1

บทที่ 1


บทที่ 1

“ฉันจะเอาปลายรุ้งไปเลี้ยง”

                แม่ยายของเขาแทรกขึ้นมาระหว่างพระสวดอภิธรรมดังอื้ออึงไปทั่วศาลาวัดในยามค่ำ แขกเหรื่อในงานมีไม่มากนักจึงได้ยินทุกคำชัดเจน ทว่าไม่ดังมาพอจะไปถึงเด็กสาววัยสิบสี่ ลูกสาวของผู้วายชนม์ที่กำลังร้องไห้อยู่ข้างกระถางธูป แม่ของเด็กสาวจากไปอย่างกะทันหันเกินกว่าที่ใครจะทำใจได้ทัน

                คุณหญิงพรทิพย์ในวัยห้าสิบกว่าแล้วแต่ยังดูทรงสง่าดุจนางหงส์ สวมชุดผ้าไหมสีดำเพื่อไว้ทุกข์แต่ไม่ยอมทิ้งเครื่องประดับเพชรพลอยที่ใส่ครบชุดอย่างเป็นนิสัย บอกแล้วมองก็หน้าเขา คงเตรียมจะพูดเรื่องนี้มานานมากแล้ว เพียงแต่รอจังหวะอยู่ และสวดศพแม่ของปลายรุ้งมาห้าวันแล้ว คนเป็นยายคงเตรียมการจะยึดหลานตัวไปทันทีเมื่อลูกสาวกลายเป็นเถ้าธุลี

                “ไม่ได้ครับ” เขาบอกเสียงแข็งแต่ยังควบคุมสีหน้าและอารมณ์ให้นิ่งสนิท “คุณติ๋วให้ผมดูแลลูก ผมก็จะดูแลให้ดีที่สุด จะเลี้ยงปลายรุ้งเอง”

                “เห๊อะ! อย่างเธอน่ะเหรอจะมาเลี้ยงปลายรุ้งได้”

                “ผมเลี้ยงได้ครับ” เขาพยายามเลี่ยงจะไม่เถียงแม้คนเป็นยายจะมองอย่างดูแคลน ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ยอมตามที่สั่งเช่นกัน “ยังไงผมก็จะดูแลปลายรุ้งเอง คุณหญิงไม่ต้องห่วงหรอกครับ”

                “แต่ฉันจะเอาหลานไปเลี้ยง!”

                “ไม่ครับ”

                เขาบอกเสียงแข็ง แล้วมองจากหมู่ชุดโซฟารับแขกฝ่ายเจ้าภาพ ไปยังหน้าโรงศพสีขาวขอบทอง ซึ่งประดับประดาด้วยดอกซ้อนกลิ่นและดอกบัวหลวงสีชมพู ส่งกลิ่นรวยรื่นและหอมเย็นถึงในอก คลุ้งมากับกลิ่นธูป

ดอกไม้หน้าโรงศพเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มสั่งทำให้ภรรยาเป็นพิเศษ ให้สวยสมกับตัวเธอ แล้วมองรูปถ่ายของหญิงงามหมดจรด สมบูรณ์แบบราวตั้งใจเสกสรร เครื่องหน้าพริ้มเพร้าจนทำให้รู้สึกว่าเธอทรงสง่าราวเจ้าหญิงอยู่เสมอ ทั้งดวงตาหวาน จมูกรูปหยดน้ำโค้งงุ้ม เด่นไม่แพ้ริมฝีปากบางยัก ทุกอย่างนั้นรวมเป็นชยาตาผู้มีรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ ไม่ต่างจากนิสัยชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ติดไปทางซุกซนของเธอเลย

น่าเสียงดายที่เธอจากไปเร็วเหลือเกิน ทั้งเขาและภรรยาก็ใช้ชีวิตกันเร็วจนน่าใจหาย มีลูกกันตั้งแต่อายุสิบแปด ตัวเขาโชคดีว่าเป็นผู้ชาย ไม่ต้องอุ้มท้องจึงได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย ส่วนทางชยาตา แม้จะร่ำรวยแต่เธอก็อยากเลี้ยงลูกด้วยตัวเองจึงตัดใจไม่เรียนต่อ แล้วทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้ปลายรุ้ง

กระทั่งปลายรุ้งเริ่มเข้าโรงเรียนเธอจึงไปสมัครมหาวิทยาลัยเอกชน แม้จะอายุมากกว่าเด็กปีหนึ่งคนอื่นๆ ถึงหกปีและมีลูกแล้ว แต่ชยาตาก็ยังดูกลมกลืน เรียนจบมาเป็นกราฟิกดีไซด์ฝีมือดีและเป็นที่รู้จักในวงการ และยึดอาชีพนี้เรื่อยมาจนลูกโต

                แต่เวลาของครอบครัวเขาผ่านไปรวดเร็วราวกับมีคนมาแกล้งหมุนนาฬิกา

เพราะในขณะที่เขาทำงานหนักและศึกษาต่อเพื่อหาเงินมาดูแลสองแม่ลูกให้ได้ดีสมกับที่พ่อตาไว้วางใจ ลูกสาวตัวน้อยของเขาก็เติบโตเข้าสู่วัยรุ่น สดใสเหมือนแม่ไม่มีผิด ทว่าชยาตากลับอยู่ชื่นชมได้ไม่นาน… เธอก็จำต้องจากโลกนี้ไป

                “นี่ยังคิดว่าจะดูแลหลานฉันได้จริงๆ หรือไง” แม่ยายผู้ไม่ใคร่จะชอบหน้าเขาเสียเท่าไหร่ถามอย่างหัวเสีย “แค่ลูกสาวฉัน แกยังดูแลให้ดีไม่ได้เลย”

                “ผมขอโทษครับ”

                “แค่คำว่าขอโทษมันพอหรือยังไง!” น้ำเสียงนั่นบอกชัดว่าไม่พอใจ “แกดูแลลูกสาวฉันภาษาอะไร ยายติ๋วถึงตายได้ หรือแกนั่นแหละที่อยู่เบื้องหลังการตายของยายติ๋ว!”

                “ถ้าคิดว่าผมฆ่าคุณติ๋วจริง คุณหญิงก็รอผลชันสูตรพลิกศพสิครับ”

ลูกเขยก็เริ่มพ่นหายใจใส่แล้วมองไปยังโลงศพว่างเปล่าที่พระสวดอยู่ ซึ่งเขาไม่ได้บอกใครนอกจากแม่ของผู้ตาย ว่าร่างของชยาตายังอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ

                “ฉันรอแน่!”

แม่ของชยาตาร้องเสียงแหลมแล้วจ้องเขาจนตาเหลือก

“แล้วอย่าได้คิดบิดเบือนผลชันสูตรกับฉันเชียว เพราะฉันไม่เชื่อแน่ว่าอยู่ลูกสาวฉันทำงานจนตาคาคอนโดฯ นั่น”

                “คุณหมอบอกว่าขอเวลาหน่อย คุณหญิงก็ใจเย็นๆ ก่อนแล้วกันนะครับ” เขาบอกอย่างเหนื่อยหน่าย “แต่ผมจะไม่ให้ปลายรุ้งรู้เรื่องนี้ ไม่อยากให้ลูกเสียใจ ยังไงก็ขอความร่วมมือจากคุณหญิงด้วยนะครับ”

                “แกคิดว่าหลานฉันโง่จนไม่เห็นข่าวบ้างเลยหรือไง”

พูดถึงเรื่องนี้คุณหญิงพรทิพย์ก็ยิ่งขัดใจ แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วโกรธเรื่องอะไรกันแน่ หรือหากมีเรื่องเดียวให้แน่ใจ ก็คงเป็นโกรธเขาไม่หายที่ไปฉวยแก้วตาดวงใจของท่านออกจากอกเมื่อสิบห้าปีก่อน และผู้ใหญ่ก็จำใจยอมเพราะชยาตาตั้งท้องปลายรุ้ง

“แต่ก็อย่างว่า ฉันไม่แปลกใจหรอกนะถ้ายายติ๋วจะเพราะเจอผู้ชายที่ดีกว่าแก” คุณหญิงพรทิพย์ก็ยังรังเกียจเขาอยู่เหมือนเดิม “นี่ถ้าลูกฉันไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน ป่านนี้คงหย่ากับแกแล้วหาพ่อใหม่ให้ปลายรุ้งไปแล้ว”

                “คุณหญิงครับ”

ชายหนุ่มเรียกแม่ยายให้รู้ตัวว่าเสียงดังเกินไปแล้ว และถือโอกาสสรุปเรื่องนี้เสียเลย

“ผมสัญญาจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย รวมทั้งข่าวนั่นด้วย และต่อไปนี้จะดูแลปลายรุ้งให้ดูที่สุด คุณหญิงไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ”

                “ตอนแต่งงานกับยายติ๋ว แกก็บอกฉันว่าไม่ต้องห่วง แล้วแกทำได้จริงๆ หรือไงหา!” คนเป็นยายบอกอย่างไม่ยอมลดราวาศอก “ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็เอาหลานไปเลี้ยง ไม่ปล่อยให้อยู่กับแกหรอกนะ”

                “ไม่ครับ” เขาเองก็ไม่ยอมอยู่ท่าเดียว “ปลายรุ้งเป็นลูกของผม… หวังว่าคุณหญิงจะเข้าใจ อย่าให้ผมต้องลุกขึ้นมาทำอะไรมากกว่านี้เลย”

            “ขู่ฉันเหรอนายแทน!”

                “ไม่ครับ ไม่เคยมีเจตนาอย่างนั้นเลย”

คนเป็นพ่อบอกเสียงหนัก เหลือบมองไปทางเด็กหญิงที่นั่งอยู่หน้าโลงศพแม่อีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาหายายของเด็กสาว

“แต่ผมจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด… ไม่ว่ายังไง ปลายรุ้งก็ต้องอยู่กับผมครับ”

 

                “จะอยู่ได้แน่เหรอลูก กรุงเทพฯ มันไม่ใช่บ้านเรานะ”

                หญิงสาวเลิกคิ้วมองมองพ่อแล้วเบิกตากว้าง ไม่เข้าใจว่าท่านจะมาห่วงอะไรเอาป่านนี้ เพราะตอนที่ส่งเธอไปเรียนไกลถึงอังกฤษก็ยังกล้าให้ไป ไม่รู้จะมาห่วงทำไมกับการใช้ชีวิตในเมืองหลวงของประเทศของตัวเอง

                “พ่อพูดเหมือนลอนดอนเป็นบ้านเรา” ลูกสาวแย้งหน้านิ่ว “ตอนนั่นไปเรียนยังไม่ว่าอะไรสักคำ”

                “ก็ตอนนั้นเวียงดาวไปอยู่กับป้า”

                พ่อพูดถึงพี่สาวของท่านที่ได้สามีเป็นเชฟชาวอังกฤษผู้หลงใหลอาหารเอเชียตะวันออกแทบทุกประเทศจนมาพบรักกัน กลายเป็นใบบุญให้หลานสาวไปขออาศัยอยู่ด้วยตอนเรียนต่อในหลักสูตรการวาดภาพประกอบและแอนิเมชั่น โดยเวียงดาวรับจ๊อบเป็นเด็กเสิร์ฟและล้างจานไปในตัว

                “แต่นี่ตัวคนเดียวอยู่กรุงเทพฯ น่ะลูก จะไหวเหรอ… จริงๆ เวียงดาวก็ทำงานที่บ้านได้นี่น่า”

                “เวียงดาวอยากหาความรู้เพิ่มนี่คะ”

                ลูกสาวลุกจากเตียงเล็กๆ ที่นั่งอยู่กับแม่ แล้วเข้าไปอ้อนนายแพทย์วัยกลางคนที่ยืนพิงกระจกประตูสไลด์ที่กั้นระเบียงห้องพัก ครอบครัวเล็กๆ อยู่ในห้องพักเล็กๆ กลางเมืองกรุง… ธรรมดาๆ แต่ความรู้สึกในใจพิเศษเสมอ เพราะนี่คือ ‘ครอบครัว’ ของเธอ

                “นะคะพ่อ” หญิงสาวยังอ้อนต่อพลางลูบพุงกลมๆ ของพ่อแล้วยิ้มอย่างมีความหวัง “หนูดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงหรอก แล้วนี่ก็อยู่แค่หกเดือนเอง ครบคอร์สก็กลับบ้านเราแล้ว”

                “จริงๆ แล้วพ่อเรากลัวเหงาน่ะเวียงดาว ก็หนูเพิ่งกลับมาจากบ้านป้าได้ไม่ถึงเดือน แล้วยังหนีมาอยู่กรุงเทพฯ ต่ออีก”

จู่ๆ คนที่นั่งอยู่บนเตียงก็เงยหน้าจากสมาร์ตโฟนในมือแล้วขัดขึ้นมา สีหน้าก็เรียบเฉยไร้แววกังวล แต่ก็มักเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มเสมอเพราะท่านชอบของท่าน… ก็แน่ล่ะ พ่อพาไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ชมดาวที่เขาค้อ แล้วก็มีเธอ ทำไมแม่จะไม่ชอบ

“หาข้ออ้างให้ลูกโทรหาทุกวันไปอย่างนั้นเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้มาตั้งแต่แรกแล้วล่ะลูก”

                “คุณนี่ก็ ชอบทำเป็นรู้ทันผมอยู่เรื่อย” พ่อค้อน “กำลังจะบอกว่าให้เวียงดาวโทรหาทุกวันอยู่เชียว”

                “หรือไม่เราก็มาอยู่กับลูกไหมละพ่อ เราไม่ได้มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งนานแล้วนะ”

                “โอ๊ย! ผมไม่สู้ล่ะ” คนเคยอยู่กรุงเทพฯ ถึงกับร้องโหย่ง “อยู่ขอนแก่นน่ะดีแล้ว ที่นั่นมันบ้านเรา แล้วอย่างน้อยก็รถไม่ติดเป็นชั่วโมงๆ ละ”

                เห็นพ่อหน้าหลาแม่ก็ถึงกับหัวเราะร่วน เพราะหนุ่มเมืองอีสานคงเข็ดขยาดกับรถติดในกรุงเทพฯ เต็มที

เดิมทีท่านเป็นหนุ่มขอนแก่น เรียนจบแพทย์ที่นั่น พอใช้ทุนเสร็จก็นึกคึกอยากเห็นแสงสี จึงสอบเข้ามาเรียนต่อเฉพาะทางในกรุงเทพฯ คิดถูกหรือผิดก็ไม่รู้ที่เข้ามาเผชิญความวุ่นวายในเมืองใหญ่ กว่าจะเรียนจบสมดังตั้งใจ ท่านก็ลงเอยกับคุณครูสาวที่เป็นลูกเจ้าของอะพาร์ตเมนต์ที่ตัวเองเช่าอยู่ จากนั้นก็ทำงานอยู่เมืองหลวงพักใหญ่ จนลูกสาวคนโตอายุได้สิบสี่ปี พ่อก็พาแม่ย้ายกลับภูมิลำเนาเดิม

                จริงๆ แล้วเวียงดาวเคยมากรุงเทพฯ หลายครั้งจนไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง เพราะเธอโตที่นี่ ถึงจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดสักพักหนึ่ง ก็ยังกลับมาเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวงอยู่ดี ให้หลับตาเดินยังได้ แถมไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองตอนเรียนต่อตั้งสองปี ตอนนี้เธอไม่ใช่สาวแรกรุ่นที่หลงใหลได้ปลื้มไปกับอะไรง่ายๆ เห็นโลกมาก็ตั้งยี่สิบหกปีก ก็ไม่รู้จะไปกลัวอะไร นอกจากมิจฉาชีพที่ต้องคอยระวังตัวอยู่เสมอ

                “ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปกันเถอะคุณ เดี๋ยวรถจะติด” แม่เตือนแต่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์ที่ก้มอ่านอยู่ “แม่จองห้องที่โรงแรมไว้แล้วด้วย ไปรับเจ้าดรัณย์กันเถอะ”

                “อ้าวแม่คะ!”

ลูกสาวคนโตร้องประท้วงเมื่อนึกถึงน้องชายที่เรียนแพทย์อยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ที่เธอไม่ไปอยู่ด้วยเพราะดรัณย์เช่าหอพักอยู่อีกมุมเมือง น้องเรียนหนักแล้วจึงไม่อยากไปกวน แถมพ่อน้องชายคนดียังชอบหาว่าเธอ ‘จุ้นจ้าน’ เรื่องอะไรไปอยู่ด้วยให้เสียอารมณ์

 “ไหนว่าคืนนี้จะค้างกับหนู” แม้จะพูดถึงน้องแม่เวียงดาวก็หวงแม่ “แล้วทำไมมาบอกว่าจะไปเปิดโรงแรมให้เจ้าดรัณย์เสียละคะ”

                “ก็ค้างกับหนู แต่เอาหนูไปค้างที่โรงแรมไงลูก แม่อยากนอนด้วยกันทั้งสี่คนนี่เลย เปิดห้องใหญ่ๆ เตียงใหญ่ๆ เนอะพ่อเนอะ”

แม่หันไปอ้อนพ่อของลูกและท่านก็พยักหน้าแต่โดยดีอย่างอยู่ในโอวาทของศรีภรรยา

“แม่จะได้นอนกออดเวียงดาวกับดรัณย์ให้สมคิดถึงเลย”

                “มันเป็นหนุ่มแล้ว ยังจะให้แม่กอดอีกเหรอคะ” เวียงดาวอดค้อนไม่ได้ “ระวังนะคะ กอดมันมากๆ เข้า สาวมาเห็นจะหาว่าเจ้าดรัณย์เป็นลูกแง่ติดแม่ มันจะหาเมียไม่ได้”

                “มีสาวแล้วจ้ะ” มารดาอวดน้องอย่างอารมณ์ดี “มีเยอะด้วยนะเวียงดาว ทั้งนักเรียนแพทย์ด้วยกัน ทั้งพยาบาล ทั้งคนไข้สาวๆ เขาแกล้งป่วยมาจีบน้องเราเยอะแยะ ส่งรูปมาให้แม่ดูตั้งหลายคน”

                “อ้าว! มันหัดทำตัวเจ้าชู้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะแม่”

                “เปล่าน๊า!” แม่เข้าข้างลูกชายหลงเสียงหลง “ดรัณย์บอกว่าสาวๆ มาจีบเอง เลยเอามาแม่ช่วยเลือก”

                “จะบอกว่าตัวเองเนื้อหอมว่าอย่างนั้นเถอะ” เวียงดาวบอกอย่างหมั่นไส้ “ไหนคะแม่ เอามาดูบ้าง”

                คนเป็นพี่ร้องอย่างตื่นเต้น ใจหนึ่งก็อิจฉาขึ้นมาตงิดๆ ที่น้องชายจะมีคู่ก่อนเธอ แต่อีกคนใจก็ห่วงและหวงตามประสาคนเป็นพี่ แต่ไม่ทันที่เวียงดาวจะได้ดูหน้าสาวๆ ของผู้เป็นน้อง หน้าจอโทรศัพท์ของแม่ก็มีข้อความเด้งขึ้นมาในไลน์กรุ๊ปของท่านเสียก่อน เป็นลิงค์ข้อความข่าวบันเทิง

                ‘เจมส์ยันไม่เกี่ยวข้องกับกับไฮโซติ๋ว โบ้ยไม่ไปงานศพเพราะไม่มีใครเชิญ วอนให้จบเรื่อง ย้ำขาเตียงยังดี’

                เวียงดาวขมวดคิ้วมุ่น เพราะเธอเป็นแฟนคลับของดาราหนุ่มชื่อ ‘เจมส์’ มาตั้งแต่เป็นสาวแรกรุ่น เห็นข่าวคราวในวงการมาตลอด คลั่งไคล้ดาราหนุ่มไปตามประสาเด็กสาว  กระทั่งเมื่อห้าปีก่อนเจมส์แต่งงานกับลูกสาวนักการเมืองดัง และเริ่มทำงานผู้จัดละครควบคู่กับอาชีพนักแสดงไปด้วย เดาว่าคงมีทุนจากภรรยานั่นแหละ

แต่เพิ่งหมดอารมณ์หลงใหลได้ปลื้มดาราหนุ่มก็เมื่อไม่นานมานี้ เพราะเจมส์มีข่าวนอกใจภรรยา ไปข้องแวะกับไฮโซสาวที่เธอเองก็พอจะรู้จักเป็นการส่วนตัว ได้ข่าวว่าคบชู้กันเสียด้วยซ้ำ แต่พอฝ่ายหญิงเสียชีวิต ดาราหนุ่มก็สะบัดตูดหนี ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายภาษาอะไร

                “อุ้ยตาย! ข่าวน้องเจมส์” แม่ชะโงกเข้ามาแย่งเธอดูหน้าจอแล้วอ่านข่าว “ตายแล้ว ยังอยู่ในวงการได้อีกเหรอเนี่ย”

                “หน้าด้านก็อยู่ต่อได้ล่ะค่ะแม่” เวียงดาวเบะปากใส่ด้วยอีกคน “ตัวเองก็แต่งงานแล้วแท้ๆ ยังไปยุ่งกับเมียชาวบ้านอีก น่าเกลียดชะมัด”

                “ยายผู้หญิงก็คงสวยปานนั้น แต่คงร้ายไม่เบาเหมือนกัน เรื่องอย่างนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก” แม่เลิกคิ้วบอก “นี่แม่ได้ยินเม้าท์กัน ว่าเมียเขาหึงขึ้นหน้าจนตามราวีแม่ไฮโซคนนั้นเลยนะ… ที่ตายเนี่ย โดนฆ่าทิ้งหรือเปล่าก็ไม่รู้”

                “ตายละ!” พ่อถึงอุทานลั่น “บ้านเมืองมีขื่อมีแป จะมาฆ่ากันง่ายๆ ได้ยังไง”

                “ไม่รู้สิ แม่ก็ฟังๆ เขาพูดมาอีกทีเหมือนกัน” คุณครูยักไหล่แล้วทำหน้าปลงๆ ให้กับข่าวดังสะท้านเมือง “กาเมสุมิจฉาจารฯ… ผิดศีลก็เดือดร้อนไปตามๆ กันแบบนี้แหละ”

                “ส๊าธุ” เวียงดาวยกมือพนมขึ้นท้วมหัว “เรื่องผิดผัวผิดเมียชาวบ้านนี่ เดือดร้อนวุ่นวายกันไปหมดจริงๆ”

                “เอาล่ะๆ เรื่องชาวบ้าน ยุ่งน้อยๆ จะดีกว่านะลูกนะ แม่นะ” พ่อปิดประเด็นหนีด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ไปรับเจ้าดรัณย์กันเถอะ”

                “ค่ะ”

                สุดท้ายเวียงดาวก็ตัดใจปลงตก ไม่ดูทั้งข่าวฉาวและหน้าสาวๆ ของดรัณย์ คืนโทรศัพท์ให้มารดาไปเสีย แล้วขับรถให้พ่อแม่นั่งสบายๆ เพื่อไปรับน้องชายที่โรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยที่ดรัณย์ศึกษาอยู่

                แต่ก็แปลก เหมือนเรื่องข่าวฉาวนั้นไม่ยอมออกจากหัวเสียที พยายามไม่คิดสักเท่าไหร่ ใบหน้าของ ‘ไฮโซติ๋ว’ ก็ยังแจ่มชัดอยู่จนรู้สึกหน่วงๆ ในใจ… ผู้หญิงสวยหยาดฟ้ามาดินคนนั้น ยังอยู่ในความทรงจำของเวียงดาว แม้จะไม่ได้พบกันนานมากเหลือเกินแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยก็คนเคยรู้จักกัน

            ‘ภาวนาให้พี่ติ๋วไปดี อย่าต้องทนทุกข์กับเรื่องใดๆ ในโลกหลังความตายเลย’

 

หยดน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้น เด็กสาวรีบยกมือขึ้นมาขยี้มันออก ไม่อยากให้ใครรู้ว่าร้องไห้ แต่ก็ยังนั่งกอดเข่าพิงกายริมรั้วกุหลาบของแม่ นั่งมองมันอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน และหวังว่าแม่จะมองมันลงจากบนฟ้าพร้อมๆ กับเธอ

ตั้งแต่เสร็จงานศพแม่ไปเมื่อวาน พ่อก็เอาเถ้ากระดูกไปลอยอังคารพร้อมคุณยายและน้า คุณยายดูจะโกรธจนหัวเสียอยู่มากตอนที่พ่อเอาศพแม่มาส่งเข้าเตาเผาในเมรุแล้วไม่ยอมบอกผลชันสูตรพลิกศพลูกสาวกับท่าน บอกแค่ว่า ‘แม่ไปสบายแล้ว มีอะไรค่อยคุยทีหลัง’

แต่ดูพ่อไม่ได้เก็บเรื่องนั้นมาเป็นอารมณ์ ยืนเฝ้ามองทุกคนขึ้นมาวางดอกไม้จันเงียบๆ และโอบไหล่เธอไว้ตลอดเวลา กระทั่งแขกกลับหมด ท่านก็บอกให้คุณยายพาเธอกลับบ้าน เพราะจะรอเก็บอัฐิ… ทำทุกอย่างให้แม่เพียงผู้เดียว

นั่นคงเพราะพ่ออยากชดเชยเวลาที่เสียไปให้ผู้เป็นภรรยา เพราะตั้งแต่เธอจำความได้ พ่อเรียนหนัก ทำงานหนัก ใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่าที่บ้าน และเคร่งเครียดกับทุกสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ ส่วนตัวเธอเองอยู่กับแม่มากกว่า ทว่าในวันที่แม่จากโลกนี้ไปแล้ว เธอกับพ่อจะอยู่ด้วยกันอย่างไร

“ปลายรุ้ง มากินข้าว”

เด็กสาวชะเง้อคอหา นึกอยากรู้ว่าในวันที่แม่ไม่อยู่แล้ว อาหารมื้อแรกหลังจากเสร็จงานศพแม่ ในวันที่เหลือเพียงเธอและพ่อจะเป็นอย่างไร เพราะปกติแม่จะเป็นเตรียมอาหารให้แม้ที่บ้านคุณยายส่งมาคนงานมาทำงานความสะอาดสัปดาห์ล่ะสามครั้งเพราะไม่อยากให้ลูกสาวต้องมาทำงานบ้านให้ลำบาก แต่งานทำอาหารแม่ไม่เคยให้ใครแตะต้อง จะเตรียมทุกมื้อให้เธอกับพ่อด้วยตัวเองเสมอ แล้วในวันที่ไม่มีแม่ เธอกับพ่อยังดำเนินชีวิตเหมือนเดิมกันได้อีกไหม

ปลายรุ้งลุกขึ้นจากสนามหญ้าริมรั่ว ปัดเศษหญ้าของออกจากกางเกงแบรนด์ดังที่ตัวเองชื่นชอบ แล้วเดินเข้าบ้านทรงยุโรปหลังไม่ใหญ่ไม่เล็กที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อ บ้านเดี่ยวในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ เธอย้ายออกจากคฤหาสน์ใหญ่ของคุณยายมาอยู่ตั้งแต่อายุห้าปี แต่มันไม่ได้เก่าโทรมไปตามกาลเวลา

“ทำไมยังไม่แต่งตัวไปโรงเรียนอีกล่ะ”

พ่อทักทันทีเมื่อเธอเดินมาถึงที่โต๊ะอาหาร แต่ปลายรุ้งก็หน้ายุ่ง บอกให้ทันรู้ว่าเธอไม่มีแก่ใจจะไปโรงเรียน แล้วถอนหายใจยาวออกมาเบาๆ

“ขอหยุดอีกสองสามวันนะคะ” ปลายรุ้งบอกอย่างเหนื่อยใจ “อยากทำใจอยู่บ้านสักพัก”

“ไม่ได้” พ่อเสียงเย็นจนเธอเผลอเหลือกตาโต “ไปแต่งตัวเสีย แล้วลงมากินข้าว จะได้ไปโรงเรียน”

“แต่ปลายรุ้งไม่อยากไป”

“ปลายรุ้ง!”

พ่อดุแค่คำเดียวเด็กสาวก็หน้าเสีย ทั้งกลัวและกริ่งเกรงใบหน้าเคร่งครึมนั่น จนสุดท้ายก็ต้องขึ้นบ้านไปแต่งชุดนักเรียน จัดหนังสือและข้าวของกระเป๋า แล้วกลับมาที่โต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว แต่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าแม่ยังอยู่ แม่คงช่วยต่อรองหรือไม่ก็ทำทุกอย่างให้ประนีประนอม ไม่ตึงเครียดเหมือนที่พ่อทำ

เด็กสาวรีบเดินลงมาจากห้องนอน ดึงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน แต่งหน้าทำผมเอาไว้ไปทำบนรถก็ได้ เพราะไม่อยากให้พ่อต้องรอนาน เพราะถ้าเธอช้า พ่ออาจจะไปทำงานสายด้วยก็ได้ พาลจะโดนดุเอา

“มา กินข้าว”

ลงมาถึงโต๊ะอาหารพ่อก็เรียก นั่นคงเพราะเธอทำทุกอย่างถูกใจท่านแล้ว ปลายรุ้งก็ถอนหายใจโล่งแล้วเดินเข้าไปหา มองอาหารเช้าที่พ่อเตรียมไว้ เป็นโจ๊กหน้าตาคุ้นๆ ที่เห็นขายอยู่ในตลาดที่ถัดไปอีกสองซอย นมสดอีกแก้วหนึ่งของเธอ เห็นท่านเตรียมไว้ให้ปลายรุ้งก็ชื่นใจ เพราะถึงพ่อจะดูเย็นชาแค่ไหน แต่เรื่องอย่างนี้ท่านจะดูแลอยู่เสมอ… หากเว้นว่างจากการทำงาน

“วันนี้พ่อมีผ่าตัด อาจจะกลับค่ำหน่อยนะ”

ดีใจยังไม่ถึงนาทีกับสิ่งที่พ่อทำให้ ปลายรุ้งก็เฉาลงทันใด เพราะเหตุการณ์เดิมๆ ระหว่างเธอกับพ่อกลับมาอีกแล้ว… ถ้าเมื่อก่อนพ่อบอกอย่างนี้เธอคงไม่ใส่ใจนักเพราะอย่างไรเสียก็อยู่กับแม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่มีแม่ให้กอดอีกแล้ว รอบตัวช่างเงียบเหงาและหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

“ค่ะ” ปลายรุ้งไม่มีอะไรจะพูดเพราะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น “ไว้จะไปเดินห้างฯ  รอแล้วกันนะคะ”

“ไม่ได้” พ่อเสียงเย็นจนเธอหน้าเสีย “เลิกเรียนแล้ว ถ้าไม่ไปเรียนพิเศษก็ต้องรีบกลับบ้าน หรือไม่ก็ไปหาพ่อที่โรงพยาบาล จะไปเยี่ยมคุณยายบ้างก็ได้ แต่จะไปเที่ยวเถลไถลไม่ได้”

“ค่ะ”

                ปลายรุ้งรับคำส่งๆ ให้เรื่องมันจบไปแต่ใจก็เบื่อหน่ายกับกฎระเบียงที่พ่อล้อมกรอบไว้ แต่เพราะรู้ว่าท่านทำเพราะรัก เด็กสาวก็ไม่ขัดขืน แม้จะฝืนใจอยู่บ้างก็ตาม

                และพูดกันเพียงเท่านั้น สองพ่อลูกก็ไม่มีใครปริปากอีกเลย ต่างคนต่างกินข้าวเงียบๆ แล้วพ่อก็ขับรถมาส่งเธอที่โรงเรียนนานาชาติที่คุณยายเป็นคนเลือกให้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก เธอก้าวขาลงจากรถแล้วพ่อก็ออกไปทำงาน ทิ้งเธอไว้กับความเงียบเหงา

                คล้อยหลังพ่อแล้ว ปลายรุ้งกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่มีใครแม้ผู้คนรอบกายจะรายล้อมอยู่มากมาย โรงเรียนตอนเช้าคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน แต่เหมือนเหลือเธออยู่ตัวคนเดียว จนมันอดคิดถึงเรื่องไม่กี่วันก่อนหน้าไม่ได้

                ก่อนหน้านี้แค่เพียงไม่นาน เธอยังมีแม่ขับมาส่ง ยิ้มแย้มแจ่มใส กอดเธอก่อนส่งเข้ารั้วโรงเรียน แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว เหลือเพียงปลายรุ้งคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ น้ำตาซึมไหล ร้องไห้อยู่เพียงผู้เดียว

                คิดถึงแม่ คิดถึงแม่เหลือเกิน

                ทำไมแม่ต้องมาตายเพราะคบชู้ด้วย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น