12

บทที่ 12


 

‘ท่านเจ้าเกาะ...ข้าจะรอท่านอยู่ตรงนี้เสมอ’ 

การรอคอยอันเงียบงัน

          “อ๊ะ!”

มือเล็กซึ่งกำลังปักด้ายสีสดเป็นรูปดอกเหมยลงบนผ้าเช็ดหน้าผืนบางหยุดชะงักพร้อมกับเสียงซูดปากอย่างเจ็บปวด เข็มเล่มเล็กแทงเข้าที่ปลายนิ้วจนโลหิตไหลริน

          ฝ่ายร่างสูงโปร่งได้ยินดังนั้นก็หยุดอ่านตำราในมือ หยัดกายลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานตัวใหญ่ไปยังโต๊ะอีกตัวที่เพิ่งนำมาวางเพิ่มได้ไม่นาน “เป็นอะไรหรือไม่”

          ชินอ้ายแหงนหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงนุ่มทุ้มที่เจือความห่วงใย ที่หางตามีหยดน้ำไหลซึมออกมา “เข็มแทงเล็กน้อยเจ้าค่ะ”

          ดวงตาคู่งามของเผิงซือเยียนเลื่อนจากใบหน้าน่ารักไปยังมือทั้งสอง พบว่านอกจากแผลใหม่แล้วยังมีแผลเก่าอีกมากมายตามปลายนิ้วเล็ก คิ้วโก่งสวยที่ซุกซ่อนอยู่หลังหน้ากากขมวดแน่นขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงลอบหายใจ “เจ้าไม่จำเป็นต้องรับปากทำงานทุกอย่าง”

          งานที่ท่านแม่มอบหมายให้ชินอ้ายรังแต่จะแสนยากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่เริ่มให้นำผ้ามาปักลวดลาย ประเดี๋ยวอีกหน่อยคงมีการสั่งให้ไปย้อมผ้า ปั่นด้ายที่หมู่บ้านทอผ้าเป็นแน่

          น้ำเสียงตำหนิของเขาส่งผลให้เด็กสาวเผยสีหน้าสำนึกผิด นางหอบงานมาที่เรือนของท่านเจ้าเกาะทุกยามอิ่ว ติดต่อกันมาสองสัปดาห์แล้ว

การใช้เวลาร่วมกันกลายเป็นความคุ้นเคย การวางตัวและพูดคุยดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่นเดียวกับความผูกพันที่ก่อตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

          “ข้ายังทนไหว” นางกล่าว “อีกอย่าง...การทำงานยังทำให้ข้าเรียนรู้และเข้าใจเกาะดอกเหมยมากขึ้นด้วยเจ้าค่ะ”

          เรื่องนี้นางมิได้โกหก นางได้เรียนรู้ขบวนการและรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับการค้าของตระกูลเผิงได้บางส่วนแล้ว เกาะดอกเหมยแบ่งออกเป็นห้าหมู่บ้านตามการค้าแต่ละอย่าง หมู่บ้านใบชาอยู่ทางทิศเหนือ หมู่บ้านทอผ้าอยู่ทางทิศตะวันออก หมู่บ้านพฤกษากับหมู่บ้านต้นข้าวอยู่ทางทิศตะวันตก ส่วนหมู่บ้านรังนกทางทิศใต้

          รังนกนางแอ่นถือว่าเป็นสิ่งที่หายากและทรงคุณค่าเป็นอย่างมาก ปีละครั้งของเหล่านี้จะถูกส่งเข้าไปในพระราชวังแคว้นต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องเสวยของจักรพรรดิและกลุ่มคนชนชั้นสูง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ทองคำเหลว’ มิหนำซ้ำทางการแพทย์ยังถือว่าเป็นยาที่ช่วยฟอกและบำรุงปอดให้แข็งแรง ชินอ้ายกระตือรือร้นอยากจะไปหมู่บ้านดังกล่าวสักครั้งแต่ท่านเจ้าเกาะยืนกรานว่าควรจะรอให้พ้นช่วงตงเทียนไปเสียก่อน

          “การขยันถือเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องรู้จักประมาณตน” น้ำเสียงซึ่งเจือความขุ่นมัวอย่างเบาบางเป็นเครื่องยืนยันว่าการโน้มน้าวของนางไม่เป็นผล ร่างสีดำจางหายไปจากห้องทำงานก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกล่องไม้ขนาดกลาง

ชายหนุ่มทรุดกายนั่งลงใกล้ๆ โดยเว้นระยะห่างไว้อย่างพอเหมาะ เริ่มทำแผลให้นางอย่างเบามือ มือใหญ่เย็นที่สัมผัสนั้นอ่อนโยนกว่าที่คิด ความนุ่มของผิวเนียนละเอียดสร้างความสบายเสียจนนางแทบเคลิ้มหลับ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งทันทีเมื่อมือที่ได้รับการทายาแล้วถูกรวบเข้ามือใหญ่ในเวลาต่อมา

ดรุณีน้อยมองเขาเป็นเชิงถามเกือบจะชักมือกลับก่อนได้คำตอบเมื่อท่านเจ้าเกาะเริ่มนวดคลึงลงมือเล็กบาง

“นอกจากมีแผลแล้ว มือของเจ้ายังเมื่อยล้าจากการเกร็งเป็นเวลานาน” ชายหนุ่มอธิบายขณะที่บีบมือนางเบาๆ ช่วยให้มันผ่อนคลาย ความใกล้ชิดสนิทสนมส่งผลให้ร่างเล็กสะท้านอายและเกรงใจในเวลาเดียวกัน

แม้อำนาจของการเป็นท่านเจ้าเกาะจะล้นเหลือ แต่เขาไม่เคยห้ามปรามสิ่งที่นางต้องการทำ มิหนำซ้ำยังคอยชี้แนะและให้ความช่วยเหลืออย่างใจเย็นโดยไม่สอดมือเข้ามายุ่งให้ลำบากใจ การเคารพในการตัดสินใจถือเป็นการแสดงออกว่าเขาให้เกียรตินาง หาได้ยกตนข่มหรือใช้ความเผด็จการดังที่นางเคยหวั่นใจไม่

บุรุษผู้นี้เปรียบดั่งเตาผิงไฟในค่ำคืนหิมะโปรย ยามเข้าใกล้รังแต่จะโหยหาอยากอิงแอบ ยิ่งนานวันก็ยากจะถอนตัว

“ขะ...ข้านวดให้ตนเองดีกว่าเจ้าค่ะ”

“มือของข้าใหญ่กว่า” เผิงซือเยียนช้อนสายตามองคนตัวเล็ก “ข้าออกแรงมากไปหรือไม่”

“ไม่...ไม่เจ้าค่ะ” ชินอ้ายปฏิเสธไม่ได้ว่าฝีมือการนวดของเขาดีมาก แต่การที่อีกฝ่ายมานวดมือให้เยี่ยงนี้มันสมควรแล้วหรือ หากฮูหยินรู้เข้าต้องไม่พอใจแน่...

“อย่าเกร็ง” เสียงนุ่มทุ้มปลอบละโลมจิตใจที่เป็นกังวลของนางให้ผ่อนคลายลง ก่อนที่ความตกใจจะเปลี่ยนจากร่างเล็กไปเป็นอีกฝ่ายแทน

“ท่านเจ้าเกาะเองก็เขียนอักษรมาทั้งวันแล้ว ข้าจะช่วยนวดคืนให้ท่านนะเจ้าคะ” มือเล็กๆ เกาะกุมลงบนมือขาวเนียน ขณะที่เจ้าตัวพยายามนวดคืนให้ชายหนุ่มอย่างขะมักเขม้น

ร่างสูงโปร่งไม่ขัดขืน ริมฝีปากที่ซุกซ่อนอยู่ใต้หน้ากากอมยิ้ม ดูท่านี่คงเป็นวิธีลดความเก้อเขินของเด็กสาวกระมัง

“ข้าอยากให้เจ้ารู้ว่าไม่มีผู้ใดเก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง ช่วยเพียงที่กำลังเราจะทำไหวก็พอแล้ว” เจตนาของเขาคือต้องการให้นางเลือกรับงานในสิ่งที่ทำได้อยู่แล้ว คนเรามิใช่เทพเซียนเทวดา จะให้หยิบจับอะไรครั้งแรกก็เป็นไปหมดได้อย่างไร “ข้าเองมิได้เก่งไปเสียทุกอย่าง เช่นงานปักที่เจ้ากำลังทำอยู่ ข้าก็ไม่เป็น”

นางหยุดนวดก่อนจะวางมือลงบนตักของตน “งานเย็บปักมิใช่งานของบุรุษ”

“แต่งานที่เจ้าได้รับมอบหมายมาก่อนหน้านี้ก็หาใช่งานของสตรีไม่”

“ก็ข้า...” คำพูดที่เหลือถูกกลืนหายไปในลำคอ จู่ๆ เผิงซือเยียนเท้าแขนลงบนโต๊ะพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ผู้ที่ถูกเบียดชิดติดกำแพงหดตัวลีบพร้อมกับหลับตาปี๋

ต่อให้อีกฝ่ายจะสวมหน้ากากอยู่ก็ตาม แต่การจู่โจมอย่างมิทันตั้งตัวนี้เกินกว่าที่นางจะรับไหวจริงๆ

“เด็กดื้อ” เสียงของเขาวนเวียนอยู่ใกล้ใบหู

“ทะ...ท่านเจ้าเกาะช่วยถอยออกไปหน่อยได้ไหมเจ้าคะ” คนผู้แกล้งพยายามต่อรอง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ยอมขยับออกไป เงาที่ทาบทับยังคงอยู่เช่นเดิมโดยไร้เสียงตอบโต้

“ท่านเจ้าเกาะ...” นางร้องเรียกเขาอีกครั้งโดยที่ยังหลับตาอยู่เช่นเดิม ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เมื่อลืมตาขึ้นก็สบเข้ากับนัยน์ตาพราวระยิบ

เผิงซือเยียนส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าของนางทั้งน่าสงสารและน่าขัน เช่นนี้จะมิให้เขาเอ็นดูนางได้อย่างไร

“ท่าน...ท่านแกล้งข้าหรือเจ้าคะ” เด็กสาวหน้าแดงแจ๋ “ท่านมัน...ท่านมัน” ผู้ใดกันที่กล่าวหาว่าท่านเจ้าเกาะเป็นบุรุษประหลาด นางจะไปเถียงให้ขาดใจเลยว่าเขาคือยอดแห่งบุรุษที่ชอบรังแกผู้อื่นต่างหาก!

ชินอ้ายอ้าปากแล้วหุบลง ไม่ว่าจะเลือกตอบเช่นไรก็เสียเปรียบเขาทุกทาง นางไม่รู้ว่าควรจะตัดพ้อโชคชะตาหรือตัดพ้อตนเองที่อ่อนแอเกินไปนักแน่

ที่ผ่านมาคงมีเพียงนางที่เขินและประหม่าเขาอยู่ฝ่ายเดียว โลกช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

ในที่สุดร่างเล็กต่อว่าเขาอย่างไม่เต็มเสียงนัก “ทะ...ท่านมันไร้น้ำใจ หัวเราะเยาะข้า”

ชายหนุ่มยอมผละกายออกห่างแต่โดยดี เขาเว้นระยะให้เหมาะสมตามเดิม เห็นว่าเรื่องความใกล้ชิดไม่ควรเร่งเร้านางจนเกินไป “ตู้ชินอ้าย ที่เจ้าพยายามมากเช่นนี้เพื่ออะไรหรือ...”

คำถามที่สื่อความนัยน์ส่งผลให้นางหันหนีพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าตนเอง เสียงหัวใจของนางที่เต้นแรงเป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุด นางสัมผัสถึงความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เบ่งบาน มันน่าอัศจรรย์จนสามารถเปลี่ยนให้ฤดูที่หนาวเย็นสดใสแช่มชื่นขึ้นราวกับต้นฤดูวสันต์ก็ไม่ปาน

“ว่าอย่างไรเล่า” เขาเร่งเร้า

เด็กสาวเม้มริมฝีปากอย่างประหม่า ถัดจากความยินดีอันล้นเหลือคือความขลาดกลัว

นางไม่อยากให้พี่สาวผิดหวังที่ส่งนางมา...

นางอยากพิสูจน์ให้ฮูหยินเห็นว่านางคู่ควรที่จะยืนเคียงข้างเขา...

และนางอยากเป็นผู้ที่ทำให้ท่านเจ้าเกาะภาคภูมิใจ...

นางรู้ดีว่าคำตอบนี้ฟังดูเป็นการร้องขอในเรื่องที่เกินตัว แต่ขอเพียงแค่มีเศษเสี้ยวแห่งความหวังหลงเหลืออยู่ นางก็อยากจะลองทำมันอย่างสุดความสามารถ

“เพื่อให้ท่าน...ฮูหยินและพี่สาวภูมิใจในตัวข้าเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงเบาหวิวก่อนจะก้มหน้ากอดเข่าแน่น ด้วยเหตุนี้ไม่อาจเห็นว่าสีผิวของนางแดงก่ำแข่งกับสีใบหูที่เปลี่ยนไปของคนฟัง

ภายในห้องทำงานใหญ่ถูกความเงียบปกคลุมไปหลายอึดใจ จนกระทั่งเสียงนุ่มทุ้มที่เด็กสาวผู้เฝ้ารอกลั้นหายใจอย่างลุ้นระทึก

“มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เก่ง” คำเปรยที่จริงจังส่งผลให้ชินอ้ายลอบมองผ่านช่องว่างระหว่างแขนและเข่าของตน แม้ไม่เอ่ยปากแต่ก็แสดงออกว่านางกำลังรอฟังด้วยความสนใจแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อร่างสูงโปร่งลุกยืนพร้อมกับเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานตามเดิม

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบ ความสงสัยของชินอ้ายก็ยิ่งเพิ่มพูน “เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

“เจ้าอยากรู้?” น้ำเสียงดูมีลับลมคมยิ่ง

สตรีที่นั่งห่างออกไปพยักหน้าช้าๆ สีหน้าใสซื่อไร้เดียงสาผิดกับดวงตาของชายหนุ่มที่พราวระยิบ

“เจ้าช่วยข้าคิดทีสิ”

ชินอ้ายมีท่าทีกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด “หากข้าสามารถช่วยท่านได้ ข้าก็ยินดีเจ้าค่ะ”

“หากวันหนึ่งข้าแต่งภรรยาที่แสนดื้อเข้ามาแล้ว...” เสียงนุ่มทุ้มน่าฟังเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์น่าหลงใหล แววตาของผู้พูดตรึงสายตาเด็กสาวให้มิอาจละจาก “ข้าจะหาทางรับมือนางอย่างไรดี”

ทั้งน้ำเสียงและแววตาของเขาล้วนกระจ่างชัด ต่อให้เด็กสามขวบยังดูออกว่า ‘ภรรยาที่แสนดื้อ’ ที่เผิงซือเยียนหมายถึง...ก็คือนาง

 

ค่ำคืนนั้นชินอ้ายนอนพลิกไปพลิกมา คำพูดของชายหนุ่มวนเวียนไม่ห่างหายจนมิอาจข่มตาหลับลงได้

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจึงไม่พ้นม่อลี่เองก็พลอยไม่ได้นอนไปอีกคน และด้วยเหตุนี้เอง ทั้งสองจึงพร้อมใจกันนอนกลางวันด้วยกันทั้งคู่ ครั้นเข้ายามอิ่วนางก็มาทำงานที่เรือนหนิงจิ้งด้วยสีหน้าแช่มชื่น

ในระหว่างที่ร่างเล็กตั้งใจปักผ้าเช็ดหน้าอยู่นั้น ใจก็ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างเพลิดเพลิน ท่านเจ้าเกาะทำงานอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ความเงียบสงบปราศจากคามอึดอัดใดๆ ความใกล้ชิดทำให้ทั้งเขาและนางเรียนรู้กันและกันอย่างเป็นธรรมชาติ และสิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือนิสัยที่รักความสงบและความเรียบง่าย

ครั้นชินอ้ายพบว่างานของตนเสร็จลุล่วงไปแล้วครึ่งหนึ่งก็หยุดพัก เมื่อได้ยินเสียงรินน้ำชาจึงเบือนสายตาไปยังบุรุษในชุดดำ

เขากำลังจะดื่มชา...

การกระทำดังกล่าวอาจดูเป็นเรื่องสามัญธรรมดาสำหรับผู้อื่น หากกับบุรุษผู้นี้ไม่ใช่

ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางใช้เวลายามเย็นอยู่ด้วยกันทุกวันแต่ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นอีกฝ่ายถอดหน้ากาก กระทั่งยามที่กินข้าวร่วมกัน นางก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็น ต่อให้ความรู้สึกของนางจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรูปร่างหน้าตา ในใจลึกๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่านางอยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาสักครั้ง

“เชิญดื่มชา” เขาเอ่ยพลางผายมือให้นางอย่างเชื้อเชิญ ที่แท้ผู้ที่เขารินชาให้คือนางผู้เป็นแขก

ชินอ้ายเดินตรงไปรับชาก่อนจะยกดื่มอย่างว่าง่าย ดูเหมือนว่าความปรารถนาของนางจะไม่เป็นผล

“เมื่อวานที่ท่านบอกว่าไม่มีผู้ใดเก่งกาจไปเสียทุกอย่าง ความจริงแล้วมีคนเช่นนั้นอยู่นะเจ้าค่ะ”

“ผู้ใดหรือ”

“ฮูหยินเจ้าค่ะ” น้ำเสียงชื่นชมอันแสนมั่นใจเรียกให้ผู้กำลังมองกล่องไม้เบือนหน้ากลับมา มิอาจปกปิดความประหลาดใจในดวงตาสีเข้ม

“ทุกงานที่ฮูหยินมอบหมายให้ข้า...นางล้วนทำเป็นทั้งหมด นางจะตรวจสอบทุกอย่างด้วยความละเอียดละออ หากพบข้อผิดพลาดก็จะบอกให้ข้ากลับมาแก้ใหม่ หากข้ามีข้อสงสัยนางก็จะอธิบายให้ฟัง”

ชายหนุ่มรู้สึกราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นจับจูงให้ก้าวเดินไปยังเส้นทางแห่งใหม่ซึ่งเขาไม่เคยค้นพบ ที่ผ่านมาเขาคิดว่าการกระทำของผู้เป็นมารดา...ถ้าเป็นผู้อื่นก็คงจะเกลียดนางไปแล้ว

ชินอ้ายไม่เพียงแค่เกลียด แต่กลับชื่นชมอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเลื่อมใส แววตาของเผิงซือเยียนสั่นไหวอยู่วูบหนึ่งก่อนจะกลับมาสงบนิ่ง มีความเป็นไปได้ว่านางอาจจะไม่ได้เปลี่ยนเขาเพียงผู้เดียว หากยังรวมถึงนายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยอีกด้วย

ดวงตาคู่งามทอดมองไปยังที่ๆ ไกลแสนไกล “ท่านแม่นั้นมากความสามารถ...ดังนั้นข้าจึงไม่อยากให้เจ้าโกรธหรือไม่พอใจในสิ่งที่นางประพฤติต่อเจ้า”

ร่างเล็กส่ายหน้า นางหาได้โกรธเคืองชางเลี่ยงหงไม่ ที่ผ่านมาผู้ที่คอยโกรธแทนเห็นทีมีแต่ม่อลี่เท่านั้น

“ท่านพ่อของข้าเสียไปตั้งแต่ข้าอายุห้าขวบเนื่องจากถูกคนต่างถิ่นลอบสังหาร นับตั้งแต่นั้น ท่านแม่ก็เป็นคนดูแลกิจการทุกอย่างของตระกูลเผิงจนกระทั่งข้ามารับตำแหน่งเจ้าเกาะ นางจึงมีอคติและไม่ไว้ใจคนนอก ความคิดของนางคือคนเหล่านี้มีความสำคัญเป็นเพียงคู่ค้า ไม่ควรมีสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดไปมากกว่านั้น”

ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย ทว่าผู้ฟังกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดอ้างว้าง ภาระหนักอึ้งที่ฮูหยินต้องแบกรับและตัวเขาเองต้องแบกรับ แม้แต่ชินอ้ายยังจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าผู้ที่ตกอยู่ในสถานะเช่นนั้นเป็นตน นางจะเข้มแข็งและเก่งกาจเทียบเท่าฮูหยินได้สักเสี้ยวหนึ่งหรือไม่

เพราะถูกพรากจาก...จึงเจ็บปวด

เพราะเคยสูญเสีย...จึงได้หวงแหน

เด็กสาวพยายามซึมซับและเข้าใจความรู้สึกของร่างสูงโปร่งให้มากที่สุด เป็นคราแรกที่นางสัมผัสถึงตัวตนของเขาชัดเจนกว่าที่เคย น่าแปลกที่แม้เขาจะสวมหน้ากากอยู่ แต่นางกลับรู้สึกว่าสามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้

          ในที่สุดสายตาที่ล่องลอยไปไกลก็เคลื่อนกลับมาจดจ้องดวงหน้าเล็ก นอกจากดวงตาอันซื่อตรงและมั่นคงนี้จะกระตุ้นให้ความรู้สึกของเขาท่วมท้น มันยังทลายกำแพงที่เขาปิดกั้นมานานแสนนานลงทีละน้อย

มือใหญ่เอื้อมขึ้นมาสัมผัสหน้ากากอย่างแผ่วเบา นิ้วเรียวทับลงบนอักษร ‘เผิง’ ซึ่งเขียนด้วยหมึกสีทองสั่นเทาเล็กน้อย “นอกจากนี้ยามที่ข้าอายุสิบห้า...”

          “ท่านเจ้าเกาะ แม่นางตู้ อาหารเย็นพร้อมแล้วขอรับ” เสียงของซางฉือที่ลอดผ่านบานประตูที่ปิดสนิท เผิงซือเยียนลดมือลงก่อนจะลุกขึ้นยืน หันหลังให้นางเพื่อเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตน

          “ตอนที่ท่านเจ้าเกาะอายุสิบห้า เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” ชินอ้ายมองแผ่นหลังของเขา มิได้คาดคั้นแต่เป็นการเอ่ยถามอย่างสุภาพและนุ่มนวล

ท่านเจ้าเกาะหยุดฝีเท้าพร้อมกับหันกลับมา พริบตาหนึ่งนางสัมผัสถึงรอยยิ้มที่ซุกซ่อนอยู่หลังหน้ากากหนา แต่เพราะเหตุใดกันเล่า มันจึงได้ดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน...

เผิงซือเยียนจ้องมองเด็กสาว ใจหนึ่งก็อยากเล่า แต่อีกใจหนึ่งกลับบังเกิดความกลัวจนลังเลขึ้นมา

“มันคือฝันร้าย”

ชินอ้ายได้ฟังเช่นนั้นก็นิ่งไป หากยังรวบรวมความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วท่าน...”

ดูท่าการถามของนางจะทำให้ชายหนุ่มจะรู้สึกราวกับถูกคาดคั้นโดยไม่รู้ตัว “เรื่องนี้คงไม่เหมาะที่จะคุยก่อนเวลาอาหาร”

“ข้า...” นางอยากจะบอกว่านางไม่ถือเรื่องนี้ หากเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังจะเลวร้ายหรือน่าหดหู่มากเพียงใด นางก็เต็มใจที่จะฟัง เผื่อว่าจะสามารถช่วยแบ่งเบาความทุกข์ดังกล่าวได้บ้าง...แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี

แต่ดูท่าเจตนาอันดีของนางจะส่งไปไม่ถึงอีกฝ่าย

“กินข้าวเถิด” เขาตัดบทก่อนจะเดินนำออกไปด้านนอกโดยไม่คิดจะสานต่อบทสนทนาที่ค้างคาไว้แม้แต่น้อย

 

การกินข้าวร่วมกันนั้นแตกต่างจากสิ่งที่เด็กสาวเคยจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง ทว่าพอผ่านมาสักระยะนางก็เริ่มชินกับมันได้อย่างไม่ยากเย็น

ในช่วงแรกม่อลี่โอดครวญเรื่องที่ต้องกินข้าวเย็นตามลำพัง ถึงขั้นออกไปปรับทุกข์กับตุ๊กตาหิมะที่ปั้นไว้ข้างนอกด้วยความน้อยอกน้อยใจ ครั้นนางชวนให้มาด้วยกันก็ไม่ยอมมา เอาแต่ตัดพ้อว่า ‘เจ้าได้ใหม่ลืมเก่า’

สุดท้ายชินอ้ายจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ผ่านพ้นไปไม่กี่วันสหายของนางก็เลิกงอแงและกลับมาพูดคุยกับนางตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ฉากไม้แกะสลักรูปนกยูงฝั่งมุกจากแคว้นจื้อโหยวกั้นนางและเขา ต่างฝ่ายต่างคีบกับและข้าวในสำรับของตนเข้าปาก เคี้ยวและกลืนอย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งการพูดคุยกันดังเช่นวันอื่นๆ ที่ผ่านมา

          บ่าวรับใช้ในชุดสีขาวสะอาดย่อมสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ที่ผ่านมานายของเขาดูมีชีวิตชีวาและพูดคุยมากกว่าปกติเมื่อมีเด็กสาวอยู่ด้วย ทว่าบรรยากาศในวันนี้กลับเงียบเหงายิ่งกว่าหิมะที่โปรยปรายอยู่ด้านนอกเสียอีก

แม้สิ่งที่โรงครัวเตรียมมาให้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ชินอ้ายโปรดปราน แต่รสชาติของอาหารวันนี้ช่างจืดชืดเหลือเกิน

ทุกครั้งที่นางคิดว่าสามารถเข้าใกล้เขาได้แล้วก็มักจะพบว่ามีกำแพงขนาดใหญ่ขวางกั้นอยู่เสมอ ดังเช่นฉากกั้นไม้ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าในขณะนี้

มือเล็กจับตะเกียบเขี่ยข้าวในชามอยู่นานก่อนจะคีบเข้าปากแล้วกลืน ทำเช่นนั้นได้ไม่กี่ครั้งก็บอกว่าอิ่มพร้อมกับขอตัวกลับเรือนเพื่อเข้านอนแต่หัวค่ำ เผิงซือเยียนเอ่ยปากอนุญาตโดยให้คนสนิทเดินมาส่ง

“เอ่อ...แม่นางตู้ไม่สบายหรือขอรับ” ซางฉืออยู่กับเด็กสาวตามลำพังเอ่ยถามอย่างห่วงใย ตู้ชินอ้ายกับม่อลี่เติบโตขึ้นมาในเมืองหลวงเหมือนกัน หากม่อลี่ไม่สบายเพราะแพ้อากาศ ก็มีความเป็นไปได้ที่อีกคนจะเป็นด้วย

ผู้ที่กังวลนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ร่างเล็กจะหันกลับมา ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงหยุดฝีเท้าลง

“ท่านซาง” น้ำเสียงของนางปราศจากความสดใสร่าเริงเหมือนดั่งเคย

“ขอรับ”

“ผู้ที่ส่งข้ามาที่นี่คือเผิงซือซือหรือไม่เจ้าคะ”

ซางฉือสะดุ้งเล็กน้อย ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าชินอ้ายจะถามอย่างตรงประเด็นเช่นนี้ “คือ...”

อาการอ้ำอึ้งของเขาดำเนินไปเพียงครู่เดียวก็ถูกคำถามใหม่พุ่งเข้าใส่ระลอกสอง

“ฮูหยินต่อต้านการใกล้ชิดกับคนนอกเกาะ แต่เหตุใดเผิงซือซือจึงแต่งงานออกเรือนไปที่อื่นหรือเจ้าคะ”

“เรื่องนี้...” บ่าวหนุ่มกรอกตาไปมาอย่างร้อนรน

เท้าของชินอ้ายยืนนิ่งอยู่กับที่ หากร่างอันบอบบางที่ต้องลมทำให้ดูราวกับนางสามารถปลิวตามสภาพอากาศที่เลวร้ายไปได้ทุกเมื่อ “เหตุใด ‘พี่สาว’ จึงส่งข้ามาแต่งงานกับท่านเจ้าเกาะ...เป็นเพราะเหตุใดกันหรือเจ้าคะ ท่านซาง” มือเล็กซึ่งทิ้งอยู่ข้างลำตัวสั่นน้อยๆ “ข้ามีโอกาสที่จะได้พบกับพี่สาวหรือไม่เจ้าคะ”

“ข้าน้อย...”

“เมื่อสี่ปีก่อนมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นบนเกาะดอกเหมย...”

“แม่นางตู้ ข้ามิได้อยู่ในสถานะที่สามารถเอ่ยปากได้” ซางฉือมีสีหน้าลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง

          ผู้ฟังหลับตาลง พยักหน้าอย่างอ่อนแรง บ่าวที่ดีไม่ควรเปิดปากเอ่ยเรื่องเจ้านาย สาเหตุที่นางอยากพบพี่สาวเพราะเชื่อว่าคำตอบทุกอย่างอยู่ที่ผู้มีพระคุณ นางทำให้ซางฉือตกอยู่ในที่นั่งลำบากเข้าให้แล้ว

เดิมทีนางคิดว่าท่านเจ้าเกาะสวมใส่หน้ากกากด้วยความสบายใจ แต่แท้จริงเป็นนางคนเดียวที่คิดเช่นนั้น

          ชินอ้ายครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ก็นิ่งไป นางเผลอปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่ตามลำพังโดยที่สัมผัสถึงอารมณ์อันเศร้าหมองของเขา

...ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้เขาต้องโดดเดี่ยวแท้ๆ

          นางลืมตาขึ้นมา “ท่านซาง ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหลงลืมบางอย่างไว้ที่เรือนหนิงจิ้ง”

          “เช่นนั้นข้าจะนำทางท่านกลับไป” เขาอาสาอย่างสุภาพ ทว่าเด็กสาวกลับส่ายหน้า

          “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านซางไปพักผ่อนเถิด ข้าไปเองได้” กล่าวจบก็ค้อมศีรษะให้เป็นเชิงขอตัว เร่งมุ่งหน้ากลับไปยังทิศทางที่จากมาโดยไม่หันหลังกลับ

หนทางขากลับดูยาวนานกว่าคราที่จากมายิ่งนัก อาจเป็นเพราะความเหน็บหนาวส่งผลให้นางก้าวเท้าได้ช้ากว่าที่เคย ใบหน้าของนางถูกลมโกรกใส่จนชา แม้กระทั่งความแสบในโพรงจมูกก็ยังมิอาจรู้สึก

ทว่าทันทีที่นางเดินทางมาถึงหน้าซุ้มประตูซึ่งมีทางหินปูทอดยาวไปจนถึงเรือนใหญ่ด้านใน ดวงตาหวานก็ปะทะเข้ากับร่างๆ หนึ่งซึ่งยืนนิ่ง รับลมหนาวอยู่ที่หน้าเรือน

นางจับจ้องเขาโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำพูด ลมหายใจร้อนของนางปะทะลมหนาวจนกลายเป็นไอสีขาว จิตใจของนางยามนี้สับสนไปด้วยอารมณ์หลากหลายที่ประดังเข้ามาในคราเดียว

ทั้งรู้สึกผิด...ทั้งดีใจ…ทั้งปวดใจ...ทั้งซาบซึ้ง

เด็กสาวสูดหายใจเข้าลึก รวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อย่ำเท้าไปเบื้องหน้า กลั้นใจหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าร่างสูงโปร่งผู้ซึ่งกำลังหลับตาอยู่ “ท่านเจ้าเกาะทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”

“กำลังรอ” เขาลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า วูบหนึ่งนางเห็นประกายแห่งความโล่งใจอยู่ในดวงตาคู่งามที่สะกดนางไว้  เผิงซือเยียนขยับกายไปยืนบังทิศทางที่ลมพัดผ่าน ใช้ร่างของตนต้านความเหน็บหนาวดังที่เคยทำครั้นชินอ้ายเพิ่งมาถึงเกาะดอกเหมยเป็นครั้งแรก

“ข้ากำลังรอเจ้าอยู่...”

เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ร่างเล็กรู้สึกเบาโหวงราวกับล่องลอยอยู่ในอากาศ

แท้จริงแล้วเขาเปรียบเสมือนสัตว์เล็กตัวหนึ่ง

จะเข้าใกล้มากก็กลัวว่ามันจะบอบช้ำ หากจะปล่อยให้ห่างเกินไปก็เกรงว่ามันอาจเป็นอันตรายได้

เรื่องความใกล้ชิด น้อยไปก็ไม่ดี...มากไปก็ไม่ได้...

“ข้ากลับมาแล้ว” รอยยิ้มของนางงดงามชวนฝัน รู้สึกว่าความเข้าใจก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

กลางเรือนหนิงจิ้งมีเตาผิงไฟขนาดใหญ่จุดอยู่ เสียงแตกหักของท่อนฟืนดังเปรี๊ยะๆ เป็นระลอกไม่ให้หงอยเหงา ในห้องทำงานมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่และตัวเล็ก เปลวเทียนเหลืองนวลแลดูสบายตา หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษต่างก้มหน้าทำงานของตนอย่างเงียบเชียบ

แม้ร่างกายห่างเหิน หากหัวใจกลับชิดใกล้เข้ามาอีกขั้น

ชินอ้ายได้ยินเสียงก้อนเนื้อในอกที่เต้นแรง ด้ายแดงปักทะลุลงผืนผ้าลงไปก่อนจะกลับขึ้นมาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จังหวะและฝีเข็มของนางเริ่มมั่นคงขึ้นแล้ว จากนี้เหลือเพียงต้องเพิ่มเติมเรื่องความสวยงาม

ยามนี้ต่อให้มิอาจล่วงรู้หรือเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่นางก็ขอเลือกที่จะอยู่ตรงนี้...อยู่ในที่ๆ เขามองเห็น ไม่ใกล้และไม่ไกลจนเกินไป รอจนกว่าเขาพร้อมจะเปิดใจ บอกเล่าทุกสิ่งให้นางฟัง
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น