2
หลงรัก
“อรรค อรรคคะ” เสียงที่ดังมาตามสายปลุกหนุ่มหล่อวัยสามสิบออกจากภวังค์ตรงหน้า นึกอ่อนใจกับตัวเองมากขึ้นทุกที ที่เห็นหม่อมหลวงพชรหทัยทีไรเป็นอันต้องใจลอยเสียงานเสียการ เหมือนคนไม่มีสติ ทั้งๆ ที่ทีแรกคิดว่าแค่ชอบมองตามประสาผู้ชายเห็นผู้หญิงสาวๆ สวยๆ แต่นี่นับวันยิ่งหนักข้อเข้าไปใหญ่ จนชายหนุ่มเองเริ่มใจสั่นว่า จะเอายังไงกับตัวเองดี หากอาการยังเป็นแบบนี้คงไม่ดีแน่ๆ เพราะหญิงสาวตรงหน้านอกจากจะยังเรียนไม่จบ และอายุน้อยกว่าเขาถึงสิบสามปี อีกฝ่ายยังเป็นลูกสาวสุดสวาทขาดใจของเจ้าของบริษัทที่เขารับจ้างบริหารอยู่อีกด้วย
“เอ่อ...ครับอร โทษทีผมยุ่งๆ” ชายหนุ่มขยับตัวเรียกสติ ทั้งที่ไม่ได้ใส่ใจกับงานบนโต๊ะเลย มัวแต่เหม่อมองสาวมาจะครึ่งชั่วโมงแล้ว “อรพูดอีกทีได้ไหมครับ เมื่อกี้ผมได้ยินไม่ถนัดเลย”
“อรบอกว่าคลาสพิเศษที่อรรคมาสอน คนลงชื่อล้นเลยค่ะ ใครๆ ก็อยากฟังท่านประธานรูปหล่อ” ฝ่ายโน้นก็เจื้อยแจ้วอย่างมีความสุขที่หาทางเข้าใกล้เขาได้มากกว่าเพื่อนในกลุ่ม “นี่คณบดียังมาขอบคุณอรเป็นการส่วนตัว บอกว่าทางคณะพยายามติดต่ออรรคมานานมาก แต่เลขาฯ คุณไม่ยอมรับนัด แต่พออรคุยให้กลับได้วันเลย” เสียงหวานบ่งบอกถึงความภูมิใจ ที่คนอื่นมองว่าหล่อนมีความสำคัญกับอรรคถึงขนาดยอมปลีกตัวมาบรรยายให้นักศึกษาได้ฟัง
“สำหรับอร ยังไงก็ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบแบบไม่ได้คิดเป็นอื่น เพราะอีกฝ่ายคือเพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกันมานาน เป็นหนึ่งในคนไทยไม่กี่คนที่เขารู้จักตอนอยู่ต่างประเทศ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ตีความเลยเถิดไปแล้วว่าเป็นเพราะตนเองเป็นคนพิเศษ ชายหนุ่มเลยยอมทำอะไรเป็นพิเศษให้
“ว่าแต่อรรคส่งสไลด์ที่จะใช้บรรยายมาก่อนไหม อรจะได้ส่งลิงก์ให้เด็กๆ โหลดอ่านเตรียมตัวก่อนฟังอรรคบรรยาย” หญิงสาวยังหาเรื่องคุยไปเรื่อย หลายปีแล้วที่หล่อนตกหลุมรักเขา แต่ก็เข้าใกล้เขาได้มากสุดแค่ในฐานะเพื่อนสนิทที่ไม่เคยมีกิริยาหรือแนวโน้มจะพัฒนาไปเป็นอย่างอื่น จะดีหน่อยตรงที่ว่าอรรคเองก็ไม่เคยมีแฟนคบใครเป็นเรื่องเป็นราวให้หล่อนต้องอกหักซึ่งๆ หน้า จะมีก็แต่คนที่พอรู้มาบ้างว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบไม่จริงจังโผล่มาแวบๆ แล้วก็ไป ซึ่งอิงอรก็ยังพอทำใจได้ ตราบใดที่ยังไม่มีใครครอบครองอรรคทั้งตัวและหัวใจ
“ผมว่าจะแชร์ประสบการณ์ตอนทำแบงก์ที่โน่นกับตอนกลับมาทำที่วิริยะทรัพย์เฉยๆ ก่อนอ้ะสิ ยังไม่อยากลงดีเทลวิชาการมาก” ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ไหนอรบอกว่ามีบรรยายแบบนี้อีกสองครั้ง ผมเลยว่าจะเก็บเรื่องหนักหัวไว้ทีหลัง”
“เอางั้นก็ได้ แล้วแต่อรรคค่ะ”
“งั้นถ้าไม่มีไรแล้วไว้คุยกันนะครับ” ชายหนุ่มขอตัวอย่างสุภาพ เรียกสติกลับมาที่เรื่องสอนหนังสือ เลิกมอง หญิงสาวที่ทำลายสมาธิเขา ฮึ่ย! รู้งี้ให้นั่งที่อื่นก็ดี
ส่วนหม่อมหลวงคนสวยที่นั่งทำงานที่ได้รับมาจากครูสอนงานรูปหล่อก็ไม่ได้ดีไปกว่าอีกฝ่ายเลย รับรู้ตลอดเวลาว่ามีสายตาคมกริบของอีกฝ่ายจับจ้องอยู่ แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเขา เพราะทำตัวไม่ถูกไม่น้อยที่มีชายหนุ่มที่ตนเองแอบชื่นชมจับจ้องอยู่ตลอด พลางบอกตัวเองว่าคงไม่มีอะไรมากไปกว่าที่ตนเองอยู่ในระยะสายตาของเขาพอดี หรือไม่ก็แค่เขาต้องการดูว่าหล่อนตั้งใจฝึกงานหรือไม่ นึกปลอบใจตัวเองไปเรื่อยหลังจากได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับอาจารย์คนสวยประจำคณะที่หล่อนเองก็ศึกษาอยู่ นึกไปเองในใจว่าเขาก็เหมาะสมกันดีแล้วทั้งคู่ ทั้งคุณวุฒิ ทั้งวัยวุฒิ
คิดได้แบบนั้นก็ถอนหายใจเฮือก...พยายามสั่งให้สมองบอกตัวเองว่าสิ่งที่รู้สึกอยู่เป็นแค่การชื่นชมตามประสาคนนิยมอะไรสมบูรณ์แบบ ไม่ได้มีอะไรมากไปมากกว่านั้น แค่อารมณ์เหมือนกรี๊ดดารารูปหล่อพ่อรวย ทั้งๆ ที่หัวใจตอบไปเรียบร้อยแล้วว่าสิ่งที่หม่อมหลวงพชรหทัยคิดอยู่คืออะไร ...
...
“คุณอรรคคะ รายงานวันนี้เปอร์ส่งเข้าอีเมลคุณอรรคแล้วนะคะ” เสียงหวานบอกเขาอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
ชายหนุ่มทำเป็นอ้อยอิ่งไม่เงยขึ้นมองหน้าสวยนั้น นึกสับสนไปหมด นี่ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หม่อมหลวงพชรฉัตร อาจจะเสร็จเขาไปแล้ว แต่เพราะเป็นคนนี้เลยทำให้เรื่องทุกอย่างยุ่งยากจนเขาต้องสั่งตัวเองให้เลิกบ้ากับคนตรงหน้า แต่ดูเหมือนจนแล้วจนรอดก็ห้ามใจไม่ได้ จนชายหนุ่มร่ำร่ำบอกตัวเองว่าจะปล่อยเลยตามเลย ตามใจหัวใจตัวเองอยู่รอมร่อ
“ครับ ขอบคุณมาก” คนหน้าหล่อตอบยิ้มๆ แต่ตายังจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ดึงสายตาไม่ให้จับจ้องคนตรงหน้า จนพชรหทัยใจเสียที่เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองหล่อน ได้แต่แปล๊บนิดๆ ในอกก่อนจะเอ่ยปากลา
“งั้นเปอร์กลับก่อนนะคะ วันนี้ต้องส่งโพรโพซัลของรายงานให้อาจารย์ด้วย” สาวหน้าสวยมองคนที่ทำหน้าเครียดตรงหน้า อดน้อยใจนิดๆ ไม่ได้ที่เขาไม่สบตาหล่อนเลยสักนิด แต่ก็บอกตัวเองแบบที่บอกมาตลอดตั้งแต่เริ่มหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เวลาอยู่ใกล้เขาว่า คงเป็นพัปปีเลิฟแบบเด็กๆ ตามประสาเด็กสาวที่เห็นคนรูปหล่อประสบความสำเร็จ แถมมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกับผู้เป็นพ่อที่เป็นไอดอลในใจมาตลอด เลยพานหลงใหลได้ปลื้มเขาเป็นการใหญ่
หญิงสาวหมุนตัวหมายจะกลับบ้านเงียบๆ ไม่ให้รบกวนสมาธิของคนที่ตั้งใจทำงานอยู่ โดยไม่ทันเห็นว่าอรรคเองก็แอบเหล่หางตามองหล่อนอยู่ตลอดเวลา นึกอ่อนใจกับความรู้สึกตัวเองว่านี่มันชักจะไปกันใหญ่มากขึ้นทุกที จนชายหนุ่มต่อต้านความรู้สึกไม่ไหว จำต้องเอ่ยปากถาม เพราะตัวเองก็อยากหาเรื่องยืดเวลาให้ได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกหน่อย
“เหลืออีกเยอะไหมครับ ให้พี่ช่วยไหม”
“เอ่อ...” หม่อมหลวงคนสวยที่เมื่อครู่จิตใจห่อเหี่ยวเหมือนต้นไม้โดนน้ำร้อนกลับมีรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย “จริงๆ ก็เสร็จแล้ว แค่อยากกลับไปตรวจความเรียบร้อยนิดหน่อยค่ะ”
“งั้นพี่ดูให้ไหมครับ เสร็จแล้วไปหาอะไรทานกัน พี่ยังไม่ได้เลี้ยงต้อนรับเป๊ปเปอร์อย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ” คนพูดหาข้ออ้างล้านแปดมาตอบสนองความต้องการของหัวใจ ทั้งๆ ที่เหตุผลที่บอกหญิงสาวเพื่อต่อเวลาการอยู่ด้วยกันนั้นแย่สิ้นดี แต่อรรคก็ยอมหน้าด้านเอ่ย เอาเถอะ ขอสักครั้ง เขาจะตัดใจจริงๆ ขอเก็บความรู้สึกดีๆ ไว้สักครั้งเถอะ
ฝ่ายหญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้าง รับความเอื้อเฟื้อที่อีกฝ่ายมีให้อย่างไม่อิดออด ไหนจะโชคดีได้มีคนตรวจรายงานให้ แถมยังได้กินข้าวเย็นกับคนตรงหน้า
“ไม่กวนเหรอคะ” ถึงจะดีใจ แต่เจ้าตัวก็ยังตีหน้านิ่ง ถามเขาด้วยความเกรงใจ
“ไม่เลยครับ” อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆ “พี่ยินดี ว่าแต่เป๊ปเปอร์อยากทานอะไร พี่จะได้ให้คุณชุดาเขาจองไว้ให้เราสองคนก่อนเขากลับ”
“แล้วแต่คุณอรรคดีกว่าค่ะ เปอร์ทานอะไรก็ได้” หญิงสาวตอบ ก็เขาทั้งอาสาตรวจการบ้าน ทั้งอาสาเลี้ยงข้าว ยังจะมาให้หล่อนเลือกร้านอีกได้อย่างไร “งั้นเปอร์ขอโทร. บอกรถที่บ้านนะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “โทร. บอกรถว่าไม่ต้องมารับพอนะครับ เรื่องทานข้าวกับกลับดึกเดี๋ยวพี่โทร. ขออนุญาตคุณชายเองว่าพี่จะไปส่ง”
หญิงสาวหน้าแดงไม่น้อย โชคดีที่หันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองแล้ว ไม่อย่างนั้นอรรคต้องรู้แน่ๆ ว่าหล่อนคิดอะไรอยู่
“พี่ชายพัชรคะ” ปวรศายืนเคาะประตูอยู่หน้าห้องน้ำ เรียกสามีที่เพิ่งกลับมาจากตีกอล์ฟกับเพื่อนๆ เพราะเสียงโทรศัพท์ของเขาที่วางไว้ที่หัวเตียงดังติดต่อกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว “พี่ชายพัชร คุณอรรคโทร. มาสองรอบแล้วค่ะ”
“เปรี้ยวรับเลยครับ บอกเดี๋ยวพี่โทร. กลับ” ฝ่ายสามีตะโกนสู้กับเสียงน้ำ บอกภรรยาให้รับสายนี้ได้
ฝ่ายภรรยาคนสวยพยักหน้ากับประตูห้องน้ำก่อนจะรีบกดรับสาย เผื่อจะเป็นเรื่องสำคัญ
“คุณอรรค นี่น้าเองค่ะ พอดีคุณชายอาบน้ำอยู่” ได้ยินสามีอนุญาตแบบนั้นก็กดรับโทรศัพท์ แทนตัวเองแบบที่ใช้มาตั้งแต่ต้นกับชายหนุ่ม โดยฝ่ายโน้นเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส
“อ้อครับ คุณเปรี้ยว สวัสดีครับ”
“มีอะไรด่วนไหมคะ คุณชายไม่สะดวก ฝากเรื่องหรือจะโทร. กลับมาใหม่ดี ไม่น่านาน” ปวรศาบอกระหว่างเดินไปนั่งปลายเตียง
“เรียนคุณเปรี้ยวแทนก็ได้ครับ พอดีวันนี้อาจจะต้องขออนุญาตให้เป๊ปเปอร์กลับค่ำ ผมจะขออนุญาตพาน้องไปทานข้าวเป็นการต้อนรับด้วยครับ”
ได้ยินแบบนั้นคนเป็นแม่ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ กลิ่นมันเริ่มตุๆ เหตุการณ์ทุกอย่างวิ่งผ่านเข้าหัว จนผลที่ประมวลออกมาได้ทำเอาคนเป็นแม่เบิกตากว้าง
“อ่อ...ไปกันทั้งบริษัทเหรอคะ” คนหน้าสวยเริ่มยิ้มนิดๆ ตอนที่ฝ่ายชายเงียบไป แล้วก็ต้องยิ้มกว้างขึ้นเพราะสิ่งที่อรรคตอบกลับมาไม่ผิดจากที่สังหรณ์เลย
“เปล่าครับ ผมพาเป๊ปเปอร์ไปสองคน แต่ไม่ดึกนะครับ ทานเสร็จจะพาไปส่งบ้านด้วยตัวเอง” เป็นลูกผู้ชายต้องกล้าพูด อรรคคิดแค่นั้นตอนที่เอ่ยปากบอกปวรศา ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องเดาเจตนาเขาได้แน่นอน แต่เหมือนเกิดแรงฮึดจากไหนไม่รู้ให้เขาลองเสี่ยงดวงดู
“เอาสิคะ เดี๋ยวน้าเรียนคุณชายให้” น้ำเสียงของชายหนุ่มทำให้คนเป็นแม่ค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่คิดไม่ได้ผิดไปมากนัก “ว่าแต่กล้าขอแบบนี้ คิดมาดีแล้วใช่ไหมคะ”
คราวนี้อรรคเงียบไปพักใหญ่จนปวรศาต้องเรียกหา
“คุณอรรค ยังอยู่ในสายไหมคะ ถ้าไม่ตอบ น้าไม่ให้เป๊ปเปอร์ไปทานข้าวกับคุณอรรคแล้วนะคะ” เสียงหวานดุแกมขู่จนอรรคใจหวิว รีบตอบรับอีกฝ่ายกลับไป
“อยู่ อยู่ครับอยู่” ได้ยินแบบนั้นชายหนุ่มก็รีบตอบ “คิดมาแล้วครับ” ตอบได้แค่นั้นเพราะยังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จากที่คิดว่าจะขอพาไปกินข้าวแล้วตัดใจให้ขาด กลับกลายเป็นว่าปวรศาเปิดโอกาสให้เขาเสียนี่ แต่อรรคก็ยังไม่รู้จะพูดอะไรเพิ่มเติม
เขาไม่รู้ว่าจะให้สารภาพว่าตกหลุมรักเด็กอายุสิบเจ็ดมาตั้งแต่เห็นที่วังเมื่อเดือนก่อน หรือจะให้บอกว่าพยายามเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อตัดใจหลายรอบแล้ว แต่หัวใจมันกลับบังคับให้เขามองหาแต่หญิงสาวอยู่ร่ำไป หรือจะให้ขอคำปรึกษาจากแม่ผู้หญิงตรงๆ ว่า จะทำอย่างไรถึงจะละสายตาจากลูกสาวคนสวยของคุณชายพัชรกับคุณปวรศาได้ ทำอย่างไรให้นึกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงแบบที่เขาไม่ควรเอาตัวเขาไปยุ่งด้วยอย่างยิ่ง แต่จนแล้วจนรอดก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทำตัวเป็นหมามองเครื่องบินอยู่แบบนี้
“งั้นขอให้ทานข้าวกับน้องให้อร่อย อ่อ...เป๊ปเปอร์ชอบทานสเต๊กมากจ้ะ เผื่ออยากให้น้องประทับใจ แต่นึกไม่ออกว่าจะไปทานอะไรกันดี หรือถ้าคุณอรรคไม่ได้ใส่ใจมาก จะทานอะไรก็ได้นะคะ เป๊ปเปอร์เลี้ยงไม่ยากหรอก”
เป็นเวลาเกือบทุ่มครึ่งกว่าชายหนุ่มวัยสามสิบกับสาวน้อยวัยสิบเจ็ดจะพากันมาถึงสเต๊กเฮาส์ชื่อดังเก่าแก่ ซึ่งเปิดมาไม่ต่ำกว่าห้าสิบปีในชั้นใต้ดินของโรงแรมหรูกลางกรุงเทพฯ ทั้งด้วยกว่าอรรคจะแก้ไขรายงานให้หม่อมหลวงพชรหทัยที่ต้องใช้ส่งอาจารย์เสร็จ ทั้งกว่าจะฝ่าการจราจรมาถึง ทั้งสองก็หิวโซเต็มทน
“เป๊ปเปอร์เอาซุปด้วยไหมครับ” ชายหนุ่มเงยหน้าถามหลังจากเจ้าตัวสั่งร็อกเกตสลัดกับสเต๊กเนื้อวากิวช่วงริบอายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวทำท่าคิดเล็กน้อย เพราะรู้ว่าขนาดเสิร์ฟของที่นี่ไม่ใช่เล็กๆ เกรงว่าจะกินไม่หมดเสียของเปล่าๆ แต่ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะรู้ไปหมดว่าพชรหทัยคิดอะไรอยู่
“รองท้องก่อนทานผักทานเนื้อ จะได้ไม่ปวดท้องครับ” ชายหน้าหล่อเหลายิ้มตอบ สายตาอ่อนโยน “นี่เลยเวลาอาหารแล้วด้วย ทานสักสองสามคำให้กระเพาะทำงานก่อน ทานไม่หมดไม่เป็นไรครับ” คนที่ทำอะไรตามตารางตลอดทุกวินาทีบอกสาวน้อยตรงหน้าที่สวยเกินวัย ยิ่งทำผม แต่งหน้า แต่งตัวแบบนี้ดูเป็นสาวไปทั้งเนื้อทั้งตัว เซ็กซ์แอปพีลล้นเหลือเสียจนผู้ชายที่นั่งอยู่ในร้านอาหารมองกันคอเคล็ด พร้อมๆ กับส่งสายตาหมั่นไส้ใส่อรรคมาเป็นระยะๆ
“ก็ดีนะคะ” หญิงสาวยิ้มให้คนตรงหน้า นึกชื่นชมที่เขาคอยดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทำให้เคลิบเคลิ้มกับเขามากขึ้นไปอีก “งั้นขอทรัฟเฟิลซุปอีกที่ละกันค่ะ” ประโยคสุดท้ายสาวน้อยคนสวยหันไปบอกกับพนักงานที่ยืนอยู่
“สองที่เลยครับ” อรรคบอกพนักงานที่รอรับออร์เดอร์ “ส่วนเนื้อของผมเอาเป็นมีเดียมแรร์” เมื่อสั่งอาหารเสร็จ ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนทั้งเรื่องฝึกงาน ทั้งเรื่องเรียนของหญิงสาว เลยเถิดไปจนถึงชายหนุ่มเล่าประสบการณ์การทำงานตอนอยู่ต่างประเทศให้อีกฝ่ายฟัง จนไวน์ที่มาเสิร์ฟฆ่าเวลาหมดไปถึงสองแก้วแล้ว
ชายหนุ่มทราบตั้งแต่คราวไปรับประทานอาหารที่วังแล้วว่า พชรหทัยโดนฝึกให้ดื่มไวน์บนโต๊ะอาหารมาตั้งแต่อายุสิบห้า แต่ก็ในปริมาณไม่เกินสี่แก้วเท่านั้น จึงสั่งมาแกล้มบรรยากาศที่อรรคบอกตัวเองเบาๆ ว่าคือ ‘เดตแรก’ โดยที่คนที่น่าจะมีความสุขที่สุดคือท่านประธานแห่งวิริยะทรัพย์ ซึ่งนั่งเคลิ้มตาเชื่อมมองหน้าพชรหทัยที่ยิ้มค้างดูมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องที่เขาเล่า จนทำชายหนุ่มหลุดปากเอ่ยถามขึ้น
“เป๊ปเปอร์มีแฟนไหมครับ” พูดจบก็พบว่าหน้าเขาคงแดงขึ้นไม่ต่างกับเด็กสาวตรงหน้าที่ทำหน้าตกใจเพราะประโยคคำถามของเขา จนชายหนุ่มหลงคิดไปว่าอีกฝ่ายไม่พอใจประโยคละลาบละล้วงที่เขาเพิ่งเอ่ยออกไป “เอ่อ...พี่ขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัว ไม่ต้องใส่ใจนะครับ ขอโทษ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวตั้งสติได้ก็ยิ้มน้อยๆ ก้มหัวเป็นการรับคำขอโทษ ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มบ้างแก้เก้อ เสมองไปนอกโต๊ะเหมือนไม่ใส่ใจทั้งๆ ที่จริงๆ หัวใจเต้นเร็วจนแทบจะระเบิด
“เปอร์ไม่มีแฟนหรอกค่ะ” คนตอบตอบหน้านิ่ง แต่ใจเต้นรัวพิกล เสียงนิ่ง หน้าเรียบ มั่นใจว่าที่ใจสั่นแปลกๆ เป็นเพราะคำถามของเขา ไม่ใช่เพราะแอลกอฮอล์อึกเมื่อครู่
“สวยๆ แบบนี้ไม่มีคนจีบเหรอครับ” ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์เหล้าหรืออะไรที่ทำให้อรรคตัดสินใจถาม เกิดแรงฮึดขึ้นมาอีกที เพราะทีท่าของพชรหทัยไม่ได้โกรธจริงๆ อย่างที่หล่อนว่า แถมมีบางอย่างวูบวาบในดวงตาเปล่งประกายคู่นั้น
“มีค่ะ แต่เปอร์ไม่เจอใครถูกใจ คุณแม่บอกว่าเรื่องมาก เลือกยาก จนชาตินี้น่าจะต้องขึ้นคาน”
อรรคได้ยินแบบนั้นก็นิ่วหน้า...ถ้าหม่อมหลวงพชรหทัยขึ้นคาน ผู้หญิงทั้งโลกคงไม่มีใครแล
“แล้วไม่เคยชอบใครบ้างเลยเหรอครับ อย่างเป๊ปเปอร์ผู้ชายที่ไหนคงไม่ปฏิเสธ” ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายวางแก้วไวน์เนื้อดี ยกศอกขึ้นเท้าโต๊ะก่อนจะพาดหน้าสวยลงบนหลังมือที่ประสานกันอยู่ เอียงหัวน้อยๆ มองเขาตาเป็นประกาย ดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนน่าจับมาจูบหนักๆ ลงบนปากอิ่มสีเชอร์รีสักหลายๆ ที...นี่เป๊ปเปอร์เมาหรือเปล่าถึงมาทำท่ายั่วกันแบบนี้
“เมื่อก่อนไม่เคยชอบ...” หญิงสาวตอบหน้านิ่ง แต่ตาระยิบระยับ “แต่เปอร์เพิ่งเจอคนคนนึงที่ชอบ แต่เขาคงไม่มองเปอร์หรอกค่ะ” หม่อมหลวงพชรหทัยไม่รู้เลยว่าตัวเองไปเอาความกล้าหรือท่าทีแบบนี้มาจากไหนถึงกล้าพูดเรื่องนี้ใส่หน้าเขาหน้าตาเฉย ราวกับว่าไม่ได้กำลังพูดเรื่องตัวเองกับตัวเขาอยู่ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกชื่นใจไม่น้อยเมื่อวูบหนึ่งในแววตาของอรรคมีความไม่พอใจฉายอยู่ตอนหล่อนบอกว่ามีคนที่ชอบ
“ใครที่ไหนจะไม่มอง” พี่ยังมองเราอยู่ตลอดเลย...อรรคบอกตัวเองในใจ “ใครปฏิเสธเป๊ปเปอร์ก็บ้าแล้วครับ”
“ก็เขาเพอร์เฟกต์ไปหมด ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง อายุนิดเดียวก็ได้เป็นซีอีโอแล้ว แถมรอบๆ ตัวยังมีแต่สาวๆ สวยๆ เขาไม่มองเด็กแบบเปอร์หรอกค่ะ” ตอนท้ายประโยคแววตาเป็นประกายหม่นแสงลงเมื่อนึกถึงความเป็นจริงว่าอรรคไม่มีทางมองเด็กอย่างหล่อนในสถานะแบบที่หล่อนเพ้อฝันแน่ๆ
“แล้วคุณอรรคล่ะคะ อย่าเอาเปรียบแบบนี้นะคะ ถามเปอร์แล้วก็บอกเปอร์บ้าง”
คนที่เก๋าเกมกว่าฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่แล้วอดคิดว่าเป็นตัวเองไม่ได้ คิดว่าเดาความรู้สึกอีกฝ่ายไม่พลาดจึงลองพูดอ่อยเหยื่อ ระหว่างนั้นก็เปิดเปลือยความรู้สึกผ่านแววตา...เคยแต่โดนผู้หญิงอ่อย จะลองอ่อยเด็กดูบ้างไม่รู้จะมีหวังไหม
“ไม่มีแฟนครับ แต่มีคนที่ชอบมากจนตัดใจไม่ได้ เลยคิดๆ อยู่ว่าจะจีบยังไงดี” คำตอบแทงกั๊กไม่ต่างกันถูกเอ่ยขึ้น
“โห...แค่เขารู้ว่าคุณอรรคชอบ เขาก็รับรักแล้วมั้งคะ” หญิงสาวตอบตามความจริง นึกวาบหวามพิกลกับสิ่งที่สะท้อนในตาคู่นั้น แต่ก็เจ็บแปลบลึกๆ เมื่อรู้ว่าเขามีคนที่ชอบอยู่
“ไม่แน่หรอกครับ” ชายหนุ่มตอบนิ่งๆ “เขาทั้งสวย ทั้งรวย แถมเก่งมาก แล้วพี่ก็เพิ่งรู้ด้วยว่าเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว” อรรคยกมือลูบท้ายทอยแก้เก้อ “พี่เลยไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้ สงสัยคงแค่รักเขาข้างเดียวแบบนี้ไปเรื่อยๆ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ
อีกฝ่ายกลับไม่ประสา จิตใจห่อเหี่ยว รู้สึกเหมือนอกหักจังเบ้อเร่อเมื่อรู้ว่าเขามีคนที่ชอบมากถึงขนาดกล้าใช้คำว่ารัก สาวสวยประจำวังวิริยาเลยได้แต่บอกตัวเองให้เลิกเพ้อฝัน แล้วอยู่กับความเป็นจริงให้มากที่สุด
บทสนทนาชะงักไปเมื่อบริกรนำอาหารมาเสิร์ฟ โดยทั้งคู่ต่างอยู่ในความคิดของตัวเองเงียบๆ โดยไม่ได้รู้เลยว่าทั้งความรู้สึกอบอุ่นที่ได้มีโอกาสนั่งกินข้าวกับคนที่ตัวเองแอบรักนั้นเป็นความรู้สึกที่กำลังเกิดกับคนทั้งคู่พร้อมๆ กัน จะมีก็แต่สาวน้อยเท่านั้นที่รู้สึกหวานปนขมลึกๆ เพราะมองอีกคนไม่ออกเหมือนที่อีกคนมองตัวเองออก
“ชอบไหมครับ” อรรคเป็นฝ่ายเอ่ยถามทำลายความเงียบขึ้นหลังจากมื้ออาหารจบลง และตลอดเวลานั้นก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกันอีก เพราะอรรคถามคำ พชรหทัยก็ตอบคำ จนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดอะไรไม่เข้าหูหรือเปล่า บรรยกาศดีๆ จึงกลายเป็นจืดเจื่อนเช่นนี้
“ชอบสิคะ อิ่มมาก นี่ร้านโปรดเปอร์เลย” หญิงสาวบอก ยิ้มหวานให้คนที่อุตส่าห์พามาทานร้านโปรด พยามยามไม่ทำตัวขุ่นมัวใส่เขา เพราะของแบบนี้จะไปบังคับใจใครได้ พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย จะได้ดึงตัวเองออกมาจากความไม่สบายใจนั้น “คุณอรรคก็ชอบร้านนี้เหมือนกันเหรอคะ” หม่อมหลวงพชรหทัยทัก เพราะเห็นพนักงานในร้านเกือบทุกคน รู้จักเขาเป็นอย่างดี แถมรู้ใจขนาดที่สามารถเลือกไวน์มาเปิดให้ได้ โดยที่ไม่ต้องถามความต้องการของลูกค้า
“ชอบมากครับ นอกจากเนื้อดีมาก ไวน์ลิสต์เขายังดีที่หนึ่ง” อรรคมองหญิงสาวที่นั่งเบาะข้างๆ ท่าทางผ่อนคลายขึ้น ชอบทั้งร้าน ชอบทั้งอาหาร ชอบทั้งคนมากินด้วย ถ้าได้มานั่งข้างๆ ทุกวันเขาคงมีความสุขไม่น้อย “เสียดายคนมากินด้วยวันนี้เด็กไปหน่อย ไม่งั้นจะชวนชิมอีกขวด” ชายหนุ่มเย้าขำๆ แต่กลับกระแทกใจพชรหทัยไม่น้อย...ก็ข้อจำกัดแบบนี้ไงล่ะที่ทำให้หล่อนซึ่งมั่นใจทุกอย่างไม่มั่นใจอะไรเลย
ภาพพชรหทัยเม้มปากทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังยิ้มอยู่ทำเอาอรรคใจหายวาบไม่น้อย พอดีกับที่รถติดไฟแดง ชายหนุ่มที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลตัดสินใจจึงถือวิสาสะใช้มือหนาจับคางของอีกฝ่ายให้หันมามองหน้า
“คุณอรรค!” พชรหทัยพยายามบิดหน้าออกเพราะความตกใจปนขัดเขิน “ปล่อยนะคะ”
“บอกพี่ก่อน เป็นอะไร” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น สัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจบางอย่างของพชรหทัยที่ลอยออกมา จนไม่อาจปล่อยผ่านได้ “พี่พูดอะไรให้เราไม่สบายใจหรือเปล่า”
ฝ่ายหญิงสาวก็ได้แต่นิ่งไปครู่หนึ่งที่เขาจับอาการความรู้สึกได้ ไม่คิดว่าตัวเองจะแสดงออกให้อีกฝ่ายรับรู้อะไรได้ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่าค่ะ” เสียงเบาแผ่วเพราะฝ่ายชายลดหน้าลงใกล้ จนระยะห่างระหว่างคนทั้งสองน้อยลงเรื่อยๆ คาดคั้นเอาความจริงเพราะรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
“พี่ไม่เชื่อ...” คนที่คาดคั้นแผ่วเสียงลงไม่แพ้กัน หวั่นไหวไปหมด
“เชื่อเถอะค่ะ เปอร์ไม่ได้เป็นอะไร แล้วก็...ถอยออกไปเถอะค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงสั่น อ่อนยวบเพราะท่าทีของเขา นึกกลัวใจตัวเองไม่น้อย เพราะรู้ดีว่าชอบผู้ชายแสนสมบูรณ์แบบคนนี้มากเพียงไหน
“แต่พี่...” คนห่วงความรู้สึกของอีกฝ่ายลืมเรื่องเหมาะเรื่องควรที่แสดงความใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ ตาคมกริบตรึงพชรหทัยไว้ ลดระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่ลงเรื่อยๆ จนริมฝีปากเกือบแนบกัน
ปี๊นนน!!! เสียงแตรจากรถด้านหลังดังขึ้นขัดไม่ให้ชายหนุ่มได้พูดจนจบประโยค อรรคก็ต้องเคลื่อนตัวกลับไปนั่งทำหน้าที่คนขับ
พชรหทัยได้แต่เบือนหน้าออกนอกกระจกเพราะกลัวจะเปิดเผยความรู้สึกให้เขารู้ กลัวเขาจะเห็นไอน้ำตาบางๆ ที่เคลือบตาหวาน พานไม่กล้าหันกลับมาสบตาคนตัวโตที่เพียรมองมาเลยตลอดทาง
จนรถหรูของท่านประธานคนใหม่จอดลงหน้าตำหนักใหญ่ของท่านประธานคนเก่า พชรหทัยที่เตรียมพร้อมจะลงจากรถเรียบร้อยแล้วหันมายกมือไหว้อรรคท่าทางเรียบร้อย น่าเอ็นดูจนชายหนุ่มเผลอไผลอย่างห้ามใจตัวเองไม่ได้ไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไรของวัน ยกมือขึ้นลูบหัวคนสวยที่เขามั่นใจแล้วว่ามีอิทธิพลกับหัวใจเขาเหลือเกิน และก็ยอมแพ้หัวใจตัวเอง ล้มเลิกความคิดที่จะตัดใจจากผู้หญิงตรงหน้า หลังจากตีความสิ่งที่หญิงสาวพูดประกอบกับความนัยบางอย่างในแววตาหวานของสาวตรงหน้านี้ และตัดสินใจแล้วว่าก็ลองดูสักตั้ง เล่นเอาคุณเป๊ปเปอร์ตัวเกร็งกับท่าทางใกล้ชิดแบบนี้ของชายหนุ่ม
“วันหลังพี่จะพาไปทานร้านที่ชอบใหม่”
คำพูดร่ำลาอ่อนหวานจากคนที่อาสาทำการบ้านให้ พาไปกินข้าว และขับรถมาส่งทำเอาพชรหทัยชะงักไม่น้อย สาวน้อยอดหรี่ตามองคนตรงหน้าไม่ได้ พยายามหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น
“ในโอกาสอะไรคะ”
“โอกาสที่พี่อยากพาไป” ชายหนุ่มถอนใจ อยากพูด อยากบอก อยากทำอะไรให้ชัดเจนมากกว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เลยได้แต่พูดแทงกั๊กไปแบบนี้ก่อน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกเจ้าชู้ไก่แจ้ ทำตัวหมาหยอกไก่ ให้ความหวังผู้หญิงไปเรื่อย
“ไม่เหมาะมั้งคะ” หญิงสาวที่แอบดีใจไปแล้วยังออกตัวอยู่ มันจะดีได้ยังไงที่เจ้านายกับเด็กฝึกงานจะไปกินข้าวกันสองต่อสองกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ถึงแม้จะใจพองฟูตอนคิดว่าการกระทำของเขาก็ชวนให้คิดไม่น้อยว่าดีไม่ดีเขาอาจจะมีใจตรงกับหล่อน
“เอาเถอะ...ให้เป็นปัญหาของพี่” อรรคบอกยิ้มๆ “เดี๋ยวพี่ก็จัดการให้ไม่มีใครมาครหาได้เองล่ะ”
ความคิดเห็น |
---|