต่อไม่ติด เวลาเขายิ่งเหลือน้อยอยู่ด้วย เพราะอีกแค่สามสัปดาห์ทั้งคุณชายพชรฉัตรและคุณปวรศาก็จะกลับมา นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะได้พชรหทัยมายิ่งห่างไกลออกไปอีก ดังนั้นจากนี้เขาต้องทุ่มสุดตัว ต้องเล่นใหญ่ไฟกะพริบเท่านั้น แถมเมื่อตอนกลางวันได้ยินหล่อนรับโทรศัพท์จากณวัฒน์ ยิ่งทำให้จิตใจชายหนุ่มวัยสามสิบร้อนรุ่มแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
‘ไม่มีนัดใครหรอก แต่เปอร์ไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมง’ เสียงหวานเอ่ยตอบคนในสายไม่ดังนัก แต่หูของอรรคก็ผึ่ง ตั้งใจฟัง เก็บรายละเอียดทุกคำพูดเลยละ
‘ณะก็พูดไป เปอร์ไม่ได้เป็นอะไรกับเขาซะหน่อย เปอร์จะไปไหนกับใครก็ได้ทั้งนั้น’
‘งั้นณะรอรับโทรศัพท์ละกันนะ ถ้าเปอร์เสร็จเร็วจะโทร. บอก แล้วณะค่อยจองโต๊ะตอนนั้นก็คงทันใช่ไหม’
ได้ยินแบบนั้นคิ้วหนาก็ขมวดจนชนติดกัน
‘แล้วเจอกันค่ะ’
“วันนี้อยากทานอะไรครับ...” ร่างสูงเดินออกจากโต๊ะทำงานที่งานยังไม่เสร็จเพราะไม่มีสมาธิทำมาตั้งแต่เช้า ตัดใจไม่ทงไม่ทำมันละ ตอนนี้ขอจัดการกับพชรหทัยก่อน หากปล่อยไว้แบบนี้มีหวังชวดแน่
ฝ่ายพชรหทัยเงยหน้ามองเขานิดหนึ่งก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าถือ ทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ จนอรรคหัวหมุน ร้อนใจที่สุดในชีวิต รู้สึกเหมือนคนขาดอากาศพร้อมตายได้ทุกวินาที นี่เขาพูดคนเดียวมาทั้งวันแล้วนะ...
“ว่าไงครับ...ไปทานอาหารทะเลที่พัทยากันไหม หรืออยากทานอะไรดีครับ หรือไปทาปาสบาร์ที่เป๊ปเปอร์ชอบไหม หรือ...”
“ไม่ค่ะ”
“งั้นอาหารญี่ปุ่น” คนตั้งใจง้อใจชื้นขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายยอมตอบ ถึงแม้จะไม่สบตาเขาก็ตาม
“ไม่ค่ะ เปอร์เหนื่อย...” พูดจบก็ยังไม่หยุดเก็บของ ก่อนจะเอื้อมมือปิดคอมพิวเตอร์เป็นอย่างสุดท้าย เหนื่อยจริงๆ อย่างที่พูด เหนื่อยใจกับความปากหนักของเขา และเริ่มจะเหนื่อยใจกับตัวเองที่หลงชอบ หลงใหล หลงรักชายหนุ่มคนนี้มากขึ้นทุกวัน ดังนั้นถ้าเขาไม่พูดไม่บอกสิ่งที่รู้สึก ก็ลองเจอหล่อนรวนดูบางละกัน เปิดโอกาส เปิดประตูให้ขนาดนี้ยังทำเฉยอยู่ได้ ก็ขอให้เฉยไปให้ได้ตลอด
“งั้น...”
คราวนี้พชรหทัยไม่รอให้เขาเสนอตัวเลือกอะไรอีก ตาหวานเจ้าเสน่ห์มองเขานิ่งๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบใส่ หลังจากที่คิดมาตลอดคืนแล้วว่าจะจัดการกับนายใหญ่ของวิริยะทรัพย์อย่างไร
“เราไม่ต้องสนิทกันขนาดนั้นก็ได้นะคะ ...เปอร์ว่าเราควรเป็นเจ้านายกับลูกน้องแบบที่คุณอรรคเป็นกับคนอื่น”
สีหน้าเรียบตึงไม่แสดงอาการใดๆ ของพชรหทัย ทำเอาอรรคอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือเด็ก โอดครวญเสียงอ่อน จนหญิงสาวต้องกัดกระพุ้งแก้มเพื่อกลั้นยิ้ม
“ทำไมพูดแบบนั้นครับคนดี...โกรธอะไรพี่หรือเปล่า” ถามทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเรื่องที่พชรหทัยมึนตึงใส่เขาคือเรื่องอะไร แต่จะให้เขาสารภาพรักในรถตอนที่หึงจนเลือดขึ้นหน้า ไร้ซึ่งบรรยากาศโรแมนติกใดๆ ทั้งสิ้น เขาก็ไม่เอาหรอก เพราะอย่างนี้วันนี้เขาถึงได้เทียวไล้เทียวขื่อหญิงสาว ตั้งใจว่าจะพาไปดินเนอร์น่ารักๆ ก่อนจะเปิดใจสารภาพรักกับเด็กอายุสิบเจ็ด อยากจะทำทุกอย่างให้โรแมนติกน่าประทับใจ แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะปิดหูปิดตา ไม่ฟังอะไรแล้วทั้งนั้น ถึงไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาเลย...เฮ้อ...รักเด็กนี่มันเหนื่อยเหมือนกันนะ
ฝ่ายหญิงสาวได้แต่สบตาเขา นึกโมโหไม่น้อย ยังมีหน้ามาถามอีกว่าโกรธอะไร นี่โง่หรือไงเนี่ย
และเพราะหงุดหงิดเขาจนถึงขีดสุด เบื่อกับความท่ามากของอรรค เจ้าตัวจึงลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทำงานโดยไม่ฟังเสียงเรียกของท่านประธานรูปหล่อทั้งสิ้น
“เป๊ปเปอร์ เป๊ปเปอร์!”
เสียงไม่เบาของอรรคเรียกเอาชุดาที่นั่งอยู่หน้าห้องให้ต้องเดินเข้ามามองหน้าท่านประธานที มองออกไปนอกห้องที ก่อนจะออกปากถามด้วยความสงสัย
“มีอะไรคะ ทำไมคุณเป๊ปเปอร์หุนหันออกไปแบบนั้น”
คนโดนผู้หญิงงอนแต่บอกใครไม่ได้ได้แต่ยืนส่ายหน้า ไม่รู้จะบอกเลขาฯ อย่างไร เลยต้องปฏิเสธนิ่งๆ
“ไม่มีไรหรอกครับ...” อรรคฝืนยิ้มให้ลูกน้อง “ฝากคุณชุดาปิดห้องเลยละกันครับ ยังไงเจอกันวันจันทร์นะครับ” พูดจบชายหนุ่มก็ก้มหัวเป็นการล่ำลา ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายซักไซ้ใดๆ ทั้งสิ้น
ชุดายืนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น พึมพำอยู่คนเดียว
“อะไรกัน...ทำท่ายังกะแฟนตีกัน” พูดจบก็ยักไหล่ ก่อนจะสำรวจความเรียบร้อยในห้องทำงานของผู้เป็นนาย ปิดฟืนปิดไฟให้เรียบร้อยก่อนจะปิดประตูห้อง ทิ้งความสงสัยและสถานการณ์เมื่อครู่ไว้ในห้องนั้น
“ไม่รู้ละ...” เท้าบางแกว่งอยู่ในสระ ไม่ใช่สิ อ่างขนาดใหญ่ที่น่าจะจุคนได้ประมาณแปดคนที่ระเบียงห้องพัก ระหว่างเจ้าของเท้าโทร. บ่นความในใจกับเพื่อนที่สนิทที่สุดอย่างบรรพตี “ถ้าเขาคิดแบบนั้นจริง เขาก็ควรจะบอกไม่ใช่เหรอโบว์ มาทำแบบนี้ ...เรายิ่งสับสน ยังไงก็ควรพูดกันให้เป็นกิจจะลักษณะ ”
“แต่ฉันว่าชัวร์...” เสียงตามสายบอกแบบมั่นอกมั่นใจ “เปอร์...เขาโตกว่าเราตั้งเยอะ...ผู้ใหญ่เขาอาจจะไม่ต้องพูดกันก็ได้ปะวะ แบบมองตารู้ใจไรงี้... ”
“ก็อย่างที่บอก...ไม่ว่าจะอะไร เขาจะมาทำแบบนี้ไม่ได้...แกก็รู้ว่าคนเราเวลามันชอบใคร เขาทำอะไรด้วยหรือพูดอะไรด้วย เราก็คิดไปหมด...จนตอนนี้เราหัวปั่นไปหมดแล้ว” พชรหทัยบอกตามตรงตามประสา คนอื่นอาจจะคิดว่าพชรหทัยเป็นผู้หญิงเรียบร้อย ว่าง่าย แต่ภายใต้กิริยาก่อนหวานนั้นกลับมีคนมั่นใจในตัวเอง ดื้อเงียบ แล้วก็รั้นที่สุดซ่อนอยู่ ยิ่งถ้าสนิท เจ้าตัวยิ่งกึ่งอ้อนกึ่งบังคับให้คนรอบตัวทำอะไรตามใจหล่อนแบบเนียนๆ ได้เสมอ แถมหลายครั้งเจ้าตัวยังเซี้ยว แสบ และใจเด็ดแบบที่ใครก็คาดไม่ถึงอีกด้วย
บรรพตีเป็นคนเดียวที่หล่อนบอกเล่าความรู้สึกให้ฟังตามประสาเพื่อนสนิทว่า ตนเองน่าจะชอบ และอาจจะถึงขั้นตกหลุมรักท่านประธานรูปหล่อเข้าแล้ว
“ความรู้สึกมันมากขึ้นทุกวัน จนกำลังคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องกรี๊ดกร๊าดแบบเราชอบดาราแล้วอ้ะ” คนสวยประจำมหาวิทยาลัยนิ่วหน้า ตอนแรกหล่อนถูกใจ ชื่นชมเขาตามประสาเด็กสาว เห็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา โพรไฟล์ดี ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นอารมณ์เหมือนกรี๊ดดารา แต่กลับกลายเป็นว่าตลอดเวลาสามสัปดาห์ที่อยู่ใกล้ชิดกัน หล่อนกลับถลำหัวใจหลงเสน่ห์เขาไปโดยไม่รู้ตัว พานเก็บบางคำพูด บางการกระทำของเขามาฝันหวาน จนมาถึงตอนนี้ ต้องเตือนตัวเองให้ตั้งสติให้ได้ เพราะหากก้าวข้ามเส้นนี้ไป ถลำลึกไป ความรู้สึกเบื้องลึกของจิตใจคงกู่ไม่กลับ
“แกนี่นะ...” คนสนิทพึมพำบ่นแบบไม่เอาจริงเอาจัง “ไอ้นิสัยรักความสมบูรณ์แบบมันติดมายันเลือกผู้ชายเลยจริงๆ”
“เอ้า! แฟนนะ ไม่ใช่รองเท้า จะได้เลือกส่งๆ ได้” พูดทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจตัวเองว่าแม้แต่สิ่งที่ไม่ต้องใส่ใจที่สุดอย่างเช่นสำลีเช็ดหน้า หม่อมหลวงเป๊ะยังเลือกแล้วเลือกอีก จนปวรศาผู้เป็นแม่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเรื่องเยอะยังอดส่ายหน้าไม่ได้
“บางทีการกระทำมันก็สำคัญกว่าคำพูดนะเป๊ปเปอร์ ดูอย่างเรากับกรสิ เรียนรู้กันผ่านการกระทำมาตลอด”
“เรารู้” พชรหทัยถอนใจ “แต่เราก็อดคิดมากไม่ได้ ถ้าเขาชอบเราจริง เขาต้องกล้าพูดสิ”
“เป็นโบว์ โบว์ก็ไม่กล้า อายุห่างกันตั้งเยอะ แถมเปอร์เป็นเด็กฝึกงานของเขา เป็นลูกเจ้านายด้วย เป็นโบว์ โบว์ก็คงคิดหนัก”
“ก็เลยตัดสินใจไม่พูดแล้วจูบเราแทนเลยงั้นสินะ” พชรหทัยกลอกตาอย่างระอาความจริง “เขาทำจนเราเริ่มจะคิดอย่างที่ณะพูดแล้วว่าเขาหลอกเราให้เราหลง ให้เรายอม แล้วฮุบบริษัทคุณพ่อหรือเปล่า”
“อย่าไปฟังณะมากเลย เป๊ปเปอร์ แกเองควรรู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่ณะพูดเพราะมันกันท่าผู้ชายทุกคนที่เข้ามาจีบแก มันไม่ได้ ใครก็ต้องไม่ได้”
คราวนี้พชรหทัยได้แต่หัวเราะขื่นๆ ตั้งท่าจะชวนเพื่อนรักออกไปหาอะไรกินแก้เซ็งตามที่ณวัฒน์โทร. มาชวนตั้งแต่เมื่อบ่าย แต่เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นก่อน เรียกความสงสัยจากหญิงสาวได้ไม่น้อย...ไม่เคยมีใครมารบกวนแบบนี้ นอกจาก...ใจดวงเล็กๆ เต้นตึกตักไม่น้อย เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้แค่หนึ่งเดียวของคนที่น่าจะมาเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ
“โบว์ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ”
ตัดสายเพื่อนรักได้ พชรหทัยก็รีบลุกขึ้นจากระเบียงด้านนอก กึ่งวิ่งกึ่งเดินผ่านห้องรับแขกกว้าง เช็กหน้าผมตัวเองในกระจกบานใหญ่หน้าประตูเพนต์เฮาส์ ก่อนจะกดจอดูว่าคนที่มากดกริ่งห้องของหล่อนนั้นใช่คนที่คิดไว้หรือไม่ แต่แล้วหน้าสวยก็คลี่ยิ้มโดยไม่รู้ตัว สูดลมหายใจลึก ตีหน้านิ่งสนิท ก่อนเปิดประตูมองผู้ชายที่ยืนอยู่หน้ารถเข็นอาหารคันไม่เล็ก พชรหทัยเอียงหัวมองเขาสลับกับรถข้างๆ ด้วยความสงสัย
“นี่อะไรคะ”
“ก็พี่ชวนไปไหน เป๊ปเปอร์ก็ไม่ไป” ชายหนุ่มทอดเสียงอ่อน แววตาหวานระยับจนพชรหทัยใจเต้นรัว “ชวนทานอะไรเป๊ปเปอร์ก็ไม่ทาน พี่ก็เลยทำกับข้าวมาให้”
“ฮะ...” หญิงสาวเบิกตากว้าง “ทะ...ทะ...ทำกับข้าวเหรอคะ” ใครจะไปคิดว่าอย่างท่านประธานอรรคทำกับข้าว โดยเฉพาะทำกับข้าวมาอ้อนสาว...
“เป๊ปเปอร์หลบสิครับ เดี๋ยวหายร้อนแล้วไม่อร่อย...นี่ทำเสร็จพี่ก็รีบเข็นมาเลยนะ” อรรคไม่พูดพร่ำทำเพลง ตั้งท่าจะดันรถเข้าไปในห้อง แต่พชรหทัยกลับเอามือรั้งรถเข็นอาหารไว้
“เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยว...”
ชายหนุ่มหยุดตามที่บอก มองหน้าอีกฝ่าย ใจแป้วไม่น้อย “นี่มันอะไรกันคะ อยู่ดีๆ คุณอรรคจะมาทำเนียนแบบนี้ไม่ได้นะคะ” หญิงสาวยืนกราน ทำใจแข็ง จนคนตรงหน้าต้องยอมอ่อน
“ก็นี่แหละ จะมาคุยตามที่เป๊ปเปอร์ต้องการ ตอนนี้ขอเข้าไปก่อนนะครับ”
คราวนี้พชรหทัยปล่อยให้เข้ามาแบบงงๆ รอจนเขาเข้ามาเรียบร้อยจึงปิดประตู แล้วจึงเห็นว่าชายหนุ่มรีบเข้าไปจัดแจงโต๊ะอาหารเสียเรียบร้อยในเวลาแค่พริบตาเดียว ก่อนจะหันกลับมาเชื้อเชิญให้เจ้าบ้านอย่างหล่อนนั่ง หญิงสาวได้แต่ทำตามด้วยความงงงวยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“จะตอบได้หรือยังคะคุณอรรคว่านี่เรื่องอะไรกัน” สาวร่างบางนั่งลงในที่นั่งของตัวเอง มองหน้าคนที่เจ้ากี้เจ้าการเข้ามาทำอะไรแบบนี้
ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า เพราะดูท่าแล้วสาวน้อยของเขาน่าจะเป็นคนใจแข็ง ใจเด็ดพอควร เห็นสวยอ่อนหวานแบบนี้ก็เถอะ บทจะเอาเรื่องขึ้นมายังทำเขาอยู่ไม่เป็นสุขมาหนึ่งคืนกับหนึ่งวันเต็มๆ
“เป๊ปเปอร์ฟังพี่พูดให้จบก่อนนะ...” อรรครีบพูด ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการสารภาพรักจะตื่นเต้นและต้องใช้ความกล้าแบบนี้ มิน่าล่ะคนมากมายถึงเลือกที่จะเก็บความรักไว้เงียบๆ มากกว่าที่จะบอกออกไป...แต่ถึงแม้ว่าจะยากแค่ไหน เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้
“พี่ไม่อ้อมค้อมละนะ” ชายหนุ่มบอกสีหน้าจริงจัง
พชรหทัยได้แต่นิ่วหน้ากอดอกรอ นี่ขนาดไม่อ้อมค้อมยังมีพิธีกรรมอะไรมากมายกว่าจะเข้าเรื่องได้
“คือพี่...”
หนึ่ง...พชรหทัยเริ่มนับเลขช้าๆ ในใจ นึกรำคาญความขี้ขลาดของเขาขึ้นมาติดหมัด
“พี่ว่า”
สอง...
“ที่จริงแล้ว”
สาม หมดเวลา!
หญิงสาวตัดสินใจเปิดฝาครอบอาหารขึ้น เห็นเป็นลาซานญาหน้าตาน่ากินก็ยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะหยิบช้อนตักเข้าปาก จนอรรคถึงกับอึ้งไป ร้องห้ามให้เจ้าตัวมีสมาธิกับเขาแทบไม่ทัน
“เฮ้ย!...เป๊ปเปอร์ ฟังพี่พูดก่อนสิครับ”
หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็ยกช้อนค้าง เงยหน้ามองอรรคนิ่งๆ ไม่แสดงอาการว่าตัวเองก็ใจจดใจจ่อกับสิ่งที่เขาจะพูดมากแค่ไหน
“ก็คุณอรรคไม่พูดสักที อ้ำอึ้ง ปากหนักมาตั้งแต่เมื่อคืน...จนเปอร์หมดความอดทนแล้วนะคะ”
อรรคได้ยินแบบนั้นก็สูดหายใจอีกที เอาวะ!
“อย่าเพิ่งหมดครับ...คือพี่” ยัง...ยังพูดไม่ออก มือหนายกขึ้นห้ามตอนเห็นพชรหทัยตั้งท่าจะเคลื่อนช้อนเข้าปาก ละความสนใจจากเขาอีกหน เทไวน์ลงในแก้วตัวเองเกือบล้น ก่อนจะกระดกทีเดียวหมด ส่งผลให้หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันตาเห็น
พชรหทัยแทบจะหลุดขำ แต่ต้องเก๊กหน้านิ่ง เห็นอรรคหลุดมาดนิ่งๆ น่ารักดีเหมือนกัน ตาหวานกำลังสำรวจหน้าหล่อของเขา คิดว่าคงอีกพักใหญ่กว่าอีกฝ่ายจะเริ่มพูดเรื่องอะไรก็ตาม แต่กลับต้องชะงักไป และกลายเป็นฝ่ายหน้าแดงก่ำกว่าชายหนุ่มทันที
“พี่รักเรา...รักมาก หวงมาก” เมื่อเห็นว่าดึงความสนใจจากหญิงสาวได้แล้ว ชายหนุ่มก็เปิดปาก เปิดอก เมื่อกล้าพูด ทุกอย่างก็เริ่มไหลออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ “เมื่อวานพี่ถึงไม่พอใจเลยตอนเห็นเพื่อนเป๊ปเปอร์มาพิงเราแบบนั้น”
“พี่ขออนุญาตคุณชายกับคุณแม่เราแล้ว ดังนั้น...”
“อะ...อะไรนะคะ” พชรหทัยที่เหมือนจะได้สติขึ้นมาตอนที่อรรคบอกว่าคุยกับบุพการีของหล่อนละล่ำละลักถาม “คุณอรรคพูดเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่เหรอคะ” คนที่ควรจะตกใจเพราะประโยคบอกรักกลับแตกตื่นเพราะคำพูดที่อรรคบอกว่าเรียนเรื่องนี้ให้บิดามารดาหล่อนทราบเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ “ใช่สิ...พี่โตแล้ว แล้วพี่ก็ห่างกับเราเยอะ ทำอะไรพี่ก็ต้องคุยกับผู้ใหญ่ให้เรียบร้อย ไม่งั้นคุณชายจะมาหาว่าพี่ทำเจ้าชู้หลอกลูกสาวเขา”
“นี่คุณอรรคพูดจริงเหรอคะ นี่ไม่ได้ล้อเปอร์เล่นใช่ไหม”
อรรคถึงกับหน้าตึงเมื่อได้ยินหญิงสาวพูดแบบนั้น “ใครจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น”
สีหน้าจริงจังของอรรคทำเอาพชรหทัยกลืนน้ำลาย ก่อนจะเผลอยิ้มออกมา ใจเต้นตึกตัก ใครจะไปคิดว่าผู้ชายที่แอบกรี๊ดจะใจตรงกับหล่อน
“ค่ะๆ คุณอรรคพูดต่อสิคะ”
“ก็นั่นแหละ” คนโดนขัดเสียความมั่นใจไปนิดหนึ่ง เลยพานลืมบทที่เตรียมมา “พี่ก็ไม่รู้เขาต้องทำยังไงกัน เอาเป็นว่า...เราเป็นแฟนกันละกันนะ” คนอายุสามสิบห่างเหินการจีบสาวตามประสาวัยรุ่นมานาน นึกไม่ออกว่าต้องทำแบบไหนกับเด็กอายุสิบเจ็ด จึงรวบรัดตัดตอนอีกฝ่ายเอาทื่อๆ จนหม่อมหลวงคนสวยอ้าปากค้าง “ต่อไปนี้ห้ามไปยืนให้ผู้ชายที่ไหนกอดอีกล่ะ”
“บ้า ใครจะเป็นแฟนกับคุณอรรค พูดเองเออเองทุกอย่าง รู้ได้ไงคะว่าเปอร์ชอบคุณ” พชรหทัยปฏิเสธเสียงแข็งทั้งๆ ที่หน้าแดงก่ำไปหมด จนฝ่ายชายคลี่ยิ้มเพราะเดาอาการออกว่าอีกฝ่ายก็มีใจให้เขา ยิ่งตอนนี้ยิ่งชัดใหญ่
“ก็ถ้าเราไม่ชอบพี่...หน้าคงไม่แดงแบบนี้มั้ง”
หญิงสาวที่ไม่รู้จะจัดการกับอาการเขินอายของตัวเองอย่างไรได้แต่ถลึงตาใส่เขา วางช้อนหมายจะหนีหน้าไปให้พ้นๆ จากสถานการณ์กระอักกระอ่วน นึกเกลียดเขาขึ้นมาทันที นี่เห็นหล่อนเป็นข้อตกลงทางธุรกิจหรืออย่างไร ถึงไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่รวบรัดเข้าสู่ข้อสรุปแบบนี้
ร่างบางลุกพรวด ทว่าไม่ได้ไวไปกว่าอรรคที่ลุกขึ้นตามแล้วคว้าตัวพชรหทัยตวัดเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดทันที
“เอ๊ะ...คุณอรรคปล่อย!” หญิงสาวทุบอกเขาแรงๆ ทว่าชายหนุ่มไม่ได้นำพาใด กลับกระชับแขนแน่นขึ้น ได้โอกาสแล้วใครจะปล่อยให้หลุดมือไป
“ไม่ปล่อย...พี่ไม่ปล่อยเราออกไปจากชีวิตพี่หรอก”
“แต่เปอร์ยังไม่ได้ตกลงอะไรกับคุณอรรคนะคะ อย่ามารุ่มร่ามแบบนี้นะคะ”
อรรคไม่สนใจอะไรก็ตาม มือหนาเชยคางของอีกคนขึ้นให้สบตากันตรงๆ “มองตาพี่ดีๆ แล้วบอกสิว่าเราไม่ได้คิดตรงกัน” ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าควรรุกอีกฝ่ายแบบไหน แต่ประสบการณ์การอ่านคนของเขาก็ยังแม่นยำ ไม่มีพลาด แล้วไหนจะดวงตาเปิดเปลือยความรู้สึกของหญิงสาวในอ้อมแขนอีก ทำให้ชายหนุ่มวัยสามสิบกระชุ่มกระชวยไม่น้อย
“ปล่อยเปอร์ค่ะ”
“ไม่”
“ปล่อย”
“ไม่”
“ทำไมคุณอรรคพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้” พชรหทัยนิ่วหน้า หัวเสียที่สุด โดนเขาจับไต๋ได้ไม่พอ ยังมาถูกเขากอดไว้แบบนี้อีก ร่างบางพยายามดิ้นรนสุดความสามารถให้พ้นจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย
“อยากให้รู้เรื่องก็ตอบพี่มาก่อนว่าเราใจตรงกันใช่ไหม” หน้าหล่อลดระดับลงจนหญิงสาวต้องขืนตัวหนี เอามือดันอกเขาไว้ไม่ให้อรรคคุกคามได้มากกว่านี้ ใช้สายตาข่มขู่เขาไว้ แต่ไม่ค่อยได้ผล นึกโมโหตัวเองเพราะปกติหล่อนนี่ละตัวกล่อมคนให้ทำตามใจอยาก ทำไมแค่เขามองตาวาววับแค่นี้ก็อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟแล้ว
“อย่านะคะ”
“ก็ตกลงยังไงล่ะ พี่ปล่อยไปเราก็วิ่งหนีขึ้นห้องแน่ๆ” คราวนี้พชรหทัยไม่ยอมให้ชายหนุ่มกักกอดไว้ บิดตัว ออกเต็มแรง ขู่เขาทั้งๆ ที่ก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือเสือโหยคนนี้ไหม
“แต่ถ้าไม่ปล่อย เปอร์จะไม่เจรจาอะไรกับคุณอรรคทั้งนั้น ต่อให้กอดไว้แบบนี้ เปอร์ก็ไม่เปิดโอกาสให้คุณอรรคเป็นแฟนเปอร์แน่ๆ”
อรรคได้ยินแบบนั้นก็ยอมคลายแขนออกนิดหนึ่ง ทั้งๆ ที่มั่นใจว่ามองไม่พลาดว่าพชรหทัยก็มีใจกับเขา แต่กันไว้ดีกว่าแก้ เกิดเจ้าตัวดื้อแพ่งทำให้เรื่องยุ่งยากออกไปอีก จะพานทำให้เขาร้อนใจไปเปล่าๆ แค่นี้เขาก็หืดขึ้นคอแล้ว แขนกว้างยอมผ่อนแรงรัดออก
อีกฝ่ายรีบกระเด้งตัวออกจากการควบคุมของเขา หน้าแดงก่ำ ทั้งเขิน ทั้งวาบหวามไปกับสัมผัสใกล้ชิดแบบถึงตัวของอีกฝ่าย อยากกระโดดมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมที่มีโต๊ะอาหารคั่น หลีกหนีจากชายหนุ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อรรคกลับไวกว่า กระชับแขนแน่นรัดตัวหญิงสาวไว้
“ว่าไง ตกลงตอบได้หรือยังครับ ถ้าจะยังดื้อไม่ตอบ พี่ก็ไม่ว่าอะไรนะที่จะนั่งกอดเป๊ปเปอร์แบบนี้ทั้งคืน” ชายหนุ่มยิ้มพราย กดหอมลงบนแก้มใสอย่างถือสิทธิ์ ดูอาการแล้วเดาไม่น่าพลาดว่าคนตรงหน้าคิดแบบไหนกับเขา ใจชื้นไม่น้อยว่าอย่างน้อยก็ใจตรงกัน คงทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้น จากที่เตรียมใจว่าต้องลงแรงจีบให้อีกฝ่ายใจอ่อน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะโชคดีไม่น้อย
“คุณอรรคจะมาคาดคั้นอะไรกับเปอร์คะ...” หน้าสวยแดงก่ำ นี่ขนาดยังไม่ตกปากรับคำ หล่อนโดนไปแล้วสองจูบ หนึ่งหอม กับโดนกักตัวไว้บนตักแบบนี้ นี่ถ้าเป็นแฟนกับเขาจริงๆ หล่อนจะเหลืออะไรไหมเนี่ย
“โธ่...เป๊ปเปอร์ ถ้าใจตรงกันก็ตกลงกันมาเถอะ พี่รู้ว่าเดี๋ยวเราก็ต้องไปเรียนต่อ จะมาเสียเวลาดึงเชงกันทำไม สู้ใช้เวลาที่มีให้มีความสุขด้วยกันดีกว่านะครับ”
พชรหทัยถึงกับขมวดคิ้วเพราะตรรกะของเขา แอบนึกอยากมีโมเมนต์จีบกัน ออดอ้อนกันแบบคู่รักอื่น แต่สงสัยผู้ชายของหล่อนคงแก่เกินวัยที่จะทำอะไรแบบนั้น
“นี่ไม่ใช่ธุรกิจนะคะ...”
“ใช่...แต่บางอย่างเราก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไม่ใช่หรือไง...เราเองก็อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่คิดยังไง ในเมื่อจะให้พี่แฟร์กับเรา เราก็ต้องแฟร์กับพี่ด้วย ถูกไหมครับ”
คำพูดตอกกลับของอรรคทำเอาหม่อมหลวงคนสวยชะงัก จริงอย่างที่เขาว่า ว่าตัวเองก็ใช้ความเงียบ ความงอนกดดันให้เขาเปิดปากพูด แต่พอถึงคราวตัวเองบ้างจะไม่ยอมปริปากอะไรเลยก็คงเป็นการไม่ยุติธรรมกับอีกฝ่าย
“ว่าไงครับ ตกลงเราใจตรงกันไหม”
คนสวยยอมพยักหน้าเขินๆ แต่ก้มหน้างุด ไม่เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย ซึ่งอรรคก็เข้าใจอาการของคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี จึงไม่อยากกดดันอะไร แต่ตัวเองกลับหุบยิ้มบนหน้าไม่ได้ ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม รื่นรมย์ไปหมดทุกสิ่งอย่าง จนหม่อมหลวงพชรหทัยที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นเขายิ้มเหมือนคนเมายาขนาดนั้นก็อดออกปากไม่ได้
“ยิ้มอะไรหนักหนาคะคุณอรรค! หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
“เอ้า! ก็พี่มีความสุข จะมาห้ามไม่ให้พี่ยิ้มได้ยังไง” ชายหนุ่มยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย อยากจะแกล้งมากกว่านี้ก็กลัวอีกฝ่ายจะเตลิดหนีไปไกล “เอาเป็นว่าเราเป็นแฟนกันแล้วนะ เป๊ปเปอร์จำไว้ด้วยละกันว่าอย่าไปยืนให้ผู้ชายที่ไหนพิงแบบนั้นอีก แฟนพี่ พี่หวง”
หญิงสาวได้แต่มองค้อน แต่ลุกขึ้นเพื่อเติมไวน์ให้เขาเป็นการเอาใจ หลังจากรู้สึกได้ว่าเขาคลายแขนออก ตั้งใจจะใช้ช่วงเวลานี้หนีไปนั่งไกลๆ เขา แต่อรรคก็ไม่ปล่อยให้หญิงสาวห่างตัวนาน เพราะทันทีที่พชรหทัยวางขวดไวน์ลง ชายหนุ่มก็ตวัดแขนรั้งแฟนสาวนั่งลงบนตักทันที
“รู้เรื่องแล้วก็ปล่อยเปอร์ค่ะ หิวแล้ว จะทานข้าว” คนตัวบางดิ้นให้เขาปล่อย แต่ยิ่งขยับกลับทำให้บางอย่างในตัวอรรคลุกโชนขึ้น จนคนที่ทั้งหลงทั้งรักเด็กสาวแสนสวยอดใจไม่ไหว ประกบริมฝีปากแดงก่ำขบเม้มแผ่วเบาก่อนจะล่วงล้ำเข้าสัมผัสความหวานล้ำ มือหนาเลื่อนขึ้นรั้งท้ายทอยไว้ไม่ให้หญิงสาวถอยหนี แล้วก็ต้องยิ้มกริ่มทั้งๆ ที่ปากประกบกันอยู่ เมื่อพชรหทัยพยายามจูบตอบเลียนแบบสิ่งที่เขาทำไปเมื่อครู่นี้ จนอรรคอดครางในลำคอเพราะความหัวไวของแฟนสาวไม่ได้...นี่จะเก่งทั้งในห้องเรียนทั้งในห้องนอนเลยใช่ไหม
ชายหนุ่มดูดดื่มกับความรักแสนหวานได้อีกแค่นิดหน่อยก็จำต้องตัดใจ เพราะไม่อย่างนั้นเขานี่ละจะยั้งตัวเองไม่ไหว จัดการลูกสาวเจ้านายแทนอาหารเย็น เมื่อคิดดังนั้นท่านประธานรูปหล่อก็ถอนหน้าออก มองคนสวยที่หลับตาพริ้ม ทิ้งหัวซบบ่าเขาอย่างน่าเอ็นดู
“หัวใจจะวาย”
เสียงหวานแผ่วพร่าดังขึ้นที่ซอกคอ ทำเอาอรรคหัวเราะจนตัวโยน เอ็นดูคนบนตักมากขึ้น นึกไม่ถึงว่าคนคนหนึ่งจะรู้สึกอะไรกับอีกคนหนึ่งได้มากเช่นนี้ อยากบอกคนคนนี้เหลือเกินว่าเขานี่ละหัวใจจะวาย ไม่ใช่หล่อนหรอก
“ขำอะไรคะ ล้อเลียนเปอร์แบบนี้ วันหลังไม่ต้องมายุ่ง” คนตัวบางเห็นเขาขำเสียงดังแบบนั้นก็อดอายไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าเมื่อครู่ตอบสนองเขาไปมากแค่ไหน ตั้งท่าจะลุกขึ้นจากตักกว้างที่อาศัยนั่งมาพักใหญ่ แต่อรรคกลับยิ่งกระชับกอดแน่นขึ้น
“ไม่ยุ่งกับเป๊ปเปอร์แล้วจะยุ่งกับใครครับ พี่จะยุ่งกับเป๊ปเปอร์ทั้งวันทั้งคืนเลยละ ยุ่ง ยุ่ง ยุ่งจนแฟนพี่รำคาญเลยละ” พูดจบก็ระดมจูบทั่วหน้าเนียนผ่อง เอาไรหนวดถูไถผิวใสจนเกิดรอยแดงเต็มไปหมด รอก่อนเถอะ อีกหน่อยเขาจะทำให้เกิดรอยอย่างอื่นเต็มตัว
คราวนี้คนสวยเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาวับวาวซุกซนไม่ต่างกัน พลางหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้
“พูดแล้วห้ามคืนคำนะคะ ถ้าวันไหนทิ้งเปอร์ให้เหงา เปอร์เอาคุณอรรคตายแน่” พชรหทัยพูดพาซื่อ
อรรคยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก ก่อนพูดจาสองแง่สองง่ามใส่เด็กที่ท่าทางยังไม่รู้ความ มีแต่แววตาที่พราวระยับผิดปกตินั่นละที่ทำให้หญิงสาวหนาวๆ ร้อนๆ
“เอาให้พี่ตายเลยครับ พี่ยอม”
ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วตั้งแต่พชรหทัยกับอรรครับรู้ว่าทั้งคู่มีความรู้สึกตรงกัน แต่ทั้งด้วยงานที่วุ่นๆ ของฝ่ายชายกับเวลาที่หญิงสาวต้องทำรายงานความคืบหน้าของการฝึกงานส่งให้ทางมหาวิทยาลัย ทำให้ช่วงเวลาที่ควรหวานกลับยุ่งวุ่นวายพิลึก มีเพียงการทำงานร่วมกัน กินอาหารร่วมกันเหมือนเดิม ไม่มีกิจกรรมพิเศษใดๆ แบบคู่รักพึงจะทำ จนเย็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ทั้งคู่ถึงได้ผ่อนคลายความรับผิดชอบลงบ้าง
“เป๊ปเปอร์ ตกลงพรุ่งนี้ไปงานกับพี่นะครับ” ระหว่างทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบโต๊ะทำงานของหญิงสาว ชายหนุ่มออกปากชวนอีกฝ่ายไปงานวันเกิดคุณป้าของเขา ซึ่งหญิงสาวได้รับบัตรเชิญเป็นการส่วนตัวตามที่เจ้าตัวบอกไว้ตั้งแต่คราวที่พบกันในงานเลี้ยงสถาบันการเงิน ก่อนจะเชยหน้าสวยให้สบตาเขาแล้วจูบเบาๆ โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขืน
“เปอร์ไม่อยากไปเลยค่ะ ไม่รู้จักใคร คุณอรรคไปแล้วค่อยกลับมาอยู่ด้วยกันได้ไหมคะ” หญิงสาวบอกตามตรง ยิ้มหวานอ้อน แต่สายตากลับจับจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังอัปเดตรายงานที่ต้องส่งให้อาจารย์ หลังจาก ที่เข้าไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่อวาน และมีประเด็นให้แก้ไขเพิ่มเติม
“พี่ก็ไม่อยาก แต่จำเป็น นะๆ ไปด้วยกัน รีบไปแล้วเราก็รีบออก หาอะไรอร่อยๆ ทานกัน อย่างน้อยพี่มีเป๊ปเปอร์ไปด้วยคงไม่เหงา” ชายหนุ่มบอกตามตรง ถึงแม้ว่าท่านผู้หญิงอัญชนาจะเป็นญาติผู้ใหญ่สายเลือดเดียวกันเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยากผูกสมัครรักใคร่ บางอย่างก็ทำไปตามมารยาทเท่านั้น
“พูดอะไรแบบนั้นคะ นั่นญาติคุณอรรคทั้งนั้น จะมาเหงาอะไร เปอร์ต่างหาก ไปก็ไม่รู้จักใครสักคน เคว้งคว้างแย่”
“น่าาา คนดีของพี่ เชื่อพี่เถอะว่าเราเคว้งคว้างไม่ต่างกัน” ชายหนุ่มไม่บอกเหตุผลใดๆ ว่าทำไมเขาเองก็ไม่มีความรู้สึกผูกพันกับญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ มือหนาคว้ามือบางมาจากคีย์บอร์ด ยกขึ้นจูบเบาๆ “เอาเป็นว่าไปกับพี่นะครับ อย่างน้อยเราก็จะได้ใช้เวลาด้วยกันบ้าง วีกนี้อยู่กันแต่ที่ทำงาน แล้วเดี๋ยวเสร็จจากงานบ้านคุณป้าพี่พาไปหาอะไรอร่อยๆ ทาน เสร็จแล้วเราหาหนังมานอนดูที่ห้องกันนะ” เสียงทุ้มออดอ้อน
คนไม่เคยมีแฟนใจอ่อนเพราะทั้งน้ำเสียงทั้งแผนการใช้เวลาด้วยกันที่เขาเอ่ย ยอมพยักหน้าตามใจอีกฝ่ายทันที
“งั้นพี่รีบออกไปหาลูกค้าก่อน ยังไงเดี๋ยวเสร็จแล้วโทร. หานะครับ” อรรคขโมยหอมจากแก้มเด็กฝึกงานของเขาไวๆ ก่อนจะรีบออกจากห้องทำงานด้วยความว่องไว เพราะทั้งมีนัดสำคัญ ทั้งกลัวอีกฝ่ายจะรวนที่เขาแอบแต๊ะอั๋ง แบบที่ชอบทำทุกวัน ตอดเล็กตอดน้อยไปเรื่อยเท่าที่โอกาสจะอำนวย
หม่อมหลวงพชรหทัยก็ได้แต่ค้อนพร้อมรอยยิ้มทุกครั้ง นึกแค้นใจว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยทันเขาสักที แต่ก็อดยิ้มเพราะความหวานชื่นเล็กๆ น้อยๆ ที่กำลังถักทอขึ้นระหว่างเขากับหล่อนไม่ได้ นึกดีใจที่ชีวิตตัวเองสมหวังราบรื่นไปเสียทุกอย่าง
พชรหทัยนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศของอรรคอีกนาน จนเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็พบว่าเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว หญิงสาวบิดเนื้อตัวคลายความเครียดของกล้ามเนื้อเล็กน้อย แต่ก็แทบหายเหนื่อยเพราะรู้ดีว่างานที่นั่งหลังขดหลังแข็งทำอยู่นั้น หากผ่านก็หมายถึงหล่อนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างแน่นอน
สาวหน้าสวยยิ้มกับตัวเองน้อยๆ เมื่อนึกถึงความสำเร็จอันใกล้ ก่อนจะจัดการส่งไฟล์งานให้อาจารย์ ปิดอุปกรณ์ทุกอย่างก่อนจะตรวจความเรียบร้อยในห้องทำงานโอ่โถงอีกครั้ง แล้วจึงอัญเชิญตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องพักหรูหรา หลังจากหาอาหารง่ายๆ ใส่ท้อง อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดนอนบางเบาพร้อมเสื้อคลุมเข้าชุดกัน คว้าหนังสือเล่มที่ไม่ค่อยเห็นใครอ่านกันในยุคสมัยนี้ติดมือมาพร้อมผ้าห่มผืนบาง ก่อนจะซุกตัวลงอ่านวรรณกรรมตะวันตกเล่มโปรด แต่เปิดอ่านไปได้ไม่เท่าไร กริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น
หญิงสาวกระชับสาบเสื้อคลุมชุดนอนเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่าคนที่มาหาเวลาค่ำมืดดึกดื่นแบบนี้คงไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากอรรค นึกหงุดหงิดเขาที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลาแบบนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็อดตื่นเต้นที่เขาแวะมาหาไม่ได้
“ว่าไงคะ มาซะดึกเชียว” หม่อมหลวงพชรหทัยแง้มประตูห้องนิดๆ คุยกับชายหนุ่มรูปหล่อที่ยกถุงขนมถุงใหญ่โชว์หรา ล่อเด็กดีของเขา
“พี่เอาเค้กมาให้ ร้านที่เป๊ปเปอร์ชอบไงครับ” อรรคยื่นถุงเบเกอรีให้หญิงสาวที่โผล่ออกมาแต่หน้า ขมวดคิ้วนิดๆ แต่พอเห็นถุงขนมร้านโปรดหญิงสาวก็ยิ้มหวานออกมาตามประสาเด็ก
“ใจดีที่สุด” พชรหทัยอดปากหวานใส่ชายหนุ่มไม่ได้พลางแง้มประตูกว้างขึ้นรับของจากเขา “คุณอรรคอยู่ทานด้วยกันไหมคะ เดี๋ยวเปอร์ชงกาแฟให้ หรือจะเป็นชาก็ได้นะคะ ดึกแล้วเผื่อคุณอรรคจะนอนไม่หลับ”
เมื่อสิ่งที่หวังไว้ในหัวเป็นไปอย่างที่คิด ท่านประธานวัยสามสิบก็อดยิ้มกริ่มไม่ได้ แต่ยังรักษาอาการในหน้าอย่างดี พยักหน้าหล่อน้อยๆ ก่อนจะเดินตามคนสวยเข้าไปในห้องพักของอีกฝ่าย จริงๆ เขาเหนื่อยจะตาย แต่ด้วยความคิดถึง อยากเห็นหน้าสักนิด หอมสักหน่อยก่อนนอนคงทำให้เขาลืมเรื่องเครียดๆ ได้ทันตาเห็น
“คุณอรรครอแป๊บนะคะ ขอเปอร์ไปเปลี่ยนชุดแป๊บนึง” หญิงสาวไม่รอคำตอบจากเขา แต่วิ่งดุ๊กๆ ขึ้นชั้นสองไปจัดการตัวเอง ทิ้งให้เขารอไม่ถึงห้านาทีก็กลับลงมาในชุดอยู่บ้านง่ายๆ ก่อนจะปรี่ไปกดกาต้มน้ำ แล้วหยิบดอกคาโมไมล์ออกมาใส่กาน้ำชาเงินแท้ จัดแจงทั้งขนมทั้งเครื่องดื่มใส่ถาดอยู่พักใหญ่ แล้วยกมาบริการชายหนุ่ม อรรคก็รีบเข้ามาช่วยคนตัวบางจัดการน้ำชารอบดึกแสนหวาน
“มาครับ พี่ยกให้” ฝ่ายชายอาสารับของจากพชรหทัยไปวางยังโต๊ะรับแขกที่หญิงสาวใช้อ่านหนังสือเมื่อครู่
เจ้าของบ้านพับผ้าห่มให้เป็นระเบียบ ก่อนจะรินชาให้อีกฝ่าย ดูแลคนที่ชื่อว่าเป็นแฟนด้วยกิริยาน่าเอ็นดู
“คาโมไมล์นะคะ ดื่มแล้วผ่อนคลาย ตาไม่ค้าง คุณอรรคจะได้พักผ่อนได้ เปอร์ว่ามันเข้ากับชีสเค้กได้เป็นอย่างดีด้วยค่ะ” ปากเล็กๆ ขยับบรรยายให้ชายหนุ่มฟัง โดยไม่รู้เลยว่าสายตาของชายหนุ่มจับจ้องอยู่ที่กระจับปากสีแดงก่ำ อยากจะลิ้มลองอีกสักทีว่าจะหวานชวนชื่นใจกว่าขนมตรงหน้าไหม ลองมาหลายที่ แต่ก็อยากชิมเสียทุกครั้งที่เห็นหน้า
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยิ้มนิดๆ พลางนึกอ่อนใจ ไม่รู้ว่าตัวเองจะอดทนไม่ขย้ำเป๊ปเปอร์ไปได้อีกสักกี่น้ำ ก็เนื้อหอมๆ กระดูกอ่อนๆ มันลอยยั่วอยู่ตรงหน้า ล่อให้เขาเคี้ยวไม่ให้เหลือซากขนาดนี้ “ว่าแต่ทำไมยังไม่นอน นี่พี่ยังนึกว่าจะต้องเอาไปแช่เย็นไว้ห้องพี่ก่อนแล้วนะครับเนี่ย”
“เปอร์เพิ่งขึ้นมาตอนสามทุ่มกว่าเองค่ะ” หญิงสาวบอกยิ้มๆ ตักขนมร้านโปรดเข้าปากติดกันหลายครั้ง และชะงักเมื่ออรรคยื่นมือมาใช้นิ้วเกลี่ยครีมที่ติดริมฝีปากให้อย่างอ่อนโยน
“ทานดีๆ สิ เลอะหมดแล้ว”
พชรหทัยหน้าแดงซ่าน แต่ก็พยักหน้ารับคำเขาพร้อมหยิบทิชชูซับปาก “เอ่อ...หมดยังคะ” หล่อนหมายถึงคราบขนมที่ติดอยู่ที่ริมฝีปาก
ชายหนุ่มไม่ตอบ ลุกขึ้นเดินมาหยุดยืนข้างหญิงสาว ก่อนจะโน้มตัวลงเล็มริมฝีปากอย่างแผ่วเบาราวกับจะให้สัมผัสจากเขาเช็ดรอยเปื้อนให้ แล้วก็เป็นอย่างที่พชรหทัยคาด เมื่ออรรคได้เริ่มก็คงไม่หยุดง่ายๆ เพราะชายร่างหนาดึงตัวเธอให้ลุกขึ้น รวบตัวหล่อนขึ้นอุ้มก่อนจะผ่อนให้นั่งลงที่โซฟาไม่ห่างจากโต๊ะรับแขกเมื่อครู่ โดยที่ปากยังไม่ห่างจากกัน อีกฝ่ายก็เอื้ออำนวย ไม่ห้ามปรามแถมยังยอมเปิดปากให้อีกฝ่ายรุกเร้าเข้าสัมผัสความหวานอย่างดิบดี จนจูบแผ่วเบากลายเป็นร้อนแรงดุดัน พานให้ชายหนุ่มเนื้อเต้น
“เป๊ปเปอร์น่ารักแบบนี้ เดี๋ยวพี่ก็ใจแตกพอดี” มือหนาลูบไล้ไปทั่วเนื้อตัวสวยที่สั่นนิดๆ ยอมละริมฝีปากออกจากหญิงสาว เพราะรู้ดีว่าคลุกวงในต่อไปแบบนี้มีหวังเขาโดนข้อหาพรากผู้เยาว์แน่ๆ
“ไม่ชอบเหรอคะ ถ้าคุณอรรคไม่ชอบ...” เสียงหวานติดจะแง่งอน ขืนตัวออกจากเขาเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้มกริ่มเพราะเสียงทุ้มอ่อนหวานจนพชรหทัยแทบละลาย มาดผู้ชายดุ เอาจริงเอาจังเนี้ยบกริบไปทุกกระเบียดนิ้วหายวับไป เหลือแต่ดวงตาวับวาว ผมยุ่งๆ เพราะคลุกวงในกับหล่อนเสียใกล้ชิด
“ชอบสิครับ ชอบมาก รักมาก หวงมากด้วย” อรรคมองหน้าคนตรงหน้า ทั้งรักทั้งหลง นี่ถ้าถึงวันที่อีกฝ่ายต้องไปเรียนต่อจริงๆ เขาจะทำอย่างไรไม่ให้เจ้าตัวลืมเขา ทิ้งเขา ยอมรับในใจว่าเขาจริงจังกับคนคนนี้มากแค่ไหน “อย่าน่ารักแบบนี้กับใครนะครับ”
อรรคถึงกับคำรามเมื่อพชรหทัยยกแขนโอบรอบคอเขาไว้แทนคำตอบ รั้งหน้าเขาลงต่ำให้สัมผัสแนบชิดกับหล่อนมากขึ้น “เฮี้ยวใหญ่แล้วนะเรา” อรรคปรามยิ้มๆ แต่ตอบรับกิริยาน่ารักด้วยกับจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากอีกที
“คุณอรรคก็ห้ามไปกูดไนต์คิสสาวๆ แบบนี้ที่ไหนนะคะ” พชรหทัยออกคำสั่งบ้าง หล่อนเองก็หวั่นใจไม่ต่างจากเขาหรอก รู้ดีอยู่แก่ใจว่าในระยะเวลาอันใกล้หล่อนก็ต้องห่างจากเขาไปเรียน ไม่มีทางรู้เลยว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ใกล้กันนั้นชายหนุ่มจะไปหลงรักใครอีกหรือไม่ และความหวาดหวั่นนั้นก็แสดงออกผ่านแววตาอย่างชัดเจนจนอรรคสัมผัสได้ จึงลูบหัวหญิงสาวเบาๆ ด้วยความรัก ปลอบประโลมให้อีกฝ่ายเกิดความมั่นใจ
“ไม่มีหรอก ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเป๊ปเปอร์ครับ”
“แล้วตอนเปอร์ไปเรียนต่อ ห้ามไปหวั่นไหวกับใครที่ไหนนะคะ” หญิงสาวขอคำสัญญาจากเขา คนตัวโตที่ตระกองกอดหล่อนไว้ รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายก็กลัวไม่ต่างกัน
“เรานั่นแหละอย่าไปหลงเสน่ห์หนุ่มที่ไหนละกัน เก็บตัวเก็บใจไว้ให้พี่คนเดียว รู้ไหม”
“คุณอรรคนั่นแหละ เปอร์ต้องไปเรียนอีกตั้งสี่ปี จะรอไหวเหรอคะ ถ้าจะทิ้งกันบอกกันก่อนนะ เปอร์จะได้ตั้งตัวทัน”
ชายหนุ่มได้ยินแบบนั้นก็ละมือมากระชับกอดคนสวยแน่นอีกครั้ง รู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องที่คิดที่รู้สึกกันอยู่นั้นน่ากลัวจริงๆ
“ทำไมจะรอไม่ไหว พี่น่ะโตแล้วนะครับ ไม่ได้ตัดสินใจทำอะไรตามอารมณ์อย่างเดียว พี่คิดหน้าคิดหลัง คิดเยอะ” อรรคบอกน้ำเสียงจริงจัง “คิดดีแล้วด้วยว่าจะรักเป๊ปเปอร์คนเดียวไปจนวันตาย ดังนั้น กะอีแค่สี่ปีกับเวลาที่เหลือทั้งชีวิตของเรา พี่รอได้ครับ”
พชรหทัยได้ยินคนรักบอกแบบนั้นก็ยิ้มกว้าง ใจชื้นขึ้นเยอะ แต่ก็อดจะกระเซ้าเขาไม่ได้ ตามประสาหากสนิทกับใครแล้วก็จะขี้เล่น ออดอ้อน ซุกซนใส่เสมอ
“แต่จะว่าไปเปอร์ก็แอบเสียดายนะคะ อายุสิบเจ็ดมีแฟนคนแรก แล้วต้องหยุดที่คุณอรรคเลย ไม่มีประสบการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เสียเปรียบคุณอรรคชะมัด ผ่านมาแล้วตั้งกี่คน” ตาหวานมองชายหนุ่มที่ขมวดคิ้วมุ่น มองหน้าหล่อนแบบไม่สบอารมณ์ จึงนึกสนุกอยากแกล้งคนตัวโตให้หลุดมาดมากขึ้นไปอีก “เอาแบบนี้ไหมคะ ตอนเปอร์ไปเรียนคุณอรรคปล่อยเปอร์ไปหาประสบการณ์ก่อน แล้วกลับมาเราค่อยมาคบกันใหม่”
พูดจบคนขี้แกล้งก็โดนกดหอมแรงๆ ที่แก้มกับอีกหนึ่งจูบดูดดื่มเป็นการลงโทษ ก่อนจะโดนปรามเสียงเหี้ยม
“อยากได้ประสบการณ์เรื่องอะไรบอก ไม่ต้องคิดจะไปหาจากไหนนะ พี่จะเทรนให้เป๊ปเปอร์เอง”
ความคิดเห็น |
---|